ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #6 : คำขอสุดท้าย [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.02K
      118
      8 ม.ค. 63

                           ตอนที่ 6 คำขอสุดท้าย




         เท้าขาวบอบบางเปลือยเปล่าเดินย่ำพื้นดินอันเย็นยะเยือกไปตามถนน อากาศของยามค่ำแผ่สะท้านไปทั้งกายจนบางครั้งก็ต้องหยุดยืนห่อไหล่ด้วยความหนาว ละอองหิมะบางๆ ร่วงหล่นมาตามทางและหลังคาบ้านเรือน บ้างก็เกาะตามต้นไม้ดุจแมลงสีขาวตัวใหญ่

         หญิงสาวกระชับผ้าคลุมร่างสีเขียวให้แน่นก่อนจะถูมือไปมา นางยืนพิงกำแพงบ้านหลังหนึ่งอย่างอ่อนเปลี้ย ลมหายใจที่ออกมาจากปากขึ้นเป็นไอลอยอยู่ในความมืด เมื่อหายเหนื่อยนางก็ออกวิ่งต่ออีกครา เท้าเปล่ายังคงย่ำไปบนพื้นดินแข็งเย็น บางทีก็เหยียบลงไปในแอ่งน้ำสกปรก แต่เจ้าตัวหาได้สนใจไม่

         สภาพรอบด้านเริ่มลดความโอ่อ่าลงจนกลายเป็นชุมชนแออัด บ้านแต่ละหลังนั้นเล็กคับแคบเหมือนเป็นห้องที่มีก้อนฟางปกคลุมอยู่ด้านบนเท่านั้น ชาวบ้านบางคนยังเดินอยู่บนถนน แผ่นหลังแบกหามสินค้าในห่อผ้า เขาจ้องมองสตรีในผ้าคลุมเขียวที่วิ่งสวนไปอย่างแปลกใจ โรงเตี๊ยมที่เถ้าแก่ตะโกนไล่ลูกค้าขี้เมาพลางเดินเก็บถ้วยชามและดับโคมไฟหน้าร้านเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าโรงเตี๊ยมปิดแล้ว ถึงกับชะงักเมื่อเห็นหญิงสาววิ่งฝ่าความมืดผ่านหน้าร้านไป

         ในที่สุดสตรีในผ้าคลุมก็วิ่งมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง รั้วนั้นก่อเป็นแนวต้นไม้พุ่มเล็กๆ เรียงรายอยู่รอบด้าน ตัวเรือนลักษณะโตดัมจิบ(1)มีขนาดใหญ่กว่าบ้านแวดล้อมเล็กน้อย หลังคามุงด้วยฟางโชกาจิบ(2) หญิงสาวถอดผ้าคลุมออกพาดไว้ที่ไหล่สองข้างและเดินช้าๆ เข้าไปด้านใน สายตาเพ่งมองที่ประตูเลื่อนโครงไม้ลายตารางซึ่งกรุเอาไว้ด้วยกระดาษสีขาว

         ภายในนั้นมืดมิดไร้แสงเทียน แสดงเจ้าของบ้านหลับไปแล้ว หญิงสาวยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าบ้าน นางมาถึงที่นี่ก็เพื่อต้องการพบสตรีอีกผู้ อย่างไรก็ต้องพบให้ได้ หากแต่จะไม่เสียมารยาทเกินไปอย่างนั้นหรือที่ต้องปลุกเจ้าของบ้านออกมาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้

         หญิงสาวหันไปมองชานบ้านที่ยื่นออกมานอกตัวเรือน หลังคาบริเวณนั้นเป็นเปลือกไม้สนที่ค้ำยันไว้ด้วยเสาผุๆ พื้นชานที่ทำจากไม้วางซ้อนกันแล้วใช้ดินโคลนอัดระหว่างช่องไม้เพื่อเชื่อมติดกันนั้นยกสูงขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย ด้วยความที่ไม่เคยมาที่นี่นานหลายปีเพราะบิดาสั่งห้าม หญิงสาวจึงไม่คุ้นตากับชานเรือนที่สร้างใหม่นี้ นางค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนพื้นชานและกวาดสายตามอง

         เศษกระดาษสีขาว พู่กันและแป้นหมึกวางกองอยู่ที่มุมหนึ่ง ผู้มาเยือนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยจึงเดินเข้าไปปรารถนาจะหยิบขึ้นมาดู 

         ฉับพลันความเจ็บปวดจากพิษร้ายในกายก็แล่นกำเริบขึ้นอีกครั้ง ร่างบางกระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เท้าเปล่าที่ก้าวไปข้างหน้านั้นสะดุดแพลง หญิงสาวเซเสียหลักและล้มลงบนชานบ้านอย่างแรงจนเกิดเสียงดังพลั่กสะเทือนไปทั้งเรือนท่ามกลางความเงียบ

         แสงเทียนในบ้านสว่างวาบขึ้นพร้อมกับเสียงขลุกขลักข้างใน แขกยามวิกาลที่กำลังกุมอกหลังจากความเจ็บปวดเริ่มทุเลาก็หันไปมอง เงาของใครบางคนยืนอยู่ตรงประตูบานเลื่อน สักพักก็ค่อยๆ ถูกเปิดออกช้าๆ

         สตรีที่คู่ควรสมญาบุปผางามยืนอยู่หน้าประตู นางใส่ชุดชอโกรี(3)สีขาวสะอาด ถัดจากใต้หน้าอกลงไปเป็นกระโปรงสีน้ำเงินเข้มคลุมถึงเท้า ใบหน้ารูปไข่นั้นประดับด้วยดวงตาเรียวเฉลียวฉลาดทว่าแฝงความอ่อนหวานในทีใต้คิ้วโก่งดุจคันศรงดงาม จมูกเชิดรั้นรวมถึงริมฝีปากบางสีชาดคล้ายจิตรกรแต่งแต้มให้เข้ากับวงพักตร์ ผิวหน้าผิวกายที่ไร้เครื่องประทินใดๆ ขาวสว่างขับให้ทั้งรูปพรรณดูกระจ่างท่ามกลางความมืด

         หญิงเจ้าของบ้านเมื่อเห็นสตรีผู้บุกรุกที่ล้มอยู่บนพื้นชานนอกตัวเรือนก็รีบคว้าเชิงเทียนในห้องออกมาส่องดู ผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองนอนกองอยู่ก็รีบยันตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ และเดินอย่างสงบเข้าหาแสงเทียน 

         ทันทีที่ซินซอฮยอนเห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็ถึงกับตกตะลึงชะงักแน่นิ่งไป

         "พระ... พระชายาฮวารยอน"

                                 

                                            
         อดีตพระชายาเงยหน้าสู้แสงเทียน แววตาเศร้าสร้อยบนพักตร์ขาวซีดมองมายังเจ้าของเรือน 

         "ท่านพี่... พระชายา นี่มันอะไรกัน" สตรีงามผู้ถือเชิงเทียนร้องออกมา

         "น้องรัก ข้าดีใจ ดีใจยิ่งนักที่เจ้ายังจำข้าได้" ฮวารยอนพูดออกมาด้วยความยินดี ทว่าสีหน้ายังคงความเศร้าหมองอยู่เช่นเดิม

         "พระองค์มาที่นี่ได้อย่างไรเพคะ" ซอฮยอนรีบถามพลางไล่เชิงเทียนส่องพินิจพิจารณาพี่สาวต่างมารดาอย่างถี่ถ้วน คิ้วงามขมวดเข้าหากันอย่างงุนงงเมื่อเห็นอดีตพระชายาใส่ชุดผ้าป่านสีขาวทั้งตัว

         "ขอข้าเข้าไปได้รึไม่ หรือว่าเจ้าลืมเลือนรังเกียจพี่สาวผู้นี้เสียแล้ว" ผู้เป็นพี่สาวกล่าวขึ้น ซอฮยอนชะงักการตรวจตราร่างกายผู้มาเยือนชั่วครู่ก่อนจะยืดตัวตรง

         "เชิญเข้ามาได้เพคะ แต่หม่อมฉันไม่รู้นะเพคะว่าบ้านซอมซ่อหลังนี้จะสมกับบารมีพระชายาองค์แทกุนแห่งโชซอนหรือไม่ ถ้ามีสิ่งใดไม่ถูกพระทัย หม่อมฉันจะถูกประหารรึไม่เพคะ" ซอฮยอนตอบโต้

         อดีตพระชายาคอแข็งขึ้นมาทันที ปากคอของน้องสาวต่างมารดายังคงชั้นเชิงและพร้อมประชดประชันเสมอ แต่นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของซอฮยอนที่นางชอบ ฮวารยอนนึกถึงสมัยเด็กที่แอบหนีไปเที่ยวเล่นกับซอฮยอน ยามเจอเด็กผู้ชายเกเรที่ชอบรังแกพูดจาไม่ให้เกียรติเด็กผู้หญิง ซอฮยอนคนนี้ก็จะออกโรงปกป้องนางเสมอ

         ฮวารยอนยิ้มออกมาเล็กน้อย "เจ้ายังเหมือนเดิมนะ ซอฮยอน"

         น้องสาวต่างมารดาไม่พูดจาตอบอันใด แต่ก็ผายมือเข้าไปในห้องของนางเป็นทำนองเชื้อเชิญ

         อดีตพระชายาเดินเข้ามาภายในห้องพลางกวาดตามอง ห้องนี้เล็กนักเมื่อเทียบกับห้องของนางในบ้านสกุลซิน เสาไม้บางส่วนก็ดูใกล้จะชำรุดเต็มที ตู้ไม้ลิ้นชักเก่าๆ วางอยู่มุมห้อง ที่นอนและหมอนอยู่อีกมุมข้างกองหนังสือ ฮวารยอนค่อยๆ นั่งลงกับพื้นอย่างละอายใจ ตลอดมาเวลาที่ผ่านนางเสพสุขโดยหารู้ไม่เลยว่าน้องสาวต่างมารดาที่ผูกพันรักใคร่มาแต่ครั้งยังเยาว์ลำบากแค่ไหนในสภาพเช่นนี้

         ในความสว่างของแสงเทียน สายตาของฮวารยอนก็มองดูซอฮยอนอย่างเต็มตา นางช่างงามนัก แม้บ้านเรือนรวมถึงอาภรณ์จะดูเหมือนคนยากจนข้นแค้น ทว่ากิริยาจริตของซอฮยอนก็ไม่ต่างจากลูกผู้ดีแม้เพียงนิด 

         "แทงกี(4)เจ้าสวยดีนะ" อดีตพระชายาเอ่ยชมพลางมองผมทรงตาฮึนมอรี(5)ของน้องสาวก่อนจะถามต่อว่า

         "มารดาเจ้าเล่า"

         "ท่านไปดูแลปรนนิบัติฮูหยินแชเพคะ" เจ้าของบ้านตอบพลางนั่งลง

         "ฮูหยินแชหรือ ภริยาเจ้าของสำนักศึกษาชางรยอกุกอย่างนั้นหรือ" ฮวารยอนถามอีก

         "ใช่เพคะ" 

         "แม่เจ้ารู้จักกับนางได้อย่างไรกัน"

         "แต่เดิมท่านแม่หม่อมฉันเป็นเพียงคนรับใช้ในสำนักศึกษาชางรยอกุก หม่อมฉันก็ไปช่วยท่านแม่บ้างในงานที่พอช่วยได้ พอยามว่างหม่อมฉันชอบแอบไปอยู่ใต้ถุนของเรือนชินอน(ชิน-อน) เรือนนี้เป็นที่ที่ให้ลูกชายบรรดาขุนนางและขนชั้นสูงมาเล่าเรียนศึกษา หม่อมฉันเป็นผู้หญิง อีกทั้งเป็นลูกไพร่ของอนุภรรยา แน่นอนว่าแม้แต่จะเหยียบขึ้นบันไดเรือนชินอนก็ถูกโบยขาลายแล้ว แต่หม่อมฉันอยากเรียนหนังสือ จึงแอบไปใต้ถุนเรือนชินอนเพื่อเล่าเรียนเพคะ"

         "เจ้าต้องลำบากเรียนหนังสือถึงขนาดนั้นเชียวหรือ" ฮวารยอนถามอย่างตกใจพลางนึกถึงตนเอง ยามนางต้องศึกษาเล่าเรียนนั้น บิดาก็จะจัดหาอาจารย์ผู้มีชื่อมาสอนถึงห้องนอนเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อนึกถึงความใฝ่รู้ของน้องสาวก็อดนับถือน้ำใจไม่ได้

         "เพคะ ข้าชอบเรียนหนังสือ พระชายาก็ทรงรู้นี่เพคะ" ซอฮยอนตอบ

         "ใช่ ยังจำได้สมัยเด็กๆ บางครั้งท่านพ่อส่งมาเรียนแต่ข้าก็หาได้สนใจไม่ แอบหนีไปหาเจ้าเพื่อจะออกเที่ยวเล่น เจ้าต่างหากที่ชักชวนข้ากลับไปเรียน อีกทั้งยังเรียนเก่งและฉลาดกว่าคนอื่นมากนัก ตอนนั้นข้าอิจฉาเจ้าที่เรียนรู้อักษรจีนได้เร็วกว่าข้าเสียอีก"

         "ตอนนั้นถ้าพระชายาไม่แกล้งบอกว่าหม่อมฉันเป็นน้องสาวแท้ๆ ชนชั้นขุนนางเหมือนกัน หม่อมฉันก็คงไม่มีโอกาสได้ศึกษาเช่นกันเพคะ" น้องสาวต่างมารดาพูด ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

         "หลังจากใต้เท้าซินรู้ว่าพระชายาแอบพาหม่อมฉันเข้าเรียนก็สั่งห้ามให้เราพบกันอีก หม่อมฉันก็ต้องไปแอบศึกษาต่อที่ใต้เรือนชินอน ทว่าวันหนึ่งมีคนจับได้ว่าแอบอยู่ใต้ถุน หลายคนสั่งลงโทษหม่อมฉันทว่าฮูหยินแชทัดทานไว้และอาสาเป็นผู้สอนหนังสือให้กับหม่อมฉันเอง ท่านแม่หม่อมฉันรวมถึงตัวหม่อมฉันจึงเป็นหนี้บุญคุณฮูหยินแชอย่างมากเพคะ ตอนนี้ฮูหยินท่านป่วยหนัก ท่านแม่จึงไปช่วยดูแลเพคะ"

         "อย่างนั้นเองหรือ จริงสิ ข้าเห็นแป้นหมึกและพู่กันรวมถึงกระดาษชั้นดีวางอยู่ที่ชานเรือนด้านนอก คืออะไรอย่างนั้นหรือ" ฮวารยอนถามด้วยความสงสัย

         "หม่อมฉันเห็นใจลูกของขอทาน ชนชั้นล่าง รวมถึงพวกทาสทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ จึงได้สร้างชานเรือนแบบง่ายๆ และสอนหนังสือพวกเขาแบบไม่เก็บเงินเพคะ"

         "อะไรนะ สอนหนังสือหรือ"

         "มิใช่ทุกวิชาเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่สอนเรื่องการเขียนการอ่านเท่านั้น" 

         อดีตพระชายามองน้องสาวตนเองอย่างตกตะลึง นางหันไปที่กองหนังสือปกสีน้ำตาลที่ข้างตัวจึงหยิบฉวยขึ้นมาเล่มหนึ่งและเปิดออกอ่าน

         ยิ่งกวาดสายตาอ่านไปเท่าใด ความประหลาดพิศวงก็ปรากฏในแววตาฮวารยอนมากขึ้นเท่านั้น 
     
         "คำประพันธ์ เรื่องประพันธ์ คำกลอน บทกวีและตำราเหล่านี้เจ้าเขียนเองอย่างนั้นหรือ" พี่สาวต่างมารดาถามอย่างเหลือเชื่อ

         "เพคะ"

         "จะ... เจ้าแต่งเองจริงหรือ แต่งเองทั้งหมดจริงรึนี่" ยิ่งฮวารยอนอ่านไปมากเท่าใดก็รู้สึกถึงพรสวรรค์ของซอฮยอนในการเขียนและประพันธ์ต่างๆ มากขึ้นเท่านั้น นางรู้สึกว่าตนเองอยู่ในที่สุขสบาย ไม่เคยลงมือทำสิ่งใดให้เป็นจุดเด่นสักอย่าง ได้แต่ทำตัวเลิศเลอไปวันๆ จนได้เป็นพระชายา ทว่าน้องสาวต่างมารดาซึ่งเป็นลูกอนุฯ นั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ เช่นนาง แต่สามารถฉายแสงความสามารถออกมาได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าอัศจรรย์ อัศจรรย์ใจจริงๆ

         "ฝีมือเจ้าเป็นเลิศนัก ข้าว่าใต้เท้าที่หอตำราหลวงยังไม่สามารถเกลาคำได้งดงามเช่นเจ้า" ฮวารยอนกล่าวอย่างชื่นชม "ว่าแต่แป้นหมึก พู่กัน กระดาษล้วนแต่ราคาแพง เจ้าใช้เงินที่ไหนซื้อมาทั้งๆ ที่เจ้าสอนโดยไม่เก็บเงินแม้แต่ตำลึงเดียว"

         "ฮูหยินแชเป็นผู้ออกให้ทั้งหมดเพคะ แต่บางครั้งก็ได้เงินจากการขายงานประพันธ์บ้างตามสมควรเพคะ"

         "อย่างนั้นเองหรือ เจ้านี่เก่งจริงๆ ความสามารถด้านการเขียนนั้นช่างหาตัวจับยากนัก ข้าภูมิใจ ภูมิใจจริงๆ ที่มี--"

         "พระชายาเสด็จมาหาหม่อมฉันเพราะเหตุใดเพคะ" ซอฮยอนพูดตัดบทพี่สาวของตน
         
         อดีตพระชายานิ่งเงียบไปก่อนจะก้มหน้าลง ซอฮยอนจับสังเกตด้วยความแปลกใจ นางจำได้ว่าพระชายาได้รับคัดเลือกเข้าวัง แต่ทำไมจู่ๆ พระชายาออกมาจากวังกลางดึกมาหาตนเองในชุดป่านสีขาวเช่นนี้ อีกทั้งสีหน้าแววตาราวกับเพิ่งประสบเหตุร้ายแรงอันใดมาสักอย่าง แม้นางจะไม่ใช่หมอแต่ก็พอดูออกว่าพี่สาวนางเหมือนคนป่วยที่เจ็บหนัก ชายเสื้อบริเวณคอฮวารยอนนั้นมีสีแดงคล้ายคราบโลหิต เมื่อมองไปที่เท้าเบื้องล่างก็พบว่ามันเปลือยเปล่าเปื้อนเปรอะด้วยดินโคลน นี่มันเรื่องอันใดกัน

         "ก่อนอื่น" อดีตพระชายากล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นระรัว เงยหน้าที่มีน้ำตารื้นขึ้นมา "ข้าต้องขออภัยเจ้าที่บุกมาหาในยามวิกาลเช่นนี้ และได้โปรดหยุดเรียกข้าว่าพระชายาและเลิกกล่าวกับข้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เถิด"

         "มิได้หรอกเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงลูกอนุฯ ต่ำต้อย จะเรียกพระองค์ธรรมดาได้อย่างไรเพคะ" 

         ฮวารยอนหลับตาสะอื้นก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

         "มิใช่เรื่องนั้น"

         ซอฮยอนขมวดคิ้ว

         "ข้าถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว" ฮวารยอนตอบ 

         น้องสาวต่างมารดาตาเบิกค้างด้วยความตกใจ

         "ความจริงคือมิใช่แค่ปลด แต่คือประหารชีวิตเสียด้วยซ้ำ" คราวนี้ซอฮยอนถึงกับอ้าปากค้าง

         "ท่านพี่ ท่านพี่พูดอะไร เหตุใดถึงพูดเช่นนี้"

         "ข้าจึงมาหาเจ้า เพื่อขอร้อง เจ้าจงช่วยทำตามคำขอสุดท้ายของข้าเถิดนะน้องรัก" น้ำตาอดีตพระชายาไหลออกมาระหว่างที่พูด นางหยิบจดหมายสีขาวสามฉบับออกมาจากอกเสื้อและวางไว้ตรงหน้าซอฮยอน เจ้าของบ้านมองอย่างไม่เข้าใจ

         "จดหมายสามฉบับนี้คือความแค้นของข้า เจ้าจะต้องทำตามจดหมายสามฉบับนี้อย่างเคร่งครัด" 

         "จดหมายหรือ ทำตามอย่างเคร่งครัดหรือ คืออะไรเจ้าคะท่านพี่ แล้วความแค้นนั่นหมายถึงอะไร ข้าไม่เข้าใจ"

         "เข้าวังเป็นนางในให้ข้าเถิดนะ น้องพี่"




    โปรดติดตามตอนต่อไป

         

         
    เชิงอรรถ

    (1) โตดัมจิบ หมายถึง บ้านที่สร้างด้วยดิน กล่าวกันว่าจะใช้การผสมของฟาง, หิน หรือสิ่งอื่นๆ เข้ากับดินเหนียว


    (2) โชกาจิบ หมายถึง บ้านที่มุงหลังคาด้วยฟางแบบดั้งเดิม เหตุเพราะลมที่พัดแรงซึ่งอาจทำให้ฟางถูกพัดหลุดไปจึงมีการใช้สายผูกรัดคลุมหลังคาฟาง และยึดไว้กับผนังบ้านหรืออาจถ่วงไว้ด้วยก้อนหิน

    (เชิงอรรถข้อ 1 กับ ข้อ 2 เครดิตภาพ : ขอขอบคุณภาพจาก

    KoreaTown@AsianCastle 

    แหล่งอ้างอิง 

    http://www.image114.co.kr, http://commons.wikimedia.org

    http://asiancastle.net/?p=17 WWW.ASIANCASTLE.NET)


    (3) ชอโกรี หมายถึง ชุดที่มีตัวเสื้อและกระโปรงยาว ใช้สำหรับสตรีทั่วไปไม่จำกัดวัย ซึ่งขนาดและรูปทรงแตกต่างกันตามยุคสมัย




    (4) แทงกี หมายถึง ริบบิ้นผ้าสำหรับผูกไว้ปลายผมด้านหลังของผู้หญิง มีหลากหลายสี


    (5) ตาฮึนมอรี หมายถึง ทรงผมสำหรับเด็กผู้หญิงจนกระทั่งสตรีวัยสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ลักษณะถักเป็นเปียยาวแล้วผูกปลายด้วยแทงกี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×