NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮูหยินของข้า (Re-up)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 5 (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 65


    “หากให้ข้าเดา ที่ท่านจับหน้าอกเมื่อครู่บวกกับอาการไอ ท่านต้องเป็นโรคร้ายเกี่ยวกับปอด และโรคนั้นยังสามารถติดต่อผู้อื่นได้ เมื่ออาซิงเข้าใกล้ท่านจึงไล่นางออกไปไกลๆ เวลาไอท่านก็รีบปิดปาด ที่จริงแล้วท่านไม่ได้รังเกียจนาง แต่ท่านกลัวว่านางจะติดโรคจากท่าน” 

    “ท่านพ่อ...” อาซิงได้ยินเข้าน้ำตาก็เริ่มพรั่งพรูลงมาอีกครั้ง “จริงหรือไม่เจ้าคะ”

    ในที่สุดสีหน้าดื้อรั้นของตาเฒ่าฮุ่ยก็แปรเปลี่ยนเป็นเหนื่อยล้าและยอมจำนนต่อเหตุผลของเฟิงชิงถิง  “ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับข้า ข้าเป็นโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาหายได้ ผู้ใดอยู่ใกล้ก็อาจจะติดจากข้าไปด้วย”

    “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร ข้าไม่รังเกียจ ข้าจะดูแลท่าน หาหมอให้มารักษาท่านจนหาย” อาซิงรีบเอ่ย

    “หมอก็รักษาข้าไม่ได้” ตาเฒ่าฮุ่ยสีหน้าปลงตกก่อนจะเล่าเรื่องราวออกมา “เมื่อสองเดือนก่อนข้าไปขายใบชากับคนในหมู่บ้านตามปกติ แต่เพราะอยากรู้ข่าวของอาจีจึงไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง สอบถามพวกคณะเดินทางที่ผ่านมาว่ามีข่าวทหารเจิ้งปลดประจำการบ้างหรือไม่ ข้าไม่รู้ว่าคนที่ข้าไปถามเขาเป็นโรค เขาไอหลายครั้งระหว่างที่บอกกับข้าว่าไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นไม่นานข้าก็มีอาการไอไม่ต่างกับเขา เมื่อไม่กี่วันมานี้ข้าเข้าเมืองไปหาหมอ หมอบอกว่าโรคของข้ารักษาไม่หายอีกทั้งยังติดต่อผู้อื่นได้ด้วย ข้าจึงต้องทำเช่นนี้ อาซิงเจ้ารู้เช่นนี้แล้วก็ปล่อยคนแก่ๆ คนนี้ไปเถิด อย่าได้ให้เป็นภาระแก่เจ้าแก่คนในหมู่บ้านอีกเลย” 

    “ตาเฒ่าฮุ่ย ท่านแน่ใจหรือ” เล่ยกัวถาม

    ชายชราพยักหน้าอย่างหมดหวัง “ข้าไม่ได้ไปหาแค่หมอเดียว ข้าไปหลายร้าน ไม่มีร้านไหนรักษาข้าได้ อีกทั้งยังไล่ข้าออกมาด้วย” 

    “ขอข้าตรวจอาการท่านหน่อยได้หรือไม่” เฟิงชิงถิงขยับเข้าไปใกล้

    “เจ้าเป็นหมอหรือ” ตาเฒ่าฮุ่ยถาม

    “พอรู้เรื่องบ้างเจ้าคะ”

    “นางคิดจะช่วยรักษาอาการป่วยของสามีคงจะอ่านตำราการแพทย์มาบ้าง ตาเฒ่าลองดูหน่อยเถิด อย่างไรก็ไม่เสียหาย” หมี่เจาบอก

    “แต่หากเข้าใกล้ข้า เจ้าอาจจะติดโรคจากข้าได้นะ แม่หนูเจ้าไม่กลัวหรือ” 

    “หากป้องกันอย่างถูกวิธีก็อาจจะไม่ติด” เฟิงชิงถิงดึงผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากและจมูกตนเองเอาไว้ เดินไปที่เกวียนหันไปบอกกับเล่ยกัวที่ถือตะเกียงมาด้วย “ท่านช่วยส่องไฟให้ข้าหน่อย” 

    เล่ยกัวนำตะเกียงเข้ามาใกล้ ส่วนตาเฒ่าฮุ่ยก็นั่งอยู่บนเกวียนยอมให้เฟิงชิงถิงตรวจอาการ เมื่อตรวจอาการเสร็จนางจึงสรุป

    “เป็นดังที่หมอท่านอื่นตรวจ ท่านป่วยเป็นโรคร้ายจริง” 

    ทุกคนได้ยินสีหน้าก็สลดลง มีเพียงตาเฒ่าฮุ่ยที่ยิ้มออกมา “ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นโรคจริงๆ เช่นนี้ก็ให้ข้าไปเถิด อย่าให้ข้าต้องเป็นต้นเหตุทำให้คนในหมู่บ้านต้องติดโรคไปด้วยเลย” 

    “ท่านพ่อ ท่านอย่าเอ่ยเช่นนี้ เราสัญญากันไว้แล้วว่าจะรอท่านพี่ด้วยกัน ท่านพ่อจะจากไปโดยที่ยังไม่เห็นหน้าเขาได้อย่างไรเจ้าคะ” อาซิงสะอื้นหนักกว่าเก่า

    “ถึงจะรอก็คงรอได้ไม่นานแล้ว อาซิงเอ๋ย ฝากบอกเขาด้วยว่าพ่อของเขาหวังให้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี” 

    “ท่านพ่อ” อาซิงคิดจะคลานไปหาตาเฒ่าฮุ่ยแต่ก็ถูกเขาตวาด “ไม่ต้องเข้ามา เจ้าอยากตายหรือไร หากเจ้าตายแล้วใครจะรออาจีกัน!” 

    อาซิงครางสะอื้น เล่ยกัวและหมี่เจาต่างมองหน้ากันอย่างจนปัญญา

    “หมั่นโถว....” บรรยากาศชวนเศร้าสลดถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มห้าวที่ยืนนิ่งอยู่นาน ในมือข้างหนึ่งมีชามข้าวเปล่าที่ยกขึ้นชูไปทางเฟิงชิงถิง

    “ข้าบอกแล้วว่าหากป้องกันดีๆ ก็อาจจะไม่ติดโรค อีกทั้งยังไม่ได้บอกว่าข้ารักษาท่านให้หายไม่ได้” เสียงหวานเอ่ยออกมาก่อนจะส่ายหน้าจนใจ หันกลับไปบอกคนที่ไม่รู้สถานการณ์ว่า “ท่านรอข้าครู่หนึ่ง” แล้วหันไปทางตาเฒ่าฮุ่ย “ข้าสามารถช่วยรักษาโรคร้ายของท่านได้ ดังนั้นท่านไม่ต้องไปที่ใดทั้งนั้น” 

    “จริงหรือ” หมี่เจาเอ่ยถามอย่างยินดี

    “จริงหรือแม่นาง” อาซิงหันมาถาม

    เฟิงชิงถิงพยักหน้า “แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องการคือ ให้ผู้เฒ่าฮุ้ยกลับเข้าบ้านไปพักผ่อน เขาโดนลมตอนกลางคืนมากไม่ได้ อีกทั้งยังมีไข้อ่อนๆ ด้วย” 

    “แม่นางเจ้าสามารถรักษาโรคของข้าได้จริงหรือ” ตาเฒ่าฮุ่ยถามขึ้น

    “ท่านผู้เฒ่า ตอบตามตรงข้าเองก็ไม่มั่นใจ แต่ข้าเคยเห็นคนผู้หนึ่งสามารถรักษาคนที่เป็นโรคนี้จนหายได้ ดังนั้นข้าคิดว่าข้าเองก็สามารถทำได้เช่นกัน” คนที่เคยรักษาคนป่วยที่เป็นโรคนี้จนหายไม่ใช่ผู้ใด แต่เป็นเฟิงเทียนสือท่านปู่ของนางนั่นเอง

    สมัยเด็กนางเคยตามท่านปู่ไปรักษาคนที่ต่างเมือง ตอนนั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้น ทุกคนต่างมีอาการไม่ต่างกันเท่าใดนัก คือ ไอ หายใจหอบ มีไข้ในช่วงตอนเย็น หรือบางคนก็มีไข้รุมๆ ตลอดเวลา หากเป็นหนักๆ จะไอออกมาเป็นเลือด ท่านปู่บอกว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับปอด หากมีการรักษาที่ตรงจุด ใช้ยาที่ถูกต้องก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่ที่สำคัญคือต้องป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจาย

    “เช่นนั้นก็ตามนั้นเถิดให้ยัยหนูรักษาท่านดูสักพัก หากไม่หายค่อยว่ากัน” หมี่เจาสรุป

    “ท่านตกลงหรือไม่” เฟิงชิงถิงถามตาเฒ่าฮุ่ยอีกครั้ง

    ในเมื่อไม่มีหนทางอื่นสุดท้ายชายชราก็พยักหน้าตอบรับ

    “ดี” เฟิงชิงถิงประคองร่างผอมของชายชราลงจากเกวียน ตอนแรกชายชราไม่อยากให้หญิงสาวแตะต้องตัวเท่าใดนัก นางจึงยิ้มปลอบ “ข้าบอกแล้วว่า หากรู้จักวิธีป้องกันก็จะไม่ติดโรค ไม่ต้องกลัว แล้วข้าจะสอนวิธีดูแลท่านให้แม่นางอาซิงทราบด้วย ท่านต้องมีคนดูแล”

    “แต่นาง” 

    ตาเฒ่าฮุ่ยเอ่ยไม่ทันจบลูกสะใภ้ของเขาก็รีบเอ่ย “ข้าจะดูแลท่านพ่อเอง ท่านพ่อไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ” 

    หลังจากพาชายชราเข้าไปในบ้าน เฟิงชิงถิงก็สอนวิธีดูแลคนไข้ บอกว่าในห้องของคนไข้ต้องมีอากาศที่ถ่ายเทได้สะดวกเพราะโรคนี้แพ้แสงแดดและอากาศที่ถ่ายเท ช่วงนี้คนไข้จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และมีไข้ สิ่งที่ต้องระวังคือ ห้ามสัมผัสถูกน้ำลาย หรือเสมหะของคนไข้ เพราะสิ่งเหล่านั้นคือต้นเหตุที่ทำให้โรคร้ายนี้ติดไปยังผู้อื่น ดังนั้นต้องระวังไม่ให้ละอองฝอยเหล่านั้นกระจายไปโดนขณะที่คนไข้ไอ จาม บ้วนน้ำลายหรือขากเสมหะ รวมถึงการใช้เสียงที่อาจจะมีละอองน้ำลายกระเด็นออกมา

    “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” อาซิงพยักหน้าดวงตาแน่วแน่พยายามจำสิ่งที่เฟิงชิงถิงอธิบายจนหมด

    “เช่นนั้นเจ้าก็เข้าไปดูแลผู้เฒ่าท่านนั้นก่อน ข้าจะไปเขียนใบสั่งยา หากยาที่ข้าจัดให้ถูกกับโรคของเขาก็โชคดีไป” เฟิงชิงถิงบอก

    “เช่นนั้นข้าจะรีบเข้าเมืองไปซื้อยาให้เอง” เล่ยกัวเสนอ

    “ต้องรบกวนพี่เล่ยแล้ว” อาซิงบอก

    “คนกันเองทั้งนั้น” หมี่เจาเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม

    ก่อนจะแยกย้าย เฟิงชิงถิงกำชับกับทุกคนว่าห้ามเอ่ยเรื่องโรคกับผู้อื่น ไม่เช่นนั้นทุกคนอาจจะแตกตื่นได้ เพียงแค่ช่วงนี้ไม่ต้องให้มีผู้ใดไปมาหาสู่ตาเฒ่าฮุ่ยก็เพียงพอ อีกทั้งยังเพื่อเป็นการกันไม่ให้โรคนี้ติดต่อไปยังผู้อื่นอีกด้วย

    หลังจากนั้นทุกคนก็แยกไปทำหน้าที่ของตนเอง เฟิงชิงถิงกลับมาที่ห้องของตนก็เริ่มนึกถึงสิ่งที่ท่านปู่สอนว่าหากพบคนติดโรคระบาดนี้จะต้องจัดยาตัวใดบ้าง แล้วก็เขียนลงไป โดยไม่ได้รู้ว่ายามนี้คนที่ร้องหาหมั่นโถวนั้นได้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารบ้านผู้อื่น กวาดอาหารกินจนเกลี้ยงโต๊ะไปเสียแล้ว

    ขณะที่เล่ยกัวไปขอยืมม้าจากเพื่อนบ้านเพื่อที่จะเข้าเมืองได้ไวขึ้น รู้ว่าแม้ตอนไปถึงร้านจะปิดแล้วแต่ยังพอมีคนรู้จักที่ซื้อขายยากันได้ ส่วนหมี่เจาก็ไปหยิบของใช้จำเป็นให้สามี ขณะออกจากห้องมาก็เห็นว่าร่างใหญ่กำลังแหงนหน้าดื่มน้ำแกงชามใหญ่จนไม่เหลือแม้สักหยด

    “ตายแล้ว อาเหลียงเจ้าคงหิวมาก กินอาหารบนโต๊ะจนหมดเลย” หมี่เจาอุทานอย่างตกใจ

    เฟิงชิงถิงที่เพิ่งจะเขียนชื่อยาตัวสุดท้ายเสร็จ ได้ยินเช่นนั้นก็วิ่งออกมาดู เห็นเขาหันมามองนางพอดีก่อนจะเอ่ยว่า “หมั่นโถว” 

    หญิงสาวถอนหายใจอย่างอ่อนใจ นางรู้ว่าหากเขาเอ่ยเช่นนี้แปลว่ายังไม่อิ่ม กินอาหารของคนจำนวนสี่คนจนหมดยังไม่อิ่มอีกหรือ

    “ท่านป้าข้าขออภัยแทนเขาด้วยเจ้าค่ะ” นางรีบหันไปขอโทษขอโพยหมี่เจา

    “ไม่เป็นไร ในครัวยังมีอีกเยอะ” หมี่เจายิ้มพลางโบกมือ “เจ้าเองก็มากินก่อน เมื่อเที่ยงก็กินไม่มาก” หมี่เจาเอ่ยพลางเดินไปที่โต๊ะ เก็บจานชามเปล่าเพื่อนำไปตักกับข้าวในครัว นางยิ้มให้กับสือซานเหลียงแล้วเอ่ย “นางเป็นภรรยาของเจ้า หากผู้อื่นได้ยินว่าเจ้าเรียกนางว่าหมั่นโถวนางจะอายได้ นางเป็นฮูหยินของเจ้าก็ต้องเรียกนางว่าฮูหยินสิ” 

    “...” สือซานเหลียงมองสตรีผู้นั้นด้วยแววตาเหม่อลอย

    “ฮูหยิน” หมี่เจาชี้ไปยังเฟิงชิงถิงที่เดินมาช่วยหมี่เจาเก็บจานชาม

    “ไม่เป็นไรท่านป้า”

    “ไม่เป็นไรได้อย่างไร ไหนลองเรียกซิฮูหยิน” 

    “หมั่นโถว” ดวงตาสีดำขลับมองไปยังกลางร่างเล็ก

    เฟิงชิงถิงใบหน้าร้อนผ่าวรีบเอ่ย “ช่างเถิดท่านป้า เขาจะเรียกอย่างไรก็ช่างเถิด”

    “เฮ้อ แค่สอนให้เขาเรียกเจ้าให้ถูกต้องเอง คนบ้าก็สอนได้นะ” 

    “ข้ารู้เจ้าค่ะ” นางรู้ว่าคนสติไม่ดีก็สามารถสอนเรื่องต่างๆ ได้ แม้พวกเขาจะรู้บ้างไม่รู้บ้างแล้วแต่อารมณ์ของเขาก็ตาม แต่หากเขาเรียกนางว่าฮูหยินจริงๆ นางเองก็คงรู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ยามนี้แค่คนในหมู่บ้านคิดว่านางกับเขาเป็นสามีภรรยานางก็กระอักกระอ่วนอยู่มากแล้ว แต่เพราะความจำเป็นอีกทั้งสือซานเหลียงเองก็ไม่ปกตินางจึงตามน้ำไปเท่านั้นเอง

    หลังจากที่หมี่เจาและเฟิงชิงถิงช่วยกันเก็บจานชามออกไป ชายร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพังก็เหม่อลอยเช่นเคย แต่ครั้งนี้ก่อนที่เขาจะเหม่อลอยนั้น เขาหันไปมองร่างเล็กที่เพิ่งพ้นประตูไป เอ่ยคำว่า ‘ฮูหยิน’ ออกมาคำหนึ่งก่อนจะนั่งนิ่งอย่างคนใจลอยเช่นทุกครั้ง

    เล่ยกัวยืมม้าจากเพื่อนบ้านมาได้ก็ขี่กลับมาบ้าน เขากินอาหารเย็นอย่างรีบร้อนจะได้รีบไปซื้อยาตามที่เฟิงชิงถิงเขียนในใบสั่งยา แต่ก็ต้องแปลกใจที่มีใบสั่งยาสองใบ

    “ใบหนึ่งเป็นของท่านผู้เฒ่าฮุ่ย ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นยาที่สามีของข้าต้องกินเจ้าค่ะ ช่วงนี้ยาของเขาหมดพอดี” นางโกหกที่จริงนางเพิ่งจะจัดยาให้สือซานเหลียงต่างหาก

    “มิน่าเล่า เขาจึงได้คลั่งอยู่บ่อยๆ ท่านพี่ซื้อมาอย่าให้ขาดนะ” หมี่เจาสำทับกับสามี

    “นี่เป็นเงินค่ายากับค่าอาหารเจ้าค่ะ” นางหยิบเงินส่งให้เล่ยกัว

    “ไม่ต้องๆ หากแม่นางน้อยสามารถทำให้ตาเฒ่าฮุ่ยหายได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีของคนในหมู่บ้านเราแล้ว เรื่องเงินแม้พวกเรามีไม่มากแต่ก็พออยู่พอกินไม่ขัดสน” เพราะใบชาที่เก็บได้นั้นเป็นชาอย่างดี สามารถนำไปบ่มขายได้ตลอดทั้งปี คนหมู่บ้านนี้จึงพอมีพอกินไม่ได้ขัดสนเท่าใดนัก

    เห็นเฟิงชิงถิงลังเล หมี่เจาจึงบอกว่า “เอาเถิด สามีเจ้ากินดุขนาดนี้ อีกทั้งต้องเดินทางจนถึงเมื่อใดเจ้าก็ไม่แน่ใจ เก็บเงินเหล่านี้ไว้เถิด” 

    เฟิงชิงถิงคิดแล้วก็เริ่มเห็นด้วย จึงยัดเงินจำนวนหนึ่งให้หมี่เจา “แต่นี่เป็นค่ายาของสามีข้า พวกท่านต้องรับไว้” 

    “ได้ๆ เจ้านี่นะ ช่างดื้อรั้นจริง” หมี่เจามองเด็กสาวอย่างเอ็นดู

    “เช่นนั้นข้าไปก่อน” เล่ยกัวเอ่ย

    หมี่เจาและเฟิงชิงถิงเดินออกไปส่งเขา “ท่านพี่ระวังด้วยนะ” 

    “ไม่ต้องห่วง” เล่ยกัวกระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานก็หายไปกับความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ

    “ค่ำแล้วจะไม่เป็นไรหรือเจ้าคะ” เฟิงชิงถิงเป็นห่วงว่าเล่ยกัวจะเป็นอะไรเพราะเส้นทางนั้นมืดมาก

    “ไม่ต้องห่วง สามีของข้าเดินทางเข้าเมืองยามค่ำคืนไม่ใช่คืนนี้เป็นคืนแรก หลับตาขี่ม้าเขายังทำมาแล้ว” 

    ได้ยินหมี่เจาเอ่ยเช่นนั้นเฟิงชิงถิงก็วางใจ ต่อไปก็รอเพียงได้ยากลับมา เพื่อต้มให้เฒ่าฮุ่ยดื่ม

    “ว่าแต่เจ้ามั่นใจหรือว่าสามารถรักษาโรคของตาเฒ่าฮุ่ยได้” หมี่เจามองใบหน้าของเด็กสาว

    เฟิงชิงถิงเพียงแค่ยิ้มให้ก่อนที่ทั้งสองจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อกลับเข้าไปด้านในก็ไม่เห็นสือซานเหลียงแล้ว นางเดินกลับไปที่ห้องพักก็เห็นเขานอนแผ่หลาหลับสนิทอยู่บนเตียง

    “คนผู้นี้กินอิ่มก็นอนหลับ ช่างเหมือนเด็กจริงๆ” นางส่ายหน้ายิ้มออกมา

    แล้วนางก็คิดได้ว่าคนผู้นั้นหลับก็ดีเหมือนกันนางจะได้ฝังเข็มที่ศีรษะของเขาได้ง่ายขึ้น การฝังเข็มไปพร้อมกับกินยานั้นจะทำให้การขับเลือดเสียได้ผลเร็วกว่ากินยาอย่างเดียว ดังนั้นยามนี้มีโอกาสนางจึงรีบคว้าเอาไว้

    ร่างบางย่องเข้ามาในห้องมือลูบไปที่เอวของตนเองเพื่อหยิบกระบอกที่บรรจุเข็ม แต่ไม่คาดว่าเพียงแค่นางล้วงเอากระบอกเข็มออกมาจากสายคาดเอว เสียงเข็มที่กระทบกันอยู่ด้านในกลับสามารถทำให้เปลือกตาของคนที่หลับอยู่ลืมขึ้นมาตวัดกลับมามองนางอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่นั้นมองเข็มในมือบางไม่วางตา พร้อมกับเสียงคำรามคล้ายกับสัตว์ป่ากำลังขู่คู่ต่อสู้ เขาลุกพรวดขึ้นนั่งตั้งท่าจะจู่โจม

    “ข้า...ข้าแค่จะฝังเข็มรักษาท่าน” เขาน่าจะจำฝังใจกับเรื่องที่ถูกนางฝังเข็มเมื่อกลางวัน แววตาของเขาจึงดุดันข่มขวัญจนนางเอ่ยติดขัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    สือซานเหลียงลุกขึ้นจากเตียงก้าวสามขุมตรงมาหาหญิงสาว ดวงตาคู่นั้นยังคงดุดัน สายตาที่จ้องมานั้นทำให้ขาของนางเริ่มจะไร้เรี่ยวแรง แต่นางก็ยังคงฝืนเอาไว้ เจ้าของใบหน้าหวานคลี่ยิ้มให้เขาพร้อมกับเข็มในมือ เมื่อเขามาหยุดตรงหน้า นางจึงชี้ไปที่ศีรษะของเขา เอ่ยอย่างใจเย็น “ต้องฝังเข็มบนศีรษะของท่าน ท่านจะได้หา...”

    พูดไม่ทันจบคำ เข็มในมือก็ถูกมือหนานั้นปัดออกอย่างแรง ดวงตาคู่ดุดันนั้นยังคงมองนางไม่วางตา นางกลั้นใจเพราะกลัวว่าเขาจะทำร้าย ในระยะห่างเช่นนี้นางจะทำอย่างไรได้ หากนางตะโกนเรียกหมี่เจามา หมี่เจาก็คงถูกเขาทำร้ายไปด้วยแล้วนางควรจะทำอย่างไร!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×