ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    「大天狗 の 花嫁」DAITENGU NO HANAYOME เจ้าสาวแห่งขุนเขา

    ลำดับตอนที่ #55 : เรื่องราวในทุ่งหิมะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 46
      9
      4 พ.ย. 61


                         เวลาผ่านพ้นไปหลายเดือน ร่างบางของหญิงทั้งสองยังนั่งอยู่ที่ระเบียงมองดูสวนหิมะที่ชิโระยูกิพยายามทำดอกไม้จากน้ำแข็งแล้วปักลงบนพื้น เมื่อยามเช้ามาถึง แต่ที่นี่สภาพอากาศไม่ได้เปลี่ยนแปลงนักไม่ว่าจะฤดูอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นสีขาว จนสิ่งมีชีวิตอื่นไม่อาจมีชีวิตรอดได้ มิยูกินั่งมองการกระทำของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพยายามทำนัก

                    “ดอกไม้ปลอมยังไงก็เป็นดอกไม้ปลอม ชิโระยูกิ เจ้าไม่เบื่อรึ มานั่งแต่งสวนทุกวัน แล้วคนอื่นๆก็มักจะทำลายเล่นเสียทั้งหมดแบบนี้”มิยูกิถามขึ้น

                    “ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันโล่งๆแบบนี้เจ้าคะ ยิ่งทำลายก็ยิ่งดีข้าจะได้ฝึกใช้พลังบ่อยๆด้วยเจ้าค่ะ”เจ้าของเรือนผมสีขาวผ่องก้มหน้าก้มตาปักดอกไม้ลงบนพื้นหิมะ

                    “ข้ายอมแพ้จริงๆ...จะว่าไปแล้ว ข้าเห็นดอกไม้จริงๆครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ คงเป็นตอนที่ข้ายังเป็นมนุษย์อยู่แน่ๆ”เธอหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อน ดอกไม้ ความอบอุ่น เสียงนกร้อง ผีเสื้อโบยบิน ดูเหมือนจะเลือนรางเสียเหลือเกินจนเธอแทบจะนึกไม่ออกแล้ว

                    “ข้าได้ไปพบท่านไดกิ และอยู่ทันเห็นฤดูกาลต่างๆมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างดูน่าสนใจไปเสียหมดไม่น่าเชื่อว่าสถานที่เดิมๆจะให้ทิวทัศน์ต่างกันได้เพียงนี้”เธอนึกถึงคฤหาสน์ของชายหนุ่ม และลุกขึ้นมามองฝีมือของตนเอง มิยูกิเองก็ลุกขึ้นมาพิจารณาเช่นกัน

                    “ดูสวยดีนะ แต่ว่าทุกอย่างยังมีสีขาวอยู่เลย ที่นี่มันน่าเบื่อจริงๆไม่เห็นจะมีอะไรทำเลย...”

                    “หากท่านชอบ ข้าก็ดีใจเจ้าค่ะ”ชิโระยูกิกล่าวออกมา ก่อนจะกล่าวต่อ

                    “ข้าจะให้ท่านเป็นหัวหน้าตระกูล จงเชื่อมือของข้านะเจ้าคะ ท่านมิยูกิจะไม่ผิดหวังแน่นอนเจ้าค่ะ”อีกฝ่ายพยักหน้ารับเมื่อได้ฟัง และมองไปรอบๆด้วยความไม่ไว้ใจนัก

                    “ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็จะมีการเลือกผู้นำตระกูลแล้ว มีคนที่มีโอกาสได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลอยู่หลายสิบคนนัก รวมถึงเจ้าด้วย...แต่ข้าเชื่อเจ้านะว่าเจ้าจะไม่หักหลังข้า”ดวงตาสีเงินหันไปมองอีกฝ่ายชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมา

                    “ไม่มีทางเจ้าค่ะ ข้าเองเชื่อว่าท่านต้องได้เป็น ข้าจะจัดการคนที่เข้ามาขวางเองเจ้าค่ะ”

                    “เจ้าเนี่ยนะ ตลกเสียจริงจะปกป้องข้า พลังของเจ้ายังอยู่ในระดับที่พอใช้ได้อยู่เลย”มิยูกิดูแคลนอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชิโระยูกิได้เรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็วเช่นกัน อย่างน้อยก็เร็วกว่าเธอตอนที่มาเป็นยูกิอนนะตอนแรกๆ

    “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยังไงท่านก็ได้เป็นผู้นำแน่นอน การที่ท่านฝึกสอนข้าท่านจะเป็นพันธมิตรกับเทนกุนั้นไม่มีใครสามารถทำได้แล้วนอกจากท่านมิยูกิ”ชิโระยูกิกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ

    “เดี๋ยวนี้ประจบข้าเป็นแล้วรึ?”อีกฝ่ายกล่าวออกมา เธอไม่ใช่พวกบ้ายอเสียด้วยสิ กล่าวจบก็พอดีกับยูกิอนนะกลุ่มหนึ่งเดินออกมา นางมีร่างที่สูงระหง และงดงามนัก ดวงตาดำเรียวชำเลืองมาที่คนทั้งสอง

    “นั่น มาฟุยุ”มิยูกิกระซิบออกมา

    “คนที่คิดว่าจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลอันดับที่สองสินะเจ้าคะ”เธอกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา แน่นอนว่ามิยูกิถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นเรื่องที่จะต้องไปเขี่ยคนที่อันดับสูงกว่าจึงไม่มี เหลือเพียงรักษาตำแหน่งแรกไว้ให้ได้เท่านั้น

    “ใช่และในกลุ่มนั้น ยังมีโอยูกิ และยูกิโกะ อีก สองคนนั้นก็เป็นผู้ชิงตำแหน่งอันดับสี่และอันดับห้า”ชิโระยูกิกล่าวออกมา ยูกิโกะก็ทำให้เธอนึกถึงคนที่เคยพยายามจะสูบพลังของเธอเมื่อคราวก่อน ทั้งสามทำเหมือนคุยกันอย่างสนุกสนาน ในกลุ่มนั้นมีแต่คนที่เคยกลั่นแกล้งเธอทั้งนั้น ชิโระยุกิสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอยังหวาดกลัวกลุ่มคนเบื้องหน้า แต่ก็นึกถึงตอนที่ท่านไดกิปลอบใจเธอแล้ว เธอจะต้องสู้ให้ได้ ก่อนทั้งสามจะตั้งใจกล่าวให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน

    “ดูสิ บางคนน่ะฝีมือไม่มีเลยนะ สวยก็ไม่สวยแต่ได้อันดับสูงขนาดนี้เพราะพี่สาวของตนแท้ๆ กินบุญเก่าจริงๆ”โอยูกิยิ้มเยาะ

    “นั่นสินะ ส่วนอีกคนก็ได้อันดับดีเพราะมีผมขาวต่างจากคนอื่น แต่โง่ก็โง่ใช้พลังไม่เป็น แถมยังหนีออกจากคฤหาสน์ไปหาผู้ชาย ชอบทำตัวไร้เดียงสาแต่ในใจคงจะอยากสินะ วิ่งไปถึงบ้านผู้ชายแบบนั้น ไม่เบาเลยนี่นา” ยูกิโกะกล่าวออกมา ก่อนทั้งสามจะหัวเราะออกมา ร่างบางทั้งสองเมื่อได้ฟังก็ถึงกับหน้าชานัก โดยเฉพาะชิโระยูกิเธอยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เธอทำมันดูเลวขนาดนั้นเลยก็ตาม

    “เห็นว่าอยู่กันแค่สองคนเลยกล้าพูดสินะ ทำไมไม่รอให้ข้าอยู่กับเพื่อนๆก่อนล่ะ”มิยูกิพึมพำออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าทั้งสามไม่กล้ากับคนหมู่มากหรอก

    "โดยเฉพาะนังคนที่ใช้พลังไม่เป็นเนี่ย กลับได้ความดีความชอบ ข้าล่ะหมั่นไส้นางเสียจริง บางทีไดเทนกุคงจะชอบผู้หญิงที่ดูไร้เดียงสา แต่คงไม่รู้ล่ะสิว่าเวลาว่างนางคงแอบไปกับการาสุเทนกุตนอื่นๆอยู่บ่อยๆ ในป่าในเขาซอกหลืบมันเยอะ ไปทำอะไรกับใครก็ไม่มีใครรู้หรอก"ชิโระยูกิลุกขึ้นยืนในทันทีที่ได้ฟัง ใบหน้าเธอแดงด้วยความโกรธ แม้จะโกรธมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ ทั้งสามชะงักด้วยความตกใจก่อนจะหัวเราะร่าออกมา มายุหันขวับไปถามคนที่นั่งข้างเธอ

    “ไปสั่งสอนพวกนั้นกันไหมเจ้าคะ”ดวงตาสีเงินถามขึ้น มิยุกิชะงักไปเพราะไม่อาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ หากทำร้ายกันในนี้มีหวังได้เป็นเรื่องแน่ แถมเธอยังใช้พลังแทบไม่ได้

    “พวกนั้นมีจำนวนเยอะกว่าเรา แล้วเจ้ายังใช้พลังไม่ค่อยเป็นอีก...”มิยูกิกล่าวออกมา พยายามให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ก่อนชิโระยูกิจะกระซิบอีกฝ่ายหนึ่ง

    “มิยูกิ ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ จะว่าอะไรก็ว่าไปแต่ถ้ามาบอกว่าข้าทำอะไรลับหลังท่านไดกิ ข้าไม่ชอบ!!”เธอกล่าวออกมา 

    “ใจเย็นก่อน ใจเย็น....”มิยูกิทำหน้าเหมือนเห็นผีนักเมื่ออีกฝ่ายกำลังโกรธอย่างมาก ดวงตาสีเงินเหลือบมองยูกิอนนะทั้งสามอีกรอบหนึ่งและแสยะยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าชิโระยูกิไม่เคยโกรธเกรี้ยวขนาดนั้นมาก่อน มิยุกิจึงต้องพยายามบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

    ข้าโกรธแล้ว แบบนี้เรียกว่าโกรธได้สินะ พวกนั้นกลั่นแกล้งข้ามามากพอแล้ว ข้าอยากจะให้เขารู้สึกบ้างว่าข้าไม่ชอบเพียงใด!!!

    “แต่ข้าสวยกว่าพวกเจ้าแล้วกัน และทุกคนก็บอกแบบนั้น ข้าไม่ต้องสูบพลังก็สามารถอยู่ข้างนอกคฤหาสน์ได้ทั้งปีโดยที่พลังของข้ามันไม่หมด มีพลังติดตัวมาเยอะมันดีเช่นนี้เอง ไม่เหมือนพวกเจ้า...ข้าได้ทั้งพลัง ได้ทั้งไดเทนกุ ข้าได้เป็นนายหญิงมีคนรับใช้มากมาย ไม่เหมือนกับเจ้า มีพลังไปก็เท่านั้น ถ้ามีพลังแล้วยังมีชีวิตเช่นนี้ไม่ได้ ก็อยู่เงียบๆไป ไม่มีใครเขาอยากฟัง”ชิโระยูกิกล่าวออกมาใส่ทั้งสามและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนพูดลอยๆ ปิศาจยูกิอนนะทั้งสามมีสีหน้าโมโหยิ่งนัก

    “เอาจริงหรอ ชิโระยูกิ!!”มิยูกิถามอีกฝ่ายเธอรีบลุกขึ้นมายืนข้างๆเธอ แม้ว่าไม่รู้จะต้องทำเช่นไรต่อไป

    “แหม...เดี๋ยวนี้กล้าเถียง ไปอยู่กับเทนกุแล้วปากดีขึ้นนะ แต่ยังไงเจ้ามันก็เป็นได้แค่คนที่ต้องยอมให้พวกข้าแกล้งเรื่อยไปเท่านั้น!!!”ยูกิโกะกรีดร้องวี้ดว้ายออกมาด้วยความโมโห

    “เจ้านี่มัน!! ข้าจะจัดการให้เจ้ารู้ว่าใครเป็นใครสักทีก็คงดี”มาฟุยุกล่าวออกมา เธอกอดอกตนเองอย่างขุ่นเคือง 

    “เสียงหมาที่ไหนเห่ากันนะ เอ..อยู่ตรงไหนนะ...อ๋อเห็นละ มีอยู่สามตัวเลยแฮะ...” มิยูกิจะดึงแขนมายุเอาไว้ไม่อยากให้อีกฝ่ายกวนประสาทฝ่ายตรงข้ามไปมากกว่านี้

    “พอเถอะ เดี๋ยวก็ถูกทำร้ายหรอก ข้ากับเจ้ามีสองคน ข้าช่วยเจ้าไม่ได้นะ!!!”เธอกระซิบออกมา มายุเพียงพยักหน้ารับทราบ

    “ไม่เป็นไร..”เธอตอบออกมาอย่างแผ่วเบา มิยูกิเหวอไปสักพัก

    "นั่นปากรึ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะใจสู้เป็นกับเขาด้วย"โอยูกิตวาดแว๊ดออกมา ก่อนจะถูกสวนในทันควัน

    "ข้าก็สู้คนเป็นเหมือนกันนะ ยิ่งเจอปิศาจอย่างเจ้าแล้วด้วย สวยก็ไม่สวยจิตใจยังน่ารังเกียจอีก พวกเจ้า...มันเป็นจุดศูนย์รวมของความหน้าอัปยศของตระกูลจริงๆ เจ้าไม่มีทางได้เป็นผู้นำตระกูลแน่นอน"มาฟุยุที่ได้ฟังรีบตรงปรี่เข้ามาตบหน้าเธอหนึ่งฉาด

    “เพี๊ยะ!!!”ร่างบางหน้าหันไปตามแรงที่ถูกตบ จนมิยูกิต้องรีบเข้ามาขวางไว้ในทันที

    "พอได้แล้ว!!"มิยูกิตะโกนออกมาและหันไปถามอีกฝ่าย

    “เจ้าไม่เป็นไรนะ!!”เธอถามขึ้นชิโระยูกิเพียงพยักหน้ารับช้าๆเท่านั้น

    “หึ!! ก็นึกว่าจะแน่ ถูกข้าตบไปทีหนึ่งก็เงียบเลยหรือ จะร้องไห้ไหมนะ”ทั้งสามหัวเราะออกมา ใบหน้าของชิโระยูกิเป็นรอยแดงบนหน้า

    “ชิโระยูกิ ถอยไปก่อนสิ”มิยูกิสั่งอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนตนเองจะเผชิญหน้ากับหญิงทั้งสามอย่างไม่เกรงกลัว

    "พอได้แล้ว ข้าจะบอกผู้อาวุโสว่าพวกเจ้าทำอะไรลงไป ทีนี้ก็เตรียมถูกลงโทษได้เลย!!!"ผู้ที่อยู่เบื้องหน้ามายุ รีบหันขวับมาและจูงมือชิโระยูกิไปตามทางในทันที มือเรียวเช็ดมุมปากที่มีหยาดโลหิตไหลออกมา 

    “เจ้าปากแตกนี่นา ชิโระยูกิ ทำไงดีๆ”เธอทำตัวไม่ถูก ทุกสิ่งทุกอย่างมันวุ่นวายไปเสียหมด มายุบาดเจ็บแล้วเธอคงถูกไดกิเล่นงานแน่ ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบงันจนทั้งสองรีบเดินจนมาถึงด้านหน้าห้องผู้อาวุโส ยูกิอนนะเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องเงยหน้าขึ้นมาพบก็ตกใจกับใบหน้าของชิโระยูกิ 

    “ให้ข้าพบ ยูกิอนนะอาวุโสหน่อย”มิยูกิกล่าวออกมา อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะเปิดประตูให้เข้าไป ภายในห้องนั้นหญิงทั้งสามกำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายและมีสีหน้าที่ตกใจ

    “ชิโระยูกิ หน้าเจ้าไปถูกอะไรมาน่ะ”หญิงที่อาวูโสสูงสุด นั่งอยู่ตรงกลางถามไถ่ขึ้น ดวงตาสีเงินเมื่อเห็นหญิงชราทั้งสามก็แอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ เพราะเธอรู้ว่าเวลาช่วงนี้แหละที่ทั้งสามมักจะมาพูดคุยกันประจำทุกวัน ก่อนเธอจะนั่งลงคุกเข่าและร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร มิยูกิจึงเป็นคนกล่าวออกมาแทน

    “ท่านยูกิอนนะผู้อาวุโสที่เคารพ นางถูกยูกิอนนะตนอื่นกลั่นแกล้งเจ้าค่ะ”

    “มันเกิดอะไรขึ้น? ใครทำเจ้ากัน?”ร่างของหญิงชราอีกคนรีบถามเธอขึ้น ชิโระยูกิปิดหน้าและร้องไห้ออกมา

    “เมื่อสักครู่ โอยูกิ ยูกิโกะ กับ มาฟุยุ บอกว่าข้าโง่เจ้าค่ะ ที่ข้าได้ดีเพราะมีเส้นผมสีขาว แต่ว่าพอข้าเถียงเข้ากลับ พวกนางก็เข้ามาตบข้า ข้าแค่ไม่อยากให้มีใครมาต่อว่าข้าเช่นนั้น ทำไมพวกนางต้องถึงขนาดทำร้ายข้าด้วยเจ้าคะ”ชิโระยูกิปาดน้ำตาของตนและทำหน้าไร้เดียงสาใส่อีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวต่อ

    “ข้าแค่อยากปกป้องตนเอง ข้าไม่อยากถูกต่อว่าเช่นนั้นเลย พวกเขาเห็นว่ามีจำนวนเยอะกว่าก็เลยกลั่นแกล้งข้า”เธอสะอึกสะอื้น หญิงชราทั้งสามมีสีหน้าตกใจและมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะกล่าวออกมา

    “จริงรึ?”เธอหันไปถามมิยูกิ

    “จริงค่ะ ข้า..”มิยูกิหันมาหาอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวออกมา

    “ข้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเจ้าค่ะ เป็นไปตามที่นางบอกจริงๆเจ้าค่ะ”เธอกล่าวออกมา ชิโระยูกิรีบจับมืออีกฝ่ายไว้

    “และก็ขอบคุณมิยูกินะที่พยายามปกป้องข้า เจ้าอุตส่าห์ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังแล้ว แต่ก็ดีแล้วที่เจ้าไม่บาดเจ็บอะไร”เธอยังปาดน้ำตาตนเองอยู่ ก่อนตนเองจะตัดพ้อออกมา

    “ข้าเองก็โง่นัก ทั้งๆที่ข้าเองควรจะอยู่เฉยๆ ไม่ตอบโต้อะไร”

    “เจ้าพอเถอะ ชิโระยูกิ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้”หญิงชรากล่าวออกมา และมีสีหน้าสงสารเธอนัก ก่อนจะหันไปกล่าวกับมิยูกิ

    “เจ้ากล้าหาญมากที่ปกป้องนาง”หญิงชรามองเธอด้วยความชื่นชม มือเรียวสะกิดอีกฝ่ายให้ตอบไป มิยูกิที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกชมก็คำนับ

    “มิได้หรอกเจ้าค่ะ ข้าเองก็ถูกต่อว่าตัวข้าเองยังพอทนได้ แต่การที่เห็นพวกนางรุมทำร้ายชิโระยูกิแล้ว ข้าก็ต้องช่วยนางเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”มิยูกิกล่าวออกมา มายุมองอีกฝ่ายหนึ่งมิยูกิยอมมาช่วยเธอจริงๆ อย่างน้อยเธอก็พอรู้ว่าที่แห่งนี้ยังมีคนที่เป็นเพื่อนเธอได้บ้าง

    “ถ้าเช่นนั้นมิยูกิเจ้าพาชิโระยูกิไปทำแผลเสียก่อน”

    “เจ้าค่ะ”ทั้งสองคำนับ ก่อนมิยูกิจะประคองมายุออกไปจากห้อง ทั้งสองเดินไปตามทางเดินจนถึงห้องของตน เมื่อพาร่างบางเข้าห้องแล้ว ตนเองก็รีบปิดประตูเลื่อนลงในทันที ก่อนจะสูดหายใจเข้าออกอย่างแรงเพราะความวิตกกังวล มายุเองก็นั่งลงด้านหน้ากระจกและมองบาดแผลของตนเอง เธอตั้งใจให้มันจบลงแบบนี้อยู่แล้ว เพื่อที่อย่างน้อยเธอจะได้กำจัดคนอื่นๆไปให้พ้นทางมิยูกิ ยังไงซะมิยูกิก็เป็นเพื่อนเธอนะ

    “ชิโระยูกิ ข้าจะทายาให้ อยู่นิ่งๆสิ”มิยูกิกล่าวออกมา และค่อยๆทายาให้อีกฝ่ายหนึ่ง จนเสร็จเรียบร้อย ก่อนผู้มีเรือนผมสีดำจะกล่าวออกมา

    “ขอบคุณนะ ในหลายๆเรื่อง เจ้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเองจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ข้ารู้สึกผิดเลย”มิยูกิกล่าวออกมา อีกฝ่ายแค่ผลุบตาลงต่ำ

    “ข้าจงใจให้มันเป็นเช่นนี้ ทีนี้ท่านมิยูกิก็ได้ชื่อว่าปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าแล้วนะเจ้าคะ”

    “ก็เพราะแบบนั้นแหละข้าถึงรู้สึกผิด”มิยูกิถอนหายใจออกมา มีหรือที่มิยูกิจะไม่ทันเกมของอีกฝ่าย

    "ตอนนี้คู่แข่งคนสำคัญของท่านก็คงถูกติฉินนินทาในเรื่องที่นางทำกับข้าแน่นอนเจ้าค่ะ เท่านี้ท่านก็ทางสะดวกแล้วนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องอันดับของดิฉันท่านมิยูกิไม่ต้องห่วงเพราะดิฉันแสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้อาวุโสเห็น ยังไงดิฉันก็ขาดคุณสมบัติผู้นำตระกูลที่ดีไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ”มิยูกิทำหน้าไม่ถูกนักเมื่อได้ฟัง

    “เจ้าคิดเช่นนั้นรึ? เมื่อตอนนั้นข้ามิได้ช่วยเจ้าเลย ข้ายังไม่อยากจะทะเลาะกับพวกนางเลย ข้ามันขี้ขลาดชิโระยูกิ”เธอถอนหายใจออกมา

    “ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้ขี้ขลาด การเป็นผู้นำท่านต้องประเมินสถานการณ์ด้วย แต่ข้าไม่ได้อยากเป็น ข้าอยากให้ท่านเป็นผู้นำตระกูล ข้าจึงไม่ต้องทำตัวเช่นนั้น แต่ข้าอยากกลับไปหาท่านไดกิแล้ว”ร่างนั้นน้ำตารื้นขึ้นมา ยังไงเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี อยากให้ท่านไดกิมาปลอบเธอจะแย่แล้ว

    “เจ้ารักท่านไดกิจริงๆนะ แท้จริงแล้ว...ทำไมกัน ทำไมเจ้าไม่เป็นผู้นำเองล่ะในเมื่อเจ้ามีทุกอย่าง...”

    “ข้าอยากอยู่กับท่านไดกิเท่านั้น ไม่เคยอยากเป็นผู้นำตระกูล ข้าให้คนที่อยากเป็นได้ทำหน้าที่นี้ดีกว่า ส่วนข้า แค่มาที่นี่เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น ถ้าเจ้าได้เป็นผู้นำ ท่านยูกิจะต้องภูมิใจแน่ๆ”เธอยิ้มออกมา

    “พี่ยูกิ บางทีข้าก็คิดถึงนางเหมือนกัน เมื่อข้ามาอยู่ที่นี่ก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงตอนที่พวกเราเป็นครอบครัวที่เป็นมนุษย์ธรรมดาเสียจริง มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ...”เธอพึมพำออกมา

    “แล้วท่านมิยูกิทำไมถึงอยากเป็นผู้นำตระกูลล่ะเจ้าคะ”

    “ข้ารู้ดีว่าข้าเก่งสู้ท่านพี่ไม่ได้ ข้าเองก็อยากทำในสิ่งที่ท่านพี่เคยทำได้ ข้าก็ต้องทำได้บ้าง มันเป็นเรื่องที่ข้าคิดมานานแล้ว ส่วนเรื่องการเป็นผู้นำตระกูล ข้าเองก็อยากเป็นเพราะข้าอยากเป็น มันคือความต้องการของข้าเอง ไม่ได้เพราะถูกคนอื่นบังคับ”เธอกล่าวออกมา

    “เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”มายุครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งและกล่าวขึ้นมา

    “การเลือกหัวหน้าตระกูลจะมีขึ้นในเดือนหน้าใช่ไหมเจ้าคะ ยิ่งใกล้วันขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งมีอันตรายมากยิ่งขึ้นสินะเจ้าคะ”

    “เรื่องนั้นข้าก็เข้าใจดี...”มิยูกิพึมพำออกมา เธอต้องคอยดูแลชิโระยูกิให้จงได้และต้องปกป้องตนเองไปพร้อมๆกัน มันช่างยากลำบากเสียจริง

     

    ชายหนุ่มเดินไปตามทางของวัดคุรามะที่ถูกปูด้วยก้อนหิน เขาเดินไปรอบๆอย่างกระวนกระวายนักเพราะในวันนี้จะมีประชุมของเหล่าไดเทนกุ และเป็นงานที่สำคัญยิ่ง ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่ห้องขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักเพราะเขาเองก็ไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อรวมถึงการเข้าร่วมประชุมแล้วด้วย เขาคงเป็นคนที่มีอาวุโสน้อยที่สุดอย่างแน่นอน เขาเงยหน้าขึ้นมองตำแหน่งของดวงอาทิตย์เพื่อดูเวลาว่าใกล้ถึงเวลาหรือยัง

    “ข้าต้องไม่ทำอะไรพลาดเด็ดขาด เมื่อจบงานประชุมนี้ข้าจะต้องรีบกลับแล้ว”

    เพียงได้เข้าร่วมประชุมก็ถือว่าเหล่าไดเทนกุได้ยอมรับเขา แต่เขาจะทำแค่การเข้าประชุมเพื่อมาหลอกเหล่าเทพว่าได้รับการยอมรับจากไดเทนกุทั้งแปดมิได้ เขาต้องได้รับการยอมรับจริงๆเท่านั้น ถึงจะยันเหล่าจตุรเทพได้อย่างเต็มปาก หรือหากให้อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือหลังจากเข้าประชุมครั้งนี้แล้ว เขายังต้องเดินทางไปพบเหล่าไดเทนกุเป็นการส่วนตัวอีกรอบหนึ่งเป็นอย่างน้อย ไดกิมองไปยังสุดทางเดินก่อนจะเห็นปิศาจตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเขาทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นไดเทนกุ

    “ท่านเซนคิโบ แห่งหุบเขาโอมิเนะ”เขาพึมพำออกมาเมื่อเห็นไดเทนกุผู้มีอายุเลยวัยกลางคนนิดหน่อย  รวมถึงอีกไม่นานนักไดเทนกุตนอื่นก็ทยอยกันมาประชุม ไดกิเองได้มองพวกเขาอยู่ห่างๆเท่านั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องประชุมและทำความเคารพผู้ที่อยู่ข้างในให้ครบทุกคน ก่อนจะนั่งลงด้วยความสำรวม โซโจโบที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวออกมา

    “ไดเทนกุหนุ่มผู้นี้คือบุตรของไดอิจิ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาประชุม”ไดกิคำนับอย่างสำรวมก่อนเขาจะแนะนำตัวบ้าง

    “ข้ามีนามว่าไดกิขอรับ ต้องขอความกรุณาพวกท่านด้วยขอรับ”ชายหนุ่มคำนับ

    “เขายังดูหนุ่มจริงๆ ยังเร็วเกินไปนัก เจ้าน่าจะให้ชีวิตให้คุ้มเสียก่อน ก่อนจะมาเข้าร่วมประชุมกับพวกเรา”ท่านทะโรโบกล่าวขึ้นและหัวเราะออกมา

    “นั่นสิ งานประชุมนี้มันน่าเบื่อนัก ทำไมไม่ไปเที่ยวเล่นเหมือนเทนกุหนุ่มตนอื่นๆล่ะ ใช้ชีวิตจนเบื่อก็ค่อยมาปฏิบัติธรรม”เซนคิโบกล่าวขึ้น

    “ข้าอยากได้ความสงบในชีวิตขอรับ”เขากล่าวออกมา จนเหล่าไดเทนกุชราหัวเราะออกมา

    “เจ้าพูดเหมือนเจ้าแก่แบบพวกข้าอย่างนั้นแหละ”ซาบุโร่หนึ่งในไดเทนกุได้กล่าวออกมา  ก่อนไดเทนกุทั้งเก้าตนจะเริ่มต้นประชุมกัน ไดกิตั้งใจฟังนัก นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญเช่นนี้ โดยไม่ต้องถูกอยู่ใต้อาณัติของผู้ใดแล้ว ก็แอบรู้สึกประหม่านัก แต่เขาจะกลัวไม่ได้ และต้องรีบทำให้ความรู้สึกนั้นเป็นปกติให้เร็วที่สุด

    ข้าอาจจะเคยชินกับการถูกสั่งให้ทำเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้ามีเจตจำนงของตนเองแล้ว และข้าจะต้องเป็นผู้นำที่แท้จริงให้จงได้

     

    วันเวลาผ่านไปจนการประชุมได้จบลงในที่สุด ไดกิคำนับไดเทนกุทั้งแปดตนด้วยความเคารพ การประชุมครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อจากนี้เขายังมีงานที่ต้องทำอยู่ ดวงตาเรียวสีดำมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เขาเองก็ถึงเวลาที่ควรจะกลับได้แล้ว เหล่าการาสุเทนกุเองก็มารอรับเขา ชายหนุ่มจึงบอกลาท่านโซโจโบ

    “ท่านโซโจโบขอรับ ข้าต้องขอตัวกลับแล้วขอรับ ต้องขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงขอรับ”

    “เจ้ามาที่นี่ได้ทุกเมื่อ หากเจ้าต้องการ”ชายชรากล่าวออกมา

    “ขอรับท่านโซโจโบ”เขาค้อมตัวให้อีกฝ่าย ก่อนจะรีบกางปีกและบินขึ้นไปบนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ ก้อนเมฆสีขาวเหมือนก้อนสำลีปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ไดกิยังคงตระเวนไปตามทางอย่างรวดเร็วนัก ท้องฟ้าสีครามสดใสทำให้เขามองเห็นฝูงนกที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน และหันมามองที่ที่จากมา และรีบเดินทางต่อในทันที

    ถึงแม้ว่าข้าอยากจะมีชีวิตที่สงบก็ตามทีแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ข้าอยากจะทำทุกอย่างให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็ว มายุเองก็ด้วย ข้าอยากพบเจอนางเร็วๆเหลือเกิน ข้ารู้สึกเป็นห่วงยิ่งนัก ข้าคิดผิดหรือเปล่านะที่มอบหมายให้นางกลับไปที่แห่งนั้น ข้าไม่อยากให้นางจากไปไหนเลย แต่คราวนี้ข้าเป็นคนบอกให้นางไปเองเสียได้ ถ้าข้าให้พลังแก่นางนางจะอยู่กับข้าได้ตลอดหรือไม่นะ ข้าสงสัยเสียจริง หรือข้าควรจะไปหานางเสียตอนนี้...ไม่ได้สิ ข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่อีก ข้าเริ่มเบื่อหน่ายหน้าที่นี้เสียจริง

    ไดกิกางปีกออกและพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว จนการาสุเทนกุตนอื่นๆเกือบตามไม่ทัน สายลมที่เข้าปะทะกับร่างของเขานั้นทำให้เส้นผมสีดำยาวปลิวไสวตามแรงลม ก่อนพวกเขาจะหายลับเข้ากลีบเมฆไป

     

    คฤหาสน์ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหิมะนั้นแม้จะดูเงียบสงบแต่กลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยามากมายที่รอวันปะทุออกมา ดวงตาสีดำขลับจับจ้องมองมิยูกิอย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก แม้ว่าที่แห่งนี้จะไม่ป่าเถื่อนขนาดที่มีคนลุกขึ้นมาฆ่ากันต่อหน้าต่อตา แต่หากลับหลังเมื่อใดก็มักจะมีข่าวลือที่เจ้าตัวยังไม่ทันรู้เรื่องแพร่สะพัดออกมา ชิโระยูกิเองมักจะเดินไปไหนมาไหนคนเดียวเช่นเดิม แต่เพราะการกระทำที่ไม่ค่อยห่วงสวัสดิภาพของตนเองนั้นก็ทำให้มิยูกิอดคิดมากไม่ได้ กลัวไดกิจะมาโทษเธอหากเกิดอะไรขึ้นกับนาง และในวันนี้ก็เหลืออีกไม่นานนัก ยูกิอนนะตนอื่นๆต่างซุบซิบกันอย่างสนุกสนานนัก มาฟุยุเอง ได้ปรากฏตัวขึ้น นางยืนกอดอกด้วยความขุ่นเคืองใจนักที่ถูกยูกิอนนะอาวุโสต่อว่า และเห็นว่าเธอไม่เหมาะสมนักที่จะเป็นผู้นำตระกูลจนตกอันดับไป คราวนี้ล่ะก็เธอจะให้อีกฝ่ายพลาดท่าเสียบ้าง ร่างที่สูงระหงยืนมองมิยูกิที่เดินออกมาจากห้อง ก่อนจะแอบเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ 

    ทางด้านชิโระยูกินั่งลงที่ด้านหน้าคฤหาสน์เธอคิดถึงท่านไดเทนกุของเธอเสียจริง คิดถึงมากๆอยากจะกลับไปโดยเร็ว แต่ตอนนี้เธอยังมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ และในทุกๆวันที่เธออยู่ที่นี่ชิโระยูกิก็เริ่มเรียนรู้เรื่องราวของยูกิอนนะมามากมาย ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีบ้าง แต่ยังดีที่มีมิยูกิคอยแนะนำอยู่เสมอ จนตอนนี้เธอก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มเสียแล้วสิ ชิโระยุกิใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย เมื่อนึกย้อนไปเธอก็เพิ่งรู้ว่าเขารักเธอในแบบใด มีแต่เธอเท่านั้นที่ไม่เข้าใจความรักแบบผู้ใหญ่เสียเลย

    เพราะว่าท่านไดกิเข้าใจว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะ เขาถึงต้องคอยห้ามตนเองเสมอ..

    ชิโระยูกินั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม เธอรู้ตัวดีว่ามีอะไรหลายอย่างที่เธอไม่รู้นักบนโลกนี้ เธอยังเด็กเสียจริงไม่ประสีประสาเรื่องใดเลยทั้งสิ้น และยูกิอนนะทั้งหลายนั้นนอกจากจะดุร้ายด้วยสัญชาติญาณแล้วยังชอบใช้ความงามหลอกล่อคนด้วย เมื่อคิดเช่นนี้เธอเองก็รู้สึกหวาดกลัวตนเองขึ้นมา เธอไม่อยากเป็นเช่นนั้น เมื่อคิดภาพเธอเดินอยู่กล่างทุ่งหิมะใช้พลังที่ตนมีให้พายุหิมะพัดถล่ม เพื่อทำร้ายผู้คนด้วยความเหน็บหนาว ก็ยิ่งรุ้สึกหวาดกลัวตนเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น กลัวพลั้งมือทำร้ายไดกิเหลือเกิน ร่างบางลุกขึ้นยืนช้าๆตอนนี้เธอควรจะไปหามิยูกิได้แล้วจึงเดินไปตามทางเดินไม้และหยุดอยู่ที่หน้าห้องของมิยูกิ

    "มิยูกิ ข้าขอเข้าไปในห้องนะเจ้าคะ"เธอกล่าวออกมา น่าแปลกที่ไม่มีเสียงตอบใดๆ แต่กลับได้ยินเสียงคนอยู่ข้างใน เมื่อเห็นว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติ ชิโระยูกิก็เปิดประตูเลื่อนและเข้าไปในห้องทันที ก่อนจะพบเกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็มห้อง เบื้องหน้าของเธอนั้นคือมิยูกิที่ได้รับบาดเจ็บหนักกำลังถูกมาฟุยุดูดพลังอยู่ เจ้าของดวงตาสีเงินตกตะลึงไปในทันที เพราะร่างนั้นกำลังคร่อมมิยูกิอยู่ เมื่อร่างนั้นได้ยินเสียงเปิดประตู จึงค่อยหันมามองเธอช้าๆ ชิโระยูกิเห็นมาฟุยุกำลังแสยะยิ้มให้เธอเพราะรู้ดีว่าชิโระยูกิไร้พลังใดๆจะต่อกรกับเธอได้ ส่วนอีกฝ่ายที่ถูกดูดพลังก็นอนสลบไสลไปเสียแล้ว หยาดโลหิตสีแดงเปรอะเปื้อนตามเสื้อผ้ากิโมโนสีขาวผ่องจนดูน่ากลัวในมือของมาฟุยุยังมีแท่งน้ำแข็งเรียวแหลมคมที่ชุ่มไปด้วยเลือดอยู่ เป็นดั่งที่เธอเคยข่มขู่ชิโระยูกิไว้จริงๆว่าเธอจะทรมาณอีกฝ่ายหนึ่งจนกว่าตาย หญิงสาวหน้าซีดเผือก หวาดกลัวจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ตามใจนึก

    “เจ้า ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน!!”มายุกล่าวออกมาด้วยความตกใจกลัว  ก่อนมาฟุยุจะรีบตรงเข้ามาหาเธอในทันที

    “ข้าจะสูบพลังของเจ้าไปด้วยอีกคน ชิโระยูกิ" ร่างสูงระหงพยายามคว้าอีกฝ่ายเอาไว้ ชิโระยูกิเองก็รีบวิ่งไปตั้งหลักที่มุมห้อง ทั้งสองเดินไปมาเพื่อลองเชิง แม้ว่าเธอจะสูบพลังอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าเธอพลาดเสียเอง มาฟุยุจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก หญิงสาวต้องชั่งใจให้ดี แต่มีหรือที่จะสู้คนที่มีประสบการณ์การล่าอย่างอีกฝ่ายหนึ่งได้

    “ถ้าเจ้าใช้อาวุธทำร้ายข้าในนี้เจ้าจะถูกเนรเทศ ท่านไดกิต้องผิดหวังในตัวเจ้าแน่นอน”มาฟุยุกล่าวออกมา

    "เจ้าเองก็เหมือนกันแหละ ทำร้ายมิยูกิได้อย่างไร ถ้าถูกจับได้ เจ้าต้องออกไปให้พ้นที่นี่แน่นอน"เธอเถียงกลับในทันที

    "ถ้าเช่นนั้นก็อย่าทำให้จับได้สิ!!!! นังโง่มิยูกิเรียกแท่งน้ำแข็งนี้ออกมา แต่สุดท้ายก็แพ้ภัยตนเอง ถ้าเจ้าเอาไปฟ้อง มิยูกิก็จะโดนด้วย"มาฟุยุ กล่าวก่อนจะพุ่งเข้ามาหาเธอ  ร่างบางรีบกระโจนตัวหนีสุดชีวิตหลบแท่งน้ำแข็งที่ปามาได้ทันท่วงทีและล้มลุกคลุกคลานไปทางอื่น และถูกไอเย็นรอบๆห้องทำให้เธอขยับตัวได้ไม่ถนัดเท่าใดนัก ยิ่งอีกฝ่ายมีพลังของมิยูกิแล้วก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

    “ข้าจะสูบพลังของเจ้าด้วย ชิโระยูกิ”

    "ไม่นะ ออกไป!!!"มือเรียวโยนข้าวของใส่อย่างสะเปะสะปะ

    "ไม่มีใครได้ยินหรอก นี่มันเป็นเขตอาคมของข้า!!"อีกฝ่ายยิ้มเยาะออกมาและพุ่งตรงมาประชิดอีกฝ่ายที่จนมุมมาฟุยุโอบเอวของร่างบางให้แนบชิดกับเธอ ชิโระยูกิพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากการเหนี่ยวรั้งของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะพลาดด้วยเหตุนี้

     “เจ้ารู้ไหมว่าข้าดูดพลังมนุษย์มามากเพียงใด เจ้าสู้ข้ามิได้หรอกชิโระยูกิ คนนับร้อยคนต้องสังเวยชีวิตเพราะข้า และข้ารู้วิธีที่จะรีดพลังอีกฝ่ายออกมาได้เร็วที่สุด!!!”มือเรียวบีบคอมายุอย่างแรง ร่างบางพยายามดิ้นให้หลุดพ้นนัก ก่อนจะเริ่มขาดอากาศหายใจ พลังของเธอเองก็ถูกสูบไปอย่างรวดเร็วนัก

    “เป็นอย่างไรล่ะ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย พลังเฮือกสุดท้ายของสัญชาติญาณจะพยายามรีดความตั้งมั่นว่าจะต้องมีชีวิตรอดต่อไป  พลังของเจ้าจะยิ่งสูบฉีดมาให้ข้าเร็วนัก”เธอหัวเราะเยาะออกมา มายุถูกบีบคอจนหน้าเริ่มเปลี่ยนสี

    ท่านไดกิ..ช่วยด้วย ท่านไดกิอยู่ที่ไหน ฉันกลัวเหลือเกิน ท่านไดกิ

     ทั้งตัวชิโระยูกิมีเพียงปิ่นปักผมที่ชายหนุ่มให้เอาไว้ ร่างบางก็หยิบออกมากำชับไว้ในมือแน่น มาฟุยุที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะเยาะออกมา

    "ปิ่นปักผมโง่ๆอันนั้น จะทำอะไรข้าได้!!!"มาฟุยุเรียกแท่งน้ำแข็งนั้นกลับมาอยู่ในมือของตน ดวงตาสีเงินลนลานและหวาดกลัว เมื่อมาฟุยุเข้ามาใกล้มายุก็ทำได้เพียงดึงปิ่นปักผมปลายแหลมออกมาจากปลอก และเหวี่ยงมือที่ถือปิ่นปักผมไว้อย่างไร้ทิศทาง แต่นั่นก็เพียงพอให้อีกฝ่ายถอยกลับไปตั้งหลักได้

    "ท่านไดกิ ช่วยด้วย..."เธอเริ่มจะใจเสียแถมยังไอออกมาไม่หยุด ยังไงก็แพ้อีกฝ่ายแน่นอน  เธอหลับตาลงเมื่อแท่งน้ำแข็งพุ่งตรงมายังเธอในทันที แต่ทุกอย่างกลับหยุดนิ่งเมื่อมายุเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะเห็นปิ่นปักผมของเธอมีใบโมมิจิสีแดงที่ถูกยัดไว้ร่วงหล่นลงมาจากปลอกโลหะที่ห่อหุ้มปลายแหลมของปิ่นปักผมไว้อีกที ใบโมมิจินั้นเต็มไปด้วยอักขระโบราณ มาฟุยุหยุดลงในทันทีอย่างห้ามไม่ได้ แค่รู้สึกถึงพลังอำนาจของไดเทนกุก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังฝืนยิ้มออกมา

    "แ...แค่เครื่องรางโง่ๆนี่นา ไล่แต่พวกปิศาจชั้นต่ำได้เท่านั้นแหละ เสียเวลาซะจริง...."แม้จะพูดเช่นนั้นเขตอาคมรวมถึงแท่งน้ำแข็งก็แตกออกในทันที มาฟุยุมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก ลมวายุเข้าปะทะเธออย่างจังจนกระเด็นไปอีฟากของห้อง 

    "ท่านไดกิ..."เธอกล่าวออกมาด้วยความดีใจ 

    "ในที่สุดเจ้าก็เรียกหาข้า อย่างน้อยก็ลองสู้และปกป้องตัวเองบ้าง ช่างเก่งกาจยิ่งนัก"เสียงนั้นกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม ก่อนชั่วพริบตาไดกิจะปรากฏขึ้นกลางห้อง เมื่อมาฟุยุเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีออกไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีดทันที ชิโระยูกิสบายใจขึ้นมานิดหน่อยก่อนชายหนุ่มจะหันมาหาร่างบางด้วยความเป็นห่วง

    "มายุเจ้าบาดเจ็บ" มือกำยำสัมผัสที่ต้นคอที่มีรอยมือของมาฟุยุ เขามองเธออย่างรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

    "ท่านไดกิ ดิฉันกลัว"เธอเริ่มร้องไห้ออกมา ชายหนุ่มค่อยกอดปลอบเธออย่างแผ่วเบา

    "ข้าในตอนนี้เป็นแค่ภาพมายาเท่านั้นมายุ ข้าอยากคอยอยู่ข้างเจ้าคอยปกป้องเจ้า เจ้าจะกลับเลยก็ได้มายุข้าไม่ว่ากระไร เช่นนั้นข้าจะรีบไปรับเจ้าเอง"

    "ท่านไดกิ...ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันจะทำต่อไป ดิฉันจะพยายามค่ะ"ไดกิยิ้มรับกับคำตอบนั้น

    "สมกับว่าที่นายหญิงเสียจริง จงระวังด้วย ตัวข้าเองก็ใช้พลังไปค่อนข้างมากเช่นกัน นางแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งนัก... ข้าอยู่ห่างเจ้าเช่นนี้ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน ข้าทำได้เพียงมอบเครื่องรางนี้ไว้ให้เจ้าเท่านั้นหลังจากนี้เก็บไว้กับตัวดีๆ"ชิโระยุกิพยักหน้ารับก่อนอีกฝ่ายจะลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู

    "ถึงเวลาของข้าแล้ว...ถ้าจบงานเมื่อไหร่ข้าจะมาชำระแค้นคนที่จะทำร้ายเจ้าเสียหน่อยแล้ว ให้มันรู้บ้างว่าอย่ามายุ่งกับชิโระยูกิของข้า"

    "ค่ะท่านไดกิ"ร่างของชายหนุ่มค่อยๆจางลงและสลายหายไปในอากาศ ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองต้องไปดูอาการของมิยูกิด้วย เธอรีบตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

    “ท่านมิยูกิเจ้าคะ”เธอเรียกอีกฝ่ายหนึ่ง ร่างนั้นปรือตาขึ้นมาช้าๆด้วยความงัวเงียนักก่อนจะพึมพำออกมา

    “ข้าเองก็โชคดีที่เจ้ามาพอดี ไม่งั้นข้าตายแน่ๆ”มิยูกิกล่าวออกมา แต่ก็ไร้พลัง ชิโระยูกิจับมือมิยูกิไว้เพื่อถ่ายทอดพลังให้นาง

    “สูบพลังของข้าสิ ไม่นานท่านคงจะอาการดีขึ้น บาดแผลของท่านเองก็น่าจะหายด้วยเจ้าค่ะ”

    “ขอบใจเจ้ามาก”มิยูกิเอื้อมมือมาจับมือของชิโระยูกิไว้ สักพักหนึ่งมิยุกิเองก็ดูจะอาการดีขึ้นแล้ว อย่างน้อยเลือดของเธอก็หยุดไหลเสียที ส่วนชิโระยูกิกลับมีสีหน้าอ่อนแรง ในเมื่อเธอถูกมาฟุยุแย่งชิงพลังไป แถมต้องสละพลังที่เหลือให้มิยูกิด้วยแล้วก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้ มิยูกิที่เห็นดังนั้นจึงประคองหญิงสาวนอนลง ไม่นานนักยูกิอนนะตนอื่นๆจึงวิ่งมาดูความโกลาหลที่เกิดขึ้น และเข้ามาช่วยดูแลรักษาทั้งสองคนในทันที มิยูกิกับชิโระยูกิมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา อย่างน้อยทั้งสองก็ผ่านพ้นนรกมาด้วยกันแล้ว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×