คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #57 : กรงนกที่ถูกเปิดออก
ที่ศาลาในอุทยานของเบนไซเทน นั้นแปรเปลี่ยนจากการลงนามในสัญญา กลายเป็นการรอคำสั่งให้ประหารปิศาจเทนกุที่กำลังจะบ้าคลั่งในไม่ช้า ความเงียบงันเข้าครอบงำไปทั่วบริเวณ เบนไซเทนมองดูอีกฝ่ายมีสีหน้าที่เจ็บปวดนักและยอมรับชะตากรรมของตน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบเจอปิศาจที่ฆ่ามนุษย์ไปมากขนาดที่จะทำให้ตนเองบ้าเลือดได้ หากปล่อยเอาไว้ล่ะก็ ไดกิอาจจะฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าเสียหมดเลยก็ย่อมได้ ยิ่งเขามีพลังมากเพียงนี้แล้วด้วย คงไม่มีใครต่อกรกับเขาได้แน่นอน
“ท่านอิซานากิอนุญาตให้ข้าฆ่าเขาแล้วนะขอรับ เพียงแต่ข้ามีโอกาสได้พบเขาที่นี่เท่านั้น จึงอยากให้ท่านเบนไซเทนอนุญาตให้ข้าหลั่งเลือดมันที่นี่”เขากล่าวออกมาอย่างมีชัยนัก ไดกิค่อยๆเงยหน้าไปมองเทพีที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขา เบนไซเทนเองงเมื่อได้ยินก็เกิดความลังเลขึ้น ดวงตาเรียวมองเทพีก่อนจะหลับตาลงช้าๆยอมรับชะตากรรมของตน
“ข้า...ผิดไปแล้วท่านเบนไซเทนขอรับ...หากข้าตาย ขอให้ท่านช่วยดูแลมายุแทนข้าต่อไปด้วยขอรับ ข้าขอแค่อย่างเดียวเท่านั้น อย่าให้นางได้รับรู้ว่าข้าบ้าคลั่งเช่นนี้เลยขอรับ ให้ข้ายังเป็นปิศาจที่ใจดีในความคิดของนางต่อไปเถิดขอรับ”เขาก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่พอจะทำได้แล้วนอกจากการที่เขาต้องรอรับกรรมของตน เขาพลาดท่าเพราะตนเองที่ไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะสู้กับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ ดวงตาสีดำของเทพีก้มลงมามองเขาอย่างเงียบงันเท่านั้นใบบหน้าที่ครุ่นคิดจนแทบจะหมดสวยนั้นจับจ้องไปที่ทั้งสองฝ่ายสลับกันไปมาอยู่สักพัก
"ยังไงข้าก็ไม่ให้เจ้า ฆ่าคนในวิหารของข้าหรอกนะโอริว"ในที่สุดเธอก็กล่าวออกมาด้วยเสียงที่ราบเรียบ
"ขอรับ ข้าจะนำตัวของไดกิไปประหารด้านนอกขอรับ โลหิตของเขาจะไม่มีวันเปรอะเปื้อนวิหารที่สวยงามของท่านเบนไซเทนอย่างแน่นอนขอรับ"โอริวคำนับอย่างนอบน้อม ดวงตาสีเหลืองทองเหลือบมองเทพีเบื้องหน้าอย่างคาดคั้น
“กรุณาออกคำสั่งเถิดขอรับ”โอริวกล่าว หลังจากที่เบนไซเทนเงียบงันอยู่นาน เธอก็ถอนหายใจออกมา และมองไปยังวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า โดยไม่เห็นมามองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และกล่าวออกมา เวลาทุกอย่างช่างผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกินจนรู้สึกทรมาณ พร้อมกับมังกรทองที่กำลังแสยะยิ้มออกมาอย่างมีชัยเหนือปิศาจอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเห็นเทพีแห่งความงามมองเทนกุเบื้องหน้าด้วยความสังเวชนัก
"ไดกิ เรื่องที่เจ้าขอครั้งนี้ขอข้าไม่รับปากเจ้า ว่าข้าจะทำให้"คำพูดนั้นทำให้ไดกิที่คำนับอีกฝ่ายผลุบตาลงต่ำ เขาสูดหายใจเข้าช้าๆ และต้องยอมรับคำตอบของเทพีแห่งความงามที่เขายังคอยเชื่อใจเธอเสมอจนมาถึงเวลานี้
“เจ้าคิดบ้างไหมว่าสิ่งที่เจ้าทำมันไม่ถูกต้อง...”เสียงนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ร่างบางนั้นยังก้มลงมามองชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น เวลาทุกอย่างช่างผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกินจนรู้สึกทรมาณ พร้อมกับมังกรทองที่กำลังแสยะยิ้มออกมาอย่างมีชัยเหนือปิศาจอีกฝ่ายหนึ่ง
“สิ่งที่เจ้าทำ เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังสิ่งที่ถูกอยู่หรือ โอริว เจ้าตอบข้ามาหน่อย!!”เบนไซเทนหันไปถามมังกรทอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายยิ่งนักสำหรับโอริว
“ข้าคิดว่าข้าทำสิ่งที่จะทำให้เหล่าเทพได้อยู่กันอย่างยั่งยืนขอรับ อย่าให้พวกปิศาจที่มีแต่ความชั่วร้ายมาทำลายพวกเราลงเลยขอรับ”มังกรทองกล่าวออกมา
“ตลกเสียจริงโอริว เจ้าเป็นมังกรทองผู้มีพลังแห่งความสมดุลแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงได้เกลียดปิศาจได้ โดยเฉพาะไดกิ เขาไปทำอะไรให้เจ้าขัดเคืองหรือ”
“ปิศาจมันมีแต่ความชั่วร้ายขอรับ ชอบก่อความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่เลวขอรับ ไดกิก็เหมือนกับพ่อของมัน ไดอิจิมันเข่นฆ่านักบวชของข้าไปมากมายไร้ความปราณี และปล่อยให้ข้าต้องทนมองชาวบ้านที่คอยนับถือข้าค่อยๆล้มตายลงด้วยภัยแล้งโดยที่ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย”เบนไซเทนฟังเขาก่อนกล่าวออกมา
“เจ้าคิดว่าไดกิเหมือนกับไดอิจิหรือ และนั่นทำให้เจ้าคิดว่าไม่ควรมีปิศาจอยู่บนโลกอีก?”เธอถามขึ้น
“ขอรับ”
“อย่างนั้นน่ะสิข้าถึงไม่เข้าใจเจ้าโอริว เจ้าเป็นเทพแห่งสมดุลนะ ข้าขอถามสักข้อ หากเจ้าจะต้องการให้ในโลกนี้มีแต่เทพ ฉะนั้นแล้วใครจะเป็นปิศาจ เพราะการมีปิศาจจึงได้มีเทพ พวกเราเสมือนหยินหยาง สีขาวและสีดำ เจ้าคิดว่าหากมีเพียงสีเดียวแล้ว โลกจะสมดุลหรือไม่ และข้าขอถามเจ้าว่าสีดำมันคือความชั่วหรือ สีขาวมันคือความดีหรือ? ทุกอย่าง...เจ้ามันคิดไปเองทั้งนั้น พวกเรามันเลว โอริว เทพอย่างเรามันทำสิ่งเลวร้ายลงไปมากมายเพื่อความต้องการของตนเอง เจ้าเองก็เช่นกัน ปิศาจอย่างไดอิจิเองก็เช่นกัน มนุษย์ก็เช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกลื่อนกลืนกันจนแยกไม่ออก แม้นจะเป็นเหมือนหยินหยางแต่ก็ไม่อาจตัดขาดกันได้ ไดอิจิคือคนละคนกับไดกิเจ้าจะเหมารวมเช่นนี้ไม่ได้ และการที่ไดกิลงมือฆ่าอมนุษย์ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าคิดว่ามันดีแล้วหรือ... ข้าน่ะเป็นเพียงเทพีแห่งความงาม มิได้มีหน้าที่ตัดสินชะตาชีวิตใครได้หรอกนะ”เทพีแห่งความงามกล่าวออกมา โอริวดูจะลังเลอยู่สักพักหนึ่งเมื่อได้ฟังก่อนจะกล่าวออกมาในที่สุดด้วยความลังเลใจ
"ข้าคิดว่า...อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ไดกิที่เป็นเช่นนี้มีชีวิตต่อไปได้ขอรับ"เมื่อกล่าวจบสายตาของโอริวก็กลับมาแน่วแน่อีกครั้งหนึ่ง
"ดูเหมือนว่าเจ้าจะ ดึงดันไปเองนะ โอริว..."เบนไซเทนสยายผมสีดำขลับของตนและหันไปกล่าวกับปิศาจเทนกุ
“ไดกิ เจ้าไปนั่งพักก่อน หรือจะกลับไปเลยก็ได้ ข้าต้องสั่งสอนคนบางคนก่อน”ซายูริเดินมารอรับเขา ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะคำนับด้วยความน้อบน้อมและเดินจากไป
“ทำไมท่านถึงปล่อยมันไปขอรับ”ชายผู้มีเรือนผมสีทองกล่าวออกมา
“เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ ข้ายังไม่เห็นว่าไดกิทำอะไรผิดสักอย่างเดียว เขาถูกกระทำ พบเจอความไม่ยุติธรรมมาตลอด เจ้าจะสนใจอุดมการณ์ของเจ้าอย่างเดียวไม่ได้ เจ้ามีอคติมากเกินไป”
“ท่านเบนไซเทนขอรับ แต่ปิศาจมันจะเป็นเช่นนั้นแน่นอนขอรับ ข้าผิดเองที่ให้เขาทำงานเช่นนั้น ข้าจึงมีหน้าที่ต้องเก็บกวาดในสิ่งที่เกิดขึ้นขอรับ”
“จะหมายถึงว่ายังไงไดกิก็ควรตายเช่นนั้นรึ....ข้าจำได้ตอนที่เขามาบอกกับข้ามาขอร้องข้าเรื่องมายุ ข้ารู้สึกได้ว่าเขาฝืนใจทำมากเพียงใด และเจ้าที่เป็นคนออกคำสั่ง เจ้ากลับนั่งเสวยสุขอยู่เฉยๆรอผลงานของเขาเท่านั้น พอใช้เขาจนหมดประโยชน์แล้วก็หาความชอบธรรมในการกำจัดเขาทิ้ง ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะเป็นเทพ”เบนไซเทนมองเขาด้วยความผิดหวังนัก และกล่าวต่อ
“ข้าคิดว่าท่านอิซานากิเพียงแค่ไม่ได้ห้ามเจ้าให้ฆ่าเขาเท่านั้น เขาไม่ได้ออกคำสั่งเสียหน่อย เอาเช่นนี้แล้วกัน...ด้วยวาจาสิทธิ์ของข้า ข้าขอสั่งเจ้าว่า เจ้าไม่สามารถฆ่าไดกิได้และเจ้าต้องปล่อยให้เขาได้มีชีวิตอย่างมีความสุขเสียที”เบนไซเทนกล่าววาจาสิทธิ์ใส่เขาก่อนจะยิ้มหวานออกมา โอริวมีสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นักเมื่อได้ฟัง แต่วาจาสิทธิ์มันไม่อาจถอนได้แล้ว ยังไงเขาเองก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นในที่สุด และไม่คิดเลยว่าจะต้องมาถูกขัดขวางเพราะเทพีแห่งความงามเช่นนี้
ไดกิมานั่งพักที่ใต้ต้นบ๊วย ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวยิ่งนัก เหงื่อนั้นผุดพรายบนใบหน้า ส่วนซายูริที่คอยดูต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์และคอยพัดให้เขาเบาๆ และส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เธอใช้พัดขนนกของชายหนุ่มพัดให้ไดกิ อยู่สักพักหนึ่งจนเขาอาการดีขึ้น ไดกิเพียงหลับตาลงและทำสมาธิสักพักใหญ่ก่อนจะลืมตาขึ้น และถอนหายใจยาว เขาไม่รู้เลยว่าเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้วแต่เขายังมีบาดแผลในจิตใจที่ชัดเจนเหมือนวันแรกๆ ดวงตาเรียวสีดำดูสงบนิ่งขึ้นมาบ้าง
“ขอบคุณมาก แต่นั่นไม่ใช่พัดธรรมดา แต่มันคืออาวุธของข้า”เขารับพัดขนนกคืนจากซายูริ และส่งผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดคราบหมึกออกจากตัวของเขา
“เจ้าจะกลับเลยไหม ข้าจะไปส่งเจ้า”ปิศาจจิ้งจอกกล่าวออกมา
“ข้า...ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก”เขาพึมพำออกมา
“เอาเถอะน่า ทุกคนมันก็มีจุดอ่อนกันทั้งหมดแหละ อย่าไปคิดมากเลย”ร่างนั้นกลับกลายเป็นสุนัขจิ้งจอก เช่นเดิม
“แต่ข้า...ข้าเป็นหัวหน้าของเหล่าเทนกุ แต่กับแค่หยดหมึกไม่กี่หยดข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว ข้ามันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว”
“เอาไว้ที่เดิมแหละไดกิ เจ้าไม่ได้กลัวน้ำหมึก แต่เจ้าเห็นและนึกถึงเรื่องที่เจ้าเคยพบเจอมาต่างหาก มันไม่ได้แปลกเลย เจ้าต้องใช้เวลาและความเข้าใจถึงจะผ่านมันไปได้”ซายูริกล่าวออกมา
“ข้าว่าข้ากลับดีกว่า ข้าไม่มีธุระอะไรแล้ว”เขารีบลุกขึ้นยืน แม้จะอยากขอบคุณท่านเบนไซเทนที่ยังเมตตาเขาแต่ก็สมเพชตนเองเกินกว่าจะอยู่ที่แห่งนี้ต่อ ซายูริจึงเดินนำทางเขาไปตามทางเรื่อยๆ จนไปถึงทางออก เขาเห็นการาสุเทนกุกำลังรอรับเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนมีสีหน้าที่ดีใจอยากมากที่ไดกิปลอดภัยกลับมา ซายูริจึงกล่าวขึ้นมา
“ไดกิ ถ้าเจ้าอยากแต่งงานกับมายุอีกครั้ง อย่าลืมบอกข้าล่ะ”
“ได้ ข้าจะบอกเจ้าและฝากขอบคุณท่านเบนไซเทนด้วย ข้าเป็นหนี้ชีวิตของนาง ข้าจะไม่ลืมบุญคุณนี้เลย”
“ข้าจะบอกท่านเบนไซเทนให้ เจ้าสบายใจได้แล้ว ตอนนี้เจ้ามีทุกอย่างที่ต้องการแล้วล่ะสิ...เจ้าเป็นผู้นำที่ดี มองพวกการาสุเทนกุก็รู้แล้วว่าพวกเขาภักดีต่อเจ้าเพียงใด ไหนจะมายุอีกขอให้เจ้าครองรักกันนานๆนะ“
“แน่นอน ข้ากับนางเกิดมาเพื่อคู่กันนี่”เขากล่าวออกมาอย่างยียวนนัก ซายูริเพียงแสยะยิ้มตอบในคำตอบขอเขาก่อนไดกิจะกล่าวออกมา
“ตอนนี้ข้ามีทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่การรักษามันไว้ยิ่งยากกว่า ข้าจะทำให้ดีที่สุด”เขาเดินออกไปจากเขตวิหาร และรีบทะยานออกไปบนท้องฟ้าในที่สุด ท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่กำลังเรียกให้เขาเข้าไปหา เขามองภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยความโล่งใจยิ่งนัก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายร้อยปีมานี้ ลมเย็นปะทะใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน เบื้องหน้าของชายหนุ่มเป็นเหล่าพฤกษาเขียวขจีที่อุดมสมบูรณ์นัก ในมือกำยำมีแผ่นกระดาษอันสำคัญยิ่งสำหรับเขาอยู่
นี่หรือคืออิสรภาพ... ช่างสวยงามเสียจริง สิ่งที่ข้าไขว่คว้ามาตลอด ข้าก็ทำได้แล้วในที่สุด ข้ากลับมายืนอยู่ในจุดที่ข้าสูงกว่าท่านพ่อเคยยืนเสียด้วยซ้ำ ข้ามิได้เป็นนกในกรงขังอีกต่อไปแล้วปีกสีดำของข้านี้สามารถพาข้าไปได้ทุกที่ดั่งใจที่ข้าปรารถนา ไม่มีแล้วนักโทษที่เคยถูกจองจำในอาณาเขตของตนเอง หรือปิศาจรับใช้เหล่าเทพ จากนี้ไปจะมีเพียงข้าที่เป็นตัวข้าเท่านั้น
ร่างของทั้งหมดทะยานหายเข้าไปในกลีบเมฆในเวลาอันรวดเร็วนัก จนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแสดยามเย็น จตุรเทพกับโอริวถึงได้ออกมาจากวิหาร มีเพียงมังกรทองเท่านั้นที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าคนอื่น หญิงในชุดกิโมโนสีแดงหยุดเดินลงและมองท้องฟ้าที่มีดวงอาทิตย์กลมโตสีแสดที่ใกล้ลับขอบฟ้า จนทำให้จตุรเทพคนอื่นๆหยุดเดินลงไปด้วย
“เจ้ารู้ไหมว่าข้ารู้สึกโล่งใจมาก จากที่ข้าเองก็โทษตัวเองมานานหลายสิบปี ตอนนี้ข้าสบายใจขึ้นมากแล้ว”เธอหลับตาลง ก่อนเซริวจะจับบ่าของเธออย่างเบามือ
“ข้าก็ยังไม่ชอบมันอยู่ดี...แต่ก็ถือว่าเก่งใช้ได้ เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้มายุด้วย นางเปรียบเสมือนกุญแจในการเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างของไดกิ ข้าล่ะอิจฉาเสียจริง”เขายังคงคิดถึงชิโระยูกิอยู่
“นั่นสิ เจ้านั่นเป็นอิสระไปแล้ว เจ้านั่นทำให้ข้ารู้ถึงความน่ารังเกียจของเทพได้อย่างดีเลยล่ะ ข้าลาออกดีกว่า”เบียคโกะกล่าวออกมา
“แล้วเจ้าจะไปไหน?”เก็นบุถามขึ้น รวมถึงทุกคนที่หันมาหาเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ข้าไม่รู้ แค่เป็นในสิ่งที่ข้าอยากเป็น ทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ ข้าจากไปก็จะมีเบียคโกะตนใหม่เข้ามาแทนที่”พยัคฆ์ขาวกล่าวออกมา
“เจ้าจะไปจริงๆสินะ”เก็นบุถามกลับ อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
ทั้งสี่พูดคุยกันอยู่สักพักใหญ่โดยไม่สนใจมังกรทองที่เดินจากไปเพียงผู้เดียวเท่านั้นและหวนนึกถึงเรื่องราวของตนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนอย่างเงียบเชียบ เขาหลับตาลงช้าๆและนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เป็นความหลังได้ดี จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ โอริวจึงได้เพียงต้องยอมรับความจริงว่าเขาไม่สามารถฝืนวาจาสิทธิ์ของเบนไซเทนได้และสุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยไดกิไปในที่สุด แม้จะน่าเจ็บใจเพียงไรก็ตามที่ตนพ่ายแพ้แก่ปิศาจตนหนึ่ง แต่หน้าที่ของเขาก็ยังคงมีอยู่
ไดกิกลับไปที่คฤหาสน์ของตนอย่างปลอดภัย พร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของการาสุเทนกุทั้งหลาย เหล่าการาสุเทนกุมากมายมารอมุงดูไดเทนกุเบื้องหน้าที่ลานหน้าคฤหาสน์จนเต็มพื้นที่ ก่อนชายหนุ่มจะปรากฏตัวที่ระเบียงไม้ของปราสาทและประกาศก้องออกมา พร้อมกับชูแผ่นม้วนประดาษที่มีตราประทับและลายมือชื่อของจตุรเทพ
“ข้า...ในนามของไดเทนกุผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ นามว่าไดกิ ในวันนี้ข้าจะกล่าวถึงข่าวดีกับพวกเจ้าทุกคนว่า พวกเราได้เป็นอิสระอย่างแท้จริงสักทีหนึ่ง และนี่คือสัญญาที่เหล่าจตุรเทพและเทพโอริวได้ลงชื่อรับรองว่าพวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีก... จากนี้ไปพวกเราจะได้เป็นอิสระเสียทีหนึ่ง หนึ่งพันกว่าปีที่เราตกเป็นทาสของเหล่าเทพ ช่วงเวลานั้นมันได้สิ้นสุดลงแล้ว นับแต่นี้ไปยุคใหม่กำลังจะมาเยือนพวกเรา!!!”เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความดีใจยิ่งนัก อากาเนะคาบูโตะ ทาโร่ ยืนอยู่ข้างๆกันด้วยความโล่งอกนัก จนฟังสิ่งที่ไดกิพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ทั้งสามกอดกันกลมด้วยความดีใจ นี้เป็นสิ่งที่พวกเขารอมานานนับพันปีตอนนี้ได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว อากาเนะน้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจยิ่งนัก การาสุเทนกุตนอื่นๆเองก็เช่นกันบางตนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ส่วนการาสุเทนกุอาวุโสได้เฝ้ามองไดกิอยู่ห่างๆ
“ท่านไดกิเก่งมาก”อายุมุกล่าวออกมา น้ำตารื้นด้วยความดีใจ ไม่นึกว่าตนจะได้เห็นว่าเด็กน้อยที่ได้กลายมาเป็นผู้นำ ในวันนี้จะทำสำเร็จได้ในสักที
“เจ้าชมท่านไดกิอย่างกับเขาเป็นเด็กนั่นแหละ”ทานากะหัวเราะออกมา อายุมุเพียงหันมามองเขาด้วยหางตาเท่านั้น
“สำหรับข้าเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”
“ข้าเห็นด้วยอายุมุ”ยามาคาวะกล่าวขึ้น ก่อนจะมองดูชายหนุ่มอยู่ห่างๆเท่านั้น ยามาคาวะยิ้มมุมปากออกมาเท่านั้น อิสรภาพมันช่างงดงามและล้ำค่ายิ่งนัก ประดุจบ่อน้ำท่ามกลางความแห้งแล้ง เมื่อได้มาแล้วก็จงรักษาไว้ให้ดี
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องก้องกังวาลด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งของการาสุเทนกุที่กึกก้องไปทั่วหุบเขาที่เคยเงียบสงบมาตลอด บุรุษเบื้องหน้ามองไปยังการาสุเทนกุที่คอยอยู่ข้างเขามาตลอดนานนับพันปี และคอยเชื่อมั่นในตัวเขา ดวงตาสีดำขลับจับจ้องไปยังปิศาจอีกาที่บางตนร้องห่มร้องไห้ด้วยความปิติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางตนกอดคอกันอย่างสนุกสนาน ไดกิยิ้มออกมาและหวนนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เขาเองก็อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้เสียทีถึงข่าวดีข่าวนี้ นางคงต้องดีใจมากๆเป็นแน่ พรุ่งนี้เขาจะเดินทางไปหาเธอในทันที ดวงตาสีดำขลับมองไปทางทิศเหนืออย่างคิดถึงอีกฝ่ายนัก
ชิโระยูกิยืนอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์มาตั้งแต่เช้าหลังจากที่รู้ว่าไดกิกำลังจะมาหาเธอ จนมิยูกิที่เห็นต้องออกมายืนเป็นเพื่อนด้วย ภาพวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงสร้างความเบื่อหน่ายแก่มิยูกิเสียเอง คงเพราะเธอเห็นที่ทุ่งหิมะโล่งๆมาตลอดหลายปีติดต่อกัน ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ท่านไดกิจะมาที่นี่ใช่ไหม ข้าควรจะทำให้พื้นที่ตรงนี้มันสวยขึ้นมาบ้าง เขาเป็นถึงผู้นำเหล่าการาสุเทนกุ จะต้องมีการเตียมตัวเสียหน่อยล่ะ ไหนจะอาหารอีก ข้าลืมไปได้ยังไงกัน”เธอพึมพำออกมา และหันไปหามายุ
“ข้าจะลองทำสวนดอกไม้อย่างที่เจ้าเคยลองทำดูนะ มันคงดีกว่าปล่อยไว้แบบนี้โดยไม่ทำอะไรเลย”กล่าวจบมิยูกิเรียกยูกิอนนะทุกตนมาที่แห่งนี้และสั่งงานต่างๆ ทั้งงานทำอาการ จัดเตรียมห้อง และสถานที่ ทุกๆอย่างเท่าที่เธอจะนึกออก ก่อนจะหันมากล่าวกับชิโระยูกิ
“เจ้า เองก็ไปแต่งตัวสวยๆสิ ท่านไดกิอยากมาพบเจ้านะ”
“นั่นสินะเจ้าคะ แต่ข้าเห็นท่าทางของท่านมิยูกิแล้วก็อดขำไม่ได้ “เธอกล่าวออกมา
“ใช่สิ ข้าเพิ่งรับตำแหน่งมาไม่นาน ต้องมาจัดการพิธีการ ก็ต้องมีอะไรผิดพลาดบ้างแหละ เช่นนั้นข้าจะไปถามยูกิอนนะอาวุโสว่ามีอะไรขาดเหลืออีกไหม”มิยูกิเดินจากไป ส่วนชิโระยูกิเองก็ไปแต่งตัวในห้องของตน เธอสวมกิโมโนที่สวยที่สุด และนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกอยู่สักพักหนึ่งและลงมือแต่งหน้าตนเองและดูผลงานที่ด้านหน้ากระจก ก่อนจะนั่งอยู่เช่นนั้น
“จะพูดแสดงความยินดีกับท่านไดกิอย่างไรดีนะ ในที่สุดท่านไดกิก็เป็นผู้ปลดปล่อยการาสุเทนกุและตนเองให้พ้นจากเหล่าเทพได้ ที่นี่เองก็มีแต่คนพูดถึงท่านไดกิเต็มไปหมด ข้าจะได้พบเจอท่านไดกิแล้วดีใจจัง”เธอกล่าวออกมา ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขยิ่งนัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนใช้เวลานานไปแล้วจึงออกมาจากห้องเพื่อรอมาพบเขา ยูกิอนนะตนอื่นๆเองก็ออกมารอดูด้วยเพราะความอยากรู้นัก จนมิยูกิต้องเรียกให้เธอไปยืนอยู่ข้างๆ และไม่นานนักไดกิได้ปรากฏตัวขึ้น เขาสวมชุดกิโมโนและสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง พร้อมกับขบวนของเหล่าการาสุเทนกุ ไดกิมองมาทางเธอและยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปทำความเคารพมิยูกิ ส่วนมิยูกิเองก็เคารพอีกฝ่ายกลับ
“ท่านเดินทางมาไกล กรุณาเข้าพักด้านในคฤหาสน์ก่อนนะเจ้าคะ”มิยูกิกล่าวออกมาและเดินนำชายหนุ่มไปตามทางเดิน ชิโระยูกิเองก็ยิ้มกริ่มด้วยความดีใจนัก
“ข้าไม่ยักรู้เลยว่าเทนกุจะหล่อขนาดนี้”เสียงซุบซิบดังขึ้น
“น่าอิจฉาชิโระยูกิจริงๆ”เสียงนั้นทำให้เธอหุบยิ้มลงเล็กน้อย และก็เข้าใจว่าตนเองคงกำลังแอบหึงอีกฝ่ายเป็นแน่ มายุเดินไปตามทางเดินและรอคอยเขาพูดคุยเรื่องราวต่างๆกับมิยูกิจนเสร็จ
ภายในห้องที่ตกแต่งแบบญี่ปุ่นโบราณ ไดกิกับมิยูกินั่งลงคนละฟากของโต๊ะน้ำชาและเริ่มพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูล ซึ่งตอนนี้ทั้งสองเองก็กำลังต้องการมีมิตรสหายอยู่เช่นเดียวกัน เมื่อทั้งสองเห็นพ้องต้องตรงกันเรื่องนั้นแล้ว ทั้งสองจึงลงนามและเขียนชื่อของตนรวมถึงลงตราประทับบนม้วนกระดาษดังกล่าว ก่อนบทสนทนาของทั้งสองผู้นำจะเริ่มต้นขึ้น
“ข้าต้องขอบคุณมิยูกิเป็นอย่างมากที่ดูแลนาง เมื่อนางอยู่ที่นี่”เขากล่าวออกมา และดื่มชาร้อนเพื่อคลายความหนาวเย็น
“ชิโระยูกิเก่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก นางดูแลข้าเสียด้วยซ้ำ”เธอยิ้มออกมาและนั่งอย่างเรียบร้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“ข้าเป็นผู้นำตระกูลได้เพราะความช่วยเหลือของท่าน จากนี้ไปยูกิอนนะกับเทนกุคงจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดั่งเช่นพี่สาวของข้าต้องการให้เป็นเช่นนั้นมาตลอด”
“พี่สาวของเจ้า คือยูกิใช่หรือไม่ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”เขายิ้มออกมา เมื่อนึกถึงยูกิที่การกระทำดูห่างไกลจากสิ่งที่น้องสาวของเธอได้กล่าวนัก
“เจ้าค่ะ ท่านพี่เคยบอกข้าเอาไว้”มิยูกิกล่าวออกมา แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่ที่ตนเองจะต้องต้อนรับแขกถึงระดับนี้เพียงไม่นานหลังจากที่ตนได้ตำแหน่ง ส่วนไดกินั้นเองเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงนำของกำนัลมาให้
“ข้าขอมอบปิ่นปักผมให้ท่านมิยูกิ ถือเสียว่าเป็นของกำนัลและเครื่องยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทนกุกับยูกิอนนะ”เขาวางปิ่นปักผมสีเงิน ที่ดูสวยงามนักมีลวดลายผีเสื้อและดอกไม้ มิยูกิรับมาชมอย่างตกตะลึง
“สวยงามมากเจ้าค่ะ”เธอมองอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะมีสีหน้าที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถึงคราที่ตนเองต้องให้ของกำนัลอีกฝ่ายบ้าง
ตายแล้ว!! ลืมหาของกำนัลไปสนิทเลย ทำยังไงดีเนี่ย ที่นี่มันจะมีอะไรให้ท่านไดกิพอใจได้กันนะ...ที่นี่มันไม่มีอะไรเลยนี่นา แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ
“ข..ข้าขอบคุณท่านไดกิมากเจ้าค่ะ แต่ข้า...”เธอกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก พอดีกับชิโระยูกิที่อยู่ด้านนอกห้องพอดี มิยูกิที่ได้ยินเสียงเดินนั้นจึงกล่าวขึ้น
“ใครที่อยู่นอกห้องไปตามชิโระยูกิมาที่นี่หน่อย”เธอกระวนกระวายนัก ชิโระยูกิเองก็อยู่ด้วยกันตลอดไม่เห็นจะบอกเธอบ้างเลยว่าต้องเตรียมของกำนัลด้วย
“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”เธอเปิดประตูเข้ามาในทันที และเดินไปนั่งข้างมิยูกิ อีกฝ่ายกระซิบกระซาบให้เธอฟังอย่างร้อนใจ
“ชิโระยูกิ ข้าลืมของกำนัล ข้าจะทำยังไงดี”เธอกล่าวออกมา ดวงตาสีเงินเมื่อได้ฟังก็ดูสงสัยยิ่งนัก
“ก็ข้าไงของกำนัล”เธอกล่าวออกมาอย่างหน้าตาเฉย จนอีกฝ่ายมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อได้ฟังนัก ชิโระยูกิจึงกล่าวต่อ
“ท่านลืมไปแล้วหรอว่าข้าเกิดมา จะต้องไปเป็นของกำนัลให้ท่านไดกิ ของกำนัลที่ว่าคือท่านมิยูกิจะอนุญาตคนในตระกูลอย่างข้าไปเป็นเจ้าสาวท่านไดกิได้หรือไม่”มิยูกิหน้าเหวอมากกว่าเดิมเสียอีก ก็จริงอย่างที่ชิโระยูกิได้กล่าวไว้
“อ..อ..อย่างนั้นก็ได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าแต่งงานชิโระยูกิ...”เมื่อมิยูกิอนุญาต ร่างบางก็ดูดีใจนัก
“มายุ เจ้ามานั่งข้างๆข้าสิ”ไดกิเรียกเธอ เจ้าของเรือนผมสีขาวจึงนั่งลงข้างๆเขาอย่างมีความสุข
“ขอบคุณเจ้ามาก นี่แหละของกำนัลที่ข้าอยากได้ที่สุด”ชายหนุ่มกล่าว และลูบศีรษะของร่างบางด้วยความอ่อนโยนนัก
“แล้วเจ้าล่ะมิยูกิสอนวิชาให้เจ้าบ้างหรือไม่”
“สอนเจ้าค่ะ”ทั้งมิยูกิกับชิโระยูกิกล่าวออกมาพร้อมกัน มายุจึงหัวเราะคิกคักออกมา และกล่าวต่อ
“ท่านมิยูกิสอนวิชาให้หลายๆอย่างแล้วค่ะ ดิฉันน่าจะพอทนอากาศร้อนได้แล้วล่ะค่ะ จะได้อยู่กับท่านไดกิตลอดไปเลยเจ้าค่ะ”เธอคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นทั้งมิยูกิและชายหนุ่มจึงค่อยๆขอตัวลา มายุเองก็เดินตามไดเทนกุออกมาด้านนอกห้อง
“เจ้าจะกลับไปพร้อมข้าเลยก็ได้ เจ้าจะกลับหรือไม่”
“กลับค่ะ ดิฉันคิดถึงท่านไดกิมานานมากๆแล้วนะคะ”เธอเกาะแขนของชายหนุ่ม ร่างกำยำหันมายิ้มให้เธออย่างเอ็นดูนัก
“ข้าเดินทางมาไกล ข้าพักที่นี่สักคืนแล้วค่อยกลับแล้วกัน”ไดกิโอบเธอเอาไว้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเวลา มายุอยู่ที่นี่จะใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
“ดิฉันอยากกลับไปกับท่านไดกิเร็วๆจัง คิดถึงท่านไดกิมากๆเลย”เธอออดอ้อนเขา ก่อนจะเห็นยูกิโกะ กับ โอยูกิ ที่กำลังเดินสวนมาพอดิบพอดี ร่างบางเพียงมองผ่านไปเสมือนไม่มีใครอยู่ตรงนั้น และพาเขาไปพักที่ห้องของเธอในทันที ไดกิมองไปรอบๆห้องที่ไม่ค่อยมีข้าวของตกแต่งมากนัก ก่อนจะโอบกอดเธอจากทางด้านหลังไว้แน่น
“ข้าคิดถึงเจ้าที่สุดเลยมายุ แต่งงานกับข้าได้ไหม” อีกฝ่ายหน้าแดงด้วยความเขินอายนักเมื่อได้ฟัง
“ดิฉันอยากแต่งงานกับท่านไดกิอยู่แล้วค่ะ เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ”ไดกิจุมพิตมายุในทันทีเมื่อได้ฟัง ก่อนจะยิ้มออกมา
“เจ้าช่างออดอ้อนข้าเสียเหลือเกิน ช่างอันตรายยิ่งนัก”เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย และนั่งลงที่กลางห้อง ชิโระยูกิเองก็ยังเกาะติดเขาไว้ไม่ยอมปล่อยไปไหน ไม่ว่าจะดูอย่างไรเธอก็จะซุกซนเหมือนเด็กน้อยเสียจริง
“มายุ เจ้าชอบดอกไม้กับผีเสื้อใช่ไหม”
“ชอบค่ะ ที่จริงก็ชอบทุกอย่างเลยที่ที่นี่ไม่มี”
“นั่นสินะ เจ้าอยู่ที่นี่คงน่าเบื่อนัก ข้าเห็นว่ามีแต่ทุ่งหิมะไร้ชีวิตชีวา”
“แต่ว่าที่นี่คงเหมาะกับดิฉันมากที่สุดแล้ว อากาศกำลังสบายเลยค่ะ”เธอกล่าวออกมาทั้งๆที่อีกฝ่ายต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้นนัก
“เจ้าเคยรู้สึกหนาวบ้างไหม ข้าสงสัยยิ่งนัก พวกเจ้าชอบความหนาวเย็นเสียเหลือเกิน จะมีครั้งไหนไหมที่เจ้าคิดว่ามันหนาวเกินไปสำหรับเจ้าบ้าง”
“ไม่ทราบค่ะ บางทีอาจจะมีก็ได้ แต่ข้ายังไม่เคยพบเจอความหนาวเย็นขนาดนั้นมาก่อน”เธอเองก็ดูครุ่นคิดยิ่งนัก ก่อนไดกิจะกลับมากล่าวเรื่องดอกไม้กับผีเสื้ออีกครั้งหนึ่ง
“ข้าคิดว่า ถ้าเจ้าชอบดอกไม้นัก ข้ามีที่หนึ่งที่อยากจะพาเจ้าไป”
“ที่ไหนหรือคะ”เธอถามด้วยความสงสัยนัก
“ข้าจะยังไม่บอกเจ้าในตอนนี้ เก็บไว้ให้เจ้าสงสัยดีกว่า”เขายิ้มออกมาอย่างยียวน
“ท่านไดกิ จะแกล้งดิฉันหรือคะ”เธอทำหน้าเศร้า
“ข้ามิได้แกล้งเจ้าเสียหน่อย แต่ข้าจะพาเจ้าไปเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงเท่านั้น”มือใหญ่ลูบหัวของเธอ
“สัญญานะคะ ว่าจะพาไป”เธอกล่าวออกมา
“ข้าต้องพาเจ้าไปอยู่แล้ว ไม่มีทางผิดสัญญาเด็ดขาด”เขากล่าวออกมา และเริ่มสงสัยในตัวอีกฝ่ายนักจึงพูดขึ้นมาบ้าง
“แล้วเจ้าล่ะมายุ ไม่เชื่อข้ารึ?”
“เปล่าค่ะ ดิฉันเชื่อท่านไดกิ เพียงแต่ว่าอยู่ที่นี่แล้วดิฉันเชื่อใครไม่ค่อยได้ ก็เลยติดนิสัยมาค่ะ ต้องขอโทษท่านไดกิด้วยค่ะ”เธอทำหน้าสำนึกผิดยิ่งนัก
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอกมายุ อยู่ที่นี่เจ้าคงลำบากจริงๆ และบาดแผลของเจ้าดีขึ้นหรือยัง ให้ข้าดูหน่อย”เขาดูที่ต้นคอของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ไม่หลงเหลือรอยช้ำแล้ว
“ใครกันนะบังอาจทำร้ายเจ้ามายุ นางต้องไม่ฉลาดแน่ๆเลย ที่กล้าทำร้ายนายหญิงของข้า”
“คงเป็นเช่นนั้นค่ะ”เธอหัวเราะออกมา แต่ก็จริงดั่งที่ไดกิว่า
“พวกนั้นไม่มีทางได้เป็นผู้นำแน่นอนค่ะ แม้ว่าดิฉันจะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ตาม พวกเขาทำตัวเองทั้งนั้น”เธอกล่าวออกมา การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่าจะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจชอบ ก่อนจะหันมาหาเขา
“ท่านไดกิเก่งมากๆเลยค่ะ”เธอกอดเขาไว้แน่น
“เจ้าชมข้า เหมือนข้าเป็นเด็กอย่างนั้นแหละ”เขากล่าวออกมา แต่ก็ดีใจนักที่เธอชื่นชมเขา ดวงตาเรียวสีดำเต็มไปด้วยความสุขมากนัก ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จจงได้ และรอคอยวันเวลาที่เขาจะพาหญิงคนรักของเขาไปพบกับสวนดอกไม้ไม่ไหวเสียแล้วสิ ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆและโอบกอดเธอไว้อย่างแนบแน่น
ความคิดเห็น