คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : 4.1 รักหลอกจึงหยอกเล่น
ลักษมณ์กับกินรีชำเลืองมองพรตที่ขับรถให้ม่ายสาวบุณฑริกซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างๆ กินรีเหลือบตามองและประสานสายตากับพรตแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าหนีแล้วแบะปากใส่ทั้งคู่อย่างไม่สนใจว่ากิริยาของตนจะสร้างรอยยิ้มให้กับพรต
ลักษมณ์เพิ่งลงจากรถจึงไม่ทันได้ทักทายน้องชายที่เพิ่งออกไปกับบุณฑริก เขาเลยสอบถามน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย “เขาจะไปไหนของเขาอีกล่ะนั่น”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะพี่ลักษมณ์” มโนห์ราเอ่ยเนือย ๆ อย่างเบื่อหน่ายพฤติกรรมของพรตแฝดผู้พี่ตัวแสบ
“แล้วเราล่ะ...ทำไมถึงมอมได้ขนาดนี้ฮะ” คิ้วยกสูงพร้อมกับมองกวาดไปทั่วร่างน้องสาว
“มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ กำลังจะเข้าไปอาบน้ำ ยายบัวตมก็มาซะก่อนเลยทักทายกันแล้วพี่ลักษมณ์กับนรีก็มานี่แหละ” มโนห์ราตอบ
“พี่น้องหนูไปอาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน” กินรีคว้ามือรุ่นพี่ รั้งเบาๆ
“อืม ดีเหมือนกันจ้ะเดี๋ยวพระแพงกับพี่รามก็มา”
“พระแพงกับพี่ราม...”
“จ้ะ เดี๋ยวพี่อาบน้ำก่อนแล้วจะมาเล่าให้ฟัง”
มโนห์รากลับขึ้นห้อง ชำระล้างคราบสกปรกบนตัว ขณะที่กินรีกับลักษมณ์ช่วยกันเตรียมอาหารสำหรับทุกคนอยู่ในครัว ไม่น่าเชื่อว่าหนุ่มมาดขรึมอย่างลักษมณ์ วิษณุวัส อนาคตผู้บริหารของวิษณุวัสจะทำอาหารเก่งขนาดเชฟโรงแรมดังยังต้องยอมรับในฝีมือ กว่ามโนห์ราจะจัดการแต่งตัวเสร็จ อาหารฝีมือลักษมณ์ก็ถูกจัดเรียงพร้อมรับประทานอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย
“โอ้โห อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย” มโนห์ราลงมาเห็นอาหารวางเรียงบนโต๊ะเลยจะหยิบชิม แต่ถูกพี่ชายคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
“หยุดเลยน้องหนู ขืนปล่อยเราหยิบชิมเล่น รับรองหมดจานแน่”
“แหมพี่ลักษมณ์ขี้งก น้องหนูชิมนิดเดียวก็ไม่ได้” คนถูกห้ามทำหน้าง้ำ ปรายตาค้อนพี่ชายวงใหญ่
“เราน่ะเหรอชิมนิดเดียว เห็นหยิบทีไรก็เพลินจนหมดจานทุกที” ลักษมณ์ส่ายหน้าเบา ๆ
“โธ่...ก็ฝีมือพี่ลักษมณ์อะ ทำอะไรก็อร่อยจนกินเพลินทุกทีเลยนี่”
“นั่นสิคะ นรีเลยชอบให้พี่ลักษมณ์สอนทำอาหาร แล้วพี่น้องหนูไม่สนใจเรียนไว้บ้างเหรอคะ” กินรีสนับสนุน
“ทำไมพี่ต้องทำล่ะ ก็พี่มีพี่ชายทำให้ทานอยู่แล้วนี่จ๊ะ” มโนห์รายักคิ้วหลิ่วตาใส่สาวรุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี
“ใครจะมาเป็นแฟนเราคงต้องคิดหนักหน่อย” ลักษมณ์เย้าน้องสาวยิ้ม ๆ
“น้องหนูว่าเขาคงคิดหนักตั้งแต่เห็นหน้าพวกพี่แล้วล่ะ”
“ใช่ค่ะ พวกพี่ ๆ หวงพี่น้องหนูยังกับจงอางหวงไข่ซะขนาดนั้น”
กินรีเอ่ยเย้าหนุ่มรุ่นพี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนเหลือบมองไปทางประตูหลังได้ยินเสียงรถแล่นผ่านเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน เธอจำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงรถของราม จึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปยืนรอรับแล้วต้องทำหน้ามุ่นเมื่อเห็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน หรืออย่างมากก็คงโตกว่าเธอสักสองหรือสามปีเดินมาพร้อมกับราม
กินรีมองหญิงสาวที่เดินคู่มากับรามอย่างสังเกต วงหน้าเนียนแต้มยิ้มสดใสของหญิงสาวน่ามอง ดวงตากลมวาวคู่นั้นคมซึ้งเมื่อประดับด้วยแพรขนตางอนยาวดำขลับ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นขนตาจริง จมูกโด่งเป็นสันรับริมฝีปากเคลือบลิปสีมันวาว ผิวหล่อนขาวละเอียดอมชมพูเป็นยองใยไปทั้งตัว ยิ่งยืนคู่กับพระรามยิ่งดูสีผิวตัดกันเพราะผิวของฝ่ายชายค่อนข้างที่จะคล้ำเพราะไอแดด
“สวัสดีค่ะพี่ราม”กินรีไหว้ทักทายหนุ่มรุ่นพี่
“สวัสดีครับ” รามรับไหว้หญิงสาวพร้อมกับยิ้มอ่อน
“คุณคงเป็นคุณพระแพงเพื่อนของพี่น้องหนูใช่ไหมคะ” กินรียิ้มเลยไปให้พระแพง
“ค่ะ แพงเป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่โนรา” พระแพงยิ้มให้อย่างผูกไมตรี
“กินรีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“เช่นกันค่ะ”
กินรีสังเกตท่าทางที่รามเอาใจใส่พระแพงแล้วชำเลืองมองหญิงสาวข้างกายหนุ่มรุ่นพี่แล้วรู้สึกอารมณ์หม่น ๆ และไม่ใช่แต่กินรีเท่านั้นที่สังเกต มโนห์รากับลักษมณ์ก็สังเกตเห็นแววตาของรามเช่นกัน สองพี่น้องสบตากันเล็กน้อยแล้วลักษมณ์ก็ไหวไหล่เบา ๆ
“ทำไมน้องแพงถึงชอบถ่ายภาพครับ” รามชวนคุย
“อาจเป็นเพราะแพงชอบเที่ยวมั้งคะ พอไปเที่ยวก็อยากเก็บภาพความทรงจำไว้ ถ้าไม่มีภาพถ่ายก็คงนึกออกแต่ว่าเคยไป เคยเห็น แพงเลยอยากถ่ายทอดความรู้สึกตอนนั้นลงไปบนภาพ แล้วก็กลายเป็นความชอบจนเรียกได้ว่าคลั่งไคล้เลยก็ได้”
“ดูเหมือนจะคล้ายพี่น้องหนูเลยนะคะ” กินรีกล่าว
“ก็คงเพราะเหมือนกันนี่กระมัง เขาถึงได้สนิทกัน” รามหัวเราะเบา ๆ
“การที่เราสามารถถ่ายทอดความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ๆ ลงบนภาพถ่ายไว้ให้ทุกคนได้เห็นเหมือนที่เรารู้สึก มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นนี่คะ” มโนห์รากล่าว
“จริงค่ะ แพงว่าการถ่ายภาพมันเหมือนเราได้ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองลงไปบนภาพถ่ายอย่างมีอิสระ ภาพแต่ละภาพจะบ่งบอกถึงความรู้สึกของคนที่อยู่หลังเลนส์ออกมาด้วย ในตอนนั้นถ้าเรา มีความสุข ยิ้ม ดีใจ สบายใจ ความมุ่งมั่น ก็จะสื่อผ่านมาทางภาพถ่าย”
“เชื่อแล้วว่าเราสองคนชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจจริง ๆ” พระรามยิ้มให้สองสาว
“ถ้าจะให้ดี ถ่ายแต่ภาพที่มันไม่ต้องทำตัวโลดโผนนักจะดีมาก เพราะถ้าโลดโผนมากอาจโดนท่านรวิสเพ่งเล็งเอาได้นะ” ลักษมณ์เอ่ยเนือย ๆ
“ใช่ พ่อยิ่งไม่อยากให้น้องหนูตะลอน ๆ ไปไหนมาไหนลำพังอยู่”รามเห็นด้วยกับน้องชาย
“พ่อทำเหมือนน้องหนูยังอายุสิบขวบอย่างนั้นแหละ” มโนห์ราชักสีหน้า
“จะกี่ขวบเธอก็เป็นยายน้องหนูจอมแสบนั่นแหละ ยิ่งเข้าคู่กับไอ้รถด้วยยิ่งไปใหญ่” รามเอ่ยยิ้ม ๆ พลางมองน้องสาวอย่างเอ็นดู
“พี่รามอะ น้องหนูไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ” คนเป็นน้องปรายตามองค้อนพี่ชาย
“ถ้ามองตามลักษณะกายภาพก็ไม่เด็ก แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงความคิดละก็ เธอยังไม่โตเท่าไหร่หรอกยายน้องหนู” ลักษมณ์กล่าว
“ว้า ไม่คุยกับพี่ราม พี่ลักษมณ์แล้ว น้องหนูไม่มีพวกนี่ ทำไมพี่รถต้องออกไปกับยายบัวตมด้วยก็ไม่รู้ น้องหนูเลยไม่มีตัวช่วยเลย”
“ให้นรีกับคุณพระแพงช่วยก็ได้ ใช่ไหมคะ” กินรียิ้มกับพระแพง
“ถ้าพูดกับพี่ราม พี่ลักษมณ์ละก็พอไหวค่ะ แต่ถ้าช่วยพูดกับคุณพ่อของพี่ ๆ คงไม่ไหว ตาท่านดุ๊ดุนะคะ” ยิ้มแหย ๆ ของพระแพงทำให้ทุกคนอมยิ้ม
“ท่านรวิสไม่ดุหรอกจ้ะ ทำวางมาดดุไปอย่างนั้นแหละ ตัวจริงใจดีที่สุดเลย” มโนห์ราเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ คิดถึงบิดาขึ้นมาทันที
“ใช่ค่ะ คุณลุงใจดีมาก คุณพระแพงไม่ต้องกลัวท่านหรอกค่ะ” กินรียิ้มกับพระแพง
“แต่ท่านอาจไม่ชอบแพงนะคะ ท่านไม่อยากให้พี่โนราเป็นช่างภาพ ท่านคงไม่ชอบแพงสักเท่าไหร่”
“คุณพ่อของพี่ ท่านไม่ได้อคติกับช่างภาพหรอกจ้ะ ถึงท่านไม่ชอบให้น้องหนูเป็นช่างภาพ แต่ท่านก็ไม่ห้ามให้น้องหนูคบหากับพระแพงแน่” รามเอ่ยยิ้ม ๆ
“ใช่จ้ะ พ่อของพี่เป็นคนมีเหตุผล ที่สำคัญน่ารักที่สุดเลย” มโนห์ราสนับสนุนคำพูดของพี่ชาย
ความคิดเห็น