ตอนที่ 7 : ตอนที่ 6 (100%)
“เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน” เฟิงชิงถิงที่ตกเป็นหัวข้อของบทสนทนาหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ข่มความอายไว้ไม่ไหวรีบเอ่ยขอตัวกับทุกคนก่อนจะลากร่างสูงใหญ่ให้เดินออกมา
แต่ยังเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง เฟิงชิงถิงก็เห็นคนชุดสีฟ้าอ่อนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมา นางมองคนกลุ่มนั้นเห็นแขนเสื้อพวกเขามีลายเมฆาสีขาวปักอยู่ก็รู้ในทันทีว่าคนพวกนั้นคือคนในสำนักเมฆาขาว พวกเขากำลังเดินตรงมาทางนี้
เฟิงชิงถิงมองดูสือซานเหลียงเห็นใบหน้าและเนื้อตัวเขามีแต่โคลนอีกทั้งยังมีหนวดเคราปกคลุมใบหน้าเต็มไปหมด จึงคิดว่าหากทำเป็นไม่สนใจพวกเขาคงไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือสือซานเหลียง
“แม่หนู” หมี่เจาที่วิ่งตามมาตะโกนเรียกทำให้เฟิงชิงถิงรีบหันกลับไปหาหมี่เจาพลางลากสือซานเหลียงกลับไปด้วย
“สามีเจ้าไม่มีชุดใส่ไม่ใช่หรือ นี่ข้าเอาชุดใหม่มาให้” หมี่เจาได้ชุดมาจากอากุ้ยเจ้าของแม่หมูที่ชื่อเม่ยเม่ย เพราะเห็นว่าชุดที่สือซานเหลียงใส่อยู่คงจะต้องเอาไปซักเสียก่อนจึงจะนำกลับมาใส่ได้
“ขอบคุณท่านป้า” เฟิงชิงถิงข่มใจยิ้มให้หมี่เจา พยายามไม่สนใจกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมายังพวกนาง
“พวกท่าน” หมี่เจาเห็นคนแปลกหน้าเดินมาหาจึงเอ่ยทัก
“ท่านป้า ท่านเห็นบุรุษแปลกหน้าท่าทางดุดันผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่” คนสำนักเมฆาขาวคนหนึ่งถามกับหมี่เจา
“คนแปลกหน้า” หมี่เจามองหน้าเฟิงชิงถิงด้วยสายตาฉงนก่อนจะหันไปตอบ “ไม่มีนี่”
“เขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเช่นนี้ ท่านเคยเห็นหรือไม่” ชายหนุ่มอีกคนถามพลางนำรูปเหมือนออกมาให้หมี่เจาดู รูปเหมือนที่นำออกมาคนในรูปนั้นคล้ายกับสือซานเหลียงมาก แต่ยามนี้เพราะสือซานเหลียงมีหนวดเคราทำให้ปกปิดใบหน้าแท้จริงของเขาไว้เกือบครึ่ง
เฟิงชิงถิงกลั้นใจไม่เอ่ยสิ่งใด รอฟังหมี่เจาตอบ
“เอ... เหมือนว่าจะไม่มีนะ หมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แทบจะไม่มีผู้ใดผ่านมา” หมี่เจาอธิบายต่อ
“มีเรื่องใดกัน” เล่ยกัวที่เดินมากับกลุ่มชาวบ้านเพื่อจะไปอาบน้ำในลำธาร เห็นคนแปลกหน้าก็เดินมาถาม
“พวกเขาถามว่าเคยเห็นคนในรูปหรือไม่” หมี่เจาบอกสามี
เล่ยกัวมองรูปภาพก่อนจะยิ้ม “คนแปลกหน้าที่ข้าเคยเห็นก็มีแต่ทหารที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสองสามวันก่อนกับพวกท่านนั่นแหละ”
คนสำนักเมฆาขาวมองหมี่เจาและเล่ยกัวอย่างพิจารณาก่อนจะมองมาทางเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงที่ยืนนิ่งเหม่อลอยอยู่
“เล่ยกัว อาเหลียง ยังไม่รีบไปอาบน้ำอีกหรือ” ชาวบ้านที่เดินตามมาเห็นว่าเล่ยกัวหยุดอยู่กลางทางจึงเอ่ยถาม เล่ยกัวหันไปพยักหน้าให้เพื่อนบ้านก่อนจะหันไปทางคนสำนักเมฆาขาว
“หากไม่มีสิ่งใดพวกข้าต้องขอตัว เพิ่งจะไปคลุกโคลนกันมา ต้องรีบอาบน้ำไม่เช่นนั้นโคลนจะแข็งล้างออกยาก”
“ขออภัยที่รบกวน ไม่มีอะไรแล้วขอบคุณพวกท่านที่ช่วยเหลือ” ชายหนุ่มที่คล้ายกับหัวหน้ากลุ่มบอก
สามีภรรยาพยักหน้ายิ้มให้ก่อนจะพากันเดินไป เฟิงชิงถิงก็จูงสือซานเหลียงตาม ขณะที่นางเดินห่างจากคนสำนักเมฆาขาวก็นั้นก็ได้ยินคนผู้หนึ่งบ่นด้วยความไม่พอใจ “หายไปได้อย่างไร หามาเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่เจอ คล้ายกับเขามีวิชาหายตัวได้อย่างนั้นแหละ”
“รีบกลับไปบอกศิษย์พี่ใหญ่เถิด บางทีศิษย์พี่ใหญ่อาจจะมีข่าวของคนผู้นั้นแล้วก็ได้”
พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะออกจากหมู่บ้านไป เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอก นั่นก็แปลว่ายามนี้สือซานเหลียงปลอดภัยจากคนสำนักเมฆาขาวได้อีกพักหนึ่ง
เมื่อใกล้ถถึงลำธาร เล่ยกัวก็แนะนำให้เฟิงชิงถิงเดินไปที่ลำธารอีกด้าน ส่วนเขาและกลุ่มชายในหมู่บ้านเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง
เฟิงชิงถิงหาลำธารบริเวณเหมาะๆ ได้ก็วางเสื้อผ้าสะอาดไว้บนหินเช่นเดิม นางคิดว่าต้องหว่านล้อมให้เขาลงน้ำเช่นครั้งก่อน แต่ครั้งนี้สือซานเหลียงกลับเดินผ่านนางไปยืนอยู่ในลำธารโดยที่นางไม่ต้องเรียก
เห็นเขาเป็นคนกระตือรือร้นที่จะมาอาบน้ำเองนางจึงยื่นไยบวบนั้นให้ “ท่านอาบน้ำเสีย ขัดบริเวณที่สกปรกเหมือนกับที่ข้าเคยทำให้ท่านครั้งที่แล้ว”
สือซานเหลียงมองไยบวบบนมือเรียวก่อนจะเมินไป
เห็นเขาไม่สนใจไยบวบเฟิงชิงถิงจึงยัดใส่มือเขา ครั้งนี้เขาไม่ได้โยนไยบวบทิ้งแต่เปลี่ยนเป็นยัดกลับใส่มือนางแทน
ริมฝีปากอิ่มเอิบเม้มจนเป็นเส้นตรง คิ้วเรียวขมวดแน่น ดวงตาคู่งามมองไยบวบในมือ ไม่ใช่ว่าจะให้นางขัดตัวให้หรอกนะ ไม่มีทาง! นางยัดไยบวบใส่มือหนาอีกครั้ง แต่ในเวลาไม่นานไยบวบก็กลับมาอยู่ในมือนางดังเดิม
เฟิงชิงถิงสูดลมหายใจเข้าปอดข่มความไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เขาก็ไม่ละความพยายามเช่นกัน แต่สุดท้ายคนที่มีความอดทนน้อยกว่าก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
เสียงห้าวคำรามอย่างไม่พอใจโยนไยบวบทิ้งก่อนจะเดินลุยน้ำออกจากลำธารด้วยท่าทางฮึดฮัด เฟิงชิงถิงอยากจะร้องไห้ เขาไม่อาบน้ำเพราะนางไม่ยอมอาบให้ใช่หรือไม่
นางเดินกลับไปหยิบไยบวบก่อนจะรีบตามร่างใหญ่กลับมาที่ลำธารอีกครั้ง “ได้ๆ ข้าเป็นคนอาบน้ำให้ก็ได้”
นางลากสือซานเหลียงกลับไปในลำธาร ทั้งโกรธทั้งอ่อนใจ ใครใช้ให้เขาเป็นบ้าเล่า นางทำใจเห็นเขาเป็นคนป่วยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เพราะความโมโหนางจึงทึ้งเสื้อผ้าเขาออกอย่างไม่ไยดี อีกทั้งยังออกแรงขัดร่างกำยำนั้นอย่างแรงอีกต่างหาก แต่ยิ่งนางลงแรงกับร่างหนามากเท่าไหร่ ใบหน้าดุดันก็ผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังครางออกมาด้วยน้ำเสียงแสนสบาย
สุดท้ายเฟิงชิงถิงก็จัดการชำระร่างกายของสือซานเหลียงตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจนเสร็จ และไม่ต่างกับครั้งแรก เขาไม่ยอมใส่เสื้อผ้าเอง แต่ครั้งมีเขามีพัฒนาการโดยการที่ยืนกางแขนขาให้นางใส่เสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น นางจัดการสวมเสื้อผ้าให้เขาด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวเช่นเดิม
เมื่อจัดการกับสือซานเหลียงจนเสร็จ นางก็นำชุดของเขาไปซัก ก่อนจะจัดการกับตัวเองแล้วพาเขากลับไปยังบ้านของหมี่เจา
“มากันแล้วหรือ มาเร็ว วันนี้มีกับข้าวเยอะมากเลย บ้านที่อาเหลียงช่วยผ่าฟืนให้นำอาหารมาให้เป็นการตอบแทน อากุ้ยก็เอาอาหารมาให้ด้วยเป็นการตอบแทนที่สามีเจ้าช่วยยกเม่ยเม่ยขึ้นมากจากบ่อโคลน”
หมี่เจากวักมือเรียกหนุ่มสาวทั้งสองที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในบ้าน เล่ยกัวที่อาบน้ำเสร็จและกลับมาก่อนช่วยภรรยาจัดโต๊ะ หันมายิ้ม “วันนี้มีขาหมูน้ำแดงด้วย”
กลิ่นขาหมูน้ำแดงโชยมากระทบจมูกจนเฟิงชิงถิงยังน้ำลายสอ ดังนั้นคนที่อยู่ข้างกายนางจึงยิ่งกว่า
ทั้งสี่นั่งรวมโต๊ะกินอาหารโดยที่หมี่เจาไม่ลืมว่าชามข้าวของอาเหลียงสามีของแม่หนูนั้นต้องชามใหญ่กว่าผู้อื่น แล้วทุกคนต่างก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะสือซานเหลียงที่กวาดอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ขณะที่สือซานเหลียงกินข้าวในชามของเขาหมดหนึ่งชาม เฟิงชิงถิงเพิ่งจะคีบข้าวเข้าปากแค่สามคำ อีกทั้งนางยังต้องขอโทษหมี่เจาและเล่ยกัวเพราะสือซานเหลียงคีบอาหารตัดหน้าเจ้าบ้านอย่างไร้มารยาทที่สุด
“ช่างเถิด วันนี้เขาคงหิวมาก อาหารพวกนี้ก็เป็นอาหารที่ชาวบ้านนำมาให้เขาทั้งนั้น เขาย่อมได้กินมากกว่าผู้อื่น” เล่ยกัวยิ้ม
ขณะที่คนทั้งสามกินข้าวกันอย่างเรียบง่าย ส่วนอีกคนก็ตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจผู้ใด ชาวบ้านคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในบ้าน
“อาฉี เกิดอะไรขึ้น” เล่ยกัวเห็นอาฉี เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านของตาเฒ่าฮุ่ย วิ่งมาด้วยหน้าตาตื่นตระหนกจึงเอ่ยถาม
“เกิดเรื่องแล้ว มี...ทหารมา” อาฉีหายใจหอบพูดติดขัดเป็นห้วงๆ
“ทหาร มาทำอะไร” หมี่เจาวางชามข้าวและตะเกียบลง
เฟิงชิงถิงชะงักนิ่ง
“เขาต้องการมาหาเล่ยกัว”
“มาหาข้า”
“ข้าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเถ้าแก่ร้านขายยาในเมืองก็มาด้วย พวกเขาต้องการหาคนที่เขียนใบสั่งยาอะไรสักอย่าง”
“ยา...พวกเขาพูดถึงใบสั่งยาที่แม่หนูเขียนแล้วให้เข้าไปซื้อเมื่อไม่กี่วันนี้นะสิ” หมี่เจาคาดเดา
“ข้าก็ไม่รู้ แต่เห็นบอกว่า ลายมือเหมือนหมอเทวดาเฟิง ก็เลยจะมาหาตัว” อาฉีบอก
แล้วสองสามีภรรยาก็มองมาที่เฟิงชิงถิงเป็นตาเดียว
เฟิงชิงถิงไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางควรจะขอโทษสองสามีภรรยาที่นางปิดบังฐานะที่แท้จริงหรือไม่ แต่ยามนี้นางคงอยู่ไม่ได้แล้ว ขณะที่นางกำลังจะอ้าปากเอ่ย เล่ยกัวก็ถามกับอาฉี
“ตอนนี้ทหารอยู่ที่ใด”
“ตอนที่ทหารมา อากังเป็นคนเจอ เขาจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้ายืมม้าเขาไปซื้อยาในเมือง อากังจึงคิดว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้า เขาให้ข้าแอบมาส่งข่าวให้เจ้ารู้ ส่วนเขาพาทหารเหล่านั้นไปที่บ้านตาเฒ่าฮุ่ย”
“แม่หนู” หมี่เจาหันมาทางเฟิงชิงถิง
“ทหารพวกนั้นมาตามหาข้า” เฟิงชิงถิงบอกความจริง “ข้าต้องขออภัยที่ทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อน” นางลุกจากโต๊ะ กลับไปในห้องเพื่อหยิบห่อสัมภาระของนาง
“ไม่ใช่ นั่นเป็นเพราะเจ้าช่วยตาเฒ่าฮุ่ยต่างหาก” หมี่เจาบอก
“จะเอาอย่างไรก็เอาเถิด ทหารคงจะมาที่นี่ในไม่ช้าแล้ว” อาฉีเร่ง
เฟิงชิงถิงกำลังชั่งใจว่านางควรจะทำอย่างไรดี นางกลัวว่าสองสามีภรรยาที่ช่วยเหลือนางจะไม่ปลอดภัย
“รีบไปเถิดแม่หนู” หมี่เจาลุกจากโต๊ะรีบห่ออาหารแห้งให้อย่างรวดเร็ว
“ไปเถิด ไม่ต้องห่วงพวกข้า พวกเราเป็นแค่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราวพวกเขาคงไม่ทำอะไร” เล่ยกัวรีบบอก
ขณะที่คนหลายคนกำลังสาละวนกับการช่วยเหลือเฟิงชิงถิงหลบหนีทหาร มีเพียงคนผู้เดียวที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งใด เขากินข้าวหมดชามที่สองแล้วก็ยื่นชามเปล่าไปทางเฟิงชิงถิงที่ก้าวไวๆ กลับมาพร้อมกับห่อสัมภาระ
“ข้าว หมั่นโถวข้าว”
เฟิงชิงถิง ไม่สนใจ รับชามข้าวของเขาวางไว้บนโต๊ะลากแขนเขาให้ลุกขึ้น “ไม่ได้แล้วตอนนี้เราต้องรีบไปแล้ว”
แต่ใครจะรู้ว่านางพยายามดึงเท่าไหร่ ร่างใหญ่ก็หาได้ขยับลุกจากเก้าอี้ไม่
“ข้าจะไปรั้งทหารไว้ให้” อาฉีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบบอก
“รบกวนเจ้าด้วย” เล่ยกัวบอก
“นี่อาหารแห้งพวกเจ้าเก็บเอาไว้กินระหว่างเดินทาง” หมี่เจายัดอาหารแห้งห่อใหญ่ให้เฟิงชิงถิง
“ขอบคุณท่านป้ามาก” เฟิงชิงถิงรับของมาอย่างเกรงใจ ก่อนจะหันไปดึงให้สือซานเหลียงลุกจากโต๊ะ
“หมั่นโถว ข้าว” สือซานเหลียงยังคงดื้อดึง ไม่ลุกขึ้น วันนี้เขาออกแรงผ่าฟืนไปไม่น้อย จึงหิวมากกว่าปกติ
“ไม่ใช่บ้านนี้ขอรับ ไม่ใช่” เสียงดังมาจากหน้าบ้าน ไม่นานทหารก็บุกเข้ามา
ทหารห้านายกวาดตามองคนในบ้าน ตอนแรกสายตานั้นไปหยุดที่หมี่เจา แต่หากประเมินอายุฉายาหมอเทวดาตัวน้อยคงไม่ใช่กับหญิงชาวบ้านที่มีอายุประมาณสี่สิบปี สายตาของเหล่าทหารจึงมาหยุดอยู่ที่เฟิงชิงถิงที่มีสัมภาระอยู่เต็มมือ ทหารนายหนึ่งชี้มือมาที่นาง “จับตัวนางไว้”
แล้วทหารอีกสี่นายก็กรูเข้ามาจับตัวเฟิงชิงถิงอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน
“พานางไป”
เฟิงชิงถิงถูกลากออกจากบ้านโดยที่นางขัดขืนไม่ได้ จะใช้เข็มหรือยามือของนางก็ถูกทหารจับเอาไว้ ยามนี้จึงทำสิ่งใดไม่ได้สักอย่าง
“พวกท่านจะพานางไปที่ใด” หมี่เจารีบตามออกมาจับมือเฟิงชิงถิงเอาไว้ด้วยความห่วงใย
“ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า” ทหารนายบอกเสียงห้วน
เฟิงชิงถิงนั้นยามนี้รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรคงไม่พ้นโดนจับตัว หากนางพยายามหลบหนีคนหมู่บ้านใบชาก็อาจจะเป็นอันตราย ดังนั้นนางจึงยอมให้ทหารจับไปแต่โดยดี
“ขอบคุณพวกท่านมากแต่ข้าไม่เป็นไร ฝากเขาไว้กับพวกท่านก่อนแล้วข้าจะรีบกลับมา” เฟิงชิงถิงกระซิบกับหมี่เจา
หมี่เจาพยักหน้ารับมองดูเฟิงชิงถิงถูกทหารจับตัวไปด้วยใบหน้ากังวล
หลังจากที่เฟิงชิงถิงถูกพาตัวไปแล้ว หมี่เจาและเล่ยกัวก็เดินกลับเข้าบ้านไป คนทั้งสองเห็นว่าสามีของแม่หนูยังคงกินกับข้าวบนโต๊ะโดยไม่ได้สนใจภรรยาที่ถูกจับตัวไป หมี่เจาก็ตวาดอย่างเหลืออด
“จะมากไปแล้วนะ เจ้าก็เห็นว่าฮูหยินของเจ้าถูกทหารจับตัวไป แต่เจ้ากลับไม่สนใจนาง เจ้าเป็นสามีประสาอะไร”
สือซานเหลียงกินขาหมูน้ำแดงคำสุดท้ายก่อนจะยกชามที่เหลือแต่น้ำแดงซดกินจนเกลี้ยง ไม่มีข้าวก็ยังกินกับข้าวบนโต๊ะจนหมด
“ยังจะกินอยู่อีกหรือ หากเมื่อครู่เจ้าไม่เอาแต่ดึงดันจะกินอาหาร แม่หนูก็คงไม่โดนจับตัวไป” หมี่เจากำลังจะเดินไปคว้าชามอาหารและตะเกียบในมือของสือซานเหลียงแต่สามีของนางขวางเอาไว้เสียก่อน
“อาเจาอย่าลืมสิ เขาสติไม่ดี”
“แต่ท่านพี่” หมี่เจามีสีหน้าอึดอัดใจ
“ข้าว่าแม่หนูคงมีวิธีของนาง ว่าแต่เมื่อครู่นางเอ่ยสิ่งใดกับเจ้า”
“นางบอกว่าจะกลับมารับเขา” หมี่เจาบอก
“เช่นนั้นไม่นานนางก็คงจะกลับมา”
“เอิ้ก...” เสียงเรอดังกังวานก่อนที่ร่างใหญ่ที่นั่งรากงอกอยู่ที่โต๊ะอาหารจะลุกขึ้น แล้วเริ่มมองหาบางอย่าง “หมั่นโถว”
“เริ่มรู้แล้วหรือว่าฮูหยินของเจ้าไม่อยู่ แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกเรียกนางว่าหมั่นโถวแล้วเรียกนางว่าฮูหยินเสียที” หมี่เจาถามอย่างไม่พอใจ
สือซานเหลียงเหลียวมองรอบกาย “หมั่นโถว” ท่าทางของเขายามนี้ไม่ต่างกับเด็กถูกทิ้ง
สองสามีภรรยาต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าจนใจ
“อาเหลียง ไม่เป็นไรฮูหยินของเจ้าบอกว่าไม่นานก็กลับมา รอนางที่นี่แหละ พวกเราจะดูแลเจ้าเอง” หมี่เจาอดสงสารไม่ได้ ขณะจะเดินเข้าไปปลอบ แขนของนางก็ถูกเล่ยกัวฉุดเอาไว้
“อย่าเข้าไป” สามีของนางเอ่ย มองสีหน้าของสือซานเหลียงที่ยามนี้เริ่มดุดันขึ้นจนผู้ชายเช่นเขายังไม่ไว้ใจ
“ท่านพี่” หมี่เจาหันไปมองสามี
“ดูแววตาเขาสิ แววตาของเขาน่ากลัวคล้ายกำลังจะฆ่าคน เจ้าอย่าใกล้เขาดีกว่า”
หมี่เจามองดูสือซานเหลียงแล้วก็เห็นด้วยตามที่สามีของนางบอก แล้วร่างสูงใหญ่ก็ก้าวฉับๆ ออกไปหน้าบ้าน เขามองซ้ายขวาก่อนจะหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่ทันที่สองสามีภรรยาจะเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาก็สะกิดปลายเท้าร่างสูงใหญ่ทะยานไปตามทิศที่เฟิงชิงถิงถูกพาตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ท่านเห็นหรือไม่ สามีของนางหายไปแล้ว” หมี่เจาดวงตาเบิกกว้าง
เล่ยกัวยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เขาคงไปตามฮูหยินของเขานั่นแหละ”
“แล้วเขาจะไม่เป็นไรหรือ”
“ข้าว่าพวกทหารมากกว่าที่จะเป็นอะไร” เล่ยกัวจูงมือภรรยาเข้าบ้านไป พลางปลอบใจภรรยาไปด้วย “พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าก็เห็นว่าอาเหลียงพละกำลังนั้นมากเพียงใด”
“ไม่เป็นอะไรก็ดี” ในที่สุดหมี่เจาก็ยอมเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมสามีอย่างวางใจเสียที
เฟิงชิงถิงถูกทหารพาขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าหมู่บ้านใบชา ด้านนอกรถม้ามีคนขี่ม้าขนาบข้างสองคน รถม้ามีคนบังคับหนึ่งคนส่วนในรถม้ามีคนคุมนางอยู่สองคน
โชคดีที่นางสอนวิธีต้มยาและรายละเอียดการดูแลตาเฒ่าฮุ่ยให้แก่อาซิงไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล ส่วนสือซานเหลียง คิดถึงแผ่นหลังของเขายามที่จากมาก็อดที่จะถอนใจไม่ได้ นางจะหวังอะไรกับเขากัน ยามนี้เขาสติไม่ดี ตัวเองยังดูแลไม่ได้ คิดแล้วก็ทอดถอนใจออกมา
“ตรวจของในห่อสัมภาระของนาง” ทหารหนึ่งในสองที่อยู่ในรถม้าเอ่ยขึ้น
เฟิงชิงถิงรู้ว่าอย่างไรก็ห้ามไม่ได้จึงปล่อยให้พวกเขาค้นไป ห่อสัมภาระของนางถูกเปิดออก ด้านในมีของใช้ของสตรีและช่องสองช่องสำหรับใส่ขวดกระเบื้องที่มีอยู่หลายใบ
“มีขวดยาอยู่เต็มไปหมด นางต้องเป็นหมอเทวดาที่เราตามหาแน่ๆ” นายทหารอีกคนเอื้อมมือมาหยิบขวดกระเบื้องเหล่านั้นขึ้นมาดู
มีขวดกระเบื้องใบหนึ่งที่เป็นสีม่วงสะดุดตา เมื่อนายทหารคนนั้นหยิบขึ้นมา เฟิงชิงถิงที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
“อย่าแตะต้องขวดใบนั้น”
“เพราะอะไร” นายทหารถาม
“มันเป็นยาสำคัญ”
“สำคัญอย่างไร” นายทหารมองขวดยาในมือแล้วหันมาจ้องนาง
“เพียงแค่พวกท่านสัมผัสตัวยาที่อยู่ด้านใน พวกท่านก็จะตายในทันที”
สีหน้านายทหารตื่นตะลึงโยนขวดกลับเข้าไปในห่อสัมภาระด้วยความตกใจ แต่นายทหารอีกคนกลับหยิบขวดกระเบื้องนั้นขึ้นมาก่อนจะยิ้มหยัน
“เจ้าเชื่อนางด้วยหรือ ดูก็รู้แล้วว่านางโกหก หากมันเป็นยาพิษจริงนางคงไม่เอามารวมกับยาอย่างอื่นหรอก ใช่หรือไม่แม่นาง” นายทหารคนเดิมหันไปถามแววตาท้าทาย
“แล้วแต่เจ้าจะคิด” เฟิงชิงถิงบอกอย่างไม่ใส่ใจ
“นางบอกแล้วเจ้าก็เชื่อนางเถิด อย่างไรเสียพวกเราก็มีหน้าที่แค่พานางไปหาท่านนายกอง” นายทหารคนแรกเอ่ย
“เจ้าก็ขี้กลัวเกินไป แค่ไม่สัมผัสโดนก็ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยากได้ยาแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่คิดหรือว่าหากอยู่ในช่วงความเป็นความตาย ตัวยาตัวนี้จะช่วยให้เรารอดชีวิตได้ เพียงแค่ทำให้ยาตัวนี้สัมผัสโดนศัตรู”
“แต่ว่า” นายทหารคนแรกทำท่าลังเล
“เจ้าก็อย่าคิดมากนักเลย เรามาแบ่งกันก็ได้ ไหนๆ เราก็สามารถพาตัวนางกลับไปให้ท่านนายกองได้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะตามหานางไปทำไม แค่นี้ท่านนายกองคงไม่ลงโทษหรอก หรือไม่ เราก็แบ่งกับท่านนายกองด้วยก็ได้” คำหลังนายทหารกระซิบด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
การสนทนาของทหารทั้งสอง ทำให้เฟิงชิงถิงรู้ว่าทหารกลุ่มนี้ได้รับคำสั่งให้จับตัวนาง แต่พวกเขาไม่รู้สาเหตุที่ต้องจับตัวนาง แต่ก็ช่างเถิด “ยานั้นข้าไม่สามารถให้ผู้ใดได้” นางบอกเสียงเข้ม
นายทหารนายนั้นหัวเราะ “แม่นาง เจ้าช่างไม่ดูสถานการณ์เสียเลย ยามนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์จะสั่งหรือเรียกร้องสิ่งใดทั้งนั้น” เขาเปิดขวดอย่างระมัดระวังก่อนจะหันไปสั่งสหาย “หาขวดเปล่ามาข้าจะแบ่งให้เจ้า”
“แต่...” นายทหารลังเล
“ข้าเตือนพวกเจ้าแล้ว” เฟิงชิงถิงปิดจมูกมองขวดกระเบื้องสีม่วงที่ยามนี้จุกถูกเปิดออกมาเรียบร้อยแล้ว
นายทหารสองคนไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ร่างที่นั่งอยู่ก็เริ่มโงนเงน ดวงตาเริ่มปรือปรอยก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ร่างนายทหารที่ถือขวดกระเบื้องฟุบลงกับฟูกบนรถม้า เฟิงชิงถิงก็กลั้นหายใจรีบคว้าขวดนั้นมาปิดอย่างรวดเร็ว
“จัดการไปได้สอง” นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบปิดปากและจมูกเพื่อไม่ให้ตัวเองสูดกลิ่นยาเข้าไป
ที่จริงยาในขวดกระเบื้องไม่ใช่ยาพิษ แต่มันเป็นยานอนหลับอีกสูตรหนึ่งที่นางคิดค้นขึ้นมา แค่เปิดขวดกลิ่นก็จะโชยออกมา กลิ่นนั้นแม้จะสูดดมเข้าไปเพียงน้อยนิดก็ทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหลับใหลได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะยาตัวนี้มีผลข้างเคียงตรงที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานตามร่างกายและไม่สามารถขยับร่างกายได้หลายวัน นางจึงไม่คิดจะใช้กับผู้ใด
นางแอบแง้มหน้าต่างรถม้าเพื่อไล่กลิ่นยาออกจากรถม้า มองดูนายทหารที่ควบม้าขนาบข้างรถม้า ครุ่นคิดว่านางจะจัดการกับทหารด้านนอกอย่างไร
แต่ยังไม่ทันคิดแผนการได้ รถม้าก็หยุดกะทันหันจนหน้านางแทบจะคะมำ เสียงทหารด้านนอกตวาดเสียงดัง
“เจ้าบ้าหรืออย่างไรมาขวางรถม้าของพวกข้า!”
เฟิงชิงถิงแอบแง้มประตูเปิดออกดู ก็พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง คิดตอบนายทหารผู้นั้นอยู่ในใจว่า ถูกต้องแล้ว เขาบ้า
ผู้ที่ทำให้รถม้าหยุดกะทันหันนั่นก็คือสือซานเหลียงนั่นเอง ร่างสูงใหญ่ยืนขวางรถม้าด้วยสีหน้าดุดัน ชี้นิ้วมาที่รถม้า “หมั่นโถว”
“จะบ้าหรือ พวกข้าไม่มีหมั่นโถวให้เจ้า ถอยไปพวกเรากำลังรีบ”
ดูท่าว่าตอนที่ทหารเหล่านี้จับตัวนางมาจะไม่ได้สนใจสือซานเหลียงจึงจำเขาได้ นางพยักหน้าตอบนายทหารในใจอีกคราว่า ถูกต้องเขาเป็นบ้าและนางก็รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าที่แรงเยอะมากด้วย
“ถอย!” นายทหารที่ควบม้าขนาบข้างรถม้า ชักม้ามาอยู่ด้านหน้า
ทหารนายหนึ่งควบม้าเข้าไปใกล้สือซานเหลียงขยับมือจะชักดาบที่เอวออกมา แต่ยังไม่ทันชัก แขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกสือซานเหลียงคว้าเอาไว้ก่อนจะเหวี่ยงร่างคนบนม้าลงมากระแทกกับพื้น อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาเหวี่ยงอยู่สองสามครั้งเหมือนว่าร่างของนายทหารผู้นั้นเหมือนตุ๊กตาผ้าไม่มีผิด
“เจ้า!” นายทหารอีกคนคว้าดาบที่เอวหวังจะจู่โจม แต่ก็ไม่พ้นสายตาของสือซานเหลียงได้ เขาเหวี่ยงร่างนายทหารคนเดิมไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ แล้วเคลื่อนกายไปหานายทหารอีกคนอย่างรวดเร็ว กระชากคอเสื้อของนายทหารผู้นั้นลงมาแล้วยกขาถีบ
แรงถีบที่ดูเหมือนไม่ออกแรงนั้น ทำให้นายทหารผู้นั้นกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้อีกต้น หมดสติไปทันที
“หมั่นโถว” ร่างใหญ่ย่างสามขุมตรงมาที่รถม้าที่เหลือเพียงนายทหารผู้บังคับม้าเพียงคนเดียว
“ข้าไม่มีหมั่นโถว” นายทหารผู้นั้นเอ่ยอย่างลนลาน
“หมั่นโถว!”
เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าผ่าทำเอานายทหารนายนั้นสะดุ้งโหยงจนตกจากรถม้า เห็นสายตาอันดุดันคล้ายกำลังจะสังหารคน นายทหารผู้นั้นก็ตะกายร่างคลานก่อนจะทรงตัวขึ้นมาและวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“ช่วยด้วย!”
สือซานเหลียงมองนายทหารผู้นั้นด้วยประกายบางอย่างในดวงตา เฟิงชิงถิงคิดว่ามุมปากเขาจะยกยิ้มน้อยๆ แต่เพราะหนวดเคราที่ปกปิด ทำให้นางเห็นไม่ชัด หรือนางอาจจะคิดไปเอง
ประตูรถม้าถูกมือใหญ่เปิดออกอย่างแรงจนตัวนางที่แอบมองอยู่ยังตกใจ และเมื่อสายตาดุดันเห็นว่านางอยู่ด้านในเขาก็เอ่ยออกมา
“หมั่นโถว” เสียงนั้นไม่ได้คำรามเช่นเมื่อครู่ ดูมันจะเป็นแค่คำเรียกเท่านั้น
เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง “ข้าคิดว่าจะต้องไปรับท่านที่หมู่บ้านใบชา ไม่คิดว่าท่านจะตามมาช่วยข้า ท่านตามหาข้าเจอได้อย่างไร”
“หมั่นโถว” เขาชี้มาที่ตัวนาง บอกว่าชี้มาที่ตัวนาง แต่ทำไมนางรู้สึกเหมือนว่าเขาชี้มาที่หน้าอกนางเล่า แต่นิ้วที่เขาชี้มามันหน้าอกของนางจริงๆ นะ แล้วไม่นานเขากลับมาดูเหม่อลอยดังเดิม ผิดกับท่าทีดุดันเมื่อครู่ลิบลับ สวนนางนั้นใบหน้าร้อนผ่าวด้วยเหตุผลแปลกๆ ที่ให้ตายก็คงไม่กล้าบอกผู้ใดได้
ในที่สุดนางก็มั่นใจว่าเขาสามารถตามหาตัวนางได้จริงๆ แต่ด้วยเพราะเหตุใดนั้นนางไม่กล้าคิด
“รีบไปกันเถิด นายทหารคนนั้นต้องกลับมาในไม่ช้าแน่ๆ” เฟิงชิงถิงรีบห่อสัมภาระและอาหารแห้งที่นางหิ้วติดมาตั้งแต่แรกแล้วรีบลงจากรถม้า
ก่อนไปเฟิงชิงถิงอดไม่ได้ที่จะตรวจดูอาการบาดเจ็บของทหารทั้งสอง คนแรกบาดเจ็บหนัก กระดูกหักหลายจุด ปอดฉีกช้ำใน แต่ไม่ถึงตาย นางป้อนยาระงับเลือดออกภายในให้เขาเพื่อสามารถในการยื้อเวลาการรักษาไปได้ ส่วนคนที่โดนถีบก็ไม่ต่างกัน กระอักเลือดกระดูกหักสันหลังร้าว นางใช้เวลาอยู่นานเพื่อดามหลังเขาไว้ และเขียนวิธีเคลื่อนย้ายคนเจ็บไว้ให้ ไม่เช่นนั้นนายทหารคนนี้อาจจะพิการไปตลอดชีวิต
จะโทษสือซานเหลียงก็ไม่ได้ที่เขาลงมือหนัก เพราะเขาสติไม่ดี เขาไม่ลงมือหนักกว่านี้ก็ถือว่าโชคดีของทหารสองคนแล้ว
ที่จริงนางอยากขี่ม้าหนี แต่เพราะม้าของทหารเจิ้งได้ตีตราประทับเป็นม้าของทางการทุกตัวนางจึงตัดใจ ใช้วิธีเดินเท้าตามเดิม
แต่ที่น่าเหนื่อยใจคือ นางพยายามจะออกจากแคว้นเจิ้งแต่ก็ต้องมีเหตุต้องย้อนกลับไปทางเดิมและเริ่มใหม่อีกครั้งทุกครั้ง เช่นครั้งนี้นางถูกทหารพาตัวมา ทำให้ระยะทางที่จะเดินทางไปยังชายแดนแคว้นต้าหลวนห่างไกลขึ้นอีก แต่ก็ช่างเถิด นางไม่รีบ เพียงแค่ไม่ถูกจับตัวได้ สือซานเหลียงปลอดภัยเท่านั้นก็พอ
สิ่งแรกที่ทำหลังจากหลบหนีคือ ถอดหน้ากากแปลงโฉมออกแล้วเปลี่ยนหน้ากากใบหน้าใบใหม่ นางเหลือหน้ากากแปลงโฉมแค่สองชิ้นเท่านั้นรวมใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนอยู่ด้วย ต้องหาเวลาทำเพิ่มแล้ว มองไปยังสือซานเหลียงที่นั่งนิ่งรอนางอยู่ นางก็คิดจะทำหน้ากากให้เขาเช่นกัน แต่เพราะเขาไม่ยอมให้นางโกนหนวดเคราให้ จึงไม่สามารถใช้หน้ากากแปลงโฉมกับเขาได้ แต่ช่างเถิด ยามนี้คนสำนักเมฆาขาวยังจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เอาไว้ค่อยมาคิดกันอีกที ยามนี้รีบหนีให้ห่างจากทหารเจิ้งก่อนดีกว่า
เฟิงชิงถิงใช้เวลาสองวันในการเดินทางไปถึงด่านชายแดนแคว้นเจิ้ง นางพยายามหลบทหารเจิ้งทุกวิถีทาง สัมภาระที่เป็นยา นางให้สือซานเหลียงเป็นคนถือ ทุกครั้งที่นางให้เขาถือ เขาจะมองมาที่ห่อสัมภาระของนางซึ่งรวมไปถึงอาหารแห้งด้วยแววตาที่นางเข้าใจไปเองว่า หากนางแอบกินโดยไม่มีเขา เขาเอานางตายแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าให้เขาถือ เพราะหากให้เขาถือแล้วอาหารแห้งทั้งหมดคงถูกเขากวาดเรียบภายในวันเดียว
สิ่งที่น่าดีใจในยามนี้คือนางกำลังอยู่ที่ด่านชายแดน เข้าแถวเพื่อตรวจหนังสือผ่านแดนออกไปจากดินแดนแคว้นเจิ้ง หากออกจากแคว้นเจิ้งได้ ทหารเจิ้งก็จะหาตัวนางได้ลำบากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่สามารถตระเวนไปมาได้ง่ายๆ ในแคว้นต้าหลวน
แต่ในขณะที่นางกำลังจะไปถึงประตูเมืองนั้นเอง เสียงสุนัขที่เห่าอย่าดุดันหลายตัวก็ทำให้นางต้องหันกลับไปมองไม่ต่างกับชาวบ้านคนอื่นๆ
ใบหน้าของเฟิงชิงถิงไร้สีเลือดในทันทีที่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นายทหารห้าสิบกว่านายพร้อมกับสุนัขล่าเนื้ออีกสิบกว่าตัว กำลังมุ่งหน้ามายังประตูเมืองหน้าด่านที่นางกำลังยืนอยู่ หากให้นางเดาทหารพวกนั้นกำลังให้สุนัขเหล่านั้นดมกลิ่นนาง นั่นหมายความว่าแม้จะมีหน้ากากแปลงโฉมก็ไม่สามารถปกปิดตัวตนของนางได้อีกต่อไป
--------------------------------------------
มาแล้วนะคะ ช้าไปหน่อย บังเอิญเป็นวันครอบครัวก็เลยไม่มีเวลามาปั่นจ้า
---------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คุณพี่ทหารนี่น่าซัดยาให้เจ็บไปตาม ๆ กันจริง ๆ ตามเหมือนเห็บเลย
ชอบตอนพระเอก เรียกนางเอก หมั่นโถว น่ารักกกกก
รักเรื่องนี้
สนุกมากจ้า รอนะ
ขอให้รอดทั้งคู่ 555
รอลุ้นเจ้าบ้ากับหมอเทวดาว่าจะรอดมือแคว้นเจิ้งไหม
พวกแคว้นเจิ้งนี่ท่าจะขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์เนอะ ต้องมาคอยฉกตัวคนโน้นคนนี้ตลอด
เกือบจะได้รับอิสรภาพแล้วต้องมาเจอด่านสุนัข งานนี้จะเอาตัวรอดได้อย่างไร น่าจะโปรยยาสลบให้พวกทหารพวกนี้หลับยาวหลายวันเลย จะได้หนีได้สำเร็จ พี่สือแกน่ารักรู้สึกช้าไปนิด ที่น้องหมั่นโถวไม่อยู่ในสายตา. ต่ก็ตามมาถูกนะ ฉลาดจริงมาถูกได้ไง 555
ดีใจท่ีไรทืกลับมาอัพเดทได้แล้ว สบายดีนะคะ ไปเที่ยวที่ไหนวันสงกรานต์เอ่ย น้องถิงถูกทหารจับตัวไปแล้ว พี่เหลียงเรายังไม่รู้เรื่องเอาแต่ห่วงกิน เดี๋ยวนึกได้คงวิ่งตามไปช่วยแน่ เพราะตอนนี้ร่างกายเริ่มฟื้นฟูแล้ว ขอบคุณค่ะ
มาลุ้นกันต่อนะคะ แล้วจะรีบมาต่อจ้า