คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : บทที่ 34 : ค่ายอาสา...มหาสนุก (เพลงรัก)
บทที่ 34 : ค่ายอาสา...มหาสนุก (เพลงรัก)
ค่ำคืนที่ดวงดาวลอยเกลื่อนฟ้าส่องแสงยั่วยวนตา บนดอยเอื้อมดาวได้มีการจัดกิจกรรมรอบกองไฟขึ้น กองไฟที่ลุกโชนสว่างไสว บวกกับต้นไม้ที่ถูกประดับประดาด้วยไฟหลากสี ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้น
“เดี๋ยวอีกไม่เกิน 5 นาที เด็ก ๆ เค้าจะออกมาทำการแสดงเพื่อเป็นการขอบคุณพวกคุณนะครับ” โดมเอ่ยพูดกับฮั่นที่นั่งข้างเขา
“อ่อครับ...จริง ๆ เด็ก ๆ ไม่น่าจะต้องมาลำบากเลยครับ พวกเรามาช่วยก็ไม่ได้หวังอะไรกันอยู่แล้ว” ฮั่นเอ่ยพูดพลางยิ้มออกมา
ความรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจที่เขาได้รับจากการทำกิจกรรมมาตลอด 3 วันเต็ม ๆ ยังไม่จางหายไปจากหัวใจและเขาก็คาดว่ามันจะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายสิบวัน
การเป็นผู้ให้มันรู้สึกดีกว่าการเป็นผู้รับจริง ๆ นะ...
ยิ่งเป็นการให้แบบไม่หวังผลตอบแทนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจรู้สึกดี
“นี่เป็นความคิดของเด็ก ๆ เค้าน่ะครับ พอพวกเขารู้ว่าจะมีคนมาสร้างห้องสมุดให้พวกเขา พวกเขาก็ฝึกซ้อมการแสดงนี้กันใหญ่ โอ๊ะ! เหมือนเด็ก ๆ จะพร้อมแล้วครับ...”
เมื่อโดมพูดจบ เสียงดนตรีตามแบบฉบับชาวเหนือก็ดังขึ้น มีเด็กผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งค่อย ๆ เยื้องย่างออกมาด้วยท่วงท่าการรำที่สวยงาม ตามมาด้วยเด็กผู้หญิงร่างเล็กกว่าออกมาด้วยท่ารำที่คล้ายกัน
“นี่คือการฟ้อนดาบครับ” โดมว่าพลางยิ้มออกมา เมื่อเห็นสายตาของผู้มาเยือนทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่การแสดงเบื้องหน้า
“โห...น้องเค้ายังดูเด็กอยู่เลยนะครับ แต่ทำไมรำเก่งจัง” แกงส้มว่าพลางมองเด็กสองคนที่กำลังร่ายรำด้วยสายตาที่สุดแสนจะทึ่ง
“อ๋อ...นั่นน้องหมงกับน้องมียา เป็นนักแสดงฟ้อนดาบของโรงเรียนเราครับ สองคนนี้เคยไปแสดงมาหลายที่แล้วนะครับ”
“อ๋อ...มิน่าล่ะครับ น้องเค้าดูเก่งจังเลย อายุเท่าไหร่ครับนั่น” ฮั่นถาม พลางเบนสายตาจากภาพการแสดงมามองคนที่นั่งข้างตัว ก่อนที่เขาจะคว้ามือบางของแกงส้มมากุมไว้แล้วถูไปถูมาเบา ๆ
แกงคงหนาว...มือเย็นเชียว
“อ๋อน้องหมง 11 ครับ ส่วนน้องมียา 10 ครับ”
โดมตอบก่อนจะมองภาพฮั่นที่ถูมือแกงส้มไปมาด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้า
คนรักกันก็แบบนี้แหล่ะ...ใส่ใจและห่วงใยแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนที่ตัวเองรัก...ที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือไม่สังเกต
ก็เพราะว่าเป็นคนที่รัก...ทุกเรื่องของคนรักจึงเป็นเรื่องสำคัญ...
ต่อให้เป็นเรื่องที่เล็กที่สุด...เราก็มองเห็นเสมอ
“พอแล้วพี่ฮั่น” แกงส้มว่า เมื่อเห็นสายตาโดมที่มองมาที่พวกเขาสองคน
“ทำไมล่ะแกง มือแกงยังไม่หายเย็นเลยนะ” ฮั่นว่าก่อนที่เขาจะเข้าใจเมื่อเขามองตามสายตาของแกงส้มไป
แกงคงเขินสายตาโดมที่มองมาสินะ
“เราดูการแสดงของน้องเค้าต่อเถอะพี่ฮั่น” แกงว่าก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับ แต่ฮั่นกลับไม่ยอมปล่อยมือนั้น ซ้ำยังเอามือนั้นมาเป่าด้วยลมจากริมฝีปากอีกด้วย
ความอุ่นจากลมหายใจที่เป่าออกมา ทำให้แกงส้มหน้าแดง
ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่แผ่ซ่านเดินทางไปที่หัวใจ ทำให้คนเป็นเจ้าของฝ่ามือรู้สึกดีกับการกระทำนี้ของคนตรงหน้า
พี่ฮั่นช่างแสนดีกับเขาสม่ำเสมอจริง ๆ
ถ้าหากวันหนึ่งเขาไม่มีพี่ฮั่น...เขายังมองไม่ออกเลยว่า...
เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...
คนที่เป็นดั่งหัวใจ...ถ้าหากวันหนึ่งต้องหายไป
ถึงแม้เราจะยังมีชีวิตอยู่...ก็คงอยู่แบบ ‘ตายทั้งเป็น’
ความเจ็บปวดที่สุดของคนที่รักกันแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกัน ช่างทำให้หัวใจทรมานและร้าวรานยิ่งนัก!
นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย...?
“หายหนาวหรือยังไงครับ” ฮั่นถาม พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่โตของแกงส้ม
แม้บริเวณนี้จะไม่สว่างนัก แต่เขาก็สามารถเห็นว่าใบหน้าหวานของคนตรงหน้าขึ้นสีแดง
น่ารักชะมัด!
“หายแล้วครับ อุ่นดีด้วย...แต่จะอุ่นกว่า...ถ้าพี่ทำแบบนี้...” แกงส้มพูดก่อนที่เขาจะปลดมือออกจากเกาะกุมของคนเป็นพี่ แล้วสอดมือเข้าไปในเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของร่างที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วโอบรอบเอวทางด้านขวาพลางเอามือข้างนั้นของคนเป็นพี่มาจับไว้ที่มือของเขา ส่วนอีกมือนั้นเขาก็คว้ามาสอดประสานนิ้วไว้แล้วปล่อยให้ความอบอุ่นจากนิ้วเรียวที่เกี่ยวกระหวัดได้ทำหน้าที่แผ่ความร้อนให้กัน
“อืม...อุ่นจริง ๆ ด้วย” คราวนี้ฮั่นเป็นฝ่ายหน้าแดงบ้าง
บางทีแกงส้มก็น่ารักเกินไปจริง ๆ
ฮั่นคิดในใจก่อนที่เขาจะเบนสายตาจากใบหน้าหวานไปมองการแสดงเบื้องหน้า (อีกครั้ง) ก็ขืนยังมองแต่หน้าแกงส้ม คืนนี้ฟ้อนดาบ คงกลายเป็น ‘ฟ้อนรัก’ แทน...
ภาพของหมงที่กำลังร่ายรำเป็นท่วงท่าที่ดูน่าหวาดเสียวเรียกเสียงฮือฮาให้ดังขึ้น ซึ่งการฟ้อนดาบนี้แสดงได้ทั้งชายและหญิง ส่วนมากเป็นการรำในท่าต่าง ๆ ใช้ดาบตั้งแต่2-4-6-8 เล่ม และอาจจะใช้ได้ถึง 12 เล่ม นอกจากการฟ้อนดาบแล้ว ก็อาจมีการรำหอกหรือ ง้าวอีกด้วย ท่ารำบางท่าก็ใช้เป็นการต่อสู้กัน ซึ่งฝ่ายต่าง ๆ ก็มีลีลาการฟ้อนอย่างน่าดูและหวาดเสียวเพราะส่วนมากมักใช้ดาบจริง ๆ หรือไม่ก็ใช้ดาบที่ทำด้วยหวายแทน หากพลาดพลั้งก็เจ็บตัวเหมือนกัน การฟ้อนดาบนี้มีหลายสิบท่า และมีเชิงดาบต่างๆ เช่น เชิงดาบเชิงแสน (เป็นของพื้นเมืองของภาคเหนือ) เชิงดาบแสนหวี (มาจากพวกไทยใหญ่ หรือเงี้ยว) แต่ละเชิงดาบมีการฟ้อนแตกต่างกัน (ปรากฏว่าเชิงดาบแสนหวีเป็นนักดาบที่เก่งกล้าเผ่าหนึ่งในประวัติศาสตร์) การฟ้อนดาบมักใช้กลองสะบัดชัยตีประกอบจังหวะ ผู้แสดงสวมชุดพื้นบ้านภาคเหนือ (นุ่งกางเกงครึ่งแข้ง สวมเสื้อม่อฮ่อม มีผ้าขาวม้าคาดเอว)
เสียงกลองสะบัดชัยที่ดังเป็นจังหวะชวนตื่นเต้นผสมกับภาพการร่ายรำของเด็กชายตัวน้อยและเด็กสาวตัวเล็กทำให้การแสดงฟ้อนดาบในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความสนุกและรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าของผู้ชม
แปะ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงปรบมือที่ดังรัวระงมเมื่อการแสดงจบลง เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยทั้งสอง
มีความสุขกันทั้งผู้แสดงและผู้ชม!
“เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการแสดงในค่ำคืนนี้” โดมเอ่ยถามผู้ชมรอบกองไฟด้วยเสียงที่ดัง
แทนคำตอบ ทุกคนพร้อมใจกันยกนิ้วโป้งขึ้นมา แล้วปรบมือรัว ๆ อีกครั้ง
จากนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็เดินกลับไปยังทางที่พวกเขาเดินมาในตอนแรก ปล่อยให้ความรู้สึกสนุกและประทับใจลอยอยู่ในหัวใจของคนที่อยู่ที่นี่
“ว่าแต่...การแสดงจบแล้ว พวกคุณจะทำอะไรกันต่อครับ” โดมถาม พลางไล่มองหน้าทีละคน จนมาหยุดที่ใบหน้าตี๋ของโตโน่...ที่เขาหยุดที่คนนี้ก็เพราะว่าในอ้อมกอดของโตโน่มีกีตาร์
“คุณโตโน่จะเล่นกีตาร์หรอครับ”
“ใช่ครับ...ผมอยากเล่นกีตาร์ให้ ‘คนพิเศษ’...ฟัง...”
พูดแค่นั้น คนร่างสูงก็หยิบกีตาร์วางในท่าที่เตรียมพร้อม แล้วนิ้วเรียวก็เริ่มดีดเป็นท่วงทำนองเพลงหวาน สายตาคมที่มองคนที่นั่งข้างตัว ทำให้คนถูกมองรู้สึกเขินจนเหมือนมือไม้ที่มีมันเกะกะไปหมด
“...ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถเลิศเลอ
แต่ฉันมีใจพิเศษ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ
เสียงเข้มที่ร้องออกมา ดังได้ยินกันรอบกองไฟ เพราะความเงียบของบรรยากาศรอบตัวที่มีเพียงเสียงของลมหนาวที่หอบพัดเอาความเย็นให้แผ่กระจาย แต่ความอบอุ่นจากสายตาของโตโน่ที่มองหมิวทำให้รอบตัวของคนทั้งสองคล้ายมีละลองความอบอุ่นลอยวน
...โอบกอดฉันไว้ หลับตาผ่อนคลายให้สมฤดี
เราจะบินหนี ข้ามน้ำทะเลและแดนกว้างใหญ่
ดาวพราวดั่งฝัน กลางคืนยาวนานร่านหัวใจ
ปล่อยความเหงาไป ทอดทิ้งใจ รักจะพาแต่เราไปสองคน
เสียงกีตาร์ที่ลอยไปตามสายลมดังกระทบเข้าไปในหัวใจของคนฟังที่นั่งกันเป็นคู่ ๆ แต่ละคนคล้ายอินไปกับเสียงร้องและเสียงกีตาร์ของโตโน่
เสียงที่ถูกกลั่นกรองมาจากหัวใจ ทำให้คนฟังรู้สึกได้...
ขนาดพวกเขาเป็นคนนอกยังซึมซับถึงความรู้สึกนี้ของคนร้อง แล้วคนใน (หัวใจ) อย่างหมิวคงไม่ต้องพูดถึง เพราะตอนนี้หมิวได้นั่งหน้าแดงก่ำไปเรียบร้อยโรงเรียนโตโน่แล้ว
แคนกับฟลุ๊คที่นั่งอยู่ข้างกัน ตัดสินใจลุกขึ้นอาศัยจังหวะที่โตโน่กำลังโซโล่กีตาร์ ออกมาเต้นรำรอบกองไฟ ด้วยใบหน้าที่เกลื่อนกระจายไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปหยุดที่เบื้องหน้าของโดม
ไม่ต้องรอให้สองคนเบื้องหน้าเอ่ยชวน โดมก็ลุกขึ้น แล้วจับมือของแหวนขึ้นมา แล้วออกแรงกระตุกเบา ๆ เป็นเชิงให้คนเป็นแฟนเดินตามเขาออกไป แล้วคนทั้งคู่ก็เต้นรำด้วยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแคนกับฟลุ๊คเดินมาชวนฮั่นและแกงส้มเป็นคู่ต่อไป แต่คนทั้งคู่พร้อมใจกันส่ายหน้าแล้วเอียงหัวไปซบกัน เป็นเชิงบอกให้รู้ว่า...พวกเขาสองคนมีความสุขกับการอยู่แบบนี้มากกว่า ซึ่งแคนกับฟลุ๊คก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เดินต่อไปยังกวางและข้าวฟ่าง...
กวางส่ายศีรษะก่อนจะต้องตกใจเมื่อคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวก่อนจะยื่นส่งมือมาตรงหน้าเธอ หญิงสาวพยายามจะส่งสายตาปฏิเสธ แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอด้วยสายตาคม กวางก็ยื่นมือออกไปจับมือของข้างฟ่าง แล้วเธอกลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดของคนตรงหน้า
ป๊อกมองตามหลังคนมีคู่ที่ออกไปเต้นรำรอบกองไฟด้วยดวงตาที่เริ่มมีน้ำใสคลอหน่วย
ถ้าค่ำคืนนี้...เธอมีตฤณอยู่ด้วย...ก็คงจะดีมิใช่น้อย
เฮ้อ...เศร้าเบา ๆ
ฉันไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ ร่ำรวยจ่ายเงินเร็วร้อนแรง
ไม่มีอำนาจใด ประหนึ่งเจ้าชายจะสำแดง
มีเพียงหัวใจ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ...”
เมื่อร้องมาจนถึงท่อนสุดท้าย โตโน่ก็ขยับลุกขึ้นยืน แล้วปล่อยนิ้วที่จับสายกีตาร์ พลางวางกีตาร์พิงไว้กับขอนไม้ แล้วจับมือหมิวให้ลุกขึ้นยืน แล้วเขาก็เริ่มนำหมิวให้เต้นรำไปตามจังหวะดนตรีที่เขาบรรเลงเองในใจ หมิวที่ซึ่งตอนแรกงง ๆ กับการกระทำของคนร่างสูง ก็คล้ายจะเข้าใจเมื่อเธอหลับตาซึมซับกับท่วงท่าในการเต้นรำที่คนรักเป็นคนนำ
แค่เพียงหลับตาแล้วใช้หัวใจซึมซับไปกับท่วงทำนองเพลงรักในหัวใจ...แค่เพียงเท่านั้น...
เพลงรักที่ดังกึกก้องก็ทำให้หัวใจรู้สึกดีและอิ่มเอมไปด้วยความสุข
ส่วนคู่อื่นเมื่อไม่มีเสียงดนตรี พวกเขาก็เหมือนจำต้องหยุดเต้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยุดอย่างที่คิด เสียงกีตาร์ที่ดังมาจากคนร่างโปร่งอย่างแกงส้มก็ทำให้ทุกคนเบนสายตามายังคนเล่น
“ผมเห็นพี่โน่เล่นแล้วอยากเล่นบ้างอ่ะครับ ไหน ๆ พี่โน่ก็จัดเพลงหวานมาแล้ว งั้นผมขอจัดต่ออีกสักเพลงนะครับ...บรรยากาศแบบนี้...อารมณ์ประมาณนี้...ต้องเพลงนี้เลย...”
แล้วนิ้วเรียวก็เริ่มดีดกีตาร์เป็นเพลงหวานที่หลายคนคุ้นเคยกับท่วงทำนอง ใบหน้าหวานอมยิ้มเมื่อมองไปยังคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“...เพียงอยู่ในวงแขนคุณ อบอุ่นในหัวใจ
เพียงได้เดินเคียงข้างคุณ ดั่งมีพรมละมุน
แค่เพียงเสียงทุ้มหวานเริ่มเอื้อนเอ่ยออกมา ฮั่นก็หัวใจเต้นแรง...
เพลงนี้...ความหมายดีมาก!
“...ทอดพาดวงใจ เราไปยังนภาฟ้าที่แสนไกล
ที่ไม่เคยมีใครเคยก้าวลํ้าข้ามผ่านพ้นไป
เก็บดวงดาวที่ลอยเกลื่อนฟ้า จับมาเรียงร้อยเป็นมาลัยคล้องใจ
ทอดพาดวงใจ เราไปยังนภาฟ้าที่แสนไกล
ที่ไม่เคยมีใครเคยก้าวลํ้าข้ามผ่านพ้นไป
เก็บดวงดาวที่ลอยเกลื่อนฟ้า จับมาเรียงร้อยเป็นมาลัยคล้องใจ...คู่กัน...
ท่วงทำนองที่ถูกปรับให้ช้าลง เพื่อให้คนที่กำลังเต้นรำอยู่ด้วยกันได้อิงแอบแนบซบ ภาพของคนหลายคู่ที่กำลังเต้นรำกันอยู่ ทำให้คิมและจ๋าหันมาสบตากันผ่านละอองหมอกที่ลอยเอื่อย
ไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำใด ๆ เอ่ยออกมา จ๋าและคิมก็ค่อย ๆ เขยิบกายเข้ามาชิดกันมากยิ่งขึ้น มือบางที่ค่อย ๆ เลื่อนมาเกี่ยวกระหวัดกัน ทำให้คนที่เพิ่งเริ่มต้นสัมพันธ์การเป็นแฟน (แบบงง ๆ) ค่อย ๆ ใช้หัวใจเรียนรู้กันมากขึ้น
ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นมาจากคู่กัด แล้วก้าวกระโดดมาเป็นแฟน มันอาจจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ใด ๆ โลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น...เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดและคิดว่า...
ทุกสิ่งบนโลกนี้จะต้องเป็นไปตามขั้นตอนเสมอไป
ไม่จำเป็นว่าสีขาวจะต้องคู่กับสีดำ...เพราะสีขาวก็สามารถคู่กับสีเขียวได้
ไม่จำเป็นว่าช้อนจะต้องคู่กับส้อม...เพราะช้อนก็สามารถคู่กับตะเกียบได้
ไม่จำเป็นว่าโรงหนังจะต้องคู่กับป็อปคอร์น...เพราะโรงหนังก็สามารถคู่กับเลย์ได้
ไม่จำเป็นว่าผู้หญิงจะต้องคู่กับผู้ชาย...เพราะผู้หญิงก็สามารถคู่กับผู้หญิงได้
เหมือนกับที่ผู้ชายก็สามารถคู่กับผู้ชายด้วยกันเองได้...
แค่เพียงเพราะ ‘หัวใจคนสองคนรักกัน’...อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ
...เพียงแค่ใจเรารักกัน บดบังความสําคัญอื่นใด
เพียงแค่ใจเราสองใจ เข้าใจในรักจริง
เมื่อร้องมาถึงท่อนนี้ คนร้องก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับร่างสูงที่มองเขาอยู่แล้ว
ดวงตาที่สบประสานกันเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งคู่ ความรู้สึกรักที่ถ่ายทอดผ่านสายตาทำให้หัวใจที่กำลังเต้นไหวรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้
ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ ให้มันมากมาย
แค่เพียงหัวใจเรารู้ว่ารักกัน...
แค่เรามีเพียง งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์
สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน
ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ
และเรามีเพียง งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์
สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน
ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ...เหนือใจ...”
เมื่อร้องจนจบเพลง ร่างของแกงส้มก็ถูกฮั่นรวบเข้าไปในอ้อมกอด จนใบหน้าหวานซบไปเต็ม ๆ ต้นคอขาวของคนเป็นพี่ แต่ลำตัวของคนสองคนก็ถูกกั้นไว้ด้วยกีตาร์ตัวหนา
“เฮ้ย ๆ ๆ ๆ กอดกันเบา ๆ หน่อย เดี๋ยวกีตาร์พัง” ทันทีที่เห็นช็อตกอดของฮั่นและแกงส้ม โตโน่ก็โวยวายออกมาทันที
เพียะ! แรงตีบริเวณหัวไหล่ ทำให้ใบหน้าตี๋ยู่ด้วยความเจ็บ
“ทำไมต้องไปขัดจังหวะคู่นั้นเค้าด้วยคะ”
“หมิวอ่ะ...ก็พี่เป็นห่วงกีตาร์นี่นา”
“ไปขัดเค้ามาก ๆ เดี๋ยวโดนขัดบ้างจะรู้สึกนะคะ” พูดจบ หมิวก็เดินกลับมานั่งที่เดิม และตามด้วยคนอื่น ๆ ความหวานที่ลอยเอื่อย ๆ ตามหมอกที่ลอยเป็นสาย ค่อย ๆ โอบล้อมคนที่นั่งรอบกองไฟให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แม้คนไม่มีคู่จะรู้สึกเหงา ๆ ไปบ้าง...แต่ในหัวใจของทุกคนก็ย้ำตอบตัวเองว่า...
สักวันหนึ่งต้องเป็นวันของพวกเขา!
แล้วค่ำคืนนั้นก็จบลงโดยทุกคนมีความสุขกับช่วงเวลาดี ๆ ที่พวกเขาได้ร่วมมีความสุขกับกิจกรรมของเด็ก ๆ และเสียงเพลงเพราะ ๆ หวาน ๆ ด้วยกัน
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร...อาจไม่สำคัญเท่ากับวันนี้ที่เรามีความสุข
“ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอเชิญคุณโดมตัดริบบิ้นเปิดห้องสมุดเลยครับ” โตโน่ว่าก่อนจะยื่นกรรไกรสีฟ้าให้กับร่างกลมที่ยืนอยู่เบื้องหน้าห้องสมุดที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เย้ ๆ ๆ ๆ ๆ”
แล้วเสียงของเด็ก ๆ ที่ร้องตะโกนออกมาเมื่อเห็นริบบิ้นถูกตัดขาดออกจากกันก็เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าบรรดาผู้เป็นสร้างห้องสมุด
ความสุขจากการเป็นผู้ให้คือการที่ได้เห็นผู้รับมีรอยยิ้มและมีความสุข
แล้วโดมก็จับมือแหวนให้เดินเข้าไปในห้องสมุด โดยมีเด็ก ๆ ที่เป็นลูกศิษย์ตัวน้อยเดินตามเป็นขบวน
“มีความสุขเนอะ”
กวางพูดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะมีน้ำตาไหลซึมออกมา คนอื่น ๆ เองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
“ขอบใจนะกวางที่ทำให้พวกเราได้มาทำสิ่งดี ๆ เหล่านี้” ฮั่นเอ่ยออกมา ก่อนที่กวางจะส่ายหน้ารัว ๆ ทันที
“ไม่ต้องมาขอบใจหนูค่ะพี่ฮั่น เพราะจริง ๆ แล้วไม่ใช่หนูที่คิดโครงการนี้หรอกนะ แต่เป็นพี่โน่ต่างหาก หรือจะพูดให้ถูก...เราทุกคนในชมรมช่วยกันคิดขึ้นมาต่างหาก แต่หนูแค่เป็นแกนหลักเฉย ๆ...ขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยนะคะ ถ้าไม่ได้การร่วมแรงร่วมใจของทุกคน คงไม่มีห้องสมุดให้น้อง ๆ แบบนี้ ฮื้อ...”
แล้วคนพูดก็ร้องโวยวายออกมาทันทีที่สารพัดมือเอื้อมมาขยี้ผมเธอ
“หมิว่า...เราเลิกทำซึ้งแล้วเดินเข้าไปดูผลงานของพวกเรากันดีกว่าค่ะ” หมิวว่าก่อนที่เธอจะเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องสมุด...ผลงานสุดภาคภูมิใจ!
“เดินทางกลับกันดี ๆ นะครับ” โดมเอ่ยพูดเมื่อลังใบสุดท้ายถูกยกใส่ท้ายรถกระบะคันสุดท้าย
“โอเคเลยค่ะพี่โดม” กวางตอบ ก่อนที่เธอจะหันซ้ายหันขวามองหาใครสักคน จนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“พี่กวางมองหาใครครับ”
“มองหาคนขับรถ”
“หืม ? พี่ฮั่นน่ะหรอครับ ก็นั่งอยู่ในรถนั่นไง” แกงส้มตอบพลางชี้มือไปยังร่างสูงที่หยิบแว่นกันแดดสีชามาใส่ แต่...
“ไม่ใช่พี่ฮั่น”
“อ้าว...แล้วใครอ่ะครับ”
“มานู่นและ” แล้วแกงส้มก็มองตามสายตาของคนพูดไป ร่างสูงของข้าวฟ่างก็โผล่มาพร้อมรถกระบะสีเงิน
“เฮ้ย! นี่พี่ข้าวฟ่างไปเอารถมาจากไหนครับ”
“อ๋อ...พี่โทรให้ลูกน้องเช่ามาให้อ่ะ”
“แหม่...ว่าแต่พวกพี่สองคนจะไปไหนกันเนี่ย”
“ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว พี่ก็เลยกะว่าจะไปแวะดูชาในโรงอบซะหน่อย กะว่าจะลงในเมืองแล้วต่อรถเอา แต่คุณคนนี้ (พูดพลางชี้มือ) เค้าบอกว่าจะไปส่ง พี่ก็เลยขี้เกียจขัดศรัทธาอ่ะ” เมื่อกวางพูดจบ แกงส้มก็ตาโตขึ้นมาทันที
“แหม ๆ ๆ ๆ โอ๊ย! พี่มาตีผมทำไมเนี่ยพี่กวาง” ยังไม่ทันที่แกงส้มจะได้เอ่ยชง เขาก็ถูกมือบางของกวางฟาดไปที่ไหล่แรง ๆ ทันที
“ไม่ต้องคิดจะพูดชง พี่ไปแล้ว...แกก็เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ อย่าไปชวนสวีทกับพี่ฮั่นให้พี่ป๊อกเค้าอิจฉาไปมากกว่านี้”
“คร้าบบบบบบบบบบ แล้วเจอกันที่กรุงเทพพี่”
“อืม ๆ” กวางรับคำก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นรถ พลางโบกมือให้กับคนที่ยังยืนอยู่บริเวณนั้น
เมื่อรถกระบะสีเงินเคลื่อนตัวออกไป รถเก๋งสีดำสนิทก็เลี้ยวเข้ามา
“ขอโทษครับ...ป๊อกอยู่ไหนครับ” ทันทีที่ร่างสูงโปร่งดูดีของตฤณก้าวลงมาจากรถที่จอดสนิท แกงส้มก็จำชายหนุ่มตรงหน้าได้ทันที
“คุณ!...”
“มาที่นี่ทำไมตฤณ ?”
ยังไม่ทันที่แกงส้มจะได้พูดตอบ ป๊อกที่เพิ่งเดินมาถึงก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาทันทีด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างแกงส้มจึงค่อย ๆ พาตัวเองออกมาจากบริเวณนั้น ปล่อยให้คนสองคนได้เคลียร์กัน
“ผมก็มาหาป๊อกน่ะสิครับ คิดถึงป๊อกมาก ๆ เลยรู้ไหม...” ตฤณตอบก่อนจะจับมือคนตรงหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มหวาน
“จะไปเมืองนอกแล้วไม่ใช่หรอ...แล้วถ่อมาถึงที่นี่ทำไม” ถามพลางปลดมือตัวเองออกจากเกาะกุม แต่คนตรงหน้ากลับไม่ปล่อยให้ป๊อกได้ทำแบบนั้น
มือคู่นี้...เขาอยากจับมันไว้ตลอดชีวิต...
“ผมจะมาบอกป๊อกว่า...’แต่งงานกับผมนะครับ’...แล้วไปอยู่กับผมที่โน่น...ผมจะดูแลป๊อกเอง...ถึงผมจะยังเรียนไม่จบ แต่ผมก็ดูแลป๊อกได้นะ เพราะว่าผมจะไปดูแลกิจการของครอบครัวที่นู่นด้วย”
แค่เพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้คนฟังน้ำตารื่นขึ้นมา
นี่เธอกำลังถูกผู้ชายขอแต่งงานอยู่...
ผู้ชายที่หัวใจของตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น...
ผู้ชายที่เธอใช้เวลาศึกษาไม่นานก็ตกลงปลงใจคบหาเป็นแฟน...
ผู้ชายที่ทำให้เธอยิ้ม หัวเราะและร้องไห้...เพียงเพราะคิดถึงเขา...
เธอยอมรับเลยว่าตอนนี้เธอดีใจมาก...มากซะจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี...
ใจหนึ่งก็อยากจะตอบตกลง...แต่ระยะเวลาเพียงน้อยนิดที่ทำความรู้จักกันก็ทำให้เธอไม่กล้าตอบตกลง
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจ แต่แค่เธอรู้สึกว่าเธออยากจะให้เวลาพิสูจน์ความจริงใจของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอมากกว่านี้...เธออยากแน่ใจมากกว่านี้...
“ป๊อกขอไม่ตกลงนะ”
“ทำไมครับ...?”
“ป๊อกอยากให้ตฤณไปเรียนที่นู่น แล้วปล่อยให้ระยะทางพิสูจน์ความรักที่มีต่อกันของเรา ไม่ใช่ว่าป๊อกไม่รักตฤณนะ แต่เพราะรัก...ป๊อกจึงอยากให้เราได้เรียนรู้ที่จะมีกันและกันมากกว่านี้...ตฤณเข้าใจป๊อกใช่ไหม”
ใบหน้าคมที่ตอนแรกเหมือนจะร้องไห้เพราะถูกปฏิเสธการแต่งงานก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของหญิงสาวที่เขารัก
“ก็ได้ครับ...ถ้างั้น...วันนี้ป๊อกไปหาพ่อกับแม่ผมนะ ท่านอยากเจอป๊อกครับ”
“วันนี้เลยหรอ ?”
“ใช่ครับ วันนี้!”
“แต่ป๊อกไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยนะ” ป๊อกโอดครวญออกมาเมื่อรู้ว่าเธอต้องไปพบกับพ่อแม่ของคนรัก
“ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอกครับ เป็นตัวของตัวเองเนี่ยแหล่ะ เพราะผมรักที่ป๊อกเป็นแบบนี้ พ่อกับแม่ของผมก็ต้องรักที่ป๊อกเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ” พูดจบ คนพูดก็ยกยิ้มหวานออกมา แล้วยกสองมือของป๊อกขึ้นมาจูบเบา ๆ ที่หลังมือนั้น
ภาพหวานของคนทั้งคู่ทำเอาแกงส้มที่ยืนแอบมองอยู่ข้างรถต้องยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเอง
หวานมากพี่สาวผม!
“โอเค...ถ้างั้นก็ตามนี้ค่ะ ไอ้แกง...เลิกหลบมุมแล้วออกมาเลย”
“อ่า...นี่พี่รู้ด้วยหรอครับว่าผมยืนอยู่ตรงนี้”
“แหม ๆ ไม่รู้เลยสิยะ...ถ้าได้ยินแล้วก็...ขับรถกลับกรุงเทพดี ๆ ล่ะ ไม่มีทั้งพี่ทั้งกวางและข้าวฟ่างอยู่ขัดคอแล้ว ก็อย่าหวานกันจนขับรถแหกโค้งลงเขาล่ะ”
“โหพี่...ถ้าจะอวยพรกันขนาดนี้นะ...” แกงส้มย่นจมูกใส่คนพูดก่อนที่เขาจะส่งสายตาเคือง ๆ ไปให้ป๊อก
“โอ๋ ๆ ๆ ล้อเล่นไอ้น้องชาย งั้นพี่ไปก่อนนะ บายๆๆ” แล้วป๊อกก็โบกมือลาแกงส้มและคนอื่น ๆ ก่อนที่เธอจะเดินตามร่างสูงของคนรักไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล
ทันทีที่รถเก๋งสีดำขับออกไป รถกระบะโฟลวิลที่จอดต่อกันก็ได้ฤกษ์ขับออกจากโรงเรียนดอยเอื้อมดาวแห่งนี้ ยามที่ตัวรถเคลื่อนผ่านเด็ก ๆ ที่โบกมืออำลา ความรู้สึกดีก็ลอยวนรอบตัว
แล้วสักวันจะกลับมานะ...
“พี่ฮั่น...อยากฟังเพลงอะไรครับ เดี๋ยวผมเล่นให้ฟัง” คนที่นั่งเกากีตาร์อยู่เอ่ยถามคนเป็นคนขับ พลางยกยิ้มหวาน
“หืม...อยู่ดี ๆ นึกยังไงถึงจะร้องเพลงให้พี่ฟังครับ” ฮั่นถามพลางขมวดคิ้วหนาอย่างงง ๆ
“ก็ผมอารมณ์ดีติดค้างจากเมื่อคืนนี่ครับ เมื่อคืนยังร้องเพลงให้พี่ฟังเพลงเดียวเอง วันนี้อยากร้องให้พี่ฟังอีก...อยากฟังเพลงอะไรพี่ รีเควสมาเลย” พูดจบ คนถามก็หันมามองหน้าคนถูกถามด้วยดวงตาแป๋วแหวว
ฮั่นเห็นแบบนั้นก็อดที่จะเอื้อมมือไปยีผมแกงส้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“เอาเพลงอะไรก็ได้ครับที่แกงอยากจะร้องให้พี่ฟัง เพราะทุกเพลงที่แกงร้อง มันคือทุกเพลงที่พี่อยากฟังครับ” พูดแค่นั้น คนพูดก็อาศัยจังหวะที่รถจอดติดไฟแดงพอดี เลื่อนใบหน้าของตัวเองแตะริมฝีปากของเขากับริมฝีปากบางที่กำลังจะขยับเป็นคำพูด
สัมผัสหวานแผ่วเบาแต่ชวนให้หัวใจลอยละล่อง ทำเอาคนที่กำลังนึกเพลงที่จะร้องถึงกับสติหลุดไปชั่วขณะ
“พะ พี่ฮั่นบ้า! ลวนลามผมอีกแล้วนะ เดี๋ยวเถอะ...” แกงส้มคาดโทษ ก่อนที่เขาจะเม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกอุ่นที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากทำให้เขานึกเพลงที่จะร้องไม่ออก
“เอ้า...เงียบทำไมล่ะครับนักร้อง ไม่ร้องแล้วหรอ ฮ่า ๆ ๆ ๆ “ ฮั่นเอ่ยแซวก่อนที่ไหล่ของเขาจะถูกมือบางฟาดมาเต็ม ๆ
“ก็พี่นั่นแหล่ะมาทำให้ผมสติหลุด นั่งรอไปก่อนเลย ผมยังนึกเพลงไม่ออก”
แล้วความเงียบก็โรยตัวรอบคนทั้งสอง ความรู้สึกดีที่จากสัมผัสเมื่อสักครู่ทำให้หัวใจสองดวงเต้นไหวไปกับความรู้สึกอิ่มเอม
อิ่มจากความรู้สึกดีที่ได้ทำความดีและ...
อิ่มจากความรู้สึกรักที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ
“ผมนึกออกแล้วว่าผมจะร้องเพลงอะไรให้พี่ฟัง...”
“หืม...เพลงอะไรครับ...”
“เพลงนี้ไงครับ...In love...”
นิ้วเรียวค่อย ๆ จรดลงไปบนสายกีตาร์ แล้วเริ่มดีดเป็นท่วงทำนองเพลงหวานที่ฮั่นรู้สึกเหมือนคุ้น ๆ ว่าเคยฟังที่ไหน...
“...ไม่รู้ทำไมพอมองอะไรพักนี้มันเปลี่ยน
ฉันเห็นอะไรก็เป็นหน้าเธออยู่ทุกที่ไป
ไม่รู้ทำไมละครทีวีพักนี้ดูแปลก
ยิ่งหนังซีรี่ส์เรื่องใด เปิดดูช่วงนี้อินจับใจ
เหมือนมันอยู่ในภวังค์ที่มีพลังความรัก
มาทำฉันให้เปลี่ยน ให้มันเปลี่ยน
อยากเปล่งเสียง ให้เธอได้รู้ว่า ...
เมื่อร้องมาถึงท่อนนี้ คนร้องก็เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าเสี้ยวด้านข้างของคนฟัง สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักถูกเจ้าตัวแสดงออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งคนถูกมองเองก็คล้ายจะรู้สึกตัว เพราะฮั่นหันมาสบตากับแกงส้มด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกเดียวกัน
...อยู่กับเธอช่าง In love มันช่าง In love
ตั้งแต่เธอเข้ามา มาสบตาอยากให้รู้ไว้ว่า
ตื่นขึ้นมาก็ In love นอนก็ In love
อยากจะพูดบางคำ ให้ใครบางคนได้ฟังว่า
I Love You
ความรู้สึกที่ In love ราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก ทำให้หัวใจของคนที่รู้สึกแบบเดียวกันต้องปล่อยให้ความรู้สึกล่องลอยไปกับเสียงเพลงหวานรื่นหู
เมื่อฟ้าได้ดลบันดาลให้เราทั้งสองพบกัน
แล้วรักจะนำพาเธอก้าวไปกับฉันหรือไม่
คำถามคำนี้คงมีแต่เธอเท่านั้นมีคำตอบ
ที่รู้คือใจฉันเองได้เปลี่ยนไปแล้วจนหมดใจ
เพลงรักที่ถูกร้องออกมาจากความรู้สึก...ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ ‘เพราะจับใจ’ เสมอ...
เพราะเมื่อหัวใจรู้สึกดี...ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ก็ดีตาม
ใครว่าความรักไม่มีอิทธิพลพอที่จะเปลี่ยนแปลงคน...ความรักคือพลังเงียบที่สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้เสมอ และความรักนี้เองที่ทำให้คนเรายอมที่จะทำอะไรที่ไม่เคยทำ...เพราะ ‘ความรัก’ จริง ๆ
//มาแล้วจ้า....ฟิคที่ไม่หวานอีกตอนหนึ่งของเค้า...ฮ่า ๆ ๆ ๆ ตอนนี้จัดมาแบบหวานเบา ๆ พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจอีกแล้ว...โอ๊ะโอ...หวังว่าคนอ่านคงจะชอบกันนะคะ ^^~
บอกตามตรงว่ากวางมีความสุขและรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้เขียนฟิคเรื่องนี้...
มีความสุขและรอยยิ้มทุกครั้งที่รู้ว่ามีคนตามอ่านอย่างสม่ำเสมอ...
มันเป็นความรู้สึก “อุ่นในหัวใจ” อย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ ค่ะ
ขอบคุณนะคะที่ชอบฟิคเรื่องนี้
ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด...
ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รักคนอ่านทุกคนค่ะ กอดกันๆๆ
ปล. จู่ ๆ กวางก็มีความคิดพที่อยากจะรวมเล่มฟิคเรื่องนี้อ่ะค่ะ ไม่รู้ว่าคนอ่านจะสนใจกันไหมคะ...คือถ้ามีคนสนใจกวางก็อาจจะมีโอกาสได้รวมเล่ม แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไรนะคะ...ยังไงก็ลองแย็บๆ บอกกันมาบ้างนะคะว่าสนใจไหม...
ไปแล้วค่า,,,แล้วพบกันในตอนต่อไปเด้อ ^___^~
ความคิดเห็น