ตอนที่ 11 : ตอนที่ 10 (100%)
เช้าวันต่อมา...
เสียงการสนทนาอันแสนจะแผ่วเบาที่อยู่ห่างออกไปอีกสองห้องปลุกให้สือซานเหลียงตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล หากเป็นคนทั่วไปนั้นคงจะไม่ได้ยิน แต่สำหรับสือซานเหลียงที่มีพื้นฐานวรยุทธ์ที่แก่กล้าแล้วมันเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก แต่สำหรับเขาในยามนี้ เสียงเหล่านี้ก็แค่เสียงที่ผ่านหูไปเท่านั้น ดั่งว่าการสนทนานั้นไม่ได้เกี่ยวกับเขาอย่างสิ้นเชิง
“ท่านป้า แม่นางในห้องฝั่งโน้นนะหรือที่ช่วยคุณหนูลี่เอ๋อร์รอดมาจากประตูผีได้” เสียงเด็กสาวนางหนึ่งเอ่ย
“หากไม่ใช่นางแล้วจะผู้ใดกันเล่า ฮูหยินนับถือนางมาก แต่ข้าว่านางไม่ใช่หมอผี” เสียงนี้คือซินฝู
“ไม่ใช่หมอผีได้อย่างไรเล่า ก็ท่านบอกเองว่านางเป็นคนช่วยชีวิตคุณหนู”
“ก็เมื่อคืนข้าได้ยินนางบอกกับฮูหยินว่า นางไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้นและขอให้ฮูหยินปิดเรื่องนี้เป็นความลับด้วย” หลังจากนั้นเสียงของซินฝูก็เบาลงเป็นกระซิบ “ข้าว่าแท้จริงแล้วแม่นางเลี่ยงไม่ใช่หมอผี ส่วนท่านเหลียงผู้นั้นก็ไม่ใช่ญาติของนาง”
“แล้วพวกนางเป็นอะไรกันเล่าท่านป้า ไม่มีความจำเป็นที่แม่นางเลี่ยงผู้นั้นต้องโกหกสักนิด”
“พวกนางจะเป็นอะไรไปได้เล่า หากไม่ใช่คู่รักหนีตามกันมา”
“คู่รักที่หนีตามกัน!”
“เสียงดังไปได้ เดี๋ยวพวกเขาก็ได้ยินกันพอดี”
“ห่างกันตั้งสองห้องเราก็คุยกันเบาอย่างนี้พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร แต่ท่านป้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านเอ่ยมาเป็นเรื่องจริง”
“อย่าลืมว่าข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้านะชุ่ยเอ๋อร์ จากการพูดจาท่าทางดูก็รู้แล้วว่านางเป็นลูกผู้ดีตกยาก”
“แล้วอย่างไรต่อ”
“คาดว่าบิดามารดาของนางคงจะบังคับให้นางแต่งให้กับคุณชายลูกผู้ดีหรือไม่ก็ลูกขุนนางบ้านใดบ้านหนึ่ง ท่านเหลียงผู้นั้นแท้จริงแล้วก็คงเป็นบ่าวในบ้านที่ทนเห็นคุณหนูของเขาถูกบังคับให้แต่งงานโดยไม่เต็มใจไม่ได้จึงยื่นมือเข้าช่วย”
“แต่ไฉ่เอ๋อร์บอกว่าท่านเหลียงผู้นี้ท่าทางประหลาด” หญิงสาวเอ่ยถึงสาวใช้คนสนิทของซย่าเจี่ยลุ่ย
“เมื่อคืนข้าไม่ได้เห็นหน้าเขา แต่ก็รู้สึกว่าเขาแปลกๆ ข้ามานอนคิดทั้งคืนจึงคิดได้ว่า ท่านเหลียงผู้นี้ตอนแรกคงจะไม่ได้ประหลาดเช่นนี้ แต่เพราะช่วยเหลือแม่นางเลี่ยงทำให้บิดาของแม่นางเลี่ยงไม่พอใจ เมื่อการช่วยเหลือไม่สำเร็จท่านเหลียงจึงถูกคนของบิดาแม่นางเลี่ยงทรมานจนเป็นเช่นนี้”
“นั่นก็แค่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่เห็นจะเป็นคู่รักกันตรงที่ใด”
“เจ้าไม่เข้าใจ ความสงสารเห็นใจเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก แม่นางเลี่ยงคงทนเห็นท่านเหลียงถูกทำร้ายไม่ไหว นางเห็นใจเขาและเกิดเป็นความรักขึ้นมา เมื่อเห็นคนรักถูกทรมานไม่หยุดนางจึงตัดสินใจพาเขาหนีมาอย่างไรเล่า”
“อาจจะไม่ใช่อย่างที่ท่านบอกก็ได้”
“หากไม่เชื่อเจ้าก็คอยดูไปละกัน แต่เรื่องพวกนี้ต้องปิดเป็นความลับรู้หรือไม่ ทั้งสองคนคงยังไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดินกัน แม่นางเลี่ยงจึงไม่กล้าเอ่ยเต็มปาก ช่างน่าเห็นใจนัก” ซินฝูส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเห็นใจก่อนจะหันไปสั่งสาวใช้รุ่นลูก “ไปๆ ป่านนี้พวกเขาคงใกล้ตื่นแล้ว เจ้ารับหน้าที่มาดูแลพวกเขาไม่ใช่หรือ รีบไปตักน้ำไปรอพวกเขาได้แล้ว”
“เจ้าค่ะท่านป้า”
เสียงประตูเปิดและปิดก่อนที่เสียงอันน่ารำคาญเหล่านั้นก็เงียบลง ไม่นานแพขนขนตาบนใบหน้าพริ้มเพราที่เขามองอยู่ก็เริ่มขยับช้าๆ กระพือไหวคล้ายปีกผีเสื้อก่อนจะลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นดวงตาสุกใสที่ยังคล้ายงุนง่วงอยู่
แต่แล้วดวงตาที่เพิ่งจะลืมก็เบิกกว้างรับแสงยามเช้าเข้ามาเต็มที่พร้อมกับภาพคนตรงหน้าที่อยู่ใกล้นางแค่คืบ
“สือ...” นางเอ่ยได้แค่นั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาขึงตาใส่คนที่นอนลืมตามองนางด้วยอาการทั้งตกใจและโมโหระคนกัน สำรวจเสื้อผ้าของตนเองก็เห็นว่าอยู่ครบ
เพราะต้องนอนร่วมห้องกับบุรุษ เฟิงชิงถิงจึงไม่เคยถอดเสื้อนอกออกเวลานอน ส่วนสือซานเหลียงนั้นเขาไม่เคยสนใจเรื่องว่าจะมีเสื้อนอกหรือไม่มีเสื้อใส่อยู่แล้ว
แต่ว่าเข็มของนางอยู่ที่ใดกันเล่า!?
ในมือของนางว่างเปล่า ก้มหาตามเตียงแต่ก็ไม่เห็น จึงหันขวับกลับมาหาร่างใหญ่ที่ยามนี้ลุกขึ้นมานั่งเช่นเดียวกับนาง
“ท่านเอาเข็มของข้าไปใช้หรือไม่” นางถามพร้อมกับยื่นมือไปหาเขาลืมเรื่องที่เขานอนอยู่บนเตียงของนางไปเสียสนิท “เอาเข็มข้าคืนมา”
คนผู้นี้ทำให้ขมับของเฟิงชิงถิงเต้นตุบๆ ตั้งแต่เช้า เพราะสิ่งที่สือซานเหลียงยื่นมาให้ไม่ใช่เข็ม แต่เป็นหวีไม้อันหนึ่งต่างหาก
“ข้าไม่ได้หาหวี แต่หาเข็มของข้าต่างหาก” เฟิงชิงถิงวางหวีเอาไว้บนเตียง เริ่มมองหาเข็มของนางอีกครั้ง
“สางผม” สือซานเหลียงก็ไม่ยอมแพ้ เขาหยิบหวีขึ้นมาแล้วยื่นให้นางอีกครั้ง
ครั้งนี้เฟิงชิงถิงไม่สนใจ มองหาเข็มเล่มนั้นด้วยสีหน้ากระวนกระวาย เข็มชุดนี้สำคัญต่อนางมาก มันเป็นเข็มที่ท่านปู่มอบให้แก่นาง
“สางผม” เสียงทุ้มดุดันขึ้น
“สือซานเหลียงเอาไว้ก่อน ขอข้าหาเข็มให้เจอก่อนแล้วค่อยสางผมให้ท่าน” นางหันไปบอกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่จริงแล้วเข็มหายไปตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งเขาก็สติไม่ดี แล้วนางจะโทษเขาได้อย่างไร เป็นนางเองที่ผิด นอนหลับโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว
สือซานเหลียงเห็นนางไม่สนใจดวงตาก็ดุดันยิ่งไม่พอใจ ขว้างหวีทิ้งแล้วออกจากห้องไปทั้งที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเช่นนั้น
“แม่นางเลี่ยง ท่านเหลียง ไม่ทราบว่า ว้าย!” ชุ่ยเอ๋อร์ที่เพิ่งยกอ่างล้างหน้ามาถึงหน้าประตูถูกสือซานเหลียงชนจนล้ม น้ำที่ตักมาหกเลอะเทอะไปทั่ว แต่สือซานเหลียงหาได้สนใจสักนิด เขาเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากห้องไปอย่างไร้ทิศทาง
“โอย...” ชุ่ยเอ๋อร์ครวญครางด้วยความเจ็บระบมที่ก้นกก นางพยุงตัวเองลุกขึ้นพร้อมกับเฟิงชิงถิงที่ได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งก็ออกมาดู
“เกิดสิ่งใดขึ้น”
“แม่นางเลี่ยง” ชุ่ยเอ๋อร์ยิ้มเหยเกเพราะยังเจ็บไม่หาย ลุกขึ้นได้ก็รีบแนะนำตัว “บ่าวชุ่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ เมื่อครู่คงเป็นท่านเหลียงสินะเจ้าคะ เขาชนข้า แต่ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฮูหยินสั่งให้ข้ามาดูแลความเรียบร้อยให้แม่นางเลี่ยงและท่านเหลียงเจ้าค่ะ พวกท่านต้องการสิ่งใดหรืออยากให้ข้าทำสิ่งใดบอกข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
เฟิงชิงถิงรีบจูงสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มเข้าไปในห้อง “เช่นนั้นก็ดีเลย ช่วยข้าหาเข็มหน่อย”
“เข็มหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์แปลกใจ
“ใช่เข็ม เข็มของข้าหายไปเล่มหนึ่ง มันสำคัญต่อข้ามาก”
“ได้เจ้าค่ะ” แม้ไม่รู้ว่าเป็นเข็มอะไรแต่ชุ่ยเอ๋อร์ก็ช่วยหาแต่โดยดี “จำได้หรือไม่เจ้าคะว่าครั้งสุดท้ายแม่นางเลี่ยงไปวางไว้ที่ใด”
สตรีทั้งสองช่วยกันหาเข็มเล่มนั้นอย่างแข็งขัน แต่หากันได้ไม่นาน เสียงสตรีหลายคนก็หวีดร้องพร้อมกับเสียงคำรามเสียงดัง
เฟิงชิงถิงหยุดหาเข็มมองหน้าชุ่ยเอ๋อร์ที่หันมามองนางพอดี
“ได้ยินเสียงร้องหรือไม่เจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์ถามเพื่อความมั่นใจว่านางไม่ได้หูฝาด
“แฮ่...” เสียงขู่ดังมาอีกครั้ง
เฟิงชิงถิงรู้ทันทีว่าเสียงนั้นคือเสียงของสือซานเหลียง มีคนรู้ร่องรอยของเขาแล้วหรือ นางเลิกสนใจเข็มของท่านปู่ รีบวิ่งออกจากห้องพักตามเสียงคำรามและเสียงหวีดร้องไปอย่างรวดเร็ว
“รอข้าด้วยเจ้าค่ะแม่นางเลี่ยง” ชุ่ยเอ๋อร์รีบวิ่งตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เฟิงชิงถิงวิ่งไปตามเสียงหวีดร้องของสตรีหลายคนและเสียงขู่คำรามคล้ายสัตว์ป่าของสือซานเหลียง นางตรงเป็นยังเรือนอีกหลังหนึ่งที่มีประตูเปิดกว้างเกือบทุกด้าน ด้านในมีโต๊ะและเก้าอี้วางเรียงรายอยู่หลายชุด บนโต๊ะทุกตัวมีอุปกรณ์เย็บปักวางอย่างเป็นระเบียบ สะดึงที่ขึงผ้าเอาไว้ล้วนมีลวดลายปักที่ยังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งยังดูเหมือนพวกเขาจะทิ้งงานปักที่ทำเอาไว้กลางคัน
“ช่วยด้วย เจ้าจะทำสิ่งใดอย่าเข้ามานะ” เสียงโวยวายดังมาจากมุมหนึ่งของเรือน
เฟิงชิงถิงรีบตามเสียงไปอีกครั้ง และเมื่อวิ่งผ่านห้องปักผ้าเข้าไปนางก็เห็นว่าสตรีกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งต่างไปรวมกันอยู่ที่มุมห้อง พวกนางทั้งหน้าซีดตัวสั่นเกาะกันเป็นกลุ่มด้วยความหวาดกลัว
“ออกไปนะ เจ้าโจรร้าย ไม่รู้หรือว่าที่เมืองแห่งนี้มีมือปราบมากเพียงใด หากเจ้าทำอะไรพวกข้า อย่าคิดจะรอดจากมือปราบไปได้” ซินฝูผู้ดูแลเรือนพักอยู่ด้านหน้าสุด ทำใจกล้าขู่กับโจรหน้าตาดุร้าย โดยไม่รู้ว่าเขาคือสือซานเหลียง
เพราะเมื่อคืนสือซานเหลียงมีหมวกปิดบังใบหน้าตลอดเวลา ยามออกมาจากห้องหน้าตาเขาก็ดุดันอยู่แล้ว ด้วยใบหน้าที่มีหนวดรุงรังอีกทั้งผมก็ยังไม่ได้รวบ ดวงตาที่ดุดันกับอารมณ์ร้ายที่ยามนี้พอกพูนขึ้นจากสาเหตุบางประการทำให้ใบหน้าที่ดุร้ายดูโหดเหี้ยมจนคนเห็นจะคิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากมหาโจรในคราบเสือร้ายที่กำลังต้อนลูกแกะมากินทีละตัว
เมื่อเข้ามาถึงสถานที่เกิดเหตุเฟิงชิงถิงทั้งตกใจและแปลกใจ ในนี้ไม่มีชาวยุทธ์มาล่าตัวสือซานเหลียง แต่นางเห็นเขากำลังคำรามอย่างดุดันใส่กลุ่มสตรีตรงหน้า เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
“สือ...อาเหลียงท่านจะทำอะไร” นางเคยชินกับการเรียกเขาว่าสือซานเหลียง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางจะต้องเรียกเขาว่าอาเหลียงแทน
สือซานเหลียงตวัดสายตามามองนางเพียงครู่ก่อนจะจ้องกลับไปยังเหล่ากลุ่มสตรีต่างวัยด้วยแววตาที่ไม่ต่างกับมองศัตรู
เฟิงชิงถิงเห็นท่าไม่ดีแน่ แต่ในยามนี้นางจะทำสิ่งใดกันเล่า ขณะที่ร่างใหญ่ก้าวเข้าหากลุ่มสตรีที่ไม่ต่างกับฝูงแกะ หลายคนหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว อีกหลายคนถือกรรไกรขู่ มีอีกหลายคนที่ถือเข็มไว้
เข็ม!?
เฟิงชิงถิงหันไปมองตามสายตาของสือซานเหลียงแล้วนางก็นึกได้ สือซานเหลียงเกลียดเข็ม เขามองเห็นเข็มไม่ต่างกับมองเห็นศัตรู หากถามว่าเพราะสาเหตุใด คำตอบนั่นคงเป็นเพราะนางใช้เข็มทำร้ายเขาอย่างไรเล่า
“แม่นางเลี่ยงช่วยพวกเราด้วย” ซินฝูตะโกนบอก
“พวกท่านใจเย็นๆ เขาไม่ทำสิ่งใดพวกท่านหรอก” เฟิงชิงถิงวิ่งเข้าไปหาสือซานเหลียง พยายามดึงแขนของเขาให้กลับเข้าห้อง “สือซานเหลียงกลับห้องกับข้าเถิด พวกเขาไม่ทำสิ่งใดท่านหรอก” นางกระซิบกับเขา
ท่าทางที่ดุร้ายผมเฝ้าที่ปล่อยสยายยิ่งทำให้สือซานเหลียงดูร้ายกาจยิ่งกว่าเก่า ดวงตาคู่ดุดันปรายตามองนางแวบหนึ่งก็ไม่สนใจนางอีก เขาคำรามเสียงดังไม่ต่างกับเสือร้าย
“ว้าย!” เหล่าสตรีที่ถูกต้อนจนจมมุมต่างกรีดร้องหลับตาปี๋ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ขณะที่สือซานเหลียงก้าวขาเข้าไปอีกก้าว เฟิงชิงถิงก็ดึงแขนเขาไม่ให้เขาก้าวไปมากกว่านี้ แต่สือซานเหลียงครั้งนี้กลับสะบัดแขนนางออก ไม่ยอมเชื่อฟังนางเหมือนทุกครั้ง เขาเหมือนตั้งท่าจะทำร้ายเหล่าสตรีที่ไม่มีทางสู้จริงๆ
“ไม่ได้นะ เข็มพวกนั้นทำร้ายท่านไม่ได้ พวกนางแค่ตกใจและถือติดมือมาเท่านั้น” นางพยายามรั้งเขาไว้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ต่างจากครั้งแรก เขาสะบัดแขนนางออกสายตาจ้องอยู่กับเหล่าเข็มในมือสตรีเหล่านั้น เฟิงชิงถิงเห็นดังนั้นก็ร้องสั่ง “ทิ้งเข็มและกรรไกรของพวกท่านเสีย แล้วเขาจะไม่ทำร้ายท่าน”
กรรไกร เข็ม และทุกอย่างที่ติดมือสตรีเหล่านั้นมาถูกโยนออกไปอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่มีสิ่งใดแล้วท่านเห็นหรือไม่” ครั้งนี้เฟิงชิงถิงรีบเข้ามาขวางระหว่างสือซานเหลียงกับกลุ่มสตรี
นางคิดว่าหากไม่มีกรรไกรหรือเข็มอยู่ในมือพวกนักปักผ้าแล้วสือซานเหลียงจะสงบลง แต่เฟิงชิงถิงคิดผิด เขาไม่ได้สงบสายตาที่มองนางเหมือนไม่พอใจบางอย่างผลักร่างนางเซไปด้านข้าง แล้วตรงไปหากลุ่มคนตรงหน้าด้วยแววตาคล้ายจะป่นกระดูกผู้อื่นให้แหลกเป็นผง
เฟิงชิงถิงไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางก็ไม่อยากใช้เข็มกับเขาเพราะเขาอาจจะคลั่งมากกว่านี้ ยาสลบนางก็ไม่กล้าใช้เพราะอาจจะทำให้ผู้อื่นสงสัย สุดท้ายเมื่อคิดสิ่งใดได้ก็ทำสิ่งนั้นในทันที
ร่างที่เพิ่งทรงตัวได้รีบวิ่งไปขวางร่างใหญ่ที่โทสะลุกท่วมอีกครั้ง และครั้งนี้นางไม่ได้แค่ขวางเขาเท่านั้น แต่นางใช้ร่างทั้งร่างรั้งตัวเขาไว้
“ท่านจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ พวกเขาไม่คิดจะทำร้ายท่าน” เฟิงชิงถิงเอ่ยไปพร้อมกับกอดร่างใหญ่ไว้แน่น เพราะนางขวางอยู่ระหว่างกลุ่มสตรีกลุ่มใหญ่และหันหน้ามาทางสือซานเหลียง นางจึงไม่รู้ว่ายามนี้กลุ่มคนจะเป็นอย่างไรได้แต่ตะโกนสั่ง “พวกท่านออกไป ข้าจะรั้งเขาไว้เอง”
เหล่าสตรีต่างมองกันอย่างตกตะลึง เป็นซินฝูที่เข้าใจสถานการณ์รวดเร็ว “คนผู้นี้คือท่านเหลียง”
“ใช่ พวกท่านออกไปเร็ว” เฟิงชิงถิงกอดร่างหนาใหญ่ไว้แน่น
“อย่าเพิ่งปล่อยนะเจ้าคะแม่นางเลี่ยง พวกเจ้าออกไปเร็ว” ซินฝูเห็นว่าสือซานเหลียงชะงักนิ่ง นางก็รีบต้อนเหล่าสตรีที่มีทั้งอายุมากและอายุน้อยออกจากห้องเล็กไป ส่วนสายตาก็ยังมองไปทางหนึ่งร่างใหญ่และหนึ่งร่างเล็กไม่วางตา
เฟิงชิงถิงรู้ว่าเขามีพละกำลังมากเพียงใด แค่ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาก็กินขาดแล้ว ตัวนางเพียงคนเดียวไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ แต่จะให้นางทำอย่างไรเล่า หากเขาไปทำร้ายคนอื่นนางก็คงจะรู้สึกผิดไปด้วย แม้จะรั้งตัวสือซานเหลียงเอาไว้ได้ไม่นาน แต่นางก็หวังว่าอย่างน้อยคงพอจะมีเวลาให้คนเหล่านี้หนีออกไป
“พวกท่านออกไปหมดแล้วหรือไม่” เฟิงชิงถิงถามทั้งที่ยังกอดร่างใหญ่เอาไว้แน่น
“ยังไม่หมดเจ้าค่ะ”
ซินฝูตอบพลางพาสตรีกลุ่มสุดท้ายออกจากห้อง แต่พวกนางไม่ได้ออกไปไหนไกล ต่างพากันไปอออยู่หน้าห้องมองสือซานเหลียงและเฟิงชิงถิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ชายหน้าตาดุดันท่าทางน่ากลัวเมื่อครู่ยามนี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาก้มลงมองร่างเล็กที่กอดร่างเขาด้วยความแปลกใจ ไม่นานอารมณ์กราดเกรี้ยวดุร้ายก็แปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขามองดูตัวเองที่ถูกร่างเล็กกอดอยู่ไม่นานก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
ร่างบางของเฟิงชิงถิงสะเทือนเพราะแรงหัวเราะของเขา นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเหลียวกลับไปมองกลุ่มคนที่นางให้หลบหนีไปก็เห็นว่าตรงมุมนั้นว่างเปล่าแล้ว นางถอนหายใจพร้อมกับคลายอ้อมกอด แต่ขณะกำลังจะถอยออกมา เสียงของสตรีสูงอายุนางหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
“คนผู้นั้นคือผู้ใด”
“ท่านเหลียง เป็นผู้มีพระคุณของฮูหยิน” ซินฝูที่เพิ่งมารวมกลุ่มตอบ
“เขาสติไม่ดีหรือไม่” อีกคนถาม
ไม่ทันได้ตอบ คนที่หัวเราะร่าอยู่เมื่อครู่นี้ก็หยุดหัวเราะ หันขวับไปทางเหล่าสตรีที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางดุร้ายอีกครั้ง กำลังจะก้าวขาเข้าไปพวกนางก็หวีดร้องแล้วหลบออกจากหน้าประตูไป
เฟิงชิงถิงเห็นเช่นนั้นก็กลับมากอดเอวของสือซานเหลียงแน่น แม้ว่าจะโอบร่างหนาไม่มิดแต่นางก็พยายามถึงที่สุด “ห้ามท่านทำอะไรพวกเขา พวกท่านหนีไป” นางตะโกนสั่งอีกครั้ง
เหล่าสตรีกำลังจะหนีอยู่หรอก แต่เพราะพวกนางได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง สัญชาตญาณความอยากรู้นั้นมีมากกว่าจึงโผล่หน้าออกมาจากขอบประตูเพื่อดูเหตุการณ์ทีละคน
“เขาหัวเราะใหญ่เลย” ชุ่ยเอ๋อร์กระซิบ ทุกคนต่างพยักหน้าและมองภาพตรงหน้ากันอย่างไม่วางตา
สตรีเหล่านี้ทำอาชีพปักผ้า เวลาทำงานส่วนใหญ่มือไม่ว่าง แต่ปากว่างเป็นอย่างยิ่ง เวลาปักผ้านั้นไม่มีเรื่องน่าสนุกสักเท่าใดนัก พวกนางจึงมักหาเรื่องมาชวนคุยกันแก้เบื่อ คุยไปปักผ้าไปด้วย ทำให้ทั้งเพลินและสนุกสนาน และแน่นอนว่าเรื่องแรกที่พวกนางจะพูดถึงหลังจากกลับไปนั่งปักผ้าดังเดิม คงไม่พ้นเรื่องสองผู้มาใหม่เป็นแน่ ดังนั้นเพื่อที่จะคุยกันอย่างออกรส พวกนางจึงไม่ยอมพลาดเหตุการณ์เหล่านี้แม้แต่ฉากเดียว
แต่เสียงกระซิบนั้นก็ยังดังเข้าหูคนอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่ดี เขาหยุดหัวเราะก่อนจะคำรามใส่ต้นเสียงกระซิบนั้น เมื่อสือซานเหลียงคำรามออกไป เฟิงชิงถิงก็ตะโกนอย่างร้อนใจพร้อมกับเอวของเขาที่ถูกรัดแน่นขึ้น
“ไม่ได้นะ!”
สือซานเหลียงก้มลงมองสตรีที่ยืนกอดตนอยู่ก็หัวเราะหึ หึ ชอบใจ ก่อนจะหัวเราะเสียงดังมากกว่าเดิมคล้ายดั่งคนสติไม่ดี
ต่อให้เป็นเด็กยังรู้ว่าคนผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ เมื่อครู่ยังดุดันดั่งเสือ ยามนี้กลับหัวเราะร่า ก่อนจะคำรามและหัวเราะสลับกันไปมา หากไม่บ้าแล้วจะเป็นอะไรได้เล่า
“เขาเป็นบ้า...” ใครคนหนึ่งเอ่ยออกมา ทุกคนที่แอบมองอยู่ต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
เสียงคำรามพร้อมกับสายตาที่ดุดันสาดมาอีกครั้ง เหล่าสตรีที่แอบมองกันอยู่ต่างแตกฮือไม่ต่างกับผึ้งแตกรัง
เฟิงชิงถิงได้ยินเขาคำรามก็คิดว่ายังมีคนหลงเหลือนางจึงกอดเขาไม่ปล่อย แต่เมื่อนางได้ยินเขาหัวเราะ ก็คิดจะคลายอ้อมกอด แต่เป็นว่าเมื่อนางคลายอ้อมกอดเขาก็ส่งเสียงคำรามอีก ด้วยความตกใจกลัวว่าจะมีคนบาดเจ็บนางจึงผวากอดร่างเขาอีกครั้ง
แล้วนางก็ต้องทำซ้ำๆ เช่นนี้อีกหลายครั้ง จนเมื่อนางตะโกนเรียกคนอื่นอีกครั้งแล้วไม่ได้ยินเสียงผู้ใด ครั้งนี้นางจึงคลายอ้อมกอดแล้วมองรอบห้องอย่างรวดเร็ว ไม่มีคนอยู่จริงๆ
แต่เมื่อนางคลายอ้อมกอดสือซานเหลียงก็คำรามออกมา นางหันกลับไปมองเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านเป็นอะไร” อาการเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวคำรามของเขาทำเอานางเริ่มไม่สบายใจ
“ฮื่ม” คิ้วหนารูปกระบี่ขมวดด้วยความไม่พอใจเมื่อการคำรามครั้งสุดท้ายนางไม่กลับมากอดเขา
ใบหน้าดุดันมองรอบกายอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง กำลังคิดจะเดินออกไปด้านนอก แขนของเขาก็ถูกมือบางจับไว้ เขาหยุดก้าวและมองมือบางที่จับมือเขาอย่างใจลอย ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงหวานเอ่ย
“อาการก็ยังคงที่ แต่เหตุใดจึง...” ครั้งนี้นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ถอนหายใจอย่างจนใจ พยายามไม่คิดว่าเมื่อครู่นางกอดเขานานแค่ไหน “เป็นข้าผิดเองที่ละเลยท่าน หากเมื่อครู่ข้าไม่มัวแต่สนใจหาเข็ม ก็ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าไม่โทษท่าน ไปเถิด เมื่อวานข้าซื้อชุดใหม่มาให้ท่านสองชุดเห็นหรือไม่ ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดใหม่กัน แล้วข้าจะสางผมให้ท่านด้วย”
ขณะที่นางกำลังจูงเขาไปที่ห้อง ครั้งนี้เขากลับไม่ขยับ เฟิงชิงถิงมองเขาอย่างร้อนใจ
“หมั่นโถว” เขาบอกนาง
ตอนแรกเฟิงชิงถิงก็ยังไม่เข้าใจ แต่ไม่นานนางก็เข้าใจในทันที “อ่อ ท่านหิวแล้ว ได้ เช่นนั้นก็กินข้าวก่อนแล้วค่อยอาบน้ำดีหรือไม่ ไปกินข้าวกัน”
นางลองดึงแขนพาเขาออกเดินอีกครั้ง ครั้งนี้เขายอมเดินตามนางออกไป นั่นแปลว่านางเดาถูก
ด้านนอกเรือนปักผ้า สตรีกลุ่มเดิมเมื่อเห็นเฟิงชิงถิงจูงชายหนุ่มร่างใหญ่ออกมา พวกนางก็หลบซ้ายหลบขวาออกห่างด้วยความกลัว
“ต้องขออภัยพวกท่านด้วย ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าสัญญาว่าจะไม่มีครั้งต่อไป” เฟิงชิงถิงจับแขนสือซานเหลียงแน่นไปพลางขอโทษสตรีเหล่านั้นไปพลาง เพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายคนอื่นนางจึงไม่ยอมปล่อยให้แขนของเขาหลุดมือ
“ไม่เป็นไร พวกข้าเข้าใจ” สตรีนางหนึ่งยิ้มแหยๆ ตอบ
เมื่อครู่หนีตายออกมาได้ ทุกคนต่างก็สอบถามถึงที่มาที่ไปของคนแปลกหน้าสองคนนี้ ได้คำตอบจากซินฝูและชุ่ยเอ๋อร์ว่าเป็นผู้มีพระคุณของฮูหยินจะมาพักที่เรือนพัก พวกนางก็ไม่คิดเอาความ อีกทั้งดูก็รู้ว่าชายคนนี้สติไม่ดี ในเมื่อแม่หนูนามว่าเลี่ยงเฟิงให้คำมั่นว่าจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกพวกนางก็เบาใจ
“เช่นนั้นพวกข้าขอตัว” เฟิงชิงถิงกำลังจะพาสือซานเหลียงไป แต่เห็นซินฝูอยู่พอดีนางจึงหยุดและเอ่ยถาม “ท่านป้า ที่นี่มีห้องครัวหรือไม่ หากข้าคิดจะทำอาหารต้องทำอย่างไร
“ที่นี่มีครัว พ่อครัวจะมาทำอาหารกลางวันเลี้ยงพวกเรา ส่วนมื้อเช้าเราเตรียมมากินเอง ไม่ก็กินมาจากที่บ้าน ตอนนี้ยังเช้าอยู่พ่อครัวคงยังไม่มา หากหิวกินอาหารของข้าก่อนก็ได้ ข้าเตรียมมาจากบ้านเล็กน้อย” สตรีที่มีผมขาวแซมอยู่ประปรายเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
“ขอบคุณท่านป้า แต่ข้าพอจะทำกับข้าวเป็น ไม่อยากรบกวนท่าน” นางตอบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรกลับไป
ชุ่ยเอ๋อร์มุดออกมาจากกลุ่มนักปักผ้า ยิ้มให้เฟิงชิงถิง “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ นี่ก็เป็นเวลาอาหารเช้าแล้วอีกไม่นานคนที่บ้านคงจะนำอาหารเช้ามาส่งให้เจ้าค่ะ ฮูหยินสั่งเอาไว้แล้วว่าอยู่ที่นี่แม่นางเลี่ยงกับท่านเหลียงไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่เจ้าค่ะ เช้ากลางวันเย็นจะมีอาหารมาส่งให้ทุกมื้อ ส่วนข้าจะทำหน้าที่คอยรับใช้แม่นางเลี่ยงกับท่านเหลียงเองเจ้าค่ะ” เอ่ยจบชุ่ยเอ๋อร์ก็ชี้ไปที่หน้าประตูใหญ่โรงผ้าปัก ที่ตอนนี้มีคนหลายคนหิ้วตะกร้าเข้ามาด้านใน “นั่นไงเจ้าคะมากันแล้ว เชิญแม่นางเลี่ยงกับท่านเหลียงมาทางนี้เจ้าค่ะ”
ชุ่ยเอ๋อร์พาเฟิงชิงถิงและสือซานเหลียงไปยังห้องอาหารด้านล่างเรือนพัก โต๊ะตัวใหญ่กลางห้องถูกเหล่าอาหารที่นำมาส่งวางจนไม่มีที่จะวางจนเฟิงชิงถิงรู้สึกละอายใจ นางมาอยู่ที่พักของเขายังกินของเขาอย่าหน้าไม่อายอีก หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาคงไม่ได้คิดเช่นนางเพราะยามนี้เขาเริ่มพุ้ยข้าวและกับข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“หากไม่พอบอกบ่าวได้นะเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์บอกก่อนจะถอยออกห่างโต๊ะอาหาร
“ฝากบอกฮูหยินของเจ้าด้วยว่าเข้าขอบคุณนางมาก” เฟิงชิงถิงเอ่ย
“เรื่องพวกนี้เล็กน้อยเจ้าค่ะ หากเทียบกับเรื่องที่แม่นางเลี่ยงช่วยชีวิตคุณหนูเอาไว้” ชุ่ยเอ๋อร์บอกอย่างจริงใจ
หลังจากกินอาหารเสร็จเฟิงชิงถิงก็ทำตามสัญญาที่นางให้ไว้กับสือซานเหลียง นางตั้งมั่นในหลักการของหมออีกครั้ง ให้คนเอาน้ำมาใส่อ่างในห้องแล้วเริ่มอาบน้ำให้คนป่วยซึ่งก็คือสือซานเหลียงอย่างเอาใจใส่ เปลี่ยนเสื้อใหม่ให้ อีกทั้งยังสางผมให้ วันนั้นทั้งวันไม่มีใครได้ยินเสียงคำรามเสียงดังอย่างดุดันของสือซานเหลียงอีกเลย มีแต่เสียงครางน้อยๆ อย่างพึงพอใจคล้ายกับเจ้าแมวตัวใหญ่ที่ถูกเจ้าของเกาคางหวีขนให้อย่างเอาอกเอาใจ วันนั้นทั้งวันเขาจึงไม่ได้ออกไปที่ใด นั่งเหม่ออยู่กับนางไม่ต่างกับแมวขี้เซาที่เอาแต่นอนสักนิด
--------------------------------------------
ปล. เตะหมา แย่งของเด็ก รังแกคนแก่ ช่างเหมาะกับสือซานเหลียงจริงๆ
---------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มีแววหวงมาแต่ไกลเลย
ชอบๆๆๆ
เฮียสือ หมดกันท่านจะมาเป็นแมวเชื่องแบบนี้มะด๊ายยยยย โถ่วๆๆ
5555 ไปถึงที่ไหน ป่วนถึงที่นั่น
นานไป พี่ใหญ่ยิ่งมีพัฒนาการของความอ้อน แต่สติยังไม่สมประดีเหมือนเดิม
เราคิดว่าพี่เหลียงแกเริ่มมีอาการดีขึ้น ดูจากความเจ้าเล่ห์ พอเขางองแง น้องถิงก็กอดอาไว้ พอเขาสงบนางปล่อยพี่แกก็เริ่มอีก อ้อนให้นางกอดโดยแท้ มีการให้อาบน้า สางผม ทำราวกับว่าน้องถิงเป็นเมียไปแล้วที่ต้องดูแลสามีป่วย คนบ้าอะไร้ายเฉพาะกิจ 555