ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใต้อาณัติหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #12 : 3.3 รักคือการเสียสละ รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.47K
      30
      7 เม.ย. 63

    ลิซ่าปล่อยให้อินทิราอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงไม่กี่ชั่วโมง เธอก็นำรถเข้ามาจอดบนลานดินที่ถูกปรับระดับให้ได้องศาพอดีเพื่อสร้างทัศนียภาพให้ตัวอาคารสีฟ้าดูโดดเด่นอยู่ภายใต้อ้อมกอดแห่งขุนเขาและเมฆหมอกงดงาม บริเวณหน้าบ้านมีน้ำพุขนาดย่อมตั้งอยู่ภายในวงล้อมของต้นไม้หลากสีสันนานาพันธุ์


                    บ้านสไตล์อเมริกันคันทรีสีฟ้าใต้ถุนสูง มุงหลังคาด้วยชิงเกิลรูฟ หรือวัสดุจำพวกยางมะตอย ที่ส่วนมากมักจะเห็นในภาพยนต์ต่างประเทศเพราะชาวต่างชาตินิยมใช้กันมากที่สุด หลังคาหลักเชื่อมกับหลังคาจั่วขนาดเล็กซึ่งช่วยระบายอากาศภายในบ้านได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นตัวเปิดรับแสงจากภายนอกเข้าสู่ภายใน จึงทำให้ตัวบ้านดูน่ารักอีกด้วย


                    โถงชั้นล่างเป็นห้องเก็บของและห้องครัว เชื่อมต่อชั้นบนด้วยบันไดทางเดินสีขาว เรียงรายด้วยต้นไม้ประดับอยู่รอบๆ ทอดขึ้นไปจนถึงระเบียงหน้าบ้านที่มีชิงช้าตัวเล็กลักษณะคล้ายเบาะนั่งแขวนติดอยู่กับขาเหล็กโยกไกวได้เบาๆ กับเก้าอี้โยกสีขาวนวลวางอยู่คล้ายจะเชื้อเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ลงนั่งดื่มด่ำชมทัศนียภาพโดยรอบ


                    สองสาวยกกระเป๋าลงจากรถและก้าวขึ้นไปตามขั้นบันได จนถึงระเบียงหน้าบ้านที่ขณะนี้อาสาวคนสวยของอินทิรากำลังยืนรอทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มกับสายตาอ่อนโยนคู่เดิม เหมือนเช่นในอดีตที่ท่านเคยใช้ทอดมองลูกศิษย์ตัวน้อยทั้งสองไม่แปรเปลี่ยน


                    “สวัสดีค่ะอาปิ่น”


                    อินทิราวางกระเป๋าลงบนพื้นไม้พร้อมกับยกมือพนมไหว้อาสะใภ้คนสวยอย่างนอบน้อม ในขณะที่เพื่อนสาวรีบวางข้าวของในมือลงและโผเข้ากอดเอวท่านไว้กระชับ พลางยื่นริมฝีปากจูบแรงๆ บนแก้มนุ่มทั้งสองข้างของครูสาวด้วยความคิดถึง


                    “คิดถึงแม่ครูที่สุดเลยค่ะ แม่ครูคิดถึงเราไหมเอ่ย” ลิซ่ายิ้มประจบโดยไม่ยอมปล่อยมือจากเอวครูคนสวยที่กำลังส่งยิ้มอบอุ่นทอดมองสองสาวด้วยสายตาแสดงความเอ็นดูและดีใจที่หลานทั้งคู่มาเยี่ยมเยือน


                    “ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าลิซ่า มาถึงก็ประจบแม่ครูยกใหญ่เลยนะ” ป้องปักษ์ถือถ้วยกาแฟเดินออกมาจากด้านใน ทันได้เห็นท่าทางออดอ้อนของหญิงสาวพอดี จึงแกล้งกระเซ้าด้วยน้ำเสียงเอ็นดู


                    “สวัสดีค่ะอาป้อง คิดถึงอาที่สุดเลย” อินทิราไหว้อาหนุ่มแล้วโผเข้ากอดเอวคนเป็นอาไว้ด้วยท่าทางไม่ต่างจากเพื่อนที่กอดอาสะใภ้คนสวยของเธอ


                    “มัทรีก็ประจบอาป้องเหมือนกันนั่นแหละ อาป้องไม่ต้องมาค่อนขอดหนูเลย”


                    ลิซ่าทำตาใสยื่นปากน้อยๆ ใส่อาหนุ่มของเพื่อนด้วยท่าทางน่ารัก ทำให้เธอได้รับรอยยิ้มตอบจากป้องปักษ์ที่ยกแขนขึ้นโอบบ่าหลานสาวพร้อมกับหอมเบาๆ ลงที่แก้มเป็นการแสดงความรักและคิดถึง แทนคำพูดได้ดีที่สุด


                    “จริงสิ...อาได้ข่าวว่าเราสองคนไปรำอวยพรในงานวันเกิดท่านทรงยศ” ป้องปักษ์ยกคิ้วสูงจ้องมองหลานสาวนิ่ง


                    “อาป้องนี่มีหูตาเหมือนสับปะรดจริงๆ เชียว สายของอารายงานต่อด้วยหรือเปล่าล่ะคะ ว่าเราถูกตะเพิดกลับมาแทบไม่ทันน่ะ” ลิซ่าทำหน้าเบ้เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในคืนก่อน


                    “หึๆ...ถ้าหูตาอาไม่เยอะจริง มีหรืออาจะกล้าปล่อยเราสองคนไปอยู่ตามลำพังในกรุงเทพฯ แบบนี้ฮะยายเด็กซ่า” ป้องปักษ์ยกมือขยี้ผมสาวลูกครึ่งเบาๆ ด้วยความเอ็นดู


                    “ถ้าเราบริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องไปกังวลกับความเข้าใจผิดของใครทั้งนั้น เพราะเราไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ แค่เราห้ามใจเราเองไม่ให้ไปใส่ใจคำคนจะดีกว่านะจ๊ะ” ปิ่นไหมส่งสายตาเห็นใจมองสาวน้อย พลางตักเตือน


                    “หนูไม่สนคนใจแคบพวกนั้นหรอกค่ะแม่ครู จะมีก็แต่มัทรีคนเดียวนี่แหละที่ยังแคร์สองแม่ลูกใจยักษ์คู่นั้นไม่เลิก” ลิซ่าอดไม่ได้ที่จะฟ้องอาคนสวยด้วยความรู้สึกขัดใจ


                    “อารู้ข่าวเรื่องแม่กับพี่สาวของเราจากหนังสือพิมพ์แล้ว เราใช่ไหมที่เป็นเจ้าของเลือดที่บริจาคให้คุณอรนะ” ป้องปักษ์ก้มหน้าลงสอบถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


                    “ค่ะ โชคดีที่คืนนั้นหนูอยู่ในเหตุการณ์พอดี” อินทิราตอบเสียงเบา


                    “หนูทำดีที่สุดแล้วในฐานะของลูก แต่อาไม่อยากให้หนูยึดติดอยู่กับการเอาชนะใจคุณอรนะมัทรี เรื่องบางเรื่องมันฝังรากลึกจนคนบางคนไม่สามารถแยกแยะถูกผิดออกจากกันได้ต่อให้เราทำดีกับเขามากสักแค่ไหนก็คงไม่สามารถลบล้างอคติในใจของเขาได้เหมือนกัน” อาสะใภ้เอ่ยอย่างเข้าใจความรู้สึกของอินทุอร


                    “กรณีของคุณอร บางทีหนูอาจไม่ได้รับความเมตตาจากเธอเลย ไม่ว่าหนูจะทำดีต่อเธอสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นอย่าผูกใจตัวเองไว้กับปลายเท้าของคนอื่น ทำในสิ่งที่ใจเราบอกว่าดีที่สุดแล้วเท่านั้นเป็นพอ อย่าคิดหวังผลตอบแทนที่เราต้องการจากเขาอย่างเด็ดขาดเข้าใจไหมมัทรี”


                    ปิ่นไหมสอนหลานสาวสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่เปลี่ยน เพราะในสายตาท่าน อินทิราก็ยังเป็นมัทรี หญิงสาวนัยน์ตาเศร้าชวนให้สงสารเหมือนอดีตไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน


                    “แม่ของหนูน่ะเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง และที่ร้ายที่สุดคืออคติในใจของเขานั่นแหละ ที่เปรียบเสมือนโคลนซึ่งทับถมดอกบัวไว้ไม่ให้สามารถโผล่ขึ้นอยู่เหนือน้ำชูช่อเบ่งบานแสดงความงามออกมาได้ ความเมตตาที่ควรมีให้แก่เลือดในอกที่ถูกกลบทับไว้ด้วยอคติและความเกลียดชังก็เปรียบได้กับดอกบัวที่อยู่ใต้โคลนนั่นแหละมัทรีเอ๊ย”


                    ป้องปักษ์ถอนหายใจแรงๆ เพราะความสงสารหลานสาว อดรู้สึกเวทนาอินทิราที่ยังพยายามหาทางเอาชนะใจผู้เป็นมารดาไม่ได้ เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าคนทิฐิสูงอย่างนางอินทุอร ไม่มีวันจะยอมรับสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งในตัวอินทิราเด็ดขาด เพราะฉะนั้นไม่ว่าหลานของเขาจะทำดีต่อผู้เป็นแม่สักแค่ไหน ก็คงไม่มีวันได้รับน้ำใจตอบกลับมา


                    “หนูจะจำคำสอนของอาปิ่นกับอาป้องไว้ค่ะ ต่อไปนี้หนูจะขอแค่รักแม่กับพี่รี่โดยไม่หวังว่าเขาจะต้องรักหนูอีกแล้วค่ะ ในเมื่อหนูมีคนที่รักหนูอยู่แล้วตั้งเยอะแยะที่นี่ จริงไหมคะ”


                    ทุกครั้งที่คนอ่อนไหวอย่างเธอพบเจอเรื่องสะเทือนใจ แต่เมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของอาทั้งสอง และได้ใช้สติไตร่ตรองพิจารณาตามคำสั่งสอนของท่าน เธอจะรู้สึกเหมือนความเจ็บปวดในใจนั้นเบาบางลงเสมอ


                    “ถูกต้องแล้วคร้าบ...” ลิซ่าทำหน้าทะเล้น ตะโกนเสียงดังเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนก่อนจะพากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×