คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : น้ำหมึกกับพู่กัน
ไดกิยืนมองศาลเจ้าเซริวที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แม้จะเป็นศาลเจ้าแห่งเดียวในอาณาเขตของข้าที่ยังสามารถใช้ประกอบพิธีได้ก็ตาม และเป็นสถานที่ที่เขากับมายุได้แต่งงานกัน ความทรงจำนั้นจะอยู่กับเขานานแสนนาน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเก็บศาลเจ้าแห่งนี้ไว้ได้ เขามองไปยังศาลเจ้าเบื้องหน้าอยู่นานเนิ่นนานและคิดว่าจะทำเช่นไรดี สายลมที่พัดโชยอ่อนๆนั้นทำให้เส้นผมสีดำยาวของเขาปลิวไสว การาสุเทนกุผู้รับใช้เองก็รอรับคำสั่งจากเขาอยู่
“เปลี่ยนจากศาลเจ้าของเซริว เป็นศาลเจ้าของเหล่าเทนกุ ยังไงก็เป็นศาลเจ้าในอาณาเขตของข้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีศาลเจ้าของเทพองค์อื่นอยู่อีก”เขากล่าว
“ขอรับ”เหล่าการาสุเทนกุที่ทำงานไม้รับคำสั่ง ชายหนุ่มมองดูศาลเจ้านั้นที่กำลังถูกแปรเปลี่ยนเทพอารักขา รูปสลักมังกรฟ้าถูกยกออกมาวางไว้ ไดกิมองดูรูปปั้นนั้นด้วยหางตาเท่านั้น เขารู้ว่าอีกไม่นาน เหล่าจตุรเทพต้องมาพูดคุยกับเขาแน่นอน
“ข้าขอใช้พลังของไดเทนกุสร้างเขตอาคมที่ยิ่งใหญ่ที่เหล่าเทพไม่อาจก้าวผ่านเข้ามาในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้อีก”สิ้นคำสั่งนั้นอาณาเขตของเขาก็ล้อมรอบด้วยกำแพงอักขระขนาดใหญ่ เมื่อกล่าวจบชายหนุ่มก็คุมงานเบื้องหน้าต่อไป แต่ก็อดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ จนเขาหยิบใบไม้ใบหนึ่งออกมา และจ้องดูมันอย่างพิจารณา
“มายุ เจ้าสบายดีหรือไม่ ข้ารอเจ้าอยู่ที่คฤหาสน์ งานของเจ้ายังไม่เสร็จสิ้นดีสินะ เมื่อยูกิอนนะเลือกผู้นำตระกูลแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมเยียนเจ้าในทันทีแน่นอนข้าสัญญา ขอให้เจ้าดูแลตนเองด้วย”ใบไม้นั้นพัดปลิวไปตามแรงลมขึ้นไปบนฟากฟ้าเพื่อส่งให้ถึงอีกฝ่ายหนึ่ง
ใบไม้ใบนั้นใช้เวลานานนับสัปดาห์ที่สายลมที่พัดขึ้นมาถึงทางเหนือ จนมาถึงที่คฤหาสน์ของยูกิอนนะในที่สุด ใบไม้ที่เคยเขียวขจีก็กลายเป็นสีน้ำตาลไปเสียแล้ว ชิโระยูกินั่งอยู่ข้างๆมิยูกิ คราวนี้เธอทั้งสองต้องตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา จะให้อีกฝ่ายละสายตาไปไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ใบไม้ใบนั้นตกใส่ตักของชิโระยูกิ ร่างบางค่อยหยิบขึ้นมาดูอย่างทะนุถนอมและมองหาหนทางที่ใบไม้นั้นจะมาถึงเธอได้ และเธอก็รับรู้ถึงความคิดถึงของชายหนุ่มที่มีต่อเธอนัก มายุหน้าแดงนิดหน่อย และเก็บใบไม้นั้นไว้อย่างดี มิยูกิเองก็มองไปทางอื่นก่อนจะหัวเราะออกมาทำให้มายุต้องหันไปมองตามอีกฝ่ายหนึ่ง และเห็นกลุ่มยูกิอนนะที่เป็นเพื่อนของเธอจับตามองไปที่มาฟุยุ ที่มีสภาพไม่ค่อยสู้ดีเพราะถูกลงโทษและต้องถูกเนรเทศให้ออกจากคฤหาสน์ของยูกิอนนะไปในที่สุด
ในที่สุด ฉันจะได้ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยเธอก็ถูกเนรเทศออกไปแล้ว
ดวงตาสีเงินมองร่างสูงระหงของมาฟุยุที่รีบก้มหน้าก้มตาเดินหนีไปด้วยความอาย จนลับตาไป เธอยังไม่เห็นโอยูกิกับ ยูกิโกะเลย คงเพราะเมื่อเห็นว่าหัวโจกของตนถูกทำโทษแล้ว ก็เลยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมาฟุยุอีก หลังจากวันนั้นทั้งสองคนก็ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันอีก ทีนี้ก็คงไม่เหลือผู้ใดที่จะมาทำร้ายมิยูกิอีกแล้วกระมัง แต่เธอก็ยังไม่กล้าปล่อยอีกฝ่ายไว้คนเดียวนัก
“พรุ่งนี้แล้วสินะ”มายุถอนหายใจออกมาและอยากให้เวลานั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว
“นั่นสินะ เจ้าเองก็ช่วยข้าไว้มากเหลือเกิน ข้าขอบคุณเจ้านะ”มิยูกิหันมาขอบคุณอีกฝ่ายหนึ่ง
“ไม่หรอกเจ้าค่ะเสร็จงานนี้แล้วก็เหลือแต่รอจนถึงฤดูหนาวสินะเจ้าคะ และข้าจะกลับไปหาท่านไดกิสักทีหนึ่ง”เธอกล่าวออกมา
“จะกลับแล้วรึ? นั่นสินะ เอาเป็นว่าถ้าข้าเป็นผู้นำตระกูลเมื่อไหร่ ข้าจะสอนการใช้พลังทั้งหมดที่ข้ารู้เลยดีไหม”มิยูกิกล่าวออกมา
“ดีสิเจ้าคะ ข้าอยากใช้พลังได้บ้าง ข้าจะได้อยู่กับท่านไดกิตลอดทั้งปีเลย”เธอดูมีความสุขนัก เมื่อนึกถึงท่านไดกิทีีไรเธอมักจะยิ้มแย้มเสมอ
“แต่ยังไงเจ้าไปอยู่ที่นั่น แม้เจ้าจะทนความร้อนได้ แต่เจ้าต้องคอยหาพลังเพิ่มอยู่ตลอดเวลาด้วย แต่อย่างเจ้าคงมีท่านไดกิช่วยไว้ล่ะสิ”
“น...นั่นสินะเจ้าคะ”เธอเขินอายนิดหน่อย ก่อนจะแหงนหน้าไปมองท้องฟ้าสีเทา และรอคอยพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อบ่ายของวันรุ่งขึ้นมาถึงหลังจากการเข้าพิธีแต่งตั้งหัวหน้าตระกูลนั้นก็ไม่ได้ผิดความคาดหมายแต่อย่างใด มิยูกิเองก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำในที่สุด เธอยังได้นำกิโมโนที่สวยที่สุดเท่าที่มี มาสวมใส่เพื่อฉลองที่ตนได้ตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลในที่สุด ร่างบางปรบมือให้อีกฝ่ายหนึ่งอย่างดีใจนักก่อนงานเลี้ยงสังสรรค์จะเริ่มต้นขึ้น มิยูกิเองก็ยิ้มไม่หุบสำหรับตำแหน่งดังกล่าว ก่อนทั้งสองจะได้เดินไปตามทางเดินทอดยาวและเริ่มบทสนทนาขึ้น
“ข้าดีใจเหลือเกิน ในที่สุดก็ก้าวเข้ามาอยู่ในจุดเดียวกับพี่ยูกิได้”เธอดีใจนัก แน่นอนว่ายูกิที่เป็นคนเก่งไปเสียทุกเรื่อง จนมิยูกิเองก็อยากทัดเทียมกับพี่สาวของตน
“ขอบคุณเจ้ามากนะชิโระยูกิ ข้าจะต้องลำบากอีกมาก แต่ข้าจะพยายาม”ชิโระยูกิพยักหน้ารับ ก่อนอีกฝ่ายจะต้องเลี้ยงสังสรรค์ต่อ ส่วนชิโระยูกินั้นเองก็เพียงเข้าร่วมอยู่สักพักหนึ่งเท่านั้นก่อนจะออกมาเดินเล่นอยู่ด้านนอก เธอคงไม่เหมาะกับงานพวกนี้เสียเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องมีคนเมาอยู่ดี ใครกันเป็นคนกำหนดว่าต้องกินสาเกทุกครั้งที่สังสรรค์กันนะ เธอมองดูวิวทิวทัศน์ด้านนอกอยู่นานจนพลบค่ำ ดวงดาวช่างสุกสกาวน่าชมนัก เธอมองเห็นทางช้างเผือกได้เลยจากที่ตรงนี้
“ดิฉันทำสำเร็จแล้วนะคะ ท่านไดกิ”เธอพึมพำออกมา ท่านไดกิคงดีใจเป็นแน่แท้ และจู่ๆเงาตะคุ่มในความมืดของยามค่ำคืนได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าคฤหาสน์ ร่างบางไม่รับรู้ถึงพลังปิศาจด้วยพลังของผู้มาเยือนเพราะความตั้งใจของร่างนั้น แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เธอรีบวิ่งออกไปด้านนอก ก่อนจะพบชายหนุ่มที่มาหาเธอถึงที่แห่งนี้
“ท่านไดกิ”ชิโระยูกิวิ่งไปหาเขาในทันที
“มายุ ข้าดีใจมากที่ได้มาเจอเจ้า ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน อยากให้เจ้ากลับไปกับข้าเสียตอนนี้”เขากุมมือของเธอไว้
“ค่ะท่านไดกิ ดิฉันคิดถึงท่านไดกินะคะ”เธอยิ้มออกมาและสวมกอดเขาเอาไว้แน่น
“เจ้าปลอดภัยไหมแล้วใช่ไหม มายุ ตั้งแต่วันนั้น”เขาถามขึ้น
“ก็ ปลอดภัยดีค่ะ ที่นี่มีเรื่องมากมาย แต่ดิฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ ท่านไดกิสบายใจได้”เธอกล่าวออกมา ก่อนมือกำยำจะค่อยๆลูบรอยช้ำบนต้นคอของเธอ ซึ่งเป็นรอยที่ถูกบีบคอเมื่อหลายวันก่อนแต่ยังทิ้งร่องรอยจนถึงวันนี้ สายตาเขาดูเจ็บปวดนักเมื่อได้เห็นรอยนั้น
“เจ้าบาดเจ็บชัดๆมายุ ข้าขอโทษนะที่ต้องให้เจ้ามาพบเจออะไรแบบนี้”ร่างบางส่ายหน้าเมื่อได้ฟัง ก่อนชายหนุ่มจะกล่าวขึ้น
“ใครกันทำเจ้าได้ถึงเพียงนี้มายุ บอกข้ามาข้าจะไปสั่งสอนมันดีไหม ตอนนี้มันได้รับโทษในสิ่งที่มันทำกับเจ้าหรือยัง”เขามีแววตาที่ดูขุ่นเคืองนัก
“นางถูกเนรเทศออกไปแล้วค่ะ ท่านไดกิช่วยดิฉันไว้นะคะ ขอบคุณท่านไดกิมากเลยค่ะ”เธอยิ้มแย้มออกมาอย่างดีใจเป็นที่สุด
"แต่ถ้ามาช่วยเจ้าได้ตั้งแต่ที่เจ้าไม่ต้องเจ็บตัวเช่นนี้ก็คงดี"ไดกิดึงเธอกอดแน่น
“ท่านไดกิมีหลายอย่างที่ต้องทำค่ะ ดิฉันไม่ว่าท่านไดกิหรอกค่ะ ท่านไดกิต้องปกป้องคนอื่นๆตั้งกี่ร้อยชีวิตก็ไม่รู้ ดิฉันเองเป็นเจ้าสาวของท่านไดกิ ก็ต้องเข้มแข็งให้ได้เช่นกันค่ะ”เธอกล่าวออกมา
“ก็เพราะเช่นนั้น ข้าจึงไม่อาจปกป้องเจ้าได้เลยมายุ”เขากล่าวออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วท่านไดกิปลอดภัยไหมคะ”เธอถามไถ่อีกฝ่าย
“ข้าปลอดภัยดี ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อวันก่อนข้าได้พูดคุยกับจตุรเทพแล้ว และพวกเราตกลงกันว่าจะทำสนธิสัญญากัน อีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้านั้น ข้าจะต้องไปลงนามในที่ที่ห่างจากที่นี่นักหากลงนามแล้วข้าจะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเทพองค์ไหนมาทำร้ายการาสุเทนกุได้อีกรวมถึงเจ้าด้วย นั่นทำให้ข้าต้องมาหาเจ้าก่อนที่ข้าจะไป”ชิโระยูกิได้ฟังแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ท่านไดกิระวังตัวด้วยนะคะ ดิฉันไม่ไว้ใจเทพพวกนั้นเลยค่ะ”
“ข้าเองก็เช่นกัน ข้าจะระวังตัวไว้ ทั้งจากเทพหรืออาจจะมีมือที่สามมาคอยป่วนก็ได้”เขารับปากเธออย่างดิบดีก่อนจะกล่าวออกมา
“เจ้าเองก็ต้องระวังตัว ข้าเป็นห่วงเจ้าเช่นกัน ช่วงนี้...เจ้าอยู่กับมิยูกิไปก่อน เมื่อฤดูหนาวมาถึงข้าจะมารับเจ้าเอง”มือกำยำลูบศีรษะของเธอ
“ค่ะท่านไดกิ”ร่างบางยิ้มออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ท่าทางมิยูกิเองก็กำลังตามหาเธออยู่ ชายหนุ่มค่อยๆปล่อยๆมือจากเธอ และบินขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนจนหายไปในความมืด ร่างบางยืนมองอยู่อย่างนั้น แม้จะได้พบเจอเขาไม่นานนักแต่เธอดีใจมากที่ไดกิมาหาเธอถึงที่นี่ จนมิยูกิวิ่งมาหาเธอ และดึงมายุให้ไปร่วมงานฉลอง
“มาอยู่นี่เอง เข้าไปกันเถอะเดี๋ยวจะมีการระบำหิมะนะ เจ้าไม่อยากดูหรือไง”
“เจ้าค่ะ”มายุจึงรีบเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ เพราะไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายนัก การที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลมิได้เป็นกันง่ายๆเสียหน่อยงานฉลองนี้ก็เลยต้องตามใจเจ้าของงาน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วนั้นเหล่าการาสุเทนกุอาวุโสรวมถึงการาสุเทนกุคนสนิททั้งสามตนของท่านไดกินั้นรีบมากล่าวห้ามชายหนุ่มในทันทีที่เขาปรากฏตัวที่ด้านล่างของคฤหาสน์ อย่างอลหม่านนัก จนชายหนุ่มต้องถอนหายใจกับท่าทางของอีกฝ่าย อายุมุรีบกล่าวขึ้นมาเป็นคนแรก เธอเดินมาขวางเขากลางทางเดินอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“ท่านไดกิเจ้าคะ ท่านไดกิจะไปลงนามจริงๆหรือเจ้าคะ ที่วิหารของเบนไซเทนด้วย นางเป็นเทพนะเจ้าคะ ดูยังไงพวกนั้นก็ตั้งใจลอบทำร้ายท่านไดกิชัดๆเลยเจ้าค่ะ”
“นั่นสิขอรับ ท่านไดกิ ท่านไดกิเลื่อนการลงนานออกไปก่อนเถิดขอรับ จตุรเทพพวกนั้นต้องแค้นเคืองท่านไดกิแน่นอนเลยขอรับที่ท่านไดกิทำให้พวกเขาบาดเจ็บ”ทานากะกล่าวออกมา
“ท่านไดกิขอรับ แม้ว่าพวกข้าจะเป็นคนสนิทของท่านไดกิ แต่คราวนี้ข้าเห็นด้วยกับผู้อาวุโสขอรับ ต้องขออภัยจริงๆขอรับ แต่ว่าท่านไดกิจะเป็นอันตรายได้นะขอรับ”ทาโร่กล่าวออกมา โดยมีคาบูโตะพยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้างๆเขา
“ข้าต้องไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าเป็นผู้นำ จะมากลัวเรื่องพวกนี้ไม่ได้”ชายหนุ่มกล่าวออกมา จะให้เขาไม่ไปเสียดื้อๆก็กระไรอยู่ และหากเหตุการณ์มันไม่มีอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาจะถูกมองว่าเป็นคนใจเสาะไปเสียได้ ไดกิเองก็พอคาดหวังได้บ้างว่าเบนไซเทนยังพอจะเห็นใจเขาอยู่บ้าง
“อย่าไปนะเจ้าคะ”อากาเนะกอดขาชายหนุ่มไว้แน่น แต่เขาก็สะบัดจนหลุด และเดินไปตามทางเดินไม้ที่ทอดยาว ก่อนจะออกคำสั่ง
“ทาโร่ คาบูโตะ ไปเตรียมกำลังพล”แม้ทั้งสองจะดูไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี
“ขอรับ”พวกเขาคำนับ และรีบวิ่งออกไปในที่สุด ไดกิจึงหันมากล่าวกับการาสุเทนกุอาวุโส
“พวกท่านช่วยปกครองที่นี่ช่วงที่ข้าไม่อยู่ด้วยขอรับ ข้าจะกลับมาโดยเร็ว”เขาออกคำสั่ง จนการาสุเทนกุผู้อาวุโสต้องยอมทำตามในที่สุด
“ขอให้ท่านปลอดภัยขอรับ”ยามะคาวะกล่าวออกมา
“ข้าจะระวังตัว”เขารีบออกไปจากคฤหาสน์ในทันที และบินขึ้นไปยังท้องฟ้าสีฟ้าครามสดใสท่ามกล่างฤดูร้อนที่แสงแดดสาดส่องลงมาอย่างเจิดจ้า เขามองดูท้องฟ้าที่ดูจะอากาศดีเหลือเกิน หวังว่าวันนี้จะไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวางเขาให้จนได้ การาสุเทนกุอีกหลายสิบตนตามเขามาติดๆ เพื่ออารักขาชายหนุ่ม รวมถึงคาบูโตะกับทาโร่ที่ติดตามมาด้วย ทั้งหมดเดินทางอยู่นานนับชั่วโมง ไดกิมองไปยังเขาสูงเบื้องหน้าที่ถูกเมฆหมอกบดบังไม่ให้เห็นยอดเขา เขาเองนั้นก็ใกล้จะไปถึง ที่หมายแล้ว ก่อนจะหยุดลงในทันทีเมื่อพบซายูริในร่างมนุษย์ปรากฏตัวขึ้น
“เจ้า!! เจ้าไดกิเห็นข้าไหม!!”ร่างนั้นโบกมืออยู่บนภูเขาไม่ไกลนัก ชายหนุ่มจึงลงมายืนอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย และก็ยังเหมือนเดิมที่ซายูริมีสีหน้าที่ผิดหวังนิดหน่อยที่เขาไม่สนใจรูปร่างของเธอ แต่ก็ไม่มากนักเพราะการาสุเทนกุตนอื่นๆ ถึงกับมองอีกฝ่ายไม่ละสายตา ไปที่ร่างที่สวมชุดกิโมโนแหวกจนเห็นเนินอก ก่อนจะหันไปกล่าวธุระกับชายหนุ่มเบื้องหน้า
“ไดกิ เจ้าห้ามพาการาสุเทนกุพวกนี้เข้าไปในเขตของท่านเบนไซเทนเด็ดขาด”ปิศาจจิ้งจอกกล่าวออกมา แต่การาสุเทนกุที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความเลิกลั่ก ทาโร่กำลังจะขอให้พวกเขาเข้าไปแต่ชายหนุ่มยกมือห้ามไว้ทันท่วงที
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”เขาสั่งออกมาและเดินตามปิศาจสาวไปติดๆ ซายูริกลับร่างเป็นจิ้งจอกที่มีขนที่นุ่มสลวยนัก เหมาะสมกับการเป็นภูติรับใช้ของเทพีแห่งความงาม
“ข้าไว้ใจเจ้าได้ไหมซายูริ”ชายหนุ่มกล่าวออกมา อีกฝ่ายเหลือบมามองหน้าเขาอย่างฉงนนัก
“เจ้าถามจิ้งจอกว่าเชื่อใจได้หรอ? ประหลาดชะมัด”เธอกล่าวออกมา
“ในวันนี้ข้าอาจถูกลอบทำร้าย อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ การที่เจ้าไม่ให้คนของข้าเข้ามาที่นี่ หวังว่าเจ้าจะทำแบบเดียวกันกับพวกจตุรเทพนะ”เขากล่าวออกมา และมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา
“ข้าทำในสิ่งที่ท่านเบนไซเทนสั่งเท่านั้น และข้าจะบอกให้ ว่าข้าไม่ให้ใครที่ไม่เกี่ยวกับการลงนามเข้ามาในวิหารได้ตามใจชอบเด็ดขาด”ก่อนะเธอจะยิ้มเยาะและกล่าวออกมาเบาๆ
“เจ้ารู้ไหมว่าจตุรเทพน่ะพาคนมาอารักขาตนเองเกือบพันกว่าคน ตลกชะมัด เจ้านี่ดูกลายเป็นพวกบ้าบิ่นไปเลยที่พาการาสุเทนกุเพียงแค่นี้มา”ร่างสี่ขานำหน้าเขาไปตามทางจนกระทั่งถึงเขตอุทยานของวิหารเบนไซเทน ต้นไม้มากมายดูตระการตายิ่งนัก กลิ่นหอมของดอกไม้ช่างหอมหวนและสวยงาม ทั้งสีแดงสด สีชมพู สีม่วง สีเหลือง สลับกันไปแต่งแต้มให้สวนสวยมีชีวิตชีวา ผีเสื้อจำนวนมากกระพือปีกบินไปมา ด้านหน้ามีศาลาอยู่กลางสวนสวย ที่นั่นจะเป็นที่ที่ทั้งสองได้มาลงนามกัน เทพีในชุดสีเขียวอ่อนกำลังยืนมองดอกไม้อย่างเพลิดเพลินนั้นหันมาเห็นชายหนุ่มอย่างพอดิบพอดี จึงเดินเข้ามาทักทายเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาพิธีลงนาม
“ข้าพาท่านไดกิมาแล้วเจ้าค่ะ”เธอกล่าว
“เป็นอย่างไรบ้าง ไดเทนกุหนุ่ม ข้าไม่ได้พบเจ้าเสียนาน เจ้าดูโทรมไปเยอะ ผมเผ้าก็ปล่อยยาวไม่ตัดให้เรียบร้อย คงมีงานรัดตัวใช่ไหม”เทพีแห่งความงามถามขึ้นใบหน้าที่แสนงดงามเต็มไปด้วยความเมตตานัก
“ขอรับ ท่านเบนไซเทนเองก็คงทราบแล้ว ว่าข้าตั้งใจจะมาที่นี่เพื่ออะไร แต่ข้าอยากจะบอกว่า ท่านเป็นเทพเพียงองค์เดียวที่ข้ายังนับถือท่านและศรัทธาท่านอย่างสุดหัวใจขอรับ”เขากล่าวออกมา
“ปากหวานเสียจริง เจ้าทำให้ข้าเกือบลืมไดกิที่เคยมาโวยวายตามหาคนรักของตนเมื่อหลายสิบปีก่อนเสียแล้ว”อีกฝ่ายยิ้มออกมาก่อนจะดูดอกไม้ที่แสนสวยงามนัก และกล่าวออกมา
“และมายุล่ะเป็นเช่นไรบ้าง... ข้ามิได้ตั้งใจให้พวกเจ้าลำบากขึ้น ข้ารู้ดีว่านางมนุษย์ผู้นั้นต้องการจะอยู่กับเจ้าอย่างสุดหัวใจ นางมีความตั้งมั่นที่แรงกล้า และวางแผนไว้ตั้งแต่นางเริ่มป่วยแล้วว่าจะเกิดใหม่เป็นปิศาจเพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างเจ้าได้ แต่ว่าตอนที่นางจบชีวิต ข้าเองก็รู้สึกสงสารนาง และเผลอเอ่ยปากออกมาด้วยความสงสารนางยิ่งนัก ข้าคิดไม่ถึงว่าผลจากวาจาสิทธิ์ของข้าจะทำให้นางงดงามไปจากเดิม และมันอาจทำให้เจ้าระลึกว่าเป็นนางไม่ได้ แต่ว่าพอข้าได้ทราบว่าเจ้ากับนางได้อยู่ด้วยกันแล้วข้าค่อยเบาใจหน่อย”เธอกล่าวออกมา และผลจากตอนนั้นทำให้มายุมีหน้าตาที่สวยงามนักประดุจเทพธิดาก็ไม่ปาน
“ท่านเบนไซเทนน่าจะกล่าวเช่นนั้นกับข้าบ้างนะเจ้าคะ ข้าอยากสวยแบบมายุเสียเหลือเกิน”ซายูริที่ได้ฟังก็กล่าวออกมา เทพีแห่งความงานหันไปมองอีกฝ่ายและกล่าวออกมา
“เจ้ายังสวยไม่พอใจรึ? ความงามที่ทุกคนต่างต้องการนัก มีเพียงสตรีที่งดงามเท่านั้นจะเข้าใจกันเองได้ ความงามนั้นมาพร้อมหนามแหลมคม มีคนรักมากก็มีคนเกลียดมากตามมาด้วย เหล่าบุรุษต่างอยากครอบครองหญิงงามมันเป็นเรื่องปรกติ แต่ว่าใครจะรู้เล่าว่าสตรีผู้นั้นเองก็มีหัวใจแต่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดผู้คนก็มักตีค่านางเป็นสิ่งของ เป็นข้อต่อรอง เป็นที่เสื่อมเสีย...พวกนางต้องทนดวงตาที่น่าขยะแขยงประดุจหมาไนมองเหยื่อไร้ทางสู้ ความรู้สึกเช่นนั้นมันน่ากลัวมากเพียงใด ข้าที่เป็นเทพีแห่งความงามย่อมเข้าใจดี”เธอหันมากล่าวกับซายูริเหมือนอยากจะบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจเสียทีว่าการพยายามทำตัวให้สวยงามเพียงใดมันก็ไม่พ้นการถูกตีค่าเป็นราคาสิ่งของอยู่ดีแถมความงามยังนำพามาซึ่งอันตรายแก่เจ้าตัวได้อีกด้วย ก่อนชายหนุ่มจะกล่าวออกมาบ้างในเรื่องของมายุ
“ท่านมิต้องโทษตนเองขอรับ ข้าจำนางได้ ไม่ได้มีเพียงใบหน้าของนางเท่านั้นที่สามารถบ่งบอกว่านั่นคือมายุ มันมิได้ดูออกยากเลยขอรับ”เบนไซเทนค่อยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้
“ข้าได้ยินเช่นนั้นค่อยเบาใจขึ้น ทีนี้เจ้าคงได้อยู่กับนางไปอีกนานแสนนานเลย”
“ข้ารับ หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ข้าจะได้อยู่กับนางอย่างมีความสุขเป็นครอบครัวเดียวกันเสียทีหนึ่ง”เขายิ้มออกมาเมื่อนึกถึงวันเวลานั้น
“แล้วนางจำเจ้าได้หรือไม่ไดกิ”ซายูริถามขึ้นบ้าง
“ตอนแรกนางจำข้าไม่ได้ขอรับ แต่นางได้อ่านบันทึกของมายุไปบ้างแล้ว รวมถึงนางจะจดจำเวลาบางช่วงที่เคยเป็นมายุได้ ข้าคิดว่านางคงจำข้าได้บ้างไม่มากก็น้อยขอรับ”ซายูริพยักหน้ารับเมื่อได้ฟัง
“เช่นนั้นนางก็จดจำข้าไม่ได้ใช่ไหม”เทพีแห่งความงามกล่าวขึ้น
“ขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้น...นางก็คงจำไม่ได้ว่าวันแต่งงานของนางเกิดอะไรขึ้น”
“ขอรับ นางจำไม่ได้ขอรับ”
“ช่างน่าสงสารเสียจริงเช่นนี้ดีไหม ไดกิ มาแต่งงานเสียที่นี่ ที่อุทยานแห่งนี้ แล้วเริ่มต้นใหม่กับนางเถอะ”
“ท่านเบนไซเทนจิตใจงามเหลือเกินเจ้าค่ะ”ซายูริกล่าวขึ้น ไดกิเองก็ถึงกับคำนับอีกฝ่าย ช่างสมกับที่เขายังนับถือเทพีแห่งความงามอยู่ และรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายนัก
“ขอบคุณท่านเบนไซเทนมากขอรับ ข้า...”
“ไม่ต้องเกรงใจทั้งนั้น ให้ข้าเป็นสักขีพยานของเจ้าทั้งสองเถิด”กล่าวจบก็พอดีกับโอริวที่ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับจตุรเทพทั้งสี่เดินตามมาติดๆ และเคารพเทพีแห่งความงาม มังกรทองเหลือบมองไดกิยังขุ่นเคืองนัก ก่อนจะเดินขึ้นไปบนศาลาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวน ไดกิจะเดินตามไปทีหลัง ด้านบนศาลนั้นมีโต๊ะตัวหนึ่งและชุดพู่กันไว้ลงลายเซ็น ก่อนซายูริจะนำจอกเหล้าสาเกมาหกอันที่มีสาเกอยู่ภายใน เซริวมองหน้าไดกิเหมือนจะไม่เชื่อใจเขาเท่าใดนัก แต่ก็ยังไม่เท่าสายตาของโอริว ก่อนร่างนั้นจะกล่าวออกมา
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเข้าร่วมประชุมกับไดเทนกุ ช่างเหนือความคาดหมายนักที่เหล่าไดเทนกุยอมรับเจ้า และยังมียูกิอนนะเป็นพวกอีก เจ้าคงเตรียมการมานานแล้วล่ะสิ”มังกรทองแสยะยิ้มออกมา นึกเสียดายว่าไม่น่าปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาไปหาพันธมิตรมาเป็นของตนได้เลย เขาคงหมดโอกาสจัดการกับคนเบื้องหน้าแล้วกระมัง และมองแท่นน้ำหมึกที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะนิ่งแผนการณ์บางอย่างออกมาได้
“ข้าก็ได้ยินมาว่าพวกท่านก็บาดเจ็บหนักนัก ไม่ทราบว่าบาดแผลได้หายสนิทหรือยังขอรับ“ เขากล่าวออกมา แน่นอนว่าเบนไซเทนยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ไดกิมองอีกฝ่ายอย่างใจเย็นก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา
“ข้าดีขึ้นมากเกือบหายเป็นปกติแล้ว”เขากัดฟันกรอดมองหน้าไดกิอย่างโกรธเคือง
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีขอรับ”ชายหนุ่มเองก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ก่อนทั้งหกจะยกจอกขึ้นมาแล้วดื่มสาเกสาบานร่วมกัน ไดกิดื่มลงไปอย่างไม่ลังเล ต่างจากแววตาของเก็นบุกับโอริวนักที่กังวลเรื่องจะถูกวางยาหรือไม่ แต่เมื่อจตุรเทพคนอื่นๆดื่มสาเกกันแล้ว ทั้งสองก็ได้แต่ดื่มสาเกเข้าไปและมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา
“ข้ามาเป็นพยานในการทำสัญญานี้ เป็นสัญญารับรองอาณาเขตของไดกิผู้เป็นไดเทนกุ ว่าจะถือว่าเป็นอาณาเขตที่ไดกิจะมีอำนาจในการสั่งการหรือทำการใดๆก็ได้ในอาณาเขตของตนเองโดยหากพวกเจ้าทำการรับร้องสัญญานี้แล้ว พวกเจ้าจะเข้าไปยุ่งกับคำสั่งของไดกิอีกต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด และต้องยอมรับว่าเหล่าเทนกุนั้นสามารถ ทำการสิ่งใดกับผู้ใดก็ได้โดยไม่ต้องผ่านการอนุญาตจากพวกท่านอีก”เบนไซเทนกล่าวออกมา ก่อนแต่ละคนจะหยิบสัญญาของตนเองขึ้นมา ชายหนุ่มกางแผ่นม้วนกระดาษออกที่มีเนื้อหาเฉกเช่นที่เบนไซเทนกล่าวทุกประการ และส่วนสุดท้ายของสัญญานั้นมีรอยที่วางให้เทพทั้งหกเขียนชื่อตนเองประประทับตราลงไป ทว่ายังไม่มีใครลงมือเขียน ซุซาคุที่ดูเลิกลั่กนั้นจึงกล่าวออกมา
“ถ้าไม่มีใครลง เช่นนั้นข้าจะลงตราประทับคนแรก”หญิงในชุดกิโมโนสีแดงสดรีบกล่าวออกมา อย่างเธอนั้นรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากที่เรื่องราวมันจบลงได้สักทีโดยไม่ต้องมีใครตาย หยิบตราประทับรูปหงส์ขึ้นมาและประทับตราลงไปในที่สุด ส่วนปิศาจเทนกุเองก็รับสัญญานั้นมาอ่านให้ถี่ถ้วนและประทับตราลงไปเช่นกัน จากนั้นเบียคโกะเองได้หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนชื่อของตนลงไปเป็นรายชื่อที่สอง ชายหนุ่มรับสัญญาที่มีตัวอักษรเขียนโย้เย้ก็ถอนหายใจออกมา จนเบียคโกะได้แต่เพียงหัวเราะร่าเท่านั้น
“เจ้าอย่าว่ากันเลย ข้าเป็นเสือ เขียนหนังสือไม่เก่งเท่าเจ้าหรอก”แต่ทว่าหลังจากพยัคฆ์ขาวลงชื่อของตนเสร็จแล้ว ก็ยังไม่มีลงชื่อในสัญญาต่อ มังกรฟ้าถอนหายใจออกมาและยอมเขียนชื่อของตนลงไปในสัญญาในที่สุด ก่อนจะพึมพำออกมา
“ข้าเกลียดเจ้าไดกิ ไอ้เด็กเหลือขอ แสบนักนะแต่ก็ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าในสนามรบ และไว้ชีวิตข้า แต่ข้าเกลียดเจ้าจริงๆ”เขาลงลายมือชื่อของตนจนเสร็จ ก่อนไดกิจะอ่านข้อความเพื่อความเรียบร้อยและลงตราประทับ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก
“ข้าก็เกลียดเจ้าเช่นกัน”เขากล่าวออกมา ก่อนเซริวที่ได้ฟังก็กลั้นขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“คงรอเวลานี้มานานแล้วสินะ”เทพประจำทิศตะวันออกยักไหล่ออกมาเขารู้ตัวดีว่าไดเทนกุตรงหน้าเกลียดเขามากเพียงใด แต่เทพอย่างเข้าไม่จำเป็นจะต้องสนใจอีกฝ่าย และตามด้วยเก็นบุจนจุตรเทพทั้งสี่ลงชื่อจนครอบเหลือเพียงมังกรทองที่ลงเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น
“เสียใจไหมที่ไม่ได้ฆ่าข้าในวันนั้น”ชายผู้มีเรือนผมยาวสีทองอร่ามกล่าวออกมา และจ้องอีกฝ่ายหนึ่งเขม็งเหมือนอยากจะยั่วโมโหเขา
“ข้าไม่ฆ่าใครทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะข้าใจอ่อน แต่ข้าเบื่อที่จะต้องไปยุ่งกับเรื่องของพวกเจ้า พวกเจ้ามันชอบคิดว่าตนเองสำคัญที่สุดเสมอ และข้าจะแสดงให้เห็นว่าข้ามิต้องการนำพาความวุ่นวายมาสู่เทพองค์อื่นๆด้วย”เขากล่าวออกมา
“เช่นนั้นเจ้าไม่โกรธข้ารึ ที่ข้าทำให้แม่ของเจ้าตาย”ทั้งสองจ้องหน้ากันเขม็ง จนบรรยากาศรอบข้างมาคุ
“ข้าคิดว่าข้าตัดขาดจากนางไปนานแล้ว ไม่ว่าใครจะฆ่านางก็ตามหรือนางจะฆ่าตัวตายเอง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดถึงเรื่องของนางอีก”ไดกิลงมือประทับตรา สัญญาของโอริวและ ส่งม้วนกระดาษของตนให้โอริวลงชื่อในทันที ใบหน้าของไดกิไม่มีความแค้นอีกต่อไปแล้ว เรื่องบางเรื่องเขาทำเป็นไม่ใส่ใจเสียดีกว่า
“เจ้าลงชื่อได้แล้ว”ไดกิกล่าวออกมา และยืนกอดอกอย่างท้าทายนักมังกรทองสีหน้าไม่พอใจนัก แต่ก็รับกระดาษสัญญามาลงลายชื่อในที่สุด ไดกิรู้สึกโล่งอกนัก ดีที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาได้เข้าร่วมกลุ่มกับไดเทนกุตนอื่นๆแล้วการจะสู้กับเขาก็ต้องสู้กับไดเทนกุทั้งหมดด้วยรวมถึงอาจจะมีปัญหากับเหล่ายูกิอนนะอีก จตุรเทพคงไม่อยากต่อสู้ด้วยเป็นแน่ ปิศาจเทนกุม้วนกระดาษเก็บไว้อย่างดิบดี
“เจ้ามันต้องถูกกำจัด เจ้ามันเป็นอันตรายแก่เหล่าเทพมากเกินไป”มังกรทองยังกล่าวออกมาเช่นเดิม
“หากเจ้ามีปัญหาอะไรอีกล่ะก็จะมาทำสงครามกับข้าก็ไม่ว่ากัน ตอนนี้ข้าเป็นอิสระแล้วจากพวกเจ้า อย่าลืมว่าตอนนี้ข้าเองก็จะมีพันธมิตรมาช่วยในการทำสงครามเช่นกันล่ะ ว่าแต่...ขนาดตัวต่อตัวเจ้ายังสู้ข้าไม่ได้เลยนี่”ไดกิกล่าวออกมาด้วยความยียวน
“ข้าเองก็ไม่เห็นว่าไดกิจะเป็นเช่นเจ้าว่า เขาแค่อยากอยู่อย่างสงบเท่านั้น”เทพีแห่งความงามกล่าวขึ้น
“ท่านเบนไซเทนอย่าหลงกลมันสิขอรับ ปิศาจยังไงก็เป็นปิศาจ ข้าจะแสดงให้ดูว่ายังไงมันก็เป็นได้แค่ปิศาจป่าเถื่อน”กล่าวจบเขาก็หยิบแท่นน้ำหมึกแล้วสาดไปที่อีกฝ่าย หมึกสีดำสาดกระจายไปทั่วบริเวณและเปรอะเปื้อนตัวไดกิ ไดกิมีดวงตาที่วูบไหวเมื่อเห็นภาพที่ตนเลอะน้ำหมึกที่ดูเหมือนเลือดของอมนุษย์นั้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเบนไซเทนดูหน้าของมันสิขอรับ ไดกิมันฆ่าคนไปมาก แม้ว่าพวกนั้นจะเป็นอมนุษย์ก็ตาม ท่านดูว่ามันใกล้จะบ้าคลั่งมากเพียงใด ท่านอาจเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นตอนที่ปิศาจตนนี้บ้าคลั่งจริงๆสินะขอรับ”เทพีแห่งความงามตกตะลึกเพราะทำตัวไม่ถูกเธอเอามือทาบลงบนอกของตนด้วยความตื่นตระหนก ไดกิพยายามควบคุมตนเอง เขาจะมาพลาดเพราะจิตใจที่ไม่พร้อมของตนไม่ได้ ชายหนุ่มแม้จะยืนแข็งทื่อเป็นก้อนหิน แต่เขาก็หลับตาลงและพยายามจะทำสมาธิ ให้ตนเองสงบนิ่งมากกว่านี้ ตอนนี้เขาจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นความบ้าคลั่งของเขาออกมาไม่ได้เป็นอันขาด
“ข้าผิดมหันต์ที่ได้ทำลงไป...แต่ข้าทำไปเพราะพวกเจ้าสั่งข้า โอริว”เขาพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อนึกถึงชีวิตมากมายที่ถูกพรากไปเพราะเขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนที่สมควรถูกประณามไม่ใช่เขาคนเดียว
“เจ้ามันฆ่าคนไปมากมายไดกิ ฆ่าได้แม้กระทั่งมายุ มายุตายลงเพราะเจ้า”มังกรทองกล่าวออกมา ชายหนุ่มยกมือขึ้นมากุมขมับของตนเองและหันหน้าหนีคนทั้งหลาย เมื่อมังกรทองพูดถึงมายุ ก็ชวนให้ไดเทนกุนึกถึงวันที่เธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาเขา ชายหนุ่มไม่อยากให้เทพีที่เขาเหลือที่พึ่งที่สุดท้ายต้องมาเห็นสภาพที่น่าอดสูของตนเช่นนั้น จนเบนไซเทนมิอาจทนไหว
“พอได้แล้ว!!!”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด มังกรทองจึงหยุดการกระทำดังกล่าวลงเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ก็ยังกล่าวต่อ
“ไดกิมันเป็นเพียงปิศาจขอรับ หากท่านไม่อยากให้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้นล่ะก็ ท่านเบนไซเทนในฐานะที่เป็นเทพผู้มีอำนาจ กรุณามอบคำสั่งให้ข้ากำจัดเขาด้วยเถิดขอรับ”ซุซาคุรีบปรี่มาหาชายหนุ่มในทันทีเมื่อได้ยิน
“ไดกิเจ้าต้องตั้งสติ มันไม่มีอะไรแล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้วไดกิ”หงส์เพลิงกล่าวกับเขา เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายแสดงถึงความบ้าคลั่งไปมากกว่านี้ ก่อนจะถูกโอริวออกคำสั่ง
“ซุซาคุ ข้าขอสั่งเจ้าให้อยู่เงียบๆ”ร่างในชุดกิโมโนสีแดงหยุดลงในทันที และยืนอยู่เงียบๆตามคำสั่ง ก่อนเขาจะสั่งเธอต่อ
“และเจ้าจงเล่าความบ้าคลั่งของปิศาจเทนกุตนนี้ให้ท่านเบนไซเทนฟัง”ซุซาคุมีสีหน้าที่บอกไม่ถูกนัก แต่เมื่อเทพระดับสูงอย่างโอริวให้โอวาทแล้ว เธอก็ต้องทำตามคำสั่ง
“เจ้าค่ะ...ไดกินั้นเมื่อได้ฆ่าอมนุษย์ไปมากมาย เขาเคยควบคุมตนเองไม่ได้ ข้าเคยเห็นเขายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมองซากศพเหล่านั้น และกล่าวว่าเขาอยากเห็นมายุถูกฆ่าด้วยน้ำมือของตน เขาอยากเห็นเลือดสีแดงสดที่หลั่งรินลงบนพื้น”
“พอได้แล้ว!! ข้าเป็นเช่นนี้เพราะพวกเจ้า!! อย่าได้กล่าวเช่นนี้ออกมาอีกเลยคนที่ผิดคือพวกเจ้าทั้งหมด!!”ไดกิตะคอกออกมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเคยคิดเช่นนั้นจริงจนตั้งใจจะฆ่าตัวตายเสีย เขาไม่อาจทำใจให้นิ่งด้วยการพยายามทำสมาธิได้อีกต่อไปแล้ว แม้ไดกิจะทำเป็นยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านอะไร แต่แววตาของเขามันสั่นไหว
"ไดกิควบคุมพลังของตนเองไม่ค่อยได้มานานแล้วเจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่เขาได้พลังคืนมาก็เกือบจะทำร้ายการาสุเทนกุที่อยู่ในการปกครองของเขาอยู่หลายครา และเมื่อการต่อสู้ระหว่างท่านโอริวกับเขา ไดกิก็ยังควบคุมพลังของตนเองไม่ได้เจ้าค่ะ เขาตั้งใจว่าหากตนเองตายจะให้การาสุเทนกุไปอัญเชิญเทพอิซานามิขึ้นมายังพื้นโลกเจ้าค่ะ"ซุซาคุกล่าวออกมา
“ท่านเบนไซเทนเห็นไหมขอรับว่าเจ้าเทนกุมันก็เป็นได้แค่ปิศาจเท่านั้น ดังนั้นจงมอบคำสั่งให้ข้าเถิดขอรับ”โอริวแสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามปิดบังความบ้าคลั่งของตนเอง แต่ก็เล็ดลอดออกมาทางแววตาได้ ร่างผู้สวมชุดที่พริ้วไหวสีเขียวจับจ้องร่างของไดกิโดยไม่มีคำตอบใดๆ จนเขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“ท่านอิซานากิอนุญาตให้ข้าฆ่าเขาแล้วนะขอรับ เพียงแต่ข้ามีโอกาสได้พบเขาที่นี่เท่านั้น จึงอยากให้ท่านเบนไซเทนอนุญาตให้ข้าหลั่งเลือดมันที่นี่”เขากล่าวออกมาอย่างมีชัยนัก ไดกิค่อยๆเงยหน้าไปมองเทพีที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขา เบนไซเทนเองเมื่อได้ยินก็เกิดความลังเลขึ้น ดวงตาเรียวมองเทพีก่อนจะหลับตาลงช้าๆยอมรับชะตากรรมของตนเพราะเป็นดั่งที่วิหกเพลิงได้กล่าวไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ข้ามัน...ก็เป็นได้แค่ปิศาจที่บ้าคลั่ง ข้ามันสมควรตาย ท่านเบนไซเทนคงไม่เห็นใจข้าอีกต่อไปแล้ว สุดท้ายข้ากับท่านพ่อก็เหมือนกันจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มมาจากมนุษย์ แต่ข้าไม่เคยนึกเสียใจที่ได้รักนางเลย คราวนี้แม้ว่านางจะเป็นปิศาจสมใจแล้ว แต่ข้ากลับเป็นฝ่ายละทิ้งชีวิตตนเองไปเช่นนั้นหรือ ตลกเสียจริง...ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าคงต้องยอมแพ้แล้วล่ะ มายุ ข้ากับเจ้ามันฝืนชะตาตนเองมามากพอแล้ว
“ข้า...ผิดไปแล้วท่านเบนไซเทนขอรับ...หากข้าตาย ขอให้ท่านช่วยดูแลมายุแทนข้าต่อไปด้วยขอรับ ข้าขอแค่อย่างเดียวเท่านั้น อย่าให้นางได้รับรู้ว่าข้าบ้าคลั่งเช่นนี้เลยขอรับ ให้ข้ายังเป็นปิศาจที่ใจดีในความคิดของนางต่อไปเถิดขอรับ”เขาก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่พอจะทำได้แล้วนอกจากการที่เขาต้องรอรับกรรมของตน เขาพลาดท่าเพราะตนเองที่ไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะสู้กับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ ดวงตาสีดำของเทพีก้มลงมามองเขาอย่างเงียบงันเท่านั้นใบบหน้าที่ครุ่นคิดจนแทบจะหมดสวยนั้นจับจ้องไปที่ทั้งสองฝ่ายสลับกันไปมาอยู่สักพัก
"ยังไงข้าก็ไม่ให้เจ้า ฆ่าคนในวิหารของข้าหรอกนะโอริว"ในที่สุดเธอก็กล่าวออกมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ
"ขอรับ ข้าจะนำตัวของไดกิไปประหารด้านนอกขอรับ โลหิตของเขาจะไม่มีวันเปรอะเปื้อนวิหารที่สวยงามของท่านเบนไซเทนอย่างแน่นอนขอรับ"โอริวคำนับอย่างนอบน้อม ดวงตาสีเหลืองทองเหลือบมองเทพีเบื้องหน้าอย่างคาดคั้น
“กรุณาออกคำสั่งเถิดขอรับ”โอริวกล่าว หลังจากที่เบนไซเทนเงียบงันอยู่นาน เธอก็ถอนหายใจออกมา และมองไปยังวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า โดยไม่เห็นมามองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และกล่าวออกมา เวลาทุกอย่างช่างผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกินจนรู้สึกทรมาณ พร้อมกับมังกรทองที่กำลังแสยะยิ้มออกมาอย่างมีชัยเหนือปิศาจอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเห็นเทพีแห่งความงามมองเทนกุเบื้องหน้าด้วยความสังเวชนัก
"ไดกิ เรื่องที่เจ้าขอครั้งนี้ขอข้าไม่รับปากเจ้า ว่าข้าจะทำให้"คำพูดนั้นทำให้ไดกิที่คำนับอีกฝ่ายผลุบตาลงต่ำ เขาสูดหายใจเข้าช้าๆ และต้องยอมรับคำตอบของเทพีแห่งความงามที่เขายังคอยเชื่อใจเธอเสมอมาจนมาถึงเวลานี้
ความคิดเห็น