NC

คำเตือนเนื้อหานิยาย

นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหานิยาย

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮูหยินของข้า (Re-up)

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 6 (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.08K
      85
      25 ธ.ค. 65

    สือซานเหลียงกินขาหมูน้ำแดงคำสุดท้ายก่อนจะยกชามที่เหลือแต่น้ำแดงซดกินจนเกลี้ยง ไม่มีข้าวก็ยังกินกับข้าวบนโต๊ะจนหมด

    “ยังจะกินอยู่อีกหรือ หากเมื่อครู่เจ้าไม่เอาแต่ดึงดันจะกินอาหาร แม่หนูก็คงไม่โดนจับตัวไป” หมี่เจากำลังจะเดินไปคว้าชามอาหารและตะเกียบในมือของสือซานเหลียงแต่สามีของนางขวางเอาไว้เสียก่อน

    “อาเจาอย่าลืมสิ เขาสติไม่ดี” 

    “แต่ท่านพี่” หมี่เจามีสีหน้าอึดอัดใจ

    “ข้าว่าแม่หนูคงมีวิธีของนาง ว่าแต่เมื่อครู่นางเอ่ยสิ่งใดกับเจ้า” 

    “นางบอกว่าจะกลับมารับเขา” หมี่เจาบอก

    “เช่นนั้นไม่นานนางก็คงจะกลับมา”

    “เอิ้ก...” เสียงเรอดังกังวานก่อนที่ร่างสูงใหญ่ที่นั่งรากงอกอยู่ที่โต๊ะอาหารจะลุกขึ้น แล้วเริ่มมองหาบางอย่าง “หมั่นโถว” 

    “เริ่มรู้แล้วหรือว่าฮูหยินของเจ้าไม่อยู่ แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกเรียกนางว่าหมั่นโถวแล้วเรียกนางว่าฮูหยินเสียที” หมี่เจาถามอย่างไม่พอใจ

    สือซานเหลียงเหลียวมองรอบกาย “หมั่นโถว” ท่าทางของเขายามนี้ไม่ต่างกับเด็กถูกทิ้ง

    สองสามีภรรยาต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าจนใจ

    “อาเหลียง ไม่เป็นไรฮูหยินของเจ้าบอกว่าไม่นานก็กลับมา รอนางที่นี่แหละ พวกเราจะดูแลเจ้าเอง” หมี่เจาอดสงสารไม่ได้ ขณะจะเดินเข้าไปปลอบ แขนของนางก็ถูกเล่ยกัวฉุดเอาไว้

    “อย่าเข้าไป” สามีของนางบอก มองสีหน้าของสือซานเหลียงที่ยามนี้เริ่มดุดันขึ้นจนผู้ชายเช่นเขายังไม่ไว้ใจ

    “ท่านพี่” หมี่เจาหันไปมองสามี

    “ดูแววตาเขาสิ แววตาของเขาน่ากลัวคล้ายกำลังจะฆ่าคน เจ้าอย่าใกล้เขาดีกว่า” 

    หมี่เจามองดูสือซานเหลียงแล้วก็เห็นด้วยตามที่สามีของนางบอก แล้วร่างสูงใหญ่ก็ก้าวฉับๆ ออกไปหน้าบ้าน เขามองซ้ายขวาก่อนจะหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่ทันที่สองสามีภรรยาจะเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาก็สะกิดปลายเท้าพุ่งทะยานไปตามทิศที่เฟิงชิงถิงถูกพาตัวไปอย่างรวดเร็ว

    “ท่านพี่ท่านเห็นหรือไม่ สามีของนางหายไปแล้ว” หมี่เจาดวงตาเบิกกว้าง

    เล่ยกัวยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เขาคงไปตามฮูหยินของเขานั่นแหละ” 

    “แล้วเขาจะไม่เป็นไรหรือ”

    “ข้าว่าพวกทหารมากกว่าที่จะเป็นอะไร” เล่ยกัวจูงมือภรรยาเข้าบ้านไป พลางปลอบใจภรรยาไปด้วย “พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าก็เห็นว่าอาเหลียงพละกำลังนั้นมากเพียงใด”

    “ไม่เป็นอะไรก็ดี” ในที่สุดหมี่เจาก็ยอมเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมสามีอย่างวางใจเสียที

     

    เฟิงชิงถิงถูกทหารพาขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าหมู่บ้านใบชา ด้านนอกรถม้ามีคนขี่ม้าขนาบข้างสองคน รถม้ามีคนบังคับหนึ่งคนส่วนในรถม้ามีคนคุมนางอยู่สองคน

    โชคดีที่นางสอนวิธีต้มยาและรายละเอียดการดูแลตาเฒ่าฮุ่ยให้แก่อาซิงไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล ส่วนสือซานเหลียง คิดถึงแผ่นหลังของเขายามที่จากมาก็อดที่จะถอนใจไม่ได้ นางจะหวังอะไรกับเขากัน ยามนี้เขาสติไม่ดี ตัวเองยังดูแลไม่ได้ คิดแล้วก็ทอดถอนใจออกมา

    “ตรวจของในห่อสัมภาระของนาง” ทหารหนึ่งในสองที่อยู่ในรถม้าเอ่ยขึ้น

    เฟิงชิงถิงรู้ว่าอย่างไรก็ห้ามไม่ได้จึงปล่อยให้พวกเขาค้นไป ห่อสัมภาระของนางถูกเปิดออก ด้านในมีของใช้ของสตรีและช่องสองช่องสำหรับใส่ขวดกระเบื้องที่มีอยู่หลายใบ

    “มีขวดยาอยู่เต็มไปหมด นางต้องเป็นหมอเทวดาที่เราตามหาแน่ๆ” นายทหารอีกคนเอื้อมมือมาหยิบขวดกระเบื้องเหล่านั้นขึ้นมาดู

    มีขวดกระเบื้องใบหนึ่งที่เป็นสีม่วงสะดุดตา เมื่อนายทหารคนนั้นหยิบขึ้นมา เฟิงชิงถิงที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา

    “อย่าแตะต้องขวดใบนั้น”

    “เพราะอะไร” นายทหารถาม

    “มันเป็นยาสำคัญ”

    “สำคัญอย่างไร” นายทหารมองขวดยาในมือแล้วหันมาจ้องนาง

    “เพียงแค่พวกท่านสัมผัสตัวยาที่อยู่ด้านใน พวกท่านก็จะตายในทันที” 

    สีหน้านายทหารตื่นตะลึงโยนขวดกลับเข้าไปในห่อสัมภาระด้วยความตกใจ แต่นายทหารอีกคนกลับหยิบขวดกระเบื้องนั้นขึ้นมาก่อนจะยิ้มหยัน

    “เจ้าเชื่อนางด้วยหรือ ดูก็รู้แล้วว่านางโกหก หากมันเป็นยาพิษจริงนางคงไม่เอามารวมกับยาอย่างอื่นหรอก ใช่หรือไม่แม่นาง” นายทหารคนเดิมหันไปถามแววตาท้าทาย

    “แล้วแต่เจ้าจะคิด” เฟิงชิงถิงบอกอย่างไม่ใส่ใจ

    “นางบอกแล้วเจ้าก็เชื่อนางเถิด อย่างไรเสียพวกเราก็มีหน้าที่แค่พานางไปหาท่านนายกอง” นายทหารคนแรกเอ่ย

    “เจ้าก็ขี้กลัวเกินไป แค่ไม่สัมผัสโดนก็ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยากได้ยาแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่คิดหรือว่าหากอยู่ในช่วงความเป็นความตาย ตัวยาตัวนี้จะช่วยให้เรารอดชีวิตได้ เพียงแค่ทำให้ยาตัวนี้สัมผัสโดนศัตรู” 

    “แต่ว่า...” นายทหารคนแรกทำท่าลังเล

    “เจ้าก็อย่าคิดมากนักเลย เรามาแบ่งกันก็ได้ ไหนๆ เราก็สามารถพาตัวนางกลับไปให้ท่านนายกองได้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะตามหานางไปทำไม แค่นี้ท่านนายกองคงไม่ลงโทษหรอก หรือไม่ เราก็แบ่งกับท่านนายกองด้วยก็ได้” คำหลังนายทหารกระซิบด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

    การสนทนาของทหารทั้งสอง ทำให้เฟิงชิงถิงรู้ว่าทหารกลุ่มนี้ได้รับคำสั่งให้จับตัวนาง แต่พวกเขาไม่รู้สาเหตุที่ต้องจับตัวนาง แต่ก็ช่างเถิด “ยานั้นข้าไม่สามารถให้ผู้ใดได้” นางบอกเสียงเข้ม

    ทหารนายนั้นหัวเราะ “แม่นาง เจ้าช่างไม่ดูสถานการณ์เสียเลย ยามนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์จะสั่งหรือเรียกร้องสิ่งใดทั้งนั้น” เขาเปิดขวดอย่างระมัดระวังก่อนจะหันไปสั่งสหาย “หาขวดเปล่ามา ข้าจะแบ่งให้เจ้า” 

    “แต่...” นายทหารลังเล

    “ข้าเตือนพวกเจ้าแล้ว” เฟิงชิงถิงปิดจมูกมองขวดกระเบื้องสีม่วงที่ยามนี้จุกถูกเปิดออกมาเรียบร้อยแล้ว

    นายทหารสองคนไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ร่างที่นั่งอยู่ก็เริ่มโงนเงน ดวงตาเริ่มปรือปรอยก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว

    ขณะที่ร่างนายทหารที่ถือขวดกระเบื้องฟุบลงกับฟูกบนรถม้า เฟิงชิงถิงก็กลั้นหายใจรีบคว้าขวดนั้นมาปิดอย่างรวดเร็ว

    “จัดการไปได้สอง” นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบปิดปากและจมูกเพื่อไม่ให้ตัวเองสูดกลิ่นยาเข้าไป

    ที่จริงยาในขวดกระเบื้องไม่ใช่ยาพิษ แต่มันเป็นยานอนหลับอีกสูตรหนึ่งที่นางคิดค้นขึ้นมา แค่เปิดขวดกลิ่นก็จะโชยออกมา กลิ่นนั้นแม้จะสูดดมเข้าไปเพียงน้อยนิดก็ทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหลับใหลได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะยาตัวนี้มีผลข้างเคียงตรงที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานตามร่างกายและไม่สามารถขยับร่างกายได้หลายวัน นางจึงไม่คิดจะใช้กับผู้ใด

    นางแอบแง้มหน้าต่างรถม้าเพื่อไล่กลิ่นยาออกจากรถม้า มองดูนายทหารที่ควบม้าขนาบข้างรถม้า ครุ่นคิดว่าจะจัดการกับทหารด้านนอกอย่างไร

    แต่ยังไม่ทันคิดแผนการได้ รถม้าก็หยุดกะทันหันจนใบหน้าของหญิงสาวแทบจะคะมำ เสียงทหารด้านนอกตวาดเสียงดัง

    “เจ้าบ้าหรืออย่างไรมาขวางรถม้าของพวกข้า!”

    เฟิงชิงถิงแอบแง้มประตูเปิดออกดูก็พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง คิดตอบนายทหารผู้นั้นอยู่ในใจว่า ถูกต้องแล้ว เขาบ้า

    ผู้ที่ทำให้รถม้าหยุดกะทันหันนั่นก็คือสือซานเหลียงนั่นเอง ร่างสูงใหญ่ยืนขวางทางด้วยสีหน้าดุดัน ชี้นิ้วมาที่รถม้า “หมั่นโถว” 

    “จะบ้าหรือ พวกข้าไม่มีหมั่นโถวให้เจ้า ถอยไปพวกเรากำลังรีบ” 

    ดูท่าว่าตอนที่ทหารเหล่านี้จับตัวนางมาจะไม่ได้สนใจสือซานเหลียงจึงจำเขาได้ นางพยักหน้าตอบนายทหารในใจอีกคราว่า ถูกต้องเขาเป็นบ้าและนางก็รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าที่แรงเยอะมากด้วย

    “ถอย!” นายทหารที่ควบม้าขนาบข้างรถม้า ชักม้ามาอยู่ด้านหน้า

    ทหารนายหนึ่งควบม้าเข้าไปใกล้สือซานเหลียงขยับมือจะชักดาบที่เอวออกมา แต่ยังไม่ทันได้ขยับ แขนข้างหนึ่งของเขาก็ถูกสือซานเหลียงคว้าเอาไว้ก่อนจะเหวี่ยงร่างคนบนม้าลงมากระแทกกับพื้น อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาเหวี่ยงอยู่สองสามครั้งเหมือนว่าร่างของนายทหารผู้นั้นเหมือนตุ๊กตาผ้าไม่มีผิด

    “เจ้า!” นายทหารอีกคนคว้าดาบที่เอวหวังจะจู่โจม แต่ก็ไม่พ้นสายตาของสือซานเหลียงได้ เขาเหวี่ยงร่างนายทหารคนเดิมไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ แล้วเคลื่อนกายไปหานายทหารอีกคนอย่างรวดเร็ว กระชากคอเสื้อของนายทหารผู้นั้นลงมาแล้วยกขาถีบ

    แรงถีบที่ดูเหมือนไม่ออกแรงนั้น ทำให้นายทหารผู้นั้นกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้อีกต้น หมดสติไปทันที

    “หมั่นโถว” ร่างใหญ่ย่างสามขุมตรงมาที่รถม้าที่เหลือเพียงนายทหารผู้บังคับม้าเพียงคนเดียว

    “ข้าไม่มีหมั่นโถว” นายทหารผู้นั้นเอ่ยอย่างลนลาน

    “หมั่นโถว!” 

    เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าผ่าทำเอานายทหารนายนั้นสะดุ้งโหยงจนตกจากรถม้า แววตาอันดุดันคล้ายกำลังจะสังหารคนที่พุ่งมาทำให้นายทหารผู้นั้นก็ตะกายร่างคลานก่อนจะทรงตัวขึ้นมาและวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

    “ช่วยด้วย!” 

    สือซานเหลียงมองนายทหารผู้นั้นด้วยประกายบางอย่างในดวงตา เฟิงชิงถิงคิดว่ามุมปากเขาจะยกยิ้มน้อยๆ แต่เพราะหนวดเคราที่ปกปิด ทำให้นางเห็นไม่ชัด หรือนางอาจจะคิดไปเอง

    ประตูรถม้าถูกมือใหญ่เปิดออกอย่างแรงจนตัวนางที่แอบมองอยู่ยังตกใจ และเมื่อเจ้าของดวงตาคู่ดุดันเห็นว่าหญิงสาวอยู่ด้านในเขาก็เอ่ยออกมา

    “หมั่นโถว” เสียงนั้นไม่ได้คำรามเช่นเมื่อครู่ ดูมันจะเป็นแค่คำเรียกเท่านั้น

    เฟิงชิงถิงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง “ข้าคิดว่าจะต้องไปรับท่านที่หมู่บ้านใบชา ไม่คิดว่าท่านจะตามมาช่วย ท่านตามหาข้าเจอได้อย่างไร” 

    “หมั่นโถว” เขาชี้มาที่นาง ซึ่งสือความหมายคือตัวนาง แต่ทำไมนางรู้สึกเหมือนว่าเขาชี้มาที่หน้าอกนางเล่า แต่นิ้วที่เขาชี้มามันหน้าอกของนางจริงๆ นะ แล้วไม่นานเขากลับมาดูเหม่อลอยดังเดิม ผิดกับท่าทีดุดันเมื่อครู่ลิบลับ ส่วนนางนั้นใบหน้าร้อนผ่าวด้วยเหตุผลแปลกๆ ที่ให้ตายก็คงไม่กล้าบอกผู้ใดได้

    ในที่สุดเฟิงชิงถิงก็มั่นใจว่าเขาสามารถตามหาตัวนางได้จริงๆ แต่ด้วยเพราะเหตุใดนั้นนางไม่กล้าคิด

    “รีบไปกันเถิด นายทหารคนนั้นต้องกลับมาในไม่ช้าแน่ๆ” เฟิงชิงถิงห่อสัมภาระและอาหารแห้งที่นางหิ้วติดมาตั้งแต่แรกแล้วรีบลงจากรถม้า

    ก่อนไปหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะตรวจดูอาการบาดเจ็บของทหารทั้งสอง คนแรกบาดเจ็บหนัก กระดูกหักหลายจุด ปอดฉีกช้ำใน แต่ไม่ถึงตาย นางป้อนยาระงับเลือดออกภายในให้เขาเพื่อสามารถในการยื้อเวลาการรักษาไปได้ ส่วนคนที่โดนถีบก็ไม่ต่างกัน กระอักเลือดกระดูกหักสันหลังร้าว นางใช้เวลาอยู่นานเพื่อดามหลังเขาไว้ และเขียนวิธีเคลื่อนย้ายคนเจ็บไว้ให้ ไม่เช่นนั้นนายทหารคนนี้อาจจะพิการไปตลอดชีวิต

    จะโทษสือซานเหลียงก็ไม่ได้ที่เขาลงมือหนัก เพราะเขาสติไม่ดี เขาไม่ลงมือหนักกว่านี้ก็ถือว่าโชคดีของทหารสองคนแล้ว 

    ที่จริงเฟิงชิงถิงอยากขี่ม้าหนี แต่เพราะม้าของทหารเจิ้งได้ตีตราประทับเป็นม้าของทางการทุกตัวนางจึงตัดใจ ใช้วิธีเดินเท้าตามเดิม

    แต่ที่น่าเหนื่อยใจคือ นางพยายามจะออกจากแคว้นเจิ้งแต่ก็ต้องมีเหตุต้องย้อนกลับไปทางเดิมและเริ่มใหม่อีกครั้งอยู่ร่ำไป เช่นครั้งนี้นางถูกทหารพาตัวมา ทำให้ระยะทางที่จะเดินทางไปยังชายแดนแคว้นต้าหลวนห่างไกลขึ้นอีก แต่ก็ช่างเถิด นางไม่รีบ เพียงแค่ไม่ถูกจับตัวได้ สือซานเหลียงปลอดภัยเท่านั้นก็พอ

    สิ่งแรกที่ทำหลังจากหลบหนีคือ ถอดหน้ากากแปลงโฉมออกแล้วเปลี่ยนหน้ากากผืนใหม่ นางเหลือหน้ากากแปลงโฉมแค่สองชิ้นเท่านั้นรวมใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนอยู่ด้วย ต้องหาเวลาทำเพิ่มแล้ว มองไปยังสือซานเหลียงที่นั่งนิ่งรอนางอยู่ หญิงสาวก็คิดจะทำหน้ากากให้เขาเช่นกัน แต่เพราะเขาไม่ยอมให้นางโกนหนวดเคราให้ จึงไม่สามารถใช้หน้ากากแปลงโฉมกับเขาได้ แต่ช่างเถิด ยามนี้คนสำนักเมฆาขาวยังจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เอาไว้ค่อยมาคิดกันอีกที ยามนี้รีบหนีให้ห่างจากทหารเจิ้งก่อนดีกว่า

    เฟิงชิงถิงใช้เวลาสองวันในการเดินทางไปถึงด่านชายแดนแคว้นเจิ้ง นางพยายามหลบทหารเจิ้งทุกวิถีทาง ยามเดินทางสัมภาระที่เป็นยา นางจะให้สือซานเหลียงเป็นคนถือ ทุกครั้งที่ให้เขาถือ ชายหนุ่มจะมองมาที่ห่อสัมภาระของนางซึ่งในนั้นมีอาหารแห้งรวมอยู่ด้วย สายตานั้นทำให้หญิงสาวเข้าใจไปเองว่า หากนางแอบกินโดยไม่มีเขา เขาเอานางตายแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าให้เขาถือ เพราะหากให้สือซานเหลียงถือแล้วอาหารแห้งทั้งหมดคงถูกเขากวาดเรียบภายในพริบตา

    สิ่งที่น่ายินดีในยามนี้คือทั้งคู่กำลังอยู่ที่ด่านชายแดน เข้าแถวเพื่อตรวจหนังสือผ่านแดนออกไปจากแคว้นเจิ้ง หากออกจากแคว้นเจิ้งได้ ทหารเจิ้งก็จะหาตัวนางได้ลำบากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่สามารถตระเวนไปมาได้ง่ายๆ ในแคว้นต้าหลวน

    แต่ในขณะที่กำลังจะไปถึงประตูเมืองนั้นเอง เสียงสุนัขที่เห่าอย่าดุดันหลายตัวก็ทำให้นางต้องหันกลับไปมอง ไม่ต่างกับชาวบ้านคนอื่นๆ

    ใบหน้าของเฟิงชิงถิงไร้สีเลือดในทันทีที่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นายทหารห้าสิบกว่านายพร้อมกับสุนัขล่าเนื้ออีกสิบกว่าตัวกำลังมุ่งหน้ามายังประตูเมืองหน้าด่านที่นางกำลังต่อแถวอยู่ หากให้นางเดาทหารพวกนั้นกำลังให้สุนัขเหล่านั้นดมกลิ่นนาง นั่นหมายความว่าแม้จะมีหน้ากากแปลงโฉมก็ไม่สามารถปกปิดตัวตนของนางได้อีกต่อไป!


    Merry X’mas นะคะทุกคน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×