คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 7 (50%)
ขณะที่สุนัขล่าเนื้อกับทหารเจิ้งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขบวนคนที่เดินออกจากประตูเมืองก็ขยับไปเรื่อยๆ แต่ดูอย่างไรก็ยังช้ากว่าเหล่าทหารที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
เสียงเห่าที่ดังขรมและท่าทีดุดันของสุนัขล่าเนื้อสิบกว่าตัวทำให้เหล่าชาวบ้านหวาดผวา พวกเขาถอยหลังหนีเมื่อพวกมันก้าวเข้ามาใกล้ แม้แต่เฟิงชิงถิงเองก็ไม่ต่างกัน ในขณะที่นางพยายามคิดว่าจะใช้ยาตัวใดกลบกลิ่นของตนเองดี สุนัขล่าเนื้อเหล่านั้นก็สูดกลิ่นบางอย่างก่อนจะวิ่งตรงมาทางนางที่ยืนรวมกลุ่มกับเหล่าชาวบ้านพร้อมกับเหล่าทหารที่ตามมาด้านหลัง
แต่ยังไม่ทันที่สุนัขเหล่านั้นจะมาถึงตัว ร่างสูงใหญ่ที่ยืนเหม่อก็หันขวับไปยังพวกมันเสียก่อน เขาคำรามเสียงดังเพียงครั้งเดียวร่างสี่ขาสิบกว่าตัวก็ชะงักกึก ท่าทางดุดันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกก่อนจะหมอบลงพื้นพร้อมกับเสียงร้องงี้ดๆ ผิดกับท่าทีเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว
“เกิดสิ่งใดขึ้น” นายทหารคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความแปลกใจก่อนจะตวาดเหล่าสุนัขล่าเนื้อ “พวกเจ้าลุกขึ้น!”
เสียงตวาดนั้นกระตุ้นให้เหล่าสุนัขล่าเนื้อฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง มันลุกขึ้นเห่าและคำรามอย่างดุดัน แต่ก็เพียงไม่นานเท่านั้น เมื่อสายตาดุดันนั้นกวาดมองพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไม่ต่างกับเสียงของสัตว์ป่าอันดุร้าย เหล่าสุนัขล่าเนื้อก็ครางงี๊ดออกมาหูตกหางลู่โดยพร้อมเพรียงกัน
สือซานเหลียงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะลั่นด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะคำรามทำท่าขู่ใส่จนสุนัขสิบกว่าตัวต้องล่าถอยด้วยความหวาดกลัว แต่ก็มีบางตัวที่ใจกล้ามองมาทางเฟิงชิงถิง คล้ายจะบอกสิ่งใดแต่ก็ทำได้แค่ครางงี๊ดๆ ไม่กล้าเห่า ชาวบ้านที่ตอนแรกกลัวสุนัขล่าเนื้อตอนนี้เริ่มขยับออกห่างจากร่างสูงใหญ่ พวกเขารู้สึกว่าชายร่างสูงใหญ่ผู้นี้น่ากลัวกว่าสุนัขล่าเนื้อสิบกว่าตัวรวมกันเสียอีก
“เจ้าทำสุนัขเหล่านี้ตกใจ” ทหารนายกองตรงมาเอาเรื่องสือซานเหลียงที่ยามนี้ดูอารมณ์ดีไม่น้อย
เมื่อถูกนายทหารคนนั้นตวาดใส่สือซานเหลียงก็หยุดหัวเราะ หันมาจ้องนายทหารผู้นั้นด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่เฟิงชิงถิงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาขวาง
“ใต้เท้าโปรดให้อภัยเขาด้วย เขาสติไม่ค่อยดีเท่าใดนักเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นอะไรกับเขา” นายทหารผู้นั้นมองนางก่อนจะรับกระดาษแผ่นหนึ่งจากทหารใต้อาณัติมาดู
เฟิงชิงถิงกลั้นใจโดยพลันเมื่อเห็นว่ากระดาษแผ่นนั้นมีรูปใบหน้าของนางอยู่ แต่มันเป็นใบหน้าที่นางใช้หน้ากากแปลงโฉมที่เพิ่งจะทำลายทิ้ง ยามนี้ใบหน้าในรูปกับใบหน้าที่ทุกคนเห็นจึงไม่เหมือนกัน
นายกองมองรูปภาพแล้วมองนาง หญิงสาวคลี่ยิ้มตอบ “เขาเป็นญาติของข้าเจ้าค่ะ”
“เป็นชาวต้าหลวนหรือ”
“เจ้าค่ะ”
นายทหารอีกคนก้าวมาใกล้นายทหารที่คุยกับเฟิงชิงถิงก่อนจะกระซิบเสียงเบาแต่เฟิงชิงถิงก็ยังได้ยินว่า “จากที่ได้รับรายงานมา คนที่ชิงตัวหมอเทวดาไปนั้นเป็นบุรุษร่างใหญ่ไว้หนวดเคราขอรับ”
สายตาของทหารทั้งสองพุ่งเป้าไปทางสือซานเหลียงในทันที เฟิงชิงถิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเบี่ยงตัวบังเขาไว้ แต่ร่างของนางเล็กกว่าคนที่นางต้องการใช้ตัวบังมาก ศีรษะของนางนั้นสูงกว่าหน้าอกของเขาหน่อยเดียว จึงไม่สามารถปิดบังใบหน้าของเขาได้แม้แต่น้อย
แต่ในขณะนั้นเอง ทหารอีกนายหนึ่งก็วิ่งเข้ามา “รายงานขอรับ ตอนนี้เราเจอตัวบุรุษที่ช่วยสตรีที่สงสัยว่าเป็นหมอเทวดาแล้วขอรับ”
“เจ้าหมายถึงผู้ใด” นายกองหันไปถามกับทหารชั้นผู้น้อย
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ใกล้ตลาดยามเช้าเราเจอสตรีนางที่น่าจะเป็นหมอเทวดาที่ตามหา แต่มีชายคนหนึ่งมาชิงตัวนางไปเสียก่อน ยามนี้คนผู้นั้นอยู่ในกลุ่มนั้นขอรับ” ทหารนายนั้นชี้ไปยังด้านหลังซึ่งเป็นกลุ่มชายหญิงในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนสาบแขนเสื้อมีลายปักรูปเมฆาสีขาวกำลังขี่ม้ามายังประตูหน้าด่านเช่นกัน
เฟิงชิงถิงที่มองตามมือนายทหารผู้นั้นแทบจะหยุดหายใจ เหตุใดต้องมาเจอคนสำนักเมฆาขาวในยามนี้ด้วย
“รีบพาข้าไป” นายกองสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา เปลี่ยนมาสนใจกลุ่มคนในอาภรณ์ฟ้าอ่อนแทน
“เช่นนั้นข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่” เฟิงชิงถิงถาม
“ไปได้” นายกองบอกก่อนจะเดินตามผู้ใต้บังคับบัญชาไป ทหารคนอื่นต่างจูงสุนัขล่าเนื้อตามไปด้วย บรรยากาศที่ประตูหน้าด่านเริ่มกลับมาผ่อนคลายเช่นเดิม
เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอก พาสือซานเหลียงเดินผ่านด่านออกไปด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นกระหน่ำ แต่นางเพิ่งจะผ่านประตูด่านไปไม่นาน นายทหารผู้หนึ่งก็ตะโกนเสียงดังออกมา
“ผู้นั้น! ชายผู้นั้นเป็นคนทำร้ายทหารกลุ่มของข้า แล้วพาสตรีที่คาดว่าเป็นคนที่ตามหาไป”
เฟิงชิงถิงหันกลับไปมอง เห็นว่าผู้ที่ตะโกนคือนายทหารที่ทำหน้าที่คุมรถม้าที่วิ่งหนีสือซานเหลียงไป เขาจำได้ว่าเป็นสือซานเหลียง ทหารผู้ทำหน้าที่คุมหน้าประตูเมืองตรงปรี่เข้ามาหานาง หญิงสาวไม่มีเวลาคิด นางคว้าถุงเหรียญอีแปะออกมาแล้วโยนเกลื่อนลงบนพื้นแล้วตะโกนออกมา
“วันนี้เป็นวันดี ข้าขอแจกเงินพวกนี้ให้พวกท่าน”
ชาวบ้านที่เห็นว่ามีคนแจกเงินก็รีบกระวีกระวาดเก็บเงินที่ตกตามพื้นโดยไม่สนใจสิ่งใด ทำให้ทหารฝ่าฝูงชนไปหาเฟิงชิงถิงอย่างยากลำบาก
“ไปเร็ว!” เฟิงชิงถิงไม่รอช้า ใช้โอกาสนี้ดึงแขนสือซานเหลียงพาเขาออกวิ่งเพื่อหนีทหารแคว้นเจิ้งอย่างรวดเร็ว
อีกฟาก ทหารที่ตอนแรกล้อมกลุ่มคนสำนักเมฆาขาวเอาไว้เมื่อได้ยินทหารตะโกนบอกพร้อมกับชี้มือไปทางชายร่างใหญ่ที่ยามนี้ถูกสตรีร่างเล็กดึงแขนให้ออกวิ่งก็ทำสิ่งใดไม่ถูก
“ใช้สุนัขล่าเนื้อตามพวกเขาไป ส่วนที่เหลือคุมคนเหล่านี้เอาไว้” นายกองตะโกนสั่ง
เหล่าทหารรับคำพร้อมเพรียงแล้วรีบตามเฟิงชิงถิงไปทันที
ไป๋มู่ที่อยู่ในกลุ่มคนสำนักเมฆาขาวมองไปยังคนที่ตกเป็นเป้าหมายของทหารแคว้นเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่ได้สนใจศิษย์พี่ที่กำลังบ่นเขาเรื่องเอาแต่เถลไถลทำให้ออกจากแคว้นเจิ้งล่าช้าอีกทั้งยังถูกทหารเจิ้งล้อมเอาไว้ด้วย แต่เมื่อไป๋มู่มองออกไปเขาก็สังเกตเห็นว่าบุรุษร่างใหญ่ที่สตรีคนนั้นกำลังพาตัวเป็นดูคุ้นตา สมองเขาครุ่นคิดไม่นานก็ตะโกนออกมา
“สือซานเหลียง ศิษย์พี่ สือซานเหลียง!” ไป๋มู่บอกกับหยวนถัง
“เขาอยู่ที่ใด” หยวนถังหยุดบ่นทันที
“นั่น” ไป๋มู่ชี้ไปบุรุษซอมซ่อคนหนึ่ง เขาไม่คล้ายกับประมุขพรรคมารแม้แต่น้อย นอกจากรูปร่างที่สูงใหญ่ที่คล้ายคลึง
“เจ้าแน่ใจหรือ”
“ข้าเคยเห็นเขามาก่อน เขานั่นแหละ” ไป๋มู่ยืนยัน
“ตาม!” หยวนถังออกคำสั่งคำเดียวเหล่าศิษย์สำนักเมฆาขาวสิบกว่าคนก็พยักหน้ารับคำ กระตุ้นสีข้างม้าขี่ฝ่าวงล้อมทหารเจิ้งออกไปยังนอกประตูเมืองไม่สนใจด่านและทหารที่ขวางเอาไว้แม้แต่น้อย
“ตามคนกลุ่มนั้นไป!” หัวหน้าทหารในกลุ่มนั้นสั่งก่อนจะรีบขึ้นม้าควบตามไป
ฝ่ายเฟิงชิงถิงนั้นไม่รู้ว่ายามนี้คนสำนักเมฆาขาวรู้ว่าบุรุษที่อยู่กับนางคือสือซานเหลียงแล้ว นางจึงเอาแต่หาทางหนีทหารเจิ้งอย่างเดียว
สุนัขล่าเนื้อสิบกว่าตัวถูกปล่อยออกจากโซ่ล่าม เมื่อมันเป็นอิสระก็วิ่งไปยังเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือเฟิงชิงถิงนั่นเอง
หญิงสาวพยายามพาสือซานเหลียงออกวิ่งให้เร็วที่สุด แต่ก็ยังช้าอยู่ดีเพราะไม่นานทั้งสองก็ถูกสุนัขล่าเนื้อล้อมเอาไว้ พวกมันทั้งเห่าทั้งคำรามอย่างดุดัน เสียงดุดันดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำเอาขาของเฟิงชิงถิงเริ่มอ่อนแรง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังยืนหยัดสู้ หญิงสาวฉวยห่อสัมภาระที่ให้สือซานเหลียงถือมาไว้ในมือคิดจะใช้ยากับสุนัขล่าเนื้อเหล่านี้ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ลงมือ สือซานเหลียงก็คำรามออกมาด้วยเสียงดังไม่ต่างกับฟ้าผ่า
“น่ารำคาญ!”
สิ้นเสียงคำราม สุนัขล่าเนื้อที่มีท่าทีฮึกเหิมต่างก็แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและเงียบเสียงลง แต่เมื่อพวกมันได้กลิ่นว่าเหล่าทหารที่เป็นนายของมันกำลังจะมาถึง พวกมันก็เริ่มเห่าและคำรามอีกครั้งอย่างไม่กลัวเกรง
คิ้วหนารูปกระบี่ขมวดมุ่นพร้อมกับร่างใหญ่ที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งถูกเตะโด่งไปไกล มันร้องเอ๋งครั้งหนึ่งก่อนจะลอยไปร่วงคาต้นไม้ แน่นิ่งไม่ขยับ
เฟิงชิงถิงปิดปากที่อ้าค้าง คาดว่าสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นคงตายไปแล้ว
สุนัขตัวอื่น หางเริ่มตก แต่ยังคำรามขู่ และเมื่อมันเริ่มเห่า เจ้าสุนัขตัวนั้นก็กลายเป็นตัวต่อไปที่รองรับอารมณ์ของสือซานเหลียง
กว่าที่เฟิงชิงถิงจะรู้ว่านางควรจะห้าม สุนัขล่าเนื้อสิบกว่าตัวถูกคนบ้าพลังเตะเป็นลูกขนไก่ลอยโด่งไปทั่ว แรงเตะที่รุนแรงทำให้พวกมันขาดใจตายจนหมด หญิงสาวมองดูเหตุการณ์ได้แต่อ้าปากค้างสงสารสุนัขพวกนั้นจับใจ คิดในแง่ดีสุนัขเหล่านั้นก็ไม่ทรมานมากนัก เพราะเป็นช่วงเวลาคับขัน นางจึงตัดใจจากภาพตรงหน้า เริ่มหาลู่ทางหลบหนีจากทหารที่กำลังตามมา
หญิงสาวพาสือซานเหลียงไปหลบอยู่ด้านหลังซอกหินบนเนินแห่งหนึ่ง เพราะด้านหลังเนินเป็นหุบเหวนางคิดว่าทหารคงไม่คิดว่าพวกนางจะมาทางนี้ และก็เป็นดังคาด เหล่าทหารต่างตรวจดูสุนัขที่นอนเกลื่อน เมื่อเห็นว่ามันขาดใจตายหมดแล้วพวกเขาก็เริ่มตามหานาง แต่ไม่ได้ขึ้นมาบนเนินที่นางซ่อนตัวอยู่ หาอยู่เพียงครู่อย่างลวกๆ ก็รีบไปหาทางอื่น
เฟิงชิงถิงมองกลุ่มทหารที่หายไปจากครรลองสายตาอย่างโล่งอก นางพาสือซานเหลียงออกมาจากที่หลบซ่อน คิดว่าต้องรีบเดินทางเข้าเขตแดนต้าหลวนให้ทันก่อนตะวันตกดิน ขณะที่คิดอยู่นั้นก็พาเจ้าของร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไปอีกทาง แต่ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะหนีจากทหารเจิ้งได้ นางกลับถูกกลุ่มคนสำนักเมฆาขาวล้อมเอาไว้
ความคิดเห็น