ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Shot Fic] Puzzle Rooms ☃[All]

    ลำดับตอนที่ #17 : [SF] love you never ... [KRISYEOL]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 84
      1
      5 ม.ค. 57

    5 january 2012


    ท่ามกลางวังวนของความหนาวเหน็บที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าหิมะ พายุที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ความเย็นยะเยือกที่อบอวลอยู่ภายในห้องพักขนาด

    กลางยังคงไหลวนเวียนอยู่อย่างนั้น ลมหายใจอ่อน ๆ พรั่งพรูออกมาจากปลายจมูกโด่งทุกคราที่เม่อมองออกไปยังพื้นถนนเบื้องล่าง พื้นถนนที่บัดนี้ถูกเติมเต็ม

    ไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะ ที่แค่มองลงไปก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แค่คิดก็หนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ต้องรอให้ได้สัมผัส มือหนา ๆ ที่กำลังเสียด

    สีกันไปมาหาไออุ่นถูกร่างสูงยกมันขึ้นอังกับใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองอย่างเบามือ

    “ฉันว่าแกอย่างพึ่งออกไปตอนนี้เลยหว่ะ หิมะตกหนักขนาดนั้น อันตรายแย่เลย”

    เสียงแหลมเล็กของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นมาพร้อมกับแก้วกาแฟควันชุย 2 แก้วที่ถืออยู่ในมือ อู๋ อี้ฟ่าน หันไปตามเสียงเรียกของเพื่อนรูมเมท

    ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ลูฮานเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะยื่นแก้วกาแฟหนึ่งในนั้นให้แทนคำขอโทษ

    “ฉันก็ไม่อยากออกไปเหมือนกันหน่ะแหละ แต่แกก็รู้ว่าไอ้เอกสารนั่นมันสำคัญมากแค่ไหน ถ้าเกิดมันหายขึ้นมา ชีวิตที่เหลือของฉันมันก็มีแค่ ตาย กับ ตาย ”

    เอ่ยออกมาด้วยแววตาเคร่งเครียดก่อนจะยกกาแฟในมือขึ้นมาจิบเล็ก ๆ พอเป็นพิธี ลูฮานสายหัวไปมาช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนรักเบา ๆ

    “เออ ๆ เข้าใจ ๆ แล้วนี่แกแน่ใจนะว่าจะออกไปได้จริง ๆ อะ”

    “เดี๋ยวฉันคงรอซักพักก่อนหน่ะแหละ ดูนั่นสิ น่ากลัวจะตายไป”

    เอ่ยพูดก่อนจะทอดสายตามองลงไปยังกลุ่มพายุหิมะขนาดย่อม ๆ ที่รวมตัวกันขึ้นมาเต็มพื้นถนนไปหมด

    อู๋ อี้ฟ่านพ่นลมหายใจเย็นยะเยือกออกมาเป็นรอบที่ร้อยของวันเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เขา จะได้สัมผัสต่อจากนี้ถ้าเขาไปยอมฝ่าด่านมรสุมพายุหิมะพวกนี้

    ให้ไปถึงบริษัท เอกสารตารางการส่งออกสิ้นค้าที่ยาวเยียดตั้งแต่ปีนี้จนถึงต้นปีหน้าทำให้เขาต้องมานั่งทมทุกข์อยู่ตรงนี้แ
    ค่เพียงแค่ลืมเก็บมันมาที่ห้อง

    แต่ก็นั่นแหละนั่นมันเป็นความผิดของเขาเต็มเปาเลยไม่ใช่หรือไง แต่ถึงอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างมันคงจะราบรื่นกว่านี้ ถ้า ณ. เวลานี้ มันไม่มีเจ้าสิ่งสีขาวโผลน

    หล่นเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นถนนที่เขาใช้สัญจรอยู่ทุกวี่วัน บริษัทอยู่ใกล้แค่เอื้อมมันใกล้ซะจนเขาสามารถเดินไปมาได้อย่างสะดวกสบายเพียงเวลาไม่

    กี่สิบนาที หากแต่มันกลับไม่ใช่สำหรับตอนนี้ ตอนที่เขายังไม่รู้เลยว่าเขาจะออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่

    “นี่ ลูฮาน ฉันจะไปแล้วนะ ล็อคประตูด้วยหล่ะ”

    ละสายตาออกมาจากพื้นถนนสีขาวตรงหน้าก่อนจะเงยใบหน้าคมเข้มขึ้นไปมองนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่ เข็มสั้นที่หยุดนิ่งอยู่ตรงเลข 12

    ทำเอาคริสต้องถอดใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน หิมะยังไม่มีทีท่าจะหยุดตก หากแต่เข็มของนาฬิกายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน

    ชายหนุ่มเอ่ยปากลาเพื่อนก่อนจะคว้าเสื้อโค้ชตัวที่หนาที่สุดพร้อมกับร่มสีดำสนิทขึ้นมาถือไว้ ก้าวเท้าออกไปจากห้องพร้อมเผชิญกับความหนาว

    ที่เรียงหน้ากันมาทักทาย อู๋ อี้ฟ่าน เพียงแค่ยิ้มรับกับมันด้วยความยินดี เขาไม่มีสิทธิโต้แย้ง ไม่ยอมรับ หรือต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น

    เพราะถึงอย่างไรมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งอย่างเขาก็ไม่สามารถผ่าด่านสิ่งที่เรียกว่ากฏของธรรมชาติได้อย่างแน่นอน










    “ เฮ้อ ค่อยยังชั่วยังอยู่ดี ”

    ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงใจทันทีที่เปิดลิ้นชักออกแล้วพบกับปึกเอกสารปึกใหญ่ที่วางเด่นอยู่ในนั้น ร่างสูงจัดการยกมันขึ้นมาถือไว้ก่อนจะก้าวเท้าเดินออก

    จากออฟฟิตทันที ร่มคันใหญ่สีดำสนิทถูกผู้เป็นเจ้าของยกขึ้นมาบดบังละอองสีขาวโผลนที่กำลังตระหน่ำลงมาอย่างไม่รู้จักเหน็ด
    เหนื่อย เปรียบเสมือนกันเดิน

    เล่น แรลลี่ หาขุมทรัทย์ก็ไม่ปาน ในเมื่อเดินมาถึงไม่เท่าไหร่ก็ต้องเดินกลับไปอีกแล้ว ใช่อยู่ว่าระยะทางมันก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรกับเขานัก แต่ถ้าลองนับยอด

    รวมทั้งขาไปและขากลับมันก็แอบโหดใช่ย่อย ไหนจะมองเข้าไปในออฟฟิตแล้วเห็นเข็มนาฬิกาก็กำลังตีอยู่ตรงเลข 1 นั่นมันทำให้เขาต้องยืนคิดแล้วคิดอีกว่า

    ควรจะฝากการนิทราของเขาในคืนนี้ไว้ในออฟฟิตแห่งนี้ดีไหม เเต่ก็คงจะได้แค่คิด เขาไม่สามารถจะหลับตานอนลงในที่แห่งนี้ได้ มันไม่ใช่เพราะเป็นคนนอน

    คนเดียวไม่ได้ หากแต่ที่นี่ ณ. ตอนนี้มันวังเวงซะจนเขารับไม่ไหว









    ชายหนุ่มสาวเท้าออกมาจากหน้าบริษัททันทีที่การหยั่งคิดของเขาสิ้นสุดลง หนาวเหน็บเหมือนเดิม เงียบสงบเหมือนเดิม และยังคงความน่ากลัวไว้เหมือนเดิม

    ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะสามารถข่มตัวเองไม่ให้คิดไปถึงสิ่ง ๆ นั้นได้ อู๋ อี้ฟ่านไม่ใช่คนที่กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น หากแต่บรรยายกาศแบบนี้ดูเหมือนมันจะเป็นใจ

    ให้เขาล้มเลิกความคิดเดิมเสียจริง ๆ พายุหิมะขนาดย่อม ๆ ยังคงหมุนวนอยู่บนถนนไปมาอย่างไม่เบื่อหน่าย และดูยิ่งนานมันก็เริ่มเพิ่มขนาดขึ้นทีละนิด ทีละนิด

    จน ณ. บัดนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าเสื้อโค้ชตัวหนาที่สุด พร้อมกับร่มคันมหึมาคันนี้มันจะไม่สามารถนำพาเขาไปให้ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยแน่นอน ชายหนุ่มเริ่ม

    กวาดตามองหาแหล่งพักพิงชั่วคราวที่เขาจะสามารถหลบหลีกความหนาวเหน็บเช่นนี้ได้ ราวกับคนสิ้นคิด ตอนนี้เวลาก็ปาไปตี 1 ครึ่งแล้ว คงไม่มีชาวบ้านคน

    ไหนเขาอดหลับอดนอนมารอเขาเป็นแน่ แล้วยิ่งอากาศหนาว ๆ อย่างนี้ยิ่งอย่าพูดถึง เขาก็คงจะทำเพียงแค่คิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมท้อถอย คริสยื่นคอ

    ชะเง้อมองไปตามทางข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ แล้วก็ได้ผล แสงสีส้มอ่อน ๆ ที่ฉายเด่นออกมาจากตึกแถวที่อยู่ห่างจากตัวเขาไปไม่ถึงครึ่งกิโล

    ทำเอาคริสมีความหวังขึ้นมา ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ณ. ที่แห่งนั้นทันที






    ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก



    “ มีใครอยู่ไหมครับ ”

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงแหบพร่าของชายหนุ่ม เพียงไม่กี่อึดใจประตูไม่สักบานหนักก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของผู้เป็นเจ้าของ ราวกับมนต์สะกด

    ใบหน้าขาวผุดผ่องที่ถูกล้อมกรอบด้วยกลุ่มเส้นผมสีดำสนิทนั้นมันกำลังทำให้ชายหนุ่มลืมความจำเป็นที่แท้จริ
    งของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง

    สายตาคมยังคงจ้องมองไปยังใบหน้านวลเนียนนั่นอย่างไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของของมัน

    “ขอโทษนะครับ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า ”

    ริมฝีปากเรียวบางแย้มยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรทันทีที่พูดจบประโยคคำถาม ราวกับอยู่กันคนละโลก อู๋ อี้ฟ่านเพียงแค่นิ่ง นิ่ง และนิ่ง และไม่ยอมตอบคำถาม

    ของคนตรงหน้าอย่างไร้มารยาท ดวงตาเรียวเล็กที่ถูกกรีดทับด้วยอายน์ไลน์เนอร์หนาเตอะถูกเจ้าของหรี่ลงเล็ก ๆ

    “ ถ้าไม่มีอะไร งั้นผมขอตัวนะครับ ”

    เสียงหวานจะติดดูมีอารมณ์นิด ๆ เมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมตอบคำถามแถมยังจ้องเขาด้วยสายตาอย่างนั้นอีก เรียวมือเล็กเอื้อมไปจับกลอนประตูไว้แน่น

    หากแต่กลับถูกทาบทับด้วยฝ่ามือหนา ๆ ของคนตรงหน้าแทบจะทันที

    “เอ่อ .. เอ่อ ผมขอโทษครับ ”

    กระชากมือออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเริ่มรู้สึกตัว ใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่านขึ้นมาด้วยความเขินอาย และก่อนที่จะทำอะไร ๆ ให้คนสวยตรงหน้าไม่พอใจ

    เป็นครั้งที่สอง อู๋ อี้ฟ่าน จึงรีบบอกความต้องการของตนเองออกไปทันที

    “เอ่อ .. ผมขอเข้าไปหลบหิมะซักพักนึงได้ไหมครับ”

    ร่างสูงตัดสินใจเอ่ยออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพียงเพราะเมื่อตะกี้เขากลับทำอะไรลุ่มล่าม ๆ ใส่คนตรงหน้าอย่างลืมตัว จนเขาคิดว่าความหวังที่มีเต็มร้อย

    ของเขาตอนนี้มันกลับลดลงเหลือศูนย์ แต่ผิดคาด ไม่มีถ้อยคำปฏิเศษ หรือด่าทอออกมาจากริมฝีปากอิ่มตรงหน้าอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้

    แต่กลับมีเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ พร้อมกับเรียวแขนสวยที่วาดเข้าไปในบ้านอย่างยินดี

    “ เชิญครับ ”








    ค่อย ๆ เดินตามผู้เป็นเจ้าของบ้านเขาไปช้า ๆ อย่างมีมารยาท สายตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณบ้านที่ถูกตกแต่งให้แสดงถึงกลิ่นอายของทางยุโรปอย่างน่าพิศวง

    ดวงไฟที่ส้มอ่อนที่ส่องสว่างอยู่ทั่วทุกมุมบ้านให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่กลับรู้สึกไม่สู้ดีนักให้กับร่างสู


    “คุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”

    สิ้นเสียงของผู้เป็นเจ้าของบ้านคือร่างของอาคันตุกะผู้มาใหม่ที่ค่อย ๆ หย่นตัวลงบนพื้นโซฟาเนื้อนุ่มนิ่มที่ผนังข้าง ๆ ก็คือบานกระจกใสที่สามารถ

    ทอดตามองเห็นพื้นถนนสีขาวโผลนได้อย่างชัดเจน ร่างสูงกระชับเสื้อโค้ชตัวหนาให้แนบเนื้อขึ้นมาอีกนิดเมื่อสัมผัสถึงอิทธิพลความหนาวเหน็บ

    จากด้านนอกที่แผ่ซ่านเข้ามา สายตาคมเริ่มเสาะหามองสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วบริเวณก่อนจะรู้สึกสะดุดตากับรูปวาดต่าง ๆ นา ๆ

    ที่แขวนเกลื่อนกลาดอยู่บนผนัง ด้วยลวดลายของปลายพู่กันที่จรดอยู่ในรูปวาดพวกนั้น มันแลดูถึงความปาณีต ความอ่อนโยน

    และความเอาใจใส่ของผู้วาดเป็นอย่างดี ถึงเขาเองจะไม่ได้ถนัดเรื่องเกี่ยวกับศิลปะอะไรมากนัก แต่เขาก็อดที่จะชื่นชมผู้สรรค์สร้างภาพวาดเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้

    ดวงตาคมเข้มยังคงนั่งจ้องพินิจไปยังรูปวาดที่แขวนโชว์เด่นอยู่ภายในบ้านกึ่งแกลลอรี่นี้อย่างชื่นชม

    “ คุณชอบเหรอ ”

    เสียงหวานดังขึ้นมาพร้อมกับกาแฟควันชุย 2 แก้ว ที่ถืออยู่ในมือคริสรีบหันหน้ากลับมาพร้อมกับ

    เรือนร่างระหงษ์ของผู้เป็นเจ้าบ้านที่กำลังทอดตัวลงนั่งบนโซฟาฟั่งตรงข้าม

    “อะ นี่ครับกาแฟ”

    เลื่อนแก้วกาแฟหนึ่งในนั้นให้คนที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ เหมือนกับความคิดของคนเรามันปรับเปลื่ยนกันได้ภายในไม่กี่เสี้ยววินาที รูปวาดที่เมื่อสักครู่

    เขาชมว่าสวยหากแต่ถ้าเอามาเทียบกับเรือนหน้าขาวใสของคนตรงหน้าเขาแล้วมันก็ไม่ค่าแตกต่างอะไรไปจากเศษกระด
    าษแผ่นนึงเลยซักนิด

    “ใช่ครับ ผมชอบมันมาก เอ่อ.. คุณเป็นคนวาดเองหมดเลยเหรอ’

    ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปพร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ นิด ๆ ริมฝีปากเรียวบางยกยิ้มขึ้นมาเล็ก ๆ

    “ใช่ครับ ผมวาดมันเอง ที่นี่เป็นแกลลอลี่ของผมเองแหละ”

    “อ่า จริงเหรอ คุณนี่วาดรูปสวยจังเลยนะครับ”

    ถ้อยคำชื่นชมอย่างจริงใจถูกชายหนุ่มเอ่ยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มีเพียงรอยยิ้มหวาน ๆ บนใบหน้าอิ่มเอิบเท่านั้นที่เจ้าตัวแสดงมันออกมาแทนคำขอบคุณ

    “แล้วคุณวาดรูปเหมือนได้หรือเปล่า ผมว่าฝีมืออย่างคุณต้องวาดได้แน่ ๆ เลย”

    เอ่ยถามก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบสลับกับมองเจ้าของใบหน้าเอิบอิ่มตรงหน้าช้า ๆ คริสรู้สึกเหมือนน้ำกาแฟที่อยู่ในแก้วหมดไปแล้วแต่เขาก็ต้องจำเป็น

    เก๊กดื่มต่อไป เมื่อไม่รู้ว่าจะแสดงท่าทางอะไรตอนที่นั่งคุยกับคน ๆ นี้ได้ ราวกับอยากจะทำให้มือของตัวเองพิการไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่าไม่ต้องการมันใน

    ณ. ตอนนี้ มือไม้หนา ๆ ที่พ่อแม่ให้เขามาตั้งแต่เกิดมันกลับมองดูแกะกะและไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อมานั่งอยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนี้ คนที่เขาต้องใช้

    ความพยายามทั้งหมดที่มียับยั้งความรู้สึกมากมายที่กำลังก่อตัวขึ้นมาเงียบ ๆ ในหัวใจ

    “ ได้ครับ ผมวาดมันได้ คุณอยากให้ผมวาดรูปคุณเหรอ ”

    คิ้วเรียวเล็กเลิกขึ้นเล็ก ๆ ด้วยท่าทางสงสัย คริสหัวเราะออกมาเบา ๆ

    “ใช่ครับ ผมอยากได้มาก ๆ เลย โดยเฉพาะถ้ามันจะถูกสรรค์สร้างออกมาด้วยฝีมือของคุณ”

    ดวงตาคมเข้มฉายแววจริงจังให้กับคำพูดที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไป ริมฝีปากเรียวบางยกยิ้มขึ้นมาอย่างยินดี

    “ได้สิครับแต่มันคงไม่ใช่วันนี้นะ นั่นไงครับหิมะหยุดตกแล้ว คุณควรจะกลับบ้านไปได้แล้วนะครับ”

    ใบหน้าขาวพยักเพยิดให้อีกคนมองออกไปข้างนอก ใช่ ตอนนี้หิมะหยุดตกแล้วก็จริง แต่นี่มันปาไปตี 3 แล้วไม่ใช่หรือไง

    ทำไมคนตรงหน้าถึงไม่ยอมใจดีให้เขานั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้านะแต่ก็นั่นแหละถ้ามองในแง่ดีซักหน่อยไม่แน่ว่า
    คนสวยตรงหน้า

    อาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยกับสายตาและท่าทางที่เขาแสดงออกไปก็ได้

    “อ่อ นั่นสิครับเอาเป็นว่า รอเป็นวันพรุ่งนี้ก็ได้นะครับ ”

    “ครับ แล้วผมจะรอนะ ”

    สุดเสียงหวานคือเรือนร่างระหงษ์ที่ยันตัวลุกขึ้น คริสรีบลุกตามก่อนที่เขาทั้งสองจะพากันเดินไปที่หน้าประตู แทบจะทันทีที่ประตูไม้สักเนื้อหนาถูกเปิดออก

    ไอหนาวกลุ่มใหญ่ก็ร่วมมือร่วมใจกันพัดกรูเข้ามาปะทะกับใบหน้าของพวกเขาทั้งสองอย่างจัง คริสรีบเดินออกไปยืนอยู่ข้างนอกก่อนจะหยิบร่มขึ้นมากางอย่าง

    รวดเร็ว

    “คุณรีบเข้าบ้านไปเหอะ อากาศข้างนอกเย็นขนาดนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”

    ชายหนุ่มรีบพูดออกมาอย่างเป็นห่วง พร้อมกับกอดซองเอกสารปึกหนาไว้แน่น ร่างสูงๆ

    ที่กำลังกระโดดโหยงเหย้งไปมาด้วยความหนาวเหน็บเรียกเอารอยยิ้มเล็ก ๆ ให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าสวยอีกครั้ง

    “อะไรเล่า มัวแต่ยืนยิ้มอยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณต้องวาดรูปให้ผมนะถ้าคุณไม่สบายขึ้นมาผมก็แย่หน่ะสิ”

    พยายามพูดออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำที่สุดเท่าที่สามารถจะพูดออกมาได้ ริมฝีปากเขียวช้ำสั่นระริกขึ้นมาอย่างน่าเป็นห่วง

    “อ่า โอเค ๆ แต่คุณรอผมแปบนึงนะ”

    รีบพูดก่อนจะวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว แค่เพียงไม่นานร่างเล็ก ๆ นั่นก็วิ่งออกมาพร้อมกับผ้าพันคอผืนหนา คริสอึ้งขึ้นมานิด ๆ เมื่อคน ๆ นั้นก้าวเท้าออกมา

    จากในบ้านพร้อมกับคลี่ผ้าพันคออกอย่าเบามือ กลิ่นหอมกรุ่น ๆ ที่โชยออกมาจากพวงแก้มนวลเนียนมันเกิดขึ้นเพียงเพราะใบหน้าขาว ๆ นั่นอยู่ใกล้มากเกินไป

    เรียวมือสวย ค่อย ๆ พาดผันผ้าผืนหนาสีดำสนิทไว้รอบคอเขาอย่างเบามือ ราวกับเวลาผ่านไปเป็นปี กลิ่นหอมกรุ่น ๆ นั่นยังคงตลบอวลอยู่ตรงหน้าพร้อมกับความ

    หอมหวลที่เพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่หมุนผ่านไป ราวกับมนต์สะกด หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ตามที่เราต้องการ รู้สึกจะด้านชาไป

    ทั้งหมดสำหรับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย หากแต่มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่ไม่ยอมโอนอ่อนไปกับบรรยากาศโดยรอบ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ มันกำลังเต้นแรง แรงขึ้น และ

    แรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หากแต่คนที่กำลังเหน็ดเหนื่อยที่แท้จริงก็คือเขา คนที่เป็นผู้ครอบครองหัวใจอันแสนดื้อรั้นดวงนี้นี่เอง














    ท่ามกลางแสงสีดำทมึนแห่งรัตติกาล ความหนาวเหน็บคือเพื่อนแท้ยังคงไม่ตีจากมันไปไหน หากแต่มีสิ่งมีชิวิตสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ยอมหลับไหลไปตามเพื่อนพ้อง

    ของมัน อู๋ อี้ฟ่านค่อย ๆ แทรกตัวออกมาจากก้อนผ้าห่มผืนหนาที่โอบรอบตัวเขาและเพื่อนรักเอาไว้ เรียวเท้าเเกร่งค่อย ๆ ย่างลงมาแตะลงบนพื้นห้องเย็นเฉียบ

    อย่างระมัดระวัง ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านขึ้นมาจนถึงเส้นประสาทอย่างไม่ต้องคาดเดา ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงโอดครวญ เพราะนั่นเขาไม่ต้องการให้คนที่กำลัง

    นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ ได้รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่เขาเป็นคนที่ชอบปกปิดอะไรเพื่อน หากแต่ลูฮานมักจะเป็นคนที่ชอบจู้จี้จุกจิกจนเป็นนิสัย และถ้าเกิดเขาปริ

    ปากบอกเรื่องนี้กับมันไป รับรองคืนนี้เขาคงไม่ได้ออกไปจากที่นี่ดังใจหวังแน่ ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจได้ดังนั้นจึงค่อย ๆ ย่องฝีเท้าเดินไปหยิบเสื้อโค๊ดตัวใหญ่ ร่มสี

    ดำสนิทคันเดิม พร้อมกับผ้าพันคอหนา มาถือไว้ในมือ ความเย็นเยือกจากพื้นห้องยังคงพากันแผ่ขึ้นมาทักทายร่างสูงอย่างไม่หยุดหย่อน จนเขารู้สึกเกร็งที่ข้อ

    เท้าอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มแหยเกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดเริ่มทวีคุณขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นี่หรือคืออุปสรรคสำหรับการไปพบเจอกับคนที่เขารอ

    คอยมาตลอดทั้งวัน และถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ขอข้ามผ่านสิ่งที่เรียกอุปสรรคพวกนี้ออกไปอย่างไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น หากแต่ยังคงมีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ยังคง

    เต้นตึกตักอยู่ภายในร่างกายของเขา พลังงานอันมหาสารของมันคงมีค่าไม่น้อยที่พาร่างกายอันเย็นยะเยือกร่างให้ไปถึงยังจุดหมายที่เขาถวิลหาได้อ
    ย่างปลอดภัย











    ก๊อก ก๊อก ก๊อก


    “ มีใครอยู่ไหมครับ ”

    ทันทีที่ส่งเสียงแหบพร่าเข้าไปได้ไม่นาน ประตูไม่สักบานเดิมก็ถูกเปิดขึ้นมาด้วยฝีมือของผู้เป็นเจ้าของ ดวงตาสวยฉายแววแปลกใจออกมาอย่างปิดไม่มิด

    เมื่อเห็นที่ไม่คิดว่าจะมาได้มายืนตัวสั่นพลัก ๆ อยู่ที่หน้าบ้านของเขา และก่อนที่จะเอ่ยถามอะไรออกไป เจ้าของบ้านผู้ใจดีก็เชิญอาคันตุกะยามเที่ยงคืน

    ให้เข้ามาหลบลมหนาวในบ้านก่อน คริสรีบวิ่งเข้าไปแทบจะทันทีที่จบประโยคเชื้อเชิญของคนตรงหน้า

    “ผมนึกว่าคุณจะมาไม่ได้ซะอีก หิมะข้างนอกตกหนักมากขนาดนั้น

    ความจริงแล้วเราค่อยมาวาดกันวันหลังก็ได้นะ”

    เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือเรียวที่วางแก้วกาแฟที่โชยควันหอมฉุย ลงตรงหน้าร่างสูง คริสเพียงแค่ผงกหัวขอบคุณเบา ๆ พร้อมกับฝ่ามือหนาที่ถูเสียดสีกัน

    ไปมา ก็ใช่อยู่ที่อากาศในนี้จะดูดีกว่าข้างนอกมาก แต่สำหรับเขาการปรับตัวมันก็สิ่งที่ยากใช่เล่นหรอกนะ

    “ผมกลัวคุณจะรอหน่ะ ผมสัญญาแล้วว่าจะมา ก็ต้องมาให้ได้สิ คือผมไม่ชอบเป็นคนผิดนัดใครหน่ะ”

    ถึงปากจะบอกไปอย่างนั้นแต่จิตใจกับรู้สึกถึงความตรงกันข้ามได้อย่างชัดเจน แต่จะให้เขาปริปากบอกคนตรงหน้าไปหรอ ว่าที่เขาดั้นด้นฝ่าด่านหิมะมาเนี่ย

    ก็เพื่อจะได้นั่งมาจ้องหน้าจ้องตาคนที่ตามหลอกหลอนเขามาทั้งวันทั้งคืนอย่างนั้นหน่ะ อู๋ อี้ฟ่าน คนนี้ไม่สามารถทำได้แน่ ๆ

    “ อ่อ งั้นเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ถ้าไม่มีสัญญา คุณก็คงจะไม่มีทางมาแน่ ๆ ใช่ไหม”

    ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่รอยยิ้มหวาน ๆ ก็ยังคงไม่ยอมหลุดลอยไปจากใบหน้าสวย ๆ อย่างที่ควรควรจะเป็น

    แต่นั่นหล่ะมันยิ่งทำให้คนอีกคนเครียดขึ้นมาหนักกว่าเดิมซะอีก

    “เอ่อ คือผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นคือผมแค่ .....”

    “ผมว่าเรามาเริ่มวาดรูปกันเลยดีกว่าไหมครับ”

    พูดแทรกขึ้นมาอย่างไร้มารยาท ก่อนจะเดินนำไปยังห้องวาดรูป คริสได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ แล้วก็เดินตามหลังบาง ๆ ไปแค่นั้น เอาแล้วสิ

    สิ่งที่คิดว่าง่ายมันกำลังจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความประพฤติของเขาเองซะแล้ว

    “คุณนั่งรอตรงนี้สักครู่นะครับ”

    เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปอีกห้อง คริสค่อย ๆ ทอดตัวนั่งลงบนเก้าตัวกลมอย่างช้า ๆ สายตาคมกวาดห้องไปทั่วบริเวณอย่างพินิจพิเคาระห์

    ราวกับแกลลอรี่เปิดใหม่ ของใช้ เครื่องใช้ หรือ แม้จะเป็นกรอบรูปชนิดต่าง ๆ ก็ดูจะเอื่ยมสะอาดตาไปหมด รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมแปลก ๆ โชยเข้ามาแตะจมูก

    ได้รูปเป็นระยะ เพียงเวลาไม่นาน ร่างบาง ๆ ของคนที่บอกให้รอก็ก้าวออกมาพร้อมกับผ้ากันเปื้อนผืนขาวสะอาด

    “ เราเริ่มกันได้หรือยังครับ ”

    ราวกับประโยคคำสั่ง ร่างบาง ๆ เดินเข้ามานั่งในตำแหน่งของตนโดยไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้โต้ตอบอะไร ๆ ทั้งสิ้น

    คริสจึงไม่รอช้าที่จะพยายามรวบรวมสติของตัวเองให้คงที่ มือเรียวตวัดปลายดินสอขึ้นมาถือไว้อย่างชำนิชำชาญ

    จรดปลายของมันลงบนแผ่นกระดาษเกรดดีที่ถูกผึงอยู่กับกระดานรองวาดภาพที่วางอยู่ตรงหน้า

    “พยายามทำหน้านิ่ง ๆ หน่อยนะครับ”

    เหมือนจะรู้เท่าทันกับปฏิกริยาของคนตรงหน้า แต่มันเหมือนจะเรื่องยากที่จะให้คนอย่างเขาทำหน้านิ่งขรึม หรือไม่ไหวติงกับเรียวตาสวยที่จ้องมองมา

    ต้องแอบลอบยิ้มอย่างรวดเร็วทุกทีที่คนตรงหน้าก้มลงไปวาดรูปแต่ก็ใช้ความเร็วไม่แพ้กันในปรับสีหน้าให้นิ่ง
    เฉยทุกคราที่ถูกจดจ้อง ดวงตาเรียวเล็กค่อย ๆ

    จ้องไปยังกลุ่มผมสีดำสนิท ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงมายังดวงตาสีสนิลสว่าง เลื่อนลงมายังปลายจมูกแหลมคม แล้วต่อด้วยริมฝีปากหยักหนาตามลำดับ

    ไร้ปฏิกริยาขวยเขินของคนตรงหน้า คริสดูจะใจหายวูบไปซักนิดเมื่อคนที่กำลังสรรค์สร้างงานศิลปะให้เขาดูไม่จะไหวติงกับความหล่อเหลาที่วางเลื
    ่อนกลาด

    อยู่บนใบหน้าของเขาเลยซักนิด ดวงตาของความแน่วแน่และตั้งใจคือสิ่งที่คนเก่งของเขาแสดงออกมาตลอดระยะเวลาการทำงาน เพียงไม่นานรูปวาดที่ทั้งเขา

    และคนวาดตั้งใจสรรค์สร้างมันขึ้นมาก็เสร็จสิ้นลง

    “เสร็จแล้วครับ โอเคไหม”

    ค่อย ๆ หันกระดานวาดภาพมาทางผู้ที่อยู่ในสถานะของลูกค้าได้เชยชม ดวงตาคมเบิกโผลงขึ้นมาอย่างแปลกใจทันทีที่มองเห็นลายเส้นที่ผาดพันกัน

    อยู่ในกระดาษเปล่าแผ่นนั้น เหมือน เหมือนแบบไม่มีที่ติ นี่เขากำลังนั่งส่องกระจกมองดูตัวเองอยู่หรือเปล่าเนี่ย

    “เหมือน เหมือนมากเลยครับ ว่าแต่ ทำไมดูไปดูมารูปในรูปวาด มันถึงเหมือนจะดูดีมากกว่าผมอีกหละ”

    “อ่า นี่คุณกำลังจะบอกว่าฝีมือผมยังไม่ดีงั้นสิ ”

    “เปล่าครับ ผมแค่อยากจะถามว่าในสายตาของคุณ คนอย่างผมมันดูดีมากขนาดนี้เลยเหรอ ”

    ดูเหมือนจะเป็นคำหวานที่ใช้หยอดหยดลงไปให้ใครก็ตามที่ได้ฟังเคลิบเคลิ้ม หากแต่ด้วยวิสัยที่แท้จริงของ อู๋ อี้ฟ่านคนนี้ ห่างไกลจากคำว่าพวกเพลย์บอย

    หรือ เพลย์เกิลร์อะไรนั่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากำลังแสดงออกไปจากตรงนี้มันคือสิ่งที่กำลังหรั่งรินออกมาจากหัวใจของเขา
    ล้วน ๆ

    “ คุณคิดอย่างนั้นเหรอ ”

    มันช่างเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงซะเหลือเกิน

    “ถ้าอย่างนั้นผมจะเก็บรูปนี้เอาไว้แล้วกันนะ เอาเป็นว่าผมขอโทษจริง ๆ ที่ทำให้คุณเสียเวลา

    ว่าเต่ คุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ ”

    เพียงเวลาไม่นานในการใส่กรอบรูป อู๋ อี้ฟ่านก้มหน้าลงมองรูปวาดที่ฉายเด่นออกมาจากกรอบรูปสีทองในมืออย่างเสียดาย ถ้าเกิดว่าเขาปากไม่พร่อยซะเกินไป

    หรือไม่ คนตรงหน้าไม่อยากได้รูป ๆ นี้ซะเกินเหตุ ป่านนี้เขาก็คงได้รูป ๆ นี้ไปนอนกอดให้ช่ำหัวใจไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังอดดีใจไม่ได้ที่อย่างน้อย

    คน ๆ นั้นยังอยากจะมีรูปเขาเก็บอาไว้ ถึงแม้มันจะเป็นเหตุผลที่ดูไม่สู้ดีนักก็ตาม

    “ คุณตามผมมาหน่อยสิ ”

    เสียงหวานเอ่ยเรียกทันทีที่จัดการเก็บของภายในห้องวาดรูปเสร็จสิ้น เรียวขาสวยสาวเท้านำคนรับใช้จำเป็นที่ยืนถือรูปวาดอยู่ในมือ

    ให้เดินตามขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านอย่างเงียบ ๆ

    “คุณจะเอารูปนี้ไปเก็บไว้ที่ไหนเหรอ ”

    “ในห้องนอนผมหน่ะ อะนี่ ถึงแล้ว ”

    หันมายิ้มก่อนจะสาวเท้าต่อไปอีก 2ก้าว จัดการปิดกลอนประตูก่อนจะเดินนำเขาไปในห้อง คริสค่อย ๆ ก้าวเท้าตามเข้าไปอย่างเงียบ ๆ

    ภายในห้องเย็นเฉียบ แสงสีทองของหลอดไฟส่องสว่างอยู่ทุกมุมห้อง ราวกับจะรอเตรียมต้อนรับใครซักคนไว้แล้ว ข้าวของเครื่องใช้สะอาดเอื่ยมอ่อง

    เหมือนกับผ่านเช็ดขัดทำความสะอาดมาเป็นอย่างดี

    “ คุณ คุณครับ ”

    เสียงหวานที่เปล่งออกมาถี่ ๆ เรียกสติสตังของชายหนุ่มให้วกกลับมาที่เดิม อู๋ อี้ฟ่าน ยกมือขึ้นมาเกาหัวเก้อ ๆ ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษขอโพยซะยกใหญ่

    “ เอ่อ ผมขอโทษครับ ว่าแต่ คุณจะรูปนี้เก็บไว้ตรงไหนเหรอ ”

    “ตรงโน่นครับ ตรงปลายเตียงนั่นหน่ะ”

    นิ้วเรียวยาวชี้ขึ้นไปบนผนังปลายเตียง อู๋ อี้ฟ่านรู้สึกแปลก ๆ กับตำแหน่งการวางรูปที่เป็นรูปหน้าตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาหน่ะเหรอจะมีสิทธิโต้ตอบอะไร

    เจ้าของห้องคนนี้ ชายหนุ่มค่อย ๆ ย้ายตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนเก้าอี้ตัวโตที่มีคนใจดีเอาออกมาวางไว้ให้อยู่แล้ว ค่อย ๆ บรรจงแขวนกรอบรูปไว้อย่างระมัดระวัง

    เมื่อทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วขาแกร่งก็เตรียมจะก้าวลงมาทันที แต่ดูเหมือนอะไร ๆ มันจะยากกว่าที่คิด เก้าอี้ตัวกึกเริ่มสั่นคลอนไปมาอย่างแรงจนตัวเขา

    เสียหลักล้มลงไปทับคนที่ยืนให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ดวงตาคมเบิกโผลงพร้อมกับ ริมฝีปากของคนทั้งสองสัมผัสเข้าหากันอย่างจัง กลิ่นหอมกรุ่น ๆ ชัดเจนขึ้นมา

    แทบจะทันทีเมื่อใบหน้าขาวใสอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

    “โอ๊ะ ! ผะ ผมขอโทษครับ”

    เอ่ยคำขอโทษพร้อมกับลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ต่างกันกับอีกคนอย่างสิ้นเชิง เรือนร่างงามระหงษ์ค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ

    ใบหน้าขาวใสแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวยาวยังคงไล้วนอยู่บนริมฝีปากอิ่มของตัวเองอย่างยั่วยวน

    “เอ่อ .. คือ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”

    รีบเอ่ยคำลา จะเดินหันหลังกลับ หากแต่อะไร ๆ มันจะดูง่ายดายกว่านั้น ถ้ามือบาง ๆ ไม่เอื้อมมาฉุดรั้งข้อมือเข้าไว้

    อู๋ อี้ฟ่าน ค่อย ๆ หันหลังกลับไปหาคน ๆ นั้นอีกครั้ง พร้อมด้วยหัวใจที่พองโต


    “คืนนี้ คุณ .. อยู่ที่นี่ได้ไหม”












    “ เมื่อคืนแกหาย หัวไปไหนมาอีกแล้วฮะคริส รู้ไหมฉันเป็นห่วงแกแทบตายหน่ะฮะ ”

    แล้วก็เป็นตามที่คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน อาจจะคิดว่ารอดที่แอบเข้าห้องไปตอนรุ่งส่างแล้วไม่เห็นไอ้เพื่อนขี้บ่นคนนี้นอนอยู่ในห้อง

    แต่ถึงอย่างนั้น ยังไง ๆ ซะ ลูฮานกับเขาก็ทำงานอยู่ที่เดียวกัน โอกาสรอดเป็นศูนย์ หากแต่โอกาศที่จะพอหาคำแก้ตัวดี ๆ มาซักข้อก็มีอยู่ไม่น้อย

    “ เมื่อคืนฉันมีธุระหน่ะ”

    “ธุระ ? ธุระอะไรของแกนักหนาฮะ ฉันเห็นแกมีธุระติดต่อกันมาจะเป็นเดือนแล้วนะ ”

    “ มันเป็นธุระแบบเร่งด่วนก็เลยลืมบอกแกหน่ะ ขอโทษจริง ๆวะเพื่อน ”

    เดินเข้าไปขอโทษคนที่นั่งหน้างุ้มอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเร่งรีบ ใบหน้าหล่ออดที่จะเผยอมยิ้มเล็กๆ ออกมาไม่ได้

    เมื่อนึกไปถึงธุระแบเร่งด่วน ที่ตัวเองเพิ่งไปทำมาเมื่อคืน

    “มายืนยิ้มบ้าบออะไรอยู่ตรงนี้นี่ห๊ะ ฉันกำลังโกรธแกอยู่ไม่เห็นหรือไง”

    เงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนรักอย่างฉุน ๆ เมื่อรู้สึกว่าเสียงของอีกคนจะเงียบลงไป นี่ใจคอมันจะมาง้อแค่นี้ใช่ไหม

    “เออ ๆ หน่า ขอโทษ ๆ แล้วขอบใจด้วยนะที่เป็นห่วง ”

    เอ่ยบอกก่อนจะค่อย ๆ เดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ประจำแผนกของตน ปากกาเล่มเรียวเล็กถูกมือหนาหยิบขึ้นมาควงเล่นพร้อมกับฮัมเพลงในคอเบา ๆ

    อย่างมีความสุข มีความสุขจนไม่รู้จะอธิบายมาเป็นคำพูดอย่างไง ระยะเวลาที่แอบคบกับคน ๆ นี้ก็ผ่านมาก็ร่วม 2 อาทิตย์ แล้ว ถึงแม้ต้องแอบหลบ ๆ ซ่อน ๆ

    แถมยังต้องเจอกันได้เฉพาะแค่ตอนกลางคืน แต่ความรักอันแสนดูดดื่มของพวกเขาทั้งสองยังคงหอมหวานและไม่มีท่าทีจะหยุดนิ่งลงเเต่อย่างใด

    จะมีก็คงมีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ได้พบเจอ เพียงแค่ทนยอมโกหกลอกลวงคนอื่นไปวัน ๆ อย่างนี้ แล้วเขาจะได้พบเจอคนอันเป็นที่รัก

    ได้อย่างสบายใจ มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาต้องปฏิเสธนี่ จริงไหม ?











    ท่ามกลางแสงสีทองอ่อน ๆ จากโคมไปส่องที่ฉายเข้ามาทางหน้าต่างบานนั้น เผยให้เห็นสองร่างเปื่อยเปล่าที่นอนกอดกกกันอย่างไม่รู้จักความหนาวเหน็บ

    ถึงอากาศข้างนอกจะชวนให้รู้น่าผวาเช่นไร แต่อุณภูมิอันร้อนระอุที่เพิ่งดับลงไปมาด ๆ ก็ยังคงเจือจางสร้างความอบอุ่นให้ร่างทั้งสองได้เป็นอย่างดี ดวงตาเรียว

    เล็กค่อย ๆ ปรอยปรือเงยขึ้นมองเจ้าของใบหน้าคมเข้มที่อยู่ที่อยู่ห่างกับลำตัวบอบช้ำของตัวเองเพียงแค่คืบ ความรู้สึกหลากหลายถูกฉายแววออกมาจากนัยต์ตา

    คู่นั้น ไล้ฝ่ามือเรียวเล็กไปตาโครงหน้าแกร่ง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมายังปลายจมูกโด่งคม แต่ยังไม่ทันที่จะได้สัมผัสอะไร ๆ ไปมากกว่านี้ มือเรียวที่กำลัง

    เล่นซุกซนอยู่ก็ถูกมือหนาของผู้ที่คิดว่าหลับไปแล้วคว้าไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ฝังจุมพิตลงไปเบา ๆ อย่างทะนุทะนอม

    “ เป็นอะไรหรือเปล่า ฮืม ”

    ส่งเสียงออกมาจากความมืดที่มองไม่เห็น เรียวแขนแกร่งตวัดร่างเปลือยเปล่าของคนข้าง ๆ เข้ามากอดให้แนบแน่นขึ้น

    หัวกลมเล็กค่อย ๆ ซุกไซร้เข้าไปหาไออุ่นบนอกแกร่งอย่างออดอ้อน

    “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า บอกผมมาสิ ”

    เป็นคำถามเดิม หากแต่มันกำลังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เมื่อคนข้าง ๆ ไม่ยอมตอบมันกระจ่างแจ้ง สัมผัสของหยาดน้ำตาเม็ดเล็ก ๆ ที่กำลังหล่นรินลงบนอกแกร่ง

    ทำเอาชายหนุ่มเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ตอนเจอกันแล้วไม่ใช่หรือไงที่คน ๆ นี้มีท่าทีแปลก เงียบ ซึม แถมยังเอาแต่จ้องหน้าจ้องตาเขาอย่างเดียว

    เหมือนมันจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง คนตรงหน้าไม่เคยเป็นอย่างนี้ คนที่เขารักไม่มีทางทำท่าทีแบบนี้เด็ดขาด

    “ คุณบอกผมมาสิ คุณร้องไห้ทำไม บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะ”

    เขย่าตัวเบา ๆ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นดังออกมาเป็นคำตอบ ไม่ ไม่เอาแล้ว อู๋ อี้ฟ่าน

    คนนี้ไม่อยากได้เสียงร้องไห้อีกแล้ว กรุณาเงียบลงเถอะ หยุดมันเดี๊ยวนี้

    “ ผะ ผม ผมแค่กลัว ”

    “คุณกลัวอะไร ให้ทำอะไรคุณ บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะ ผมจะไปฆ่ามัน”

    ดูเหมือนเขาจะบ้าไปแล้วกับท่าทีที่เสดงออกมา แต่ไม่ใช่ เขาไม่ได้บ้า หากแต่เขาต้องการที่จะกำจัดใครก็ตามที่มันบังอาจทำให้หยดน้ำค้างพวกนี้

    หรั่งรินลงมาจากดวงตาของผู้เป็นที่รัก เรียวนิ้วแกร่งค่อย ๆ ขึ้นมาปัดป่ายหยดน้ำตาพวกนั้นให้ผ่านพ้นไปจากพวงแก้มนุ่มอย่างเบามือ

    “ปะ เปล่าไม่มีใครทำอะไรผม แต่ผมแค่กลัว กลัวแค่คุณจะทิ้งผมไป คุณอย่าทำอย่างนั้นนะ

    คุณต้องสัญญา สัญญาว่าจะต้องรักผมคนเดียว คุณเข้าใจไหม ”

    ดูเหมือนจะรู้สึกมึนงงกับคำพูดพวกนั้นไม่น้อย ในเมื่อเขาทุ่มเทให้กับคนตรงหน้ามากขนาดนี้แล้ว ทำไมดูเหมือนคนรักของเขาถึงยังไม่มั่นใจอีกหล่ะ

    กรุณาเชื่อใจกันซักหน่อย ไม่มีทาง ไม่มีทางแน่ ๆ เขาไม่อาจทำลายหัวใจของตัวเองลงไปด้วยมือคู่นี้เด็ดขาด

    “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะรักคุณตลอดไป เชื่อใจผมสิ คุณต้องเชื่อใจผมนะ

    แล้ววันสุดท้ายของชีวิตเราสองคนก็จะมีความสุขอยู่ด้วยจนวันตาย ผมสัญญา”

    สิ้นเสียงแหบทุ้มก็คือจุมพิตเบา ๆ จากริมฝีปากหนาที่ค่อย ๆ บรรจงกดลงบนหน้าผากนุ่มแทนคำสัญญา คนตรงหน้าคงพล้อยหลับไปแล้วเขารู้

    หากแต่มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่ยังคงดึงสติของเขาไม่ให้หลุดลอยไปยังตามกลาเวลานั่นก็คือความรู้สึกแปลก ๆ ที่ค่อย ๆ ถ่าโถมเข้ามาเป็นระลอก ๆ

    จะเป็นไปได้ไหมว่าคนตรงหน้ากำลังสื่อถึงอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่ควรรู้ แต่ถึงอย่างนั้น อู๋ อี้ฟ่าน คนนี้ก็ยังคงถือคติเดิมที่ว่า





    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งอย่างเขาก็ไม่สามารถผ่าด่านสิ่งที่เรียกว่ากฏของธรรมชาติได้อย่างแน่นอน









    “ เฮ้ย ! เพื่อนวันนี้วันหยุดเราไปเที่ยวไหนกันดีวะ”

    เสียงแหลมเล็กของอีกคนเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะจ้องมองไปยังปลายเตียง

    ที่มีคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรูมเมท กำลังหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกอย่างนึกหมั่นไส้

    “ฉันไม่ว่างอะ มีนัด แกไปคนเดียวเหอะ”

    เสียงทุ้มเอ่ยพูดก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ตผมอย่างชำนิ ชำนาญ

    “อะไรของแกวะ วันหยุดทั้งที เหยดเวลามาเที่ยวกับเพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไง ว่าแต่ .. แกนัดใครไว้อะ แฟนเหรอ ?”

    ตะล่อม ๆ ถามไปอย่างงั้นทั้งที่มีคำตอบอยู่เต็มอก เขาจึงไม่คิดจะสนใจมากเท่าไหร่ มือเรียวขาวยกผ้าเช็ดตัวอีกผืนขึ้นมาเช็ดหัวไปเรื่อยเปื่อย

    ก่อนที่คำตอบที่เขา (แอบ) เฝ้ารอจะเปล่งออกมาจากปากของเพื่อนรัก

    “เออ ฉันมีนัดกับแฟนหน่ะ”










    ไม่รู้จะปกปิดไปให้มากเรื่องทำไมในเมื่อเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วก็ผิดตามคาดลูฮานไม่ได้ถามไถ่ไตร่ความอะไรอย่างที่เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรก

    เพราะฉะนั้นจึงมีเวลาอีกมากพอที่จะให้เขาไปเดินหาซื้อช่อดอกไม้สวย ๆ สักช่อไปเซอร์ไพร์คนรักของเขา ราวกับเวลาเที่ยงคืน ไม่มีคนเดิน

    และอากาศก็ยังคงหนาวเหน็บอยู่อย่างเช่นเดิม มือหนาที่เย็นเชียบกำลังประคองช่อดอกไม้สีหิมะไว้อย่างทะนุทะนอม ความรู้สึกแปลก ๆ

    เริ่มตีตื้นขึ้นมาบนอกแกร่ง ๆ ทันทีที่เม่อมองออกไปยังหน้าบ้านหลังที่คุ้นเคย มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ นั่นมันรถของใครกันนะ ไม่รอช้าที่จะวิ่งตามหาคำตอบ

    ที่กำลังตีกันวุ่นอยู่ในใจ ทันทีที่วิ่งเข้าไปจนถึงที่หมาย ร่างสูงพ่นลมหายใจออกมาอย่างหอบ ๆ ก่อนจะรีบยกมือขึ้นไปเคาะประตูไม้สักบานเดิมอย่างไม่รอช้า



    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    “ มีใครอยู่ไหมครับ ”

    แกร๊ก !!!

    “ คุณ .... มาหาใครเหรอครับ ”










    บรรยายกาศอึมครึมของการพบเจอกันครั้งแรกตลบอบอวลอยู่ภายในบ้านหลังที่คุ้นเคย โอ เซฮุน เด็กหนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูให้เขาเข้ามา

    เพียงเพราะคิดว่าเขาคงจะมาหลบลมหนาว แปลกประหลาดใบหน้าขาวใสนั่นฉายแววหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงบรรยาศโดยรอบ

    มันกลับมีลักษณะแตกต่างกับเมื่อคืนราวกับอยู่ในบ้านคนละหลัง โฟซามีฝุ่นเกาะหนาเคอะคระ ใยแมงมุมเกาะก่ายอยู่เต็มผนังไปหมด

    แต่นั่นมันยังคงไม่น่าแปลกใจเท่ากับคน ๆ นึงที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วคนคนนั้น ก็คือคนรักของเขาเอง

    “เอ่อ คือ ... คุณเป็นใครเหรอครับ”

    ตัดสินใจถามออกไปกับคนที่กำลังนั่งซึมเศร้าอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเล็ก ๆ รีบเงยขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก

    โอ เซฮุน พยายามกลั้นน้ำทุกหยดเอาไว้ด้วยความขมขื่น

    “ผมเป็นน้องของเจ้าของบ้านหลังนี้เองหล่ะครับ ”

    เสียงแหลมเล็กนั่นเอ่ยพูดออกมาเบา ๆ ใบหน้าคมเข้มฉายแววฉงนออกมาอย่างปิดไม่มิด

    “ แล้วพี่ชายคุณหล่ะครับ พี่ชายคุณตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ”

    คิดว่าคำถามที่เอ่ยออกมันจะมีประโยชน์ที่สุดสำหรับตัวของเขาตอนนี้ แต่ไม่ เด็กหนุ่มคนนั้นปล่อยโฮออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลทะลักลงมาราวกับ

    เขื่อนแตก รีบควานหากระดาษเช็ดชู่ยื่นให้เป็นพัลวันพร้อมกับคำถามมากมายที่ตีวนกันอยู่ในหัวสมอง บ้านหลังนี้เป็นของใคร พี่ชายของเด็กคนนี้ชื่ออะไร

    แล้วทำไมเวลาพูดถึงคน ๆ นั้นเด็กคนนี้ถึงต้องปล่อยโฮออกมาขนาดนี้ด้วย เอาแล้วสิ ตอนนี้เขาเริ่มสับสนไปหมดแล้ว

    “พะ พี่ผมเสียแล้ว เขาเพิ่งเสียไปเมื่อต้นเดือนนี่เอง แล้วผมก็เพิ่งกลับมาจากงานศพพี่เขาด้วย ”

    เมื่อมีสติแล้วเด็กคนนั้นก็ค่อย ๆ เล่าถึงเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้านหลังนี้ตัวเขาและพี่ชายให้ฟัง

    “ผมมีกันอยู่กับพี่ชายสองครับ พ่อแม่ผมประสบอุบัติเหตุตั้งแต่เราทั้งสองอายุได้ไม่ถึงสิบห้าปีแต่ยังโชคที่ทางบ้านของพวกเรายังพอมีฐานะ

    ผมจึงอยู่กับพี่ชายโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร พี่ชายของผมเป็นคนดีมากเขารักผมดูแลผมทุกอย่างเหมือนกับที่พ่อกับแม่ทำให้ผมทุกอย่าง

    พี่วาดรูปเก่งมาก ๆ เลยครับพอพี่เขาเรียนจบเขาก็มาเปิดแกลลอลี่ ที่นี่ไง”

    เว้นวักซักพัก ก่อนจะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ริมฝีปากเรียวเล็กเริ่มขยับลงช้า ๆ พร้อมกับเกรียวคิ้มเข้มของชายหนุ่มอีกคนที่ผูกเข้าหากันจนแน่น

    “ แต่ผมก็ไม่นึก ไม่นึกว่าพี่เขาจะจากผมไปเร็วขนาดนี้ ผมเสียใจ ผมเสียใจจนอยากจะตายตามไปให้รู้แล้วรู้รอด”

    มาถึงจุดนี้หยดน้ำตามากมายที่กักกลั้นกันอยู่ในเบ้าตาเล็กก็พากันพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง

    ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้สิ่งหนึ่งออกมา

    “เอ่อ ... แล้วพี่คุณเขาเป็นอะไรตายเหรอครับ”

    “พี่ผมรถค่ำหน่ะครับ พอหิมะตกแล้วถนนก็ลื่นมาก แต่เพราะลูกค้าเร่งรูปที่สั่งวาด พี่ผมก็เลยต้องออกไป

    ไม่น่าเลย วันนั้นผมควรจะห้ามพี่เอาไว้ หรือไม่ผม ก็ควรจะตามพี่ออกไปด้วยจริง ๆ ”

    เสียงสะอื้นดังขึ้นแซงคำพูดที่เปล่งออกมาจนไม่ได้ความ ชายหนุ่มยังคงนิ่ง นิ่ง และพยายามใช้เหตุผลทั้งหมดในการไตร่ตรอง

    จะยอมรับไหมว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ย่อมแสวงหาความจริงกับสิ่งที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว


    “คือ ... ผมขอขึ้นไปห้องดูห้องนอนพี่ชายคุณได้ไหมครับ ”

    คำถามที่เอ่ยออกไปเรียกดวงตาบวมช้ำให้เงยขึ้นมามอง ไม่มีคำปฏิเศษหรือจะเป็นเพราะคนตัวเล็กอาจจะรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดภายใจจิตใจ

    ของร่างสูงที่ค่อย ๆ ทยอยแสดงออกมาเรื่อย ๆ จากแววตาคู่นั้นกันแน่

    “ เชิญครับ ”

    เสียงซึมเศร้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงประตูที่ดังเอียดอาดขึ้นมาทันทีที่เปิดมันเข้าไป ภายในห้องที่มีฝุ่นจับคร่ำครึก มีใยแมลง มีหนู แมลงสาบ

    หรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่พากันวิ่งวนไปทั่วหห้องทำเอาร่างสูงใจหายวูบ ที่แห่งนี้ ณ. ห้องแห่งนี้ไม่ใช่หรือไงคือที่ที่เขาและคนรักใช้พอดรัก ไม่มีอีกแล้ว

    ไม่อีกแล้วสำหรับ ผ้าปูที่นอนเนื้อนุ่ม ไม่มีโคมไฟ สีสวย ใบหมอนใบเอื่ยม และไม่มี ไม่มีเขาคนนั้นอีกแล้ว

    “ อ๊ะ นั่นรูปนั้นมาจากไหน กันหน่ะ ว่าแต่ รูปในนั้นมันเหมือนคุณเลยนี่ คุณกับพี่ผมรู้จักกันด้วยเหรอ ”

    ร่างสูงเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกทันที ใช่ตำแหน่งนั้นเขาจำมันได้ ตำแหน่งที่เขาเป็นวางรูปนั้นลงไปเองกับมือนี่แหละ ค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปใกล้รูปวาด

    รูปนั้นเรื่อย ๆ ใยยากไย่ที่ลากคลุมครึกอยู่บนรูปวาดรูปนั้นทุกมือหนาสาวทิ้งเรื่อย ๆ อย่างเบามือ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ไหลเวียนอยู่ในสมองขาวโผลน

    ของคน ๆ นี้ อู๋ อี้ฟ่านค่อยหรี่ตาลงช้า ๆ พร้อมกับเสียงแหลมเล็กของชายหนุ่มอีกคนที่ดังเข้ามาในประสาทหู

    “ นี่มันไดอารี่ ของพี่ชายผมนี่หน่ามันมาวางอยูตรงนี้ได้อย่างไง ”

    “ของพี่ชายคุณเหรอ ผมขอดูหน่อยได้ไหม ”

    เดินเข้าไปขอดูอย่างไร้มารยาท แล้วก็เหมือนเดิมร่างเล็ก ๆ นั่นไม่เคยปฏิเสธเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านอยู่แล้ว

    มือเล็กค่อย ๆ ยื่นไดอารี่เล่มสีขาวสะอาดให้กับคนที่ร้องขอ คริสรับมันมาถือไว้ ก่อนที่นิ้วเรียวยาว จะค่อย ๆ ไล่รีดมันเข้าไปเล่มทันที









    ไดอารี่ ของ ปาร์ค ชานยอล


    1 decamber 2011

    ท่ามกลางลมหิมะอันหนาวเน็บ ผมเพียงแค่ได้เม่อมองร่างของผู้ชายคนนั้นผ่านบานกระจกบานนี้เท่านั้น

    เม่อมองออกไปยังใบหน้าคมเข้มที่เฝ้ารอมาตลอดทุกคืน มาอีกนะ พรุ่งนี้นายต้องเดินมาให้ฉันเห็นหน้าอีก เข้าใจไหม ^^






    5 decamber 2011

    วันนี้ทำไมมันถึงหนาวอย่างนี้ หนาวเป็นประวัติการณ์เลยหล่ะมั้ง ให้ตายสิ ถึงอากาศจะเหน็บแค่ไหน ผมก็คงยังได้รับอุ่นจากหัวใจที่เต้นตึก ๆ

    ของผมอยู่ดีนี่แหละ ก็ผู้ชายคนนั้นไง ผู้ชายคนนั้นเขาเดินผ่านมาอีกแล้ว ให้ตายสิ นั่นเขาไม่หนาวบ้างหรือไง ผมหล่ะเป็นห่วงเขาจริง ๆ เลย TOT




    13 decamber 2011

    ยาห์ ~วันนี้หน่ะเป็นวันที่แย่จริง ๆ เลยทุกคนรู้ไหม อากาศหนาวเย็นขนาดนี้กำลังทำให้ผมรู้สึกจะเป็นไข้ แต่ดูสิผู้ชายคนนั้นยังต้องไปทำงานอีกแหนะ

    บ้าชะมัด ถ้าเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมาไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะเป็นห่วงบ้างเลยหรือไง TOT





    18 decamber 2011

    วันนี้ดูอุณภูมิที่สุงขึ้นนิดหน่อยทำให้ผมรู้สึกดีจัง ว่าแต่ทำไมผู้ชายคนนั้นเขาถึงยังไม่มาอีกหล่ะ น่าเศร้าจัง

    วันนี้คงต้องนอนตื่นสายหรือไม่ก็ไม่สบายแน่ ๆ เลย ให้ตายสิ ตอนนี้ทำไมผมรู้สึกว่าจิตใจผมว้าวุ่นอย่างไงไม่รู้นะ TOT





    23 decamber 2011

    กาแฟอุ่น ๆ ไหม หรือจะรับชาร้อน ๆ ซักแก้วดีครับ ให้ตายสินี่ผมกำลังเขียนอะไรบ้า ๆ ลงไปในไดอารี่อยู่เนี่ย >///< บ้าไปแล้ว ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ

    ถึงแม้ว่าผมจะอยากพูดถ้อยคำพวกนี้ออกไปให้เขาได้ฟังแค่ไหน ดูเหมือนมันจะตันไปหมดทุกทาง ToT ที่นี่เป็นร้านขายรูปภาพไม่ใช่ร้านกาแฟที่จะสามารถ

    ถามอะไร ๆ อย่างนั้นกับลูกค้าได้ซักหน่อย แต่ถึงแม้ว่าจะทำได้ ... คนอย่างผมมันก็ไม่กล้าพออยู่ดี TOT





    26 decamber 2011

    สูดหายใจเข้า – ออก เข้า – ออก เฮ้อออ ตอนนี้ผมกำลังนั่งฝึกสมาธิอยู่ครับได้ถึงครึ่งทางแล้วหล่ะ ฮ้า ๆ ๆ คงจะอีกไม่นานสินะ

    ที่ผมจะกล้าพอเดินเข้าไปทักเขาซักที สู้ ๆ ชานยอล ไฟร์ติ้ง ! ^^





    3 january 2012

    เย้ ! สำเร็จแล้ววว ผมพร้อมแล้วหล่ะ ว้า แต่นี่อะไรอะ TOT น้องชายตัวแสบของผมมันวิ่งมาบอกว่าลูกค้าต้องการรูปด่วนงั้นเหรอ ให้ตายสิ !

    หิมะข้างนอกตกหนักจะตายไปไหนผมจะต้องมีธุระสำคัญจะต้องทำอีกหล่ะ อยากจะบ้าตาย งั้นแผนเข้าไปทักทายคน ๆ นั้นจะต้องยุดติลงพร้อมกับแทนที่ด้วย

    การไปส่งรูปวาดกลางพายุหิมะนี่นะ ให้ตายสิ TOT แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ยังมี ^^ เอาเป็นว่าผมขอตัวไปส่งรูปวาดก่อนแล้วกันนะครับ แล้วเจอกัน

















    การจดบันทึกไดอารี่จบสิ้นลงในวันที่ 3 มกรา แต่วันที่เขาพบเจอกับปาร์ค ชานยอลวันแรกมันคือวันที่ 5 มกราอย่างนั้นหนะหรือ ?! ร่างสูงรู้สึกหายใจติดขัดขึ้น

    มาทันทีที่อ่านไดอารี่จบ หยาดหยดน้ำตาสีขาวขุ่นค่อย ๆ หลั่งรินลงมาอย่างที่ไม่คิดกักกลั้นมันอีกต่อไป แขนแกร่งกอดเล่มไดอารี่สีขาวสะเอาไว้แน่น พร้อมกับ

    เอื้อมมืออีกข้างขึ้นไปลูบไล้รูปถ่ายของคนรักที่แขวนอยู่บนหัวเตียงเบา ๆ หลับตาพริ้มพร้อมกับใช้อารมณ์ทั้งหมดรองรับกับความรู้สึกที่ส่งผ่านออกมาจากรูป

    ถ่ายใบนั้น ชานยอล ยังไม่ตาย และยังไม่ได้ลาจากโลกนี้ไปไหน เขายังคงยืนอยู่ข้าง ๆ ตรงนี้ ข้าง ๆ สิ่งที่เขารักเพียงแค่เพียงไม่มีร่างกายเท่านั้น ชานยอลไม่มี

    ร่างกายให้เขานอนกอดกกหาไออุ่นดั่งเช่นเมื่อวาน หากแต่ยังคงมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่คงไหลเวียนอยู่รอบร่างกายอันด้านชาของชายหนุ่ม นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าความรัก

    ความรัก มันเป็นความรู้สึกลึก ๆ ไม่ที่ยอมตีจากเราไปไหนไม่ว่าเจ้าของ ๆ มันจะแตกสลายกลายเป็นสิ่งไม่มีตัวตนเป็นแล้วก็ตาม ........





    ผมสัญญา ชานยอล ผมสัญญาว่าผมจะรักคุณให้เท่ากับที่คุณรักผู้ชายคนนี้ตลอดไป ..............










    3 decamber 2012

    ท่ามกลางแผ่นผืนสีเขียวเข้มของยอดหญ้าเขียวชะอุ่มที่กำลังค่อย ๆ ถูกบดบังด้วยเกล็ดสีขาวสะอาดของหิมะ ยังคงมีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังบรรจง

    วางช่อดอกไม้ไว้บนหน้าหลุมศพของคนรัก ภาพทุกภาพยังคงฉายวนราวกับเป็นวันเดียวกับเมื่อวาน ที่นี่คือปูซานมันเป็นสถานที่ที่ดูจะไม่เหมาะสมสำหรับ

    หัวหน้าแผนกงานบุคคลอย่างเขานัก แต่นั่นมันคืออดีต ทุกอย่างสิ่งทุอย่างถูกเปลื่ยนแปลงเมื่อ โอ เซฮุน ยอมบอกสถานที่ฝังศพของพี่ชายของเขา

    และเพียงไม่นานชายหนุ่มขอละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่กรุงโซล ไม่มี ปาร์ค ชานยอล อู๋ อี้ฟ่าน คนนี้ก็คงมีความสุขไม่ได้ ถึงแม้เขาทั้งสองจะไม่ได้สัมผัส

    กันทางร่างกาย หากแต่ภายในจิตใจ ปาร์ค ชานยอล ยังยืนคงอยู่ตรงนี้ ยืนรอรับความรักที่เขาส่งมอบให้อยู่ตรงที่เดิม ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเกิดขึ้น

    โดยปราศจากเรือนร่างของคนที่เขารักก็ตาม ..........







    END










     
    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×