ตอนที่ 9 : ตอนที่ 8 (100%)
เพียงแค่นางคิดจะขยับพลิกตัวลงจากร่างหนา เอวที่ถูกโอบอยู่ก็ถูกรัดแน่นขึ้น ต้นขาของนางรู้สึกถึงท่อนขาแข็งแรงที่กดทับเอาไว้ มันทั้งหนักและกดร่างให้นางขยับได้ยากกว่าเดิม
“สือซานเหลียง ปล่อยข้า” เฟิงชิงถิงดิ้นรนออกไปจากตัวเขา แต่เหมือนเขาไม่ใส่ใจวาจาของนางสักนิด
“เจ้าพวกสวะ คิดสังหารข้า ข้าจะสังหารพวกเจ้าให้หมด!”
เขาคำรามเสียงน่ากลัวออกมาพร้อมกับร่างแข็งแรงที่เกร็งเครียด รัดร่างของนางด้วยแรงมหาศาลคล้ายว่าต้องการป่นร่างของนางให้แหลกคาอกของเขา
“สือซานเหลียง ข้าเจ็บ” นางพยายามดันแผงอกของเขาแต่ยิ่งดันก็ยิ่งถูกรัดแรงจนกระดูกนางลั่นดังกร็อบพร้อมกับใบหน้าหวานที่นิ่วหน้า
นางต้องถูกเขารัดร่างจนกระดูกป่นแน่ๆ
“เจ้าพวกสามหาว ผู้ใดคิดเป็นศัตรูกับข้าก็เรียงหน้ากันเข้ามา” เขาคำรามเสียงดุดันแขนล่ำสันกอดรัดนางจนหายใจไม่ออก
ฟังจากคำพูดเขาแล้วนางก็คิดว่ายามนี้เขาคงจะฝันอยู่และนางคงจะตายเสียก่อนหากเขายังฝันไม่จบ แต่ชั่วขณะหนึ่งนางกลับลืมความอึดอัดและความเจ็บปวดที่กำลังถูกป่นกระดูกไป
นางสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นและเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา เสียงกัดฟันกรอดสลับกับเสียงคำรามในลำคอ แผงอกของเขาขยับขึ้นลงรุนแรงคล้ายกับคนที่สั่งสมความกราดเกรี้ยวเอาไว้จนไม่อาจจะข่มได้ เขาต้องพบเจอกับเรื่องเช่นใดมาบ้าง ขนาดในยามสติไม่ดีจึงยังฝันแต่เรื่องเข่นฆ่า สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมา มือบางขยับมาที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา ตบลงเบาๆ ตรงหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงรุนแรงเป็นจังหวะช้าๆ พร้อมกับกระซิบเสียงปลอบโยน
“สือซานเหลียงท่านไม่เป็นไรแล้ว ที่นี่ไม่มีศัตรูของท่าน ที่นี่ไม่มีใครคิดร้ายต่อท่าน”
แรงรัดนั้นคล้ายออกเล็กน้อย ร่างที่เกร็งเริ่มผ่อนคลาย แผงอกที่สะท้อนขึ้นลงแรงก่อนหน้านี้ขยับช้าลงพร้อมกับเสียงทุ้มที่ฟังคล้ายสับสน “หมั่นโถว?”
“ข้าเอง หมั่นโถว ไม่มีอะไรแล้ว อยู่กับข้าท่านปลอดภัย” นางยิ้มได้ในความมืดเมื่อรู้สึกว่ายามนี้เขาพอจะคุยรู้เรื่อง
“หมั่นโถว หมั่นโถว” แรงกอดรัดไม่ได้รุนแรงเท่าครั้งแรก แต่เพียงแค่นางหยุดตบแผงอก เขาก็เริ่มกอดรัดนางแน่นขึ้นคล้ายกับว่ากำลังจมดิ่งลงไปในความฝันอันเลวร้ายของเขาอีกครั้ง เสียงทุ้มคำรามขึ้น “พวกเจ้า!”
เฟิงชิงถิงรีบตบแผงอกของเขาและเอ่ยปลอบ “ชู่ว...สือซานเหลียง ไม่มีอะไรแล้ว ท่านแค่ฝัน”
“หมั่นโถว” เขาผ่อนแรงลงอีกครั้ง แล้วนางก็เพิ่งจะรู้สึกว่าแก้มข้างหนึ่งของนางถูกเคราแข็งสากสีไปมาก่อนความรู้สึกนั้นจะเลื่อนต่ำลงมาที่คาง
“สือซานเหลียง !”
เฟิงชิงถิงหายใจสะดุด ความรู้สึกคันยิบๆ และสัมผัสร้อนผ่าวผ่านมาที่ลำคอทำให้รู้ว่ายามนี้สือซานเหลียงกำลังเลื่อนใบหน้าอยู่บริเวณใดของร่างกายนาง และมันกำลังต่ำลงมาเรื่อยๆ พร้อมกับเอวบางที่ดันให้ร่างนางขยับเลื่อนขึ้น
“หมั่นโถวอุ่น” เสียงทุ้มครางออกมาพร้อมกับกกกอดความอุ่นสบายแน่นขึ้น เขาเลื่อนหน้าซุกลงตรงส่วนที่นุ่มนิ่มและหอมหวน ขยับใบหน้าแนบกับสิ่งนั้นพร้อมกับสูดลมหายใจลึกก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างพึงพอใจ กอดรัดสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนแรงกว่าเดิม
“สือ สือซานเหลียง” เฟิงชิงถิงร้อนผ่าวไปทั้งตัว นางไม่รู้แล้วว่ายามนี้ตัวนางหรือตัวเขาจะร้อนกว่ากัน นางขยับตัวไม่ได้เพราะถูกเขากอดเอาไว้ อีกทั้งหน้าอกของนาง...หน้าอกของนาง กำลังถูกเขาล่วงเกินอีกแล้ว!
ร่างบางนอนตัวเกร็งทำสิ่งใดไม่ถูก หน้าอกของนางร้อนผ่าวไม่ต่างกับใบหน้า ยามนี้มันกำลังแนบอยู่กับใบหน้าของเขา และเมื่อเขาขยับใบหน้าคล้ายกับหาที่เหมาะเจาะ ขนในกายของนางก็ลุกชัน ความรู้สึกคันยุบยิบจากเคราที่เสียดสีเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่นางไม่รู้ว่าคือสิ่งใด ยังมีลมหายใจร้อนที่ลอดผ่านอาภรณ์มาจนกระทบผิวเนื้ออันบอบบาง
“ปล่อยข้านะ สือซานเหลียง” นางพยายามดิ้นเพื่อหลุดออกจากพันธนาการอันร้อนผ่าวด้วยความตกใจ
“ฮื้อ หมั่นโถว” เสียงนั้นคล้ายกับเด็กที่กำลังถูกขัดใจปนเผด็จการ เขาแนบหน้ากับความนุ่มเต่งตึง สูดกลิ่นหอมที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด “หมั่นโถวหอม” เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกหลายครั้ง ก่อนจะเริ่มหายใจอย่างสม่ำเสมอ
คนที่กอดนางหลับลงอย่างผ่อนคลาย แต่นางกลับต้องนอนตัวแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้และดูท่าคงจะซุกอยู่ในท่านี้อีกนาน
เฟิงชิงถิงรู้สึกอับอายที่ตัวเองในยามนี้ยิ่งนัก เอวนางถูกแขนสองข้างโอบกอดไว้ หน้าอกของนางยังอยู่บนหน้าของเขาอีกต่างหาก ยังไม่รวมเนื้อตัวที่แนบสนิทไปกับร่างหนาด้านล่าง ไม่มีสตรีที่ดีนางใดกล้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่นางก็รู้ว่าคงจะทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป สือซานเหลียงเป็นคนบ้าอีกทั้งยามนี้ยังบาดเจ็บและไข้ขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจ ส่วนนางก็เป็นหมอ ร่างกายเขาต้องการความอบอุ่น หากนางไม่ช่วยใช้ร่างกายมอบความอบอุ่นให้ อาการของเขาอาจจะหนักกว่าเดิมก็ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือนางควรจะทำให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บและอาการไข้โดยไว
ใช่ นางเป็นหมอ หมอต้องทุ่มเทใจรักษาคนไข้ แค่เรื่องถูกเนื้อต้องตัวแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แม้จะปลุกปลอบใจตัวเองอยู่เช่นนั้น แต่ร่างของนางก็ร้อนผ่าวไปหมด หัวใจเต้นแรงและเร็วยิ่งกว่าหัวใจของสือซานเหลียงเสียอีก มือบางของนางยังคงตบแผงอกเขาเบาๆ เป็นจังหวะ เพราะหากนางหยุด ร่างกายของสือซานเหลียงก็จะเกร็งเครียดขึ้นมาทันที ตลอดคืนเฟิงชิงถิงที่หลับไม่ลงอยู่แล้วจึงตบแผงอกเขาเบาๆ เมื่อเมื่อยนางก็เปลี่ยนมือทำแบบนี้จนฟ้าเกือบสาง นางจึงผล็อยหลับไป
ไม่นานนักแสงสีทองด้านนอกถ้ำก็เริ่มคืบคลานเข้ามา ลอดช่องกิ่งใบไม้ที่ปกปิดปากถ้ำเอาไว้ สาดไล้บนพื้นถ้ำเปลี่ยนความมืดมนอนธการเป็นยามเช้าอันอ่อนโยน แม้ยามราตรีจะลาจากไปแล้ว แต่ความเย็นของห้วงราตรียังคงอ้อยอิ่งอยู่โดยเฉพาะภายในถ้ำที่ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงไปไม่ถึง
ร่างสองร่างที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากันยังคงอิงแอบกันเพื่อแบ่งปันความอบอุ่น ลำแขนใหญ่ที่พาดอยู่บนเอวบางกระชับให้ร่างเล็กขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่แล้วดวงตาที่ปิดสนิทก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างใหญ่ที่ผงะถอยออกมาเล็กน้อย แววตาคู่นั้นไม่มีความงุนง่วงแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความระแวงระไวในดวงตา แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาคือใบหน้าของเฟิงชิงถิง เขาก็มองดูใบหน้าที่ยังนอนหลับสนิทของหญิงสาวด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
มือหนาขยับมาสะกิดชั้นผิวหนังบางๆ ที่ลำคอของหญิงสาวก่อนจะลอกหน้ากากแปลงโฉมของนางออกโดยที่คนนอนหลับอยู่ก็ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ เมื่อลอกออกได้เขาก็โยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดี หัวเราะออกมาอย่างพอใจก่อนจะมองใบหน้าที่แท้จริงของนาง แววตาที่มองบ่งบอกความรู้สึกที่หลากหลาย ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกรุงรังก็เช่นกัน มันมีทั้งความสับสนงุนงงอย่างไม่เข้าใจ บางครั้งก็อ่อนโยนแต่ก็แฝงความเผด็จการอยู่ในนั้น แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเลื่อนลอยอยู่นาน จนเสียงดังโครกครากเตือนขึ้นมา แววตาที่มองใบหน้าหวานจึงเลื่อนไปมองตามต้นเสียงซึ่งก็คือเสียงจากท้องของเขานั้นเอง
เขาหิวแล้ว และเขาก็รู้ว่าจะจัดการกับความหิวของตัวเองอย่างไร นั่นเป็นเรื่องง่ายที่สุดสำหรับคนบ้าเช่นเขา จมูกที่มีความสามารถดมกลิ่นได้ยอดเยี่ยมทำให้รู้ว่ายามนี้ห่ออาหารแห้งวางอยู่ที่ใดโดยไม่ต้องมองด้วยซ้ำ
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปหาห่ออาหารแห้งที่วางอยู่อีกฟากหนึ่งของถ้ำ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดภายในด้วยอาการช้ำในแต่ความสามารถทางด้านการกินก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
เขานั่งลงพิงผนังถ้ำเปิดห่อผ้าหยิบขนมเปี๊ยะขึ้นมากัด แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาไปหยุดที่แผ่นหลังเล็กของคนที่นอนหลับอยู่ นางนอนตะแคงหันหลังให้เขา
ดวงตาคู่เดิมจ้องที่แผ่นหลังของนางคล้ายถูกมนตร์สะกด มองอยู่นานเท่าใดก็ไม่รู้ได้ จนเมื่อร่างเล็กขยับเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย สือซานเหลียงจึงเริ่มกินขนมเปี๊ยะไปพลางมองร่างบางพลาง ปากเขาก็เคี้ยวขนมเปี๊ยะตุ้ยๆ ดวงตาก็มองใบหน้าหวานก่อนจะเลื่อนมองต่ำลงไป ต่ำลงจนถึงเนินเนื้อที่ขยับขึ้นลงตามการหายใจอย่างสม่ำเสมอ
“เอื๊อก” เสียงกลืนขนมเปี๊ยะดังกว่าทุกครั้งเมื่อสายตาตรึงนิ่งอยู่ตรงเนินเนื้อทรวดทรงงดงามสองก้อนที่มีขนาดเท่ากันพอดี เขายกขนมเปี๊ยะขึ้นมามองด้วยแววตาฉงน ก่อนจะหันกลับไปมองหมั่นโถวสองลูกภายใต้อาภรณ์ด้วยแววตาสนเท่ห์
ในที่สุดร่างใหญ่ก็ขยับมานั่งใกล้ร่างบางพร้อมกับหิ้วห่ออาหารติดมือมา เขาหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นที่สองมากินพร้อมกับมองหมั่นโถวที่เหมือนมีชีวิตอีกครั้ง จนกินขนมเปี๊ยะชิ้นที่สองหมด เขาก็หยิบขนมเปี๊ยะชิ้นที่สามขึ้นมาดูสลับกับมองหมั่นโถวสองลูกที่กำลังขยับน้อยๆ
“เอื๊อก” เขากลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองหมั่นโถวสองลูกนั้น
“โครกคราก” ท้องส่งเสียงประท้วงเมื่อเขามองขนมเปี๊ยะ
ใบหน้าดุดันฉายแววสับสนปนไม่พอใจ นิ่งอยู่นานก็หันจมูกไปทางขนมเปี๊ยะ กลิ่นของขนมเปี๊ยะทำให้ท้องของเขาร้องขึ้นมาอีกครั้ง คิ้วหนาเริ่มขมวดเป็นปม ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยื่นจมูกไปใกล้หมั่นโถวแล้วสูดดม กลิ่นหอมนั้นทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคอ
แล้วสือซานเหลียงก็มองสลับไปมาระหว่างหมั่นโถวกับขนมเปี๊ยะอยู่หลายรอบ ครั้งสุดท้ายเขาเลียขนมเปี๊ยะไปคำหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปที่หมั่นโถวสองก้อนนั้นใกล้ขึ้น
คิ้วหนาขมวดเพราะความขัดใจ มองหมั่นโถวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับมือข้างหนึ่งเลื่อนไปที่สาบเสื้อของคนที่นอนหลับอยู่ มือที่กางอยู่ขยับเปลี่ยนเป็นกำมือเหลือนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวที่ยื่นออกมา นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวนั้นเกี่ยวสาบเสื้อของคนที่นอนหลับสนิทแหวกออก แต่เมื่อแหวกออกมาแล้วเขาก็ต้องคำรามอย่างไม่พอใจ เพราะสาบเสื้อไม่ใช่อาภรณ์ชิ้นเดียวที่ปิดมันไว้ มันยังมีผ้าชิ้นน้อยอีกชิ้นที่ปิดอยู่
แต่สิ่งที่กีดขวางเพียงแค่นั้นไม่ได้ทำให้คนบ้าเช่นเขาจะเลิกล้มความตั้งใจได้ เขาวางขนมเปี๊ยะลงก่อนจะยื่นนิ้วชี้ขึ้นมาดึงผ้าชิ้นน้อยที่ปิดหมั่นโถวนั้นให้แหวกลงมา แล้วก็ก้มหน้าแลบลิ้นชิมรสหมั่นโถวเหนือบริเวณผ้าชิ้นน้อยที่เขาเกี่ยวมันต่ำลงมาได้ ลิ้มรสได้ครั้งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นเอียงคอคล้ายยังไม่รู้รสอะไรจึงก้มหน้าลงไปอีกครั้ง ดึงผ้าชิ้นน้อยให้มันต่ำลงไปมากกว่าเดิมเพราะมันทำหน้าที่ปิดบังหมั่นโถวได้ดีเกินไปก่อนจะก้มลงอีกครั้ง
เฟิงชิงถิงนั้นเริ่มรู้สึกตัวตั้งแต่มีบางอย่างมาแหวกเสื้อนางแล้ว แต่เพราะความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อวานทำให้นางยังคงหลับใหลต่อไป จนเมื่อที่ลำคอของนางรู้สึกเหมือนสิ่งใดรั้งเอาไว้ อีกทั้งคล้ายกับมีบางอย่างสากๆ ขยับอยู่บนเนินอกของนาง เปลือกตาที่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นหัวยุ่งๆ ของสือซานเหลียงอยู่แถวๆ หน้าอกของนาง นางผลักใบหน้าเขาออกห่างโดยไม่ต้องคิดพร้อมกับร้องออกมาด้วยความตกใจ
“สือซานเหลียง ท่านจะทำสิ่งใด!”
แรงของนางไม่เคยสู้เขาได้ แต่สือซานเหลียงก็หยุดการกระทำ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองนางด้วยแววตาใสซื่อเหมือนไม่ได้ทำเรื่องผิดแต่อย่างใด แต่นางก็แทบจะกรีดร้องออกมาเมื่อเห็นว่านิ้วชี้นิ้วหนึ่งของเขากำลังเกี่ยวสาบเสื้อให้แหวกออก ส่วนนิ้วชี้อีกข้างกำลังรั้งเอี๊ยมนางลง เนินอกของนางมีรอยชื้นจากลิ้นของเขา เลือดในกายของนางพุ่งขึ้นไปรวมอยู่ที่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว
“สือซานเหลียง! ออกไปนะ” นางปัดมือเขาออกพัลวัน หน้าร้อนผ่าวดั่งกำลังจะเกรียมไหม้
มือหนาที่ถูกปัดออกหดกลับพร้อมกับร่างที่นั่งก้มขยับมานั่งขัดสมาธิตามเดิม สายตาที่มองนางนั้นคล้ายกับเด็กน้อยที่ถูกรังแก “หมั่นโถวของข้า”
เห็นเขายอมล่าถอยเฟิงชิงถิงก็รีบลุกขึ้นนั่งจัดเสื้อผ้าของตนเองอย่างรวดเร็ว แต่นางก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อความเมื่อยขบจากการโดนเขารัดร่างนางแน่นเมื่อคืนกำลังโจมตีนาง นางข่มความปวดเมื่อยนั้นกอดอกตนเอง หันมาขึงตาใส่เขา บอกเขาอย่างเดือดดาล
“นี่ไม่ใช่หมั่นโถวของท่าน มันกินไม่ได้”
ครั้งนี้เขาชี้มือมาที่แขนสองข้างที่กอดปกป้องบางอย่างเอาไว้ “หมั่นโถวของข้า กินหมั่นโถว”
เฟิงชิงถิงหลับตาถอนหายใจ ข่มกลั้นความอายและความโมโหเอาไว้ ย้ำกับตนเองว่า คนบ้าจะเข้าใจสิ่งใดเล่า
“เอาเป็นว่าท่านกินสิ่งนี้ไม่ได้ หากทำแบบนี้กับข้าอีก” นางคว้ากระบอกเข็มที่ข้างเอวออกมา หยิบเข็มที่ยาวที่สุดชูให้เขาเห็น “ข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้วนะ”
สือซานเหลียงมองหมั่นโถวของนางอีกครั้ง พ่นลมออกจมูกอย่างไม่พอใจ คว้าขนมเปี๊ยะขึ้นมากัดโดยแรงคล้ายบรรเทาความโมโหก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางอื่นอย่างไม่เต็มใจ
เห็นเขาไม่มองมาที่นางแล้วเฟิงชิงถิงก็ค่อยคลายใจ นางมองไปบนพื้นเห็นมีบางอย่างกองอยู่คล้ายหน้ากากแปลงโฉมของนาง มือขาวลูบใบหน้าของตนเองก่อนจะหันไปทางร่างใหญ่ที่นั่งกินอาหารเงียบๆ
“ท่านลอกหน้ากากแปลงโฉมของข้า”
สือซานเหลียงไม่หันมองนาง ยังคงกินอาหารของเขาต่อไป เฟิงชิงถิงหยิบหน้ากากแปลงโฉมขึ้นมาด้วยสีหน้าปลงตก เดาว่าเขาคงเห็นนางลอกหน้ากากอยู่หลายครั้งจึงนึกอยากลอกบ้าง “ช่างเถิดอย่างไรเสียหน้ากากชิ้นนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว”
ทหารและคนสำนักเมฆาขาวต่างเห็นโฉมหน้านี้ของนางแล้ว ดังนั้นก็คงต้องทำลายทิ้งอยู่ดี คิดดังนั้นนางจึงเลิกสนใจแต่ก็ยังมองสือซานเหลียงอย่างไม่ไว้ใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเขาไข้ขึ้น จึงรีบขยับไปนั่งใกล้เขาแล้วตรวจอาการอีกครั้ง ลืมเรื่องน่าโมโหเมื่อครู่ไปเสียสนิท สือซานเหลียงมองการกระทำของนางแต่ไม่ได้ขัดขืน
“โชคดีที่ท่านเป็นคนแข็งแรง อาการของท่านดีขึ้นจากเมื่อวานมาก” นางบอกกับเขาโดยไม่สนว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่
ขณะที่นางเอามือออกจากแขนของเขา มืออีกใหญ่อีกข้างก็คว้ามือนางเอาไว้ ร่างบางสะดุ้งด้วยความตกใจ อาการคว้าหมับนี้ไม่ต่างกับเมื่อคืนแม้แต่น้อย นางคิดว่าเขาจะรวบร่างนางไปป่นกระดูกเหมือนเมื่อคืนเสียแล้ว ขณะที่นางกลั้นใจ เขาก็จับมือนางไปวางไว้บนผมอันยุ่งเหยิงของเขา
“สางผม”
ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อทำให้นางหัวหมุนจริงๆ เมื่อคืนเขาทำนางเกือบตายอีกทั้งยังทำให้นางไม่ได้หลับทั้งคืน เช้ามาเขายังทำท่าจะล่วงเกินนางอีก ไม่พอยังจะให้นางสางผมให้ ช่างไม่ดูอารมณ์ของนางเสียเลย แต่แล้วเฟิงชิงถิงก็ถอนใจออกมาอย่างอ่อนใจ
ทำอย่างไรได้เล่าก็เขาบ้านี่ จะเอาสิ่งใดกับคนบ้ากัน
เฟิงชิงถิงยอมรับในชะตากรรม นั่งคุกเข่าด้านหลังเขาแล้วเริ่มสางผมให้ ส่วนสือซานเหลียงก็นั่งกินอาหารอย่างสบายใจ และเมื่อนางสางผมและรวบให้เขาเสร็จเขาก็ทำให้นางต้องเหลือกตาใส่อีกครั้ง
“หมั่นโถว” เขามองหมั่นโถวของนางอีกแล้ว!
“บอกแล้วอย่างไรว่ากินไม่ได้ อาหารอย่างอื่นท่านก็กินไปสิ” นางแทบจะลมออกหูอยู่แล้ว กำลังหยิบอาหารแห้งให้กับเขานางก็ต้องอ่อนใจอีกครั้ง
อาหารหมดแล้ว แต่เขายังไม่อิ่ม ดูท่าว่าหากนางไม่รีบหาอาหารมาให้เขาเพิ่ม ชะตาหมั่นโถวของนางคงจะขาดเสียแล้ว
“ในเมื่อท่านแข็งแรงดีแล้วเราก็รีบออกเดินทาง เจอร้านของกินเมื่อใดข้าจะซื้อให้ท่านในทันที” เฟิงชิงถิงรีบเก็บขวดยาที่ใช้เมื่อวานเข้าไปในห่อสัมภาระ ไม่สนใจท้องของตนเองที่ร้องจ๊อกๆ
ไม่กินแค่อาหารเช้านางไม่ตายหรอก แต่เขาไม่อิ่มต่างหากนางจะตายเอา
เมื่อออกมาจากถ้ำฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว ยามนี้เฟิงชิงถิงเหลือหน้ากากแปลงโฉมแค่ชิ้นเดียว เพราะไม่แน่ใจว่าจะเจอทหารเจิ้งหรือคนของสำนักเมฆาขาวหรือไม่นางจึงเดินเรียบทางไปเรื่อยๆ หากว่าเจอกลุ่มคนที่นางไม่ต้องการเจอจะได้หาที่หลบได้ทัน
เดินทางไปได้ไม่นานก็มีขบวนสินค้าผ่านมาพอดี ดูจากเส้นทางที่รถสินค้ามุ่งหน้าไปก็เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขากำลังเดินทางไปแคว้นต้าหลวน เฟิงชิงถิงคิดว่าการเดินทางไปกับกลุ่มขบวนสินค้าก็ดีไม่น้อย รวมกลุ่มกับผู้อื่นเป็นจุดสนใจน้อยกว่า
โชคดีที่ขบวนสินค้านั้นเป็นร้านแพรพรรณและเปิดเร่ขายตามทาง นางตั้งใจจะซื้อชุดบุรุษให้สือซานเหลียงอยู่พอดี เมื่อซื้อชุดใหม่ให้สือซานเหลียงได้นางก็ขอหลงจู๊ผู้เป็นคนคุมขบวนสินค้าติดขบวนสินค้าไปด้วย หลงจู๊ก็ยินดีอีกทั้งยังให้นางกับสือซานเหลียงนั่งบนรถสินค้าที่ยังพอมีที่ว่าง
ระหว่างที่เดินไปยังรถสินค้าที่จะให้นางโดยสารไปด้วย เพราะยามนี้มีคนแปลกหน้าและคนงานมากมาย เฟิงชิงถิงเองก็ไม่รู้ว่าสือซานเหลียงจะก่อเรื่องใดหรือไม่ เพื่อกันไว้ก่อนนางจึงคว้าแขนของสือซานเหลียงไว้ก่อนจะออกเดิน แต่ยังไม่ทันเดินตามไป คนที่ถูกคว้าแขนก็หัวเราะออกมาอย่างโง่งม
เฟิงชิงถิงหันไปมองเขาก็เห็นเขามองแขนที่ถูกจับอยู่แล้วหัวเราะชอบใจเหมือนคนบ้า
แต่เขาก็บ้าอยู่แล้วนี่ หรืออาการบ้าของเขาจะมากขึ้นกัน คิ้วเรียวของนางขมวดเป็นปมก่อนจะเงยหน้าบอกเขา
“ไว้หาที่พักได้ข้าจะตรวจอาการท่านอย่างละเอียดอีกครั้ง”
แต่สือซานเหลียงอย่างไรก็คือสือซานเหลียง เขาไม่สนใจเรื่องที่นางบอกแต่กลับชี้มาที่ใบหน้าของนางก่อนจะเอ่ยสั้นๆ “หน้ากาก”
เฟิงชิงถิงลูบใบหน้าตนเอง ด้วยสีหน้าแตกตื่น นางลืมแปลงโฉมนั่นเอง เพราะเมื่อเช้านี้มีเรื่องมากมายเกินไป เรื่องต่างๆ ทำเอานางใจไม่อยู่กับร่องกับรอย ดังนั้นจึงลืมเรื่องแปลงโฉมไปเสียสนิท
“ช่างเถิด” นางบอกกับสือซานเหลียงอย่างไม่ใส่ใจ อย่างไรก็เหลือหน้ากากแปลงโฉมเพียงชิ้นเดียว อีกทั้งยามนี้นางกำลังจะไปแคว้นต้าหลวนแล้ว หากนางไม่ได้รักษาผู้อื่นและระวังตัวให้มากหน่อยก็คงไม่เป็นไร
หลังจากนั้นนางก็นั่งคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปหากเดินทางเข้าไปยังเมืองด่านของต้าหลวนได้สำเร็จ เงินของนางก็เหลือน้อยเต็มที อีกทั้งนางก็ไม่รู้ว่าพรรคโลหิตอัคคีอยู่ที่ใด นั่นหมายความว่า ยิ่งนางสืบเรื่องพรรคโลหิตอัคคีนานเท่าใด เงินของนางก็ยิ่งลดน้อยลง แต่อย่างไรนางก็ต้องหาพรรคโลหิตอัคคีให้เจอก่อนเงินของนางจะหมดให้ได้
ระหว่างที่นางนั่งคิดแผนการต่างๆ นั้น หารู้ไม่ว่าคนที่นั่งข้างนางนั้นหันมามองใบหน้านางอย่างเหม่อลอยตลอดเวลา ไม่ละจากใบหน้าของนางไปไหน จนเสียงจ๊อกๆ นั้นดังขึ้น เสียงนั้นจึงดึงสติของคนทั้งคู่กลับมา
เฟิงชิงถิงหน้าแดงซ่าน ท้องนางร้องเพราะอาหารเช้าที่นางควรจะได้กินถูกผู้อื่นกินแย่งกินไปจนหมดแล้ว นางหันไปมองสือซานเหลียง เห็นเขาก้มหน้ามองท้องของนาง นางก็ยิ่งอับอายกอดท้องตนเองแล้วบอกกับเขาอย่างไม่จริงจังนัก “เป็นเพราะท่านแย่งอาหารของข้าไปกิน แต่ไม่ต้องห่วงข้าตัวเล็ก หาอะไรกินเล็กน้อยก็ไม่หิวแล้ว”
“โครก...”
ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงท้องของนาง แต่เป็นเสียงท้องของสือซานเหลียงทั้งที่เขากินไปตั้งเยอะแล้วแท้ๆ เสียงนั้นดังไปจนถึงชายคนงานที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถสินค้า เขาหัวเราะก่อนจะแบ่งหมั่นโถวให้แก่เฟิงชิงถิง
“สามีของเจ้าคงหิวมาก เอานี่ไปเถิด อาจจะแข็งไปหน่อยแต่ยังกินได้”
เฟิงชิงถิงยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ เมื่อถูกผู้อื่นคิดว่าสือซานเหลียงคือสามีนาง แต่ก็ช่างเถิด
นางขอบคุณเขารับหมั่นโถวมาแล้วยื่นให้สือซานเหลียง “ไว้เข้าไปในด่านต้าหลวนเมื่อใดข้าจะซื้ออาหารให้ท่าน”
สือซานเหลียงรับหมั่นโถวอ้าปากจะกัดก็ชะงัก มองดูมันก่อนจะยื่นมาตรงหน้าเฟิงชิงถิง “เจ้ากิน”
เฟิงชิงถิงประหลาดใจมาก ตั้งแต่ร่วมเดินทางกันมาเขาไม่เคยแบ่งอาหารให้นางกินแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมองนางอย่างไม่พอใจทุกครั้งที่นางกินอาหาร คล้ายกับบอกว่านางแย่งอาหารเขากิน แล้วเหตุใด…
“ท่านกินเถอะ” นางดันหมั่นโถวกลับไปให้เขา
“กิน” เสียงห้วนสั้นและเผด็จการ
“ไม่เป็นไร ให้ท่านกิน” นางหิวตายยังดีกว่าให้เขาหิว เพราะหากเขาหิวก็คงไม่พ้นพุ่งเป้ามายังหมั่นโถวที่น่าสงสารของนางนี่เอง
“กิน” เขาแทบจะยัดหมั่นโถวเข้าปากนาง ท่าทางกดดันนั้นทำให้นางต้องยอมรับหมั่นโถวมาในที่สุด
“ได้ๆ ข้ากินแล้ว” นางบิหมั่นโถวเข้าปาก แม้มันจะแข็งและแห้งแต่เพราะนางยังเหลือน้ำอยู่จึงกินได้อย่างมีปัญหา กินไปได้ครึ่งลูกก็ยื่นกลับไปให้สือซานเหลียง “ข้าอิ่มแล้ว”
“กินอีก” เขาสั่ง
แต่นางกลัวจริงๆ ว่าถ้าเขาหิวแล้วชะตาหมั่นโถวนางจะขาด นางยื่นหมั่นโถวกลับไปตรงหน้าเขา “ข้าอิ่มแล้วจริงๆ ท่านกินเถิด”
ดวงตาคู่ดุดันมองหมั่นโถวในมือขาวเล็กนั้นก่อนจะอ้าปากกัดลงไป เฟิงชิงถิงตกใจไม่คิดว่าเขาจะกินจากมือนางก็หดมือกลับ แต่มือหนานั้นกลับจับข้อมือนางไว้ กินหมั่นโถวจากมือของนางพร้อมกับหัวเราะอย่างโง่งมอีกครั้งจนแทบจะสำลักหมั่นโถวแห้งๆ นั้น
เฟิงชิงถิงที่ทำสิ่งใดไม่ถูก เอาแต่คิดว่า เขาต้องบ้ามากขึ้นแน่ๆ ทำอย่างไรดี นางไม่เคยรักษาคนบ้าเสียด้วยจึงไม่รู้ว่าเขาบ้าถึงขั้นใดแล้ว
“พวกเจ้ารักใคร่กันดีนะ” ชายคนงานคนเดิมเอ่ยพลางหัวเราะ
เฟิงชิงถิงได้แต่ก้มหน้าด้วยความอาย เพราะแก้ตัวไปก็คงไม่ได้เป็นผลดีต่อนางเท่าใดนัก
--------------------------------------------
ช่วงนี้อากาศร้อนมากค่ะ ยิ่งในห้องที่ใช้ปั่นนิยายแล้วยิ่งแล้วใหญ่
ช่วงนี้กำลังพยายามปั่นนิยายเรื่องนี้อยู่ แต่ปรากฏว่าด้วยอุปสรรคโลกร้อน
ปั่นไม่ได้เลยจ้า ต้องรอใกล้ค่ำถึงจะมาเปิดคอมได้
ไม่งั้นไรท์ละลาย คอมเจ้งแน่
ช่วงนี้เห็นใจกันหน่อยนะคะ ร้อนมากจริงๆ ค่ะ ไม่ได้ติดแอร์ด้วย
---------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คนไร บ้าบอ....
หน้าอกนางเอกโดนล่วงเกินไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย555
พระเอกน่ารัก
น่ารักนะนี่ขนาดบ้าอยู่
รู้สึกว่าพี่เหลียงจะมีอาการดีขึ้น รู้จักฟังมากขึ้น ตอนละเมอท่าทางพูดรู้เรื่อง หวังว่าจะหาน้องสาวเจอไว ๆ แล้วจะได้รักษาอาการให้หายซะที ขอบคุณค่ะ
คนอ่านก็ร้อนค่ะไรท์ กลัวจะบ้าตามพี่ใหญ่เหมือนกัน