ตอนที่ 6 : เข้าเมือง
"ท่านแม่ ๆ ท่านพ่อให้มาตามไปกินข้าวขอรับ "
เสียงดังเจื้อยแจ้วแต่เช้าของอาเหยียน วิ่งมาร้องบอกกับฝู่เหยียนหลี่
"เจ้าพูดว่าอะไรนะอาเหยียน"
นางกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง จึงเงยหน้าถามเด็กชายด้วยน้ำเสียงและท่าทีประหลาดใจ
"ท่านพ่อให้ไปกินข้าวขอรับ"
อาเหยียนยิ้มแย้มบอก แล้ววิ่งออกไปจากห้องนอนของนาง ปล่อยให้นางยืนงุนงงอยู่คนเดียว
" ท่านพ่อ? สงสัยว่าข้าจะหูฝาด"
นางพูดกับตัวเอง เพราะคิดว่าอาเหยียนคงจะพูดไม่ชัด นางจึงฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกับหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ถึงเขาจะรู้ความและพูดได้แล้ว แต่เขาก็แค่เด็กสองขวบ บางครั้งเวลาพูดประโยคยาว ๆ ก็พูดไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำเท่าไหร่ นางเลยฟังไม่ค่อยเข้าใจ ครั้งนี้ก็คงจะเป็นเหมือนกัน นางคิดในใจเช่นนั้นแล้วเดินตามเขาไป
โต๊ะอาหารเช้านี้ดูราบเรียบเงียบสงบ จนเมื่ออาเหยียนกินเสร็จ เขาก็พูดเสียงดังขึ้นทันที
"ท่านพ่อทำอาหารอร่อยที่สุดเลย"
ฝู่เหยียนหลี่และเฟิ่งเทียนหนิง แทบจะสำลักโจ๊กไข่พุ่งออกมา
"หา...เจ้าว่าไงนะ เจ้าเรียกใครว่าพ่อ"
นางถามเขาด้วยอาการตกใจ
" ก็นี่ไงท่านพ่อ "
อาเหยียนพูดพร้อมชี้ไปที่เฟิ่งเทียนหนิงอย่างสดใส เสียงไอกระแอมของเฟิ่งเทียนหนิงดังขึ้นหลายที
"นี่เจ้าสอนให้เขาเรียกแบบนี้หรือ"
นางสอบถามบุรุษที่เอาแต่ก้มหน้าเบือนหนี
"ไม่ใช่ข้านะ พอตื่นมาวันนี้เขาก็เอาแต่เรียกข้าแบบนี้ ข้าไม่เคยสอนเขาสักคำ เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าสอนเขาตั้งกี่ครั้งให้เรียกว่าท่านอา เขาก็ยังเรียกข้าว่าของเล่น แล้วข้าจะไปสอนเขาเรียกท่านพ่อได้อย่างไร"
เฟิ่งเทียนหนิงพยายามอธิบายให้นางฟังโดยที่ไม่ยอมมองหน้าของนางเลย เขาดูเขินอายบิดม้วนไปมา ฝู่เหยียนหลี่ละสายตาที่พยายามจับพิรุธเขา เลื่อนมามองที่เจ้าตัวการข้าง ๆ ที่เอาแต่นั่งยิ้มให้ทุกคนอย่างไร้เดียงสา
"ร้ายไม่เบาเลยนะเจ้า แค่เขาทำอาหารอร่อยให้กินมื้อเดียวก็เรียกเขาว่าพ่อแล้ว เจ้านี่ช่างเห็นแก่กินจริง ๆ "
พอนางพูดจบอาเหยียนก็ไปชี้ที่เฟิ่งเทียนหนิงแล้วก็ชี้มาที่นาง
"ท่านพ่อ ท่านแม่"
เขาร้องเรียกเช่นนั้นก่อนจะวิ่งออกไปอย่างมีความสุข ปล่อยให้คนทั้งสองที่ยังนั่งอยู่ต่างก็ทำตัวไม่ถูก
____________________
"ท่านแม่ ทำไมต้องมาอยู่ที่นี่"
อาเหยียนมองหน้าและจับมือของฝู่เหยียนหลี่แกว่งไปมาตอนที่ถามนาง เฟิ่งเทียนหนิงพาเขามาส่งนางด้วยกันที่ถ้ำเก็บตัว เขามองไปรอบ ๆ มีสิ่งของจำเป็นถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องประทังความงามมากมายก่ายกองที่เขาไม่รู้จัก เขาก็ไม่รู้ว่านางไปสรรหาของพวกนั้นมาจากไหน
"ต่อไปทุก 7 วัน เจ้าก็ขึ้นมาหาข้าเพื่อรับยาบรรเทาพิษเถอะ ห้ามลืมเด็ดขาดล่ะ "
นางบอกย้ำเตือนกับเขาอีกครั้ง เพราะในระหว่างทางที่เดินมา นางก็ได้บอกเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง
"ข้าจะมาหาท่านทุกวัน"
อาเหยียนพูดกับนางพร้อมเข้าไปสวมกอดที่ขาไว้แน่น
"ไม่ได้ เจ้าจะทำให้ข้าเสียสมาธิ ข้าต้องการความสงบมากที่สุด อีกอย่างเขาต้องดูแลสมุนไพรของพวกเรา ไม่มีเวลามากพอจะพาเจ้ามาได้ทุกวัน ต่อไป ถ้าเจ้าอยากมาหาข้า ก็ตามเขามาเมื่อครบ 7 วันแล้วกัน"
นางบอกกับเด็กน้อยที่เอาแต่เกาะแข้งเกาะขาไม่ยอมปล่อย
"อาเหยียนคงจะคิดถึงเจ้า"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดขึ้นพร้อมกับเข้าไปจับเด็กชายขึ้นมาอุ้มไว้ เขาเอาแต่จ้องมองนางแล้วคิดในใจ ว่าเขาเองก็คงจะคิดถึงนางเช่นกัน เขาไม่ยอมพูดมันออกมา แต่สายตาของเขาได้บอกความรู้สึกออกไปหมดแล้ว แม้จะอยู่ด้วยกันได้เพียงไม่นาน แต่นางและอาเหยียนก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัว ต่อให้นางจะใช้เขาทำงานสารพัด แถมยังบังคับให้กินยาพิษ แต่ช่วงที่ข้อเท้าของเขายังเจ็บ นางก็ช่วยทำแผลและต้มยาให้เขากินทุกวัน อาเหยียนเองก็เป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู เขาจึงรู้สึกว่าทั้งสองคนเป็นเหมือนญาติพี่น้องของตนเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามีเพียงแค่อาจารย์ที่ชุบเลี้ยงอยู่กันตามลำพัง เขามีความรู้สึกดี ๆ กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อได้พบเจอนาง..
สองปีผ่านไป...
"ข้าเอาของวางไว้ให้เจ้าตรงนี้นะ"
เฟิ่งเทียนหนิงตะโกนบอกนางพร้อมวางสิ่งของลงที่หน้าถ้ำ นางเขียนใบสั่งยาวยืดให้เขานำไปส่งที่ร้านขายของเฉพาะสตรีในเมือง
ปกติแล้วเขาต้องเข้าเมืองทุกเดือนเพื่อเอาสมุนไพรไปส่งตามโรงหมอและร้านยาต่าง ๆ แล้วเกือบทุกเดือนนางก็มักจะฝากเขาไปรับของกลับมาด้วยมากมาย เมื่อครบ 7 วัน เขาก็จะขึ้นมาหานาง แต่เขาไม่เคยได้เข้าไปในถ้ำเก็บตัวนับจากวันที่มาส่งนาง มีเพียงอาเหยียนเท่านั้นที่นางอนุญาตให้เข้าไปด้านในได้ เขาได้เพียงแค่ส่งของที่นางต้องการกับอาหารที่ทำมาให้กินวางเอาไว้
แม้ทุกครั้งเขาจะโดนนางบ่นตลอดว่าชอบให้นางกินแต่ของที่ทำให้อ้วน ๆ แต่นางก็กินอาหารฝีมือเขาหมดทุกที เขาดูแลอาเหยียนและนางเช่นนี้มาตลอดเกือบสองปี โดยที่ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเบื่อหน่ายยากลำบาก แต่กับทำจนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
"ทำไมวันนี้อาเหยียนถึงไม่มาด้วย"
นางส่งเสียงออกมาจากด้านใน ปกติอาเหยียนจะมาหานางกับเขาทุกครั้ง แม้ว่านางจะให้เขามาอยู่เพียงไม่นาน แต่อาเหยียนก็ยังอยากมาหานางอยู่ดี
"อาเหยียนไม่ค่อยสบาย ข้าจึงให้เขานอนพักอยู่บ้าน จริง ๆ เขาก็งอแงอยากจะมาเหมือนกัน"
เขายืนพูดกับนางอยู่หน้าถ้ำโดยไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของนาง เป็นแบบนี้มาเกือบสองปี เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนางต้องให้เขาอยู่แต่ด้านนอก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากมาหานางเพื่อพูดคุยกัน ไม่ใช่แค่รับยาบรรเทาพิษผึ้งเท่านั้น เขารู้สึกคิดถึงนางตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวเลย
นางมักจะคุยกับเขาเพียงไม่กี่ประโยคก็ไล่ให้เขาพาอาเหยียนกลับบ้าน
"เขาเป็นอะไร"
นางถามด้วยคำพูดห้วน ๆ เหมือนที่คุยกับเขาประจำ
"เมื่อสองวันก่อนเขาออกไปเล่นน้ำฝน ข้าไม่ได้ดูแลให้ดี เขาก็เลยมีไข้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล อาเหยียนไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่กินยาพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่กี่วันก็คงจะหายดี"
เขาบอกให้นางเข้าใจจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอาเหยียนเกินไป
"เช่นนั้นก็ดี"
นางบอกเขาเพียงสั้น ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อ เขาพยายามชวนนางคุยจึงถามนางออกไปว่า
"เจ้าไม่กล่าวโทษข้าหรือ"
หลังจากที่เขาพูดออกไป ก็ได้ยินเหมือนกำลังมีเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้เขา นั่นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ว่านางจะออกมาหาเขาหรือไม่
"ทำไมข้าต้องต่อว่าด้วย เจ้าก็ดูแลรักษาเขาดีแล้วนี่"
นางเพียงส่งเสียงโต้ตอบเขาแต่ไม่ได้ออกมาหาเขา ทำให้เฟิ่งเทียนหนิงรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย
"เจ้าจะไปดูอาเหยียนหน่อยไหม"
เขาเอ่ยถามเป็นการเชิญชวนให้นางกลับไปด้วยกัน เขาเองก็อยากเจอกับนาง เพราะไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานางเป็นอย่างไรบ้าง นางไม่ค่อยได้กินอาหารอะไรนอกจากผลไม้ และของที่เขามักเตรียมมาให้เมื่อขึ้นมาหา เขาอยากรู้ว่านางสบายดีหรือไม่ อาเหยียนชอบบอกกับเฟิ่งเทียนหนิงว่า ท่านแม่ของเขาเปลี่ยนไป แต่เขายังเด็กเกินกว่าจะอธิบายได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร
"ในเมื่อเขาไม่เป็นอะไร ข้าคงไม่จำเป็นต้องไป อีกแค่สามเดือน ก็จะครบกำหนดสองปีแล้ว เจ้ากลับไปดูแลเข้าเถอะ"
เหยียนหลี่พูดจบก็ไล่เขากลับบ้าน เสียงก้าวเดินห่างออกไปจากที่เขายืนอยู่ นางคงเดินกลับเข้าไปด้านในแล้ว เขาจึงพูดขึ้นเบา ๆ โดยไม่รู้ว่านางจะได้ยินไหม
"ข้าไปนะ"
"ท่านพ่อข้าไม่อยากดื่มยา"
เด็กน้อยส่ายหน้าหนีไม่ยอมดื่มยาที่เขากำลังป้อน
"ถ้าเจ้าไม่ยอมกินก็จะไม่หาย"
เฟิ่งเทียนหนิงบอกกับเด็กชายที่เอาแต่คอยยกมือปิดปากไว้ ทำอย่างไรอาเหยียนก็ไม่ยอมกินยา ทันใดนั้นก็มีเสียงคุ้นเคยดังมาจากทางหน้าประตูห้องโถง เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกใจสั่น ๆ
"ถ้าเจ้าไม่ยอมกินยา ข้าก็จะไม่พาเจ้าออกไปเที่ยว"
สตรีร่างเล็กความสูงประมาณไหล่ของเขา ผิวพรรณสะอาดสะอ้านผ่องใส ดวงตาโตดำสนิทปากนิดจมูกหน่อย ดูเหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกัน กำลังเดินตรงมาหาอาเหยียน เขาจ้องมองด้วยความตกตะลึงและสงสัยว่านางคือผู้ใด
"ท่านแม่กลับมาแล้ว"
อาเหยียนรีบวิ่งไปกอดนางด้วยความดีใจ นั่นทำให้เขายิ่งประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม ใจก็สั่นจนไม่เป็นท่า ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรดี
"รีบไปดื่มยาให้หมด วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวในเมือง"
พอนางพูดเช่นนั้นอาเหยียนก็ยอมกินยาโดยว่าง่ายทันที
"ท่านพ่อ ๆ ป้อนข้าเร็วขอรับ"
เสียงร้องเรียกของเด็กน้อยทำให้เฟิ่งเทียนหนิงที่ยืนตัวแข็งทื่อตาค้างตรึง รู้สึกตัวกลับมามีสติอีกครั้ง
"คุณชายเฟิ่ง ป้าฟ่านให้มาสอบถามว่าต้องจัดเตรียมอาหารเพิ่มสำหรับสหายของท่านหรือไม่ขอรับ"
เสี่ยวเถาเดินเข้ามาพอดีเมื่อเขาป้อนยาอาเหยียนเสร็จ
"แม่นางเหยียนหลี่ท่านนี้คือเจ้าของที่นี่ ไปตามป้าฟ่านออกมาพบนางก่อนเถอะ"
เขาบอกแนะนำนางให้เสี่ยวเถารู้จัก
เสี่ยวเถาได้ยินเช่นนั้นก็รีบก้มหัวผงก ๆ ทำความเคารพนางก่อนรีบวิ่งออกไป
"เขาคือคนที่เจ้ารับไว้ทำงาน เมื่อปีก่อนที่เจ้าบอกข้าสินะ"
นางนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ เขาก่อนจะพูดถึงสิ่งที่เขาเคยเล่าให้นางฟัง
"เจ้าจำได้ด้วย"
เขาถามนางแล้วยังคงมองจ้องนางด้วยความมึนงง นางคือเหยียนหลี่ที่เขารู้จักจริง ๆ งั้นหรือ ทำไมนางถึงเปลี่ยนไปจนเขาจำแทบไม่ได้ขนาดนี้ นี่นางไปเก็บตัวฝึกวิชาอะไร มันเป็นวิชาแปลงโฉมใช่หรือไม่ นางถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
"ทำไมข้าจะจำไม่ได้ ข้าไม่ได้เลอะเลือนเสียหน่อย"
นางตอบแล้วปรายตาใส่เขา พอเห็นแบบนั้นเขาก็รีบหลบสายตาหนีนาง
"นายหญิง"
เด็กชายวัยแรกรุ่นกับหญิงสูงวัยนั่งลงคุกเข่าที่พื้นทันทีเมื่อเข้ามาถึงห้องโถง
"นั่นคือป้าฟ่านและนั่นเสี่ยวเถาหลานชาย เมื่อปีก่อนเขาสองคนมาขอซื้อสมุนไพรที่นี่ ข้าเห็นว่าพวกเขาเร่ร่อนมาไกล อีกทั้งตอนนั้น ป้าฟ่านไม่สบายหนัก ข้าจึงช่วยรักษาและจัดยาให้ ป้าฟ่านและหลานชายขออยู่ที่นี่เพื่อทำงานชดใช้ค่ายา ข้าเห็นว่าพวกเขาทำงานดีมีความขยันจึงให้อยู่ทำงานที่นี่ต่อจนถึงตอนนี้ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร"
เฟิ่งเทียนหนิงเล่าให้นางฟัง เพราะก่อนหน้านี้เขาบอกนางได้เพียงว่ารับคนเข้ามาช่วยทำงานใหม่สองคน ไม่ทันได้พูดต่อ นางก็ไล่เขากลับมาก่อน
"เจ้าตัดสินใจไปแล้วนี่ จะถามข้าอีกทำไม"
นางตอบด้วยท่าทีเมินเฉยไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องเล็กน้อยนี้
"พวกเจ้าออกไปทำงานต่อเถอะ เอ่อ..ป้าฟ่านช่วยเตรียมอาหารเพิ่มให้นายหญิงด้วย"
เฟิ่งเทียนหนิงพูดจบเสี่ยวเถากับป้าฟ่านก็โค้งคำนับแล้วออกไป
"ทำไมเจ้าถึงยอมลงเขามาได้"
เฟิ่งเทียนหนิงถามนางระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินอยู่ที่ลานหน้าบ้านหลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ
"เจ้าไม่อยากให้ข้ากลับมาหรือ"
นางถามเขาแล้วหันมามองรอคำตอบ
"ไม่ใช่เช่นนั้นข้าก็แค่สงสัย เห็นเจ้าบอกว่า จะไม่มา"
เขารีบบอกนางทันทีเหมือนกลัวว่านางจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่อยากให้นางกลับมาจริง ๆ
"ข้าแค่มาดูให้แน่ใจ ว่าเจ้าดูแลอาเหยียนดีจริงอย่างที่พูดหรือไม่"
พูดจบนางก็หยุดเดินแล้วยืนกอดอกหันมาทางเขา คล้ายทำท่าอยากจะจับผิด
"เจ้าไม่เคยเชื่อใจข้าเลยหรือ"
น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาอย่างอดรู้สึกน้อยอกน้อยใจไม่ได้ ทั้งที่เขาทำเพื่อนางขนาดนี้ จนตอนนี้นางก็ยังไม่ไหวใจเขาอีก
"หึหึ ข้าก็แค่พูดเล่น"
นางส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้เขาแล้วเดินไป เฟิ่งเทียนหนิงยิ้มออกมาทันทีที่นางพูดแบบนั้น แม้นางจะไม่ได้บอกเขาตรง ๆ ว่านางเชื่อใจเขาหรือไม่ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีได้แล้ว
"เย็นนี้จะพาอาเหยียนไปเที่ยวในเมือง เจ้าเตรียมตัวให้ดีล่ะ"
ฝู่เหยียนหลี่ส่งเสียงบอกกับเขาก่อนจะเดินหายเข้าไปห้องนอนของนาง...
เฟิ่งเทียนหนิงขับรถม้าพาฝู่เหยียนหลี่กับอาเหยียนเข้าไปเที่ยวในเมือง นางบอกให้ซื้อรถม้าไว้ใช้งานตั้งแต่ตอนที่ขึ้นเขาเก็บตัวเมื่อสองปีก่อน ก่อนเดินทางออกมา นางบอกกับเขาว่าเพิ่งเคยออกจากหุบเขานี้ครั้งแรก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาเองก็รู้สึกดีใจที่ได้พานางออกมาข้างนอกด้วยกัน แม้จะไม่ได้มากันตามลำพังสองคนก็ตาม
"ถึงแล้ว"
เขาส่งเสียงบอกเพื่อให้นางกับอาเหยียนออกจากตัวรถม้า
"แค่ครึ่งชั่วยามก็มาถึงเมืองแล้ว ดีที่ข้าบอกให้เจ้าซื้อไว้ ไม่อย่างงั้นคงต้องเดินกันครึ่งค่อนวันกว่าจะถึง"
นางพูดกับเขาระหว่างที่กำลังโผล่ตัวออกมาหลังจากส่งอาเหยียนให้เขารับไปแล้ว เขายื่นมือให้นางจับ ตอนกำลังจะก้าวลงจากรถม้า แต่นางกับตีมือของเขาดังแปะ แล้วกระโดดลงมายักคิ้วหลิ่วตาใส่เขา ก่อนเดินนำหน้าไปเหมือนนางคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี
"ท่านแม่เราจะไปที่ไหนขอรับ"
อาเหยียนวิ่งไปจับมือของนางก่อนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
"ก็ไปหาของอร่อยให้เจ้ากินไง ดีไหม"
แล้วนางก็จูงมือเด็กน้อยนำหน้าเขาไป ก่อนจะวิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมเจียงคัง
"เอาอาหารที่ขึ้นชื่อทั้งหมดของที่นี่มาให้เขากิน"
ทันทีที่นั่งลง นางก็สั่งเสี่ยวเอ้อเช่นนั้นพร้อมมองไปที่อาเหยียน พร้อมยักคิ้วให้เด็กน้อยที่เอาแต่นั่งยิ้ม
"เจ้ารู้ไหม เจียงคังเป็นโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แต่อาหารรสชาติดีมากเป็นร้านโปรดของข้าเลยนะ"
นางหันไปพูดกับเฟิ่งเทียนหนิง แต่เขาไม่พูดอะไรกับนางเอาแต่มองพลางใช้ความคิดทำความเข้าใจกับเรื่องต่าง ๆ เขายังรู้สึกงุนงงแปลกใจกับความเป็นนาง จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่านางคือใครแน่ นางคือซูหลินหลินที่กำลังป่วยสติเลอะเลือนหรือว่านางคือฝู่เหยียนหลี่ประมุขสำนักผาดำจริง ๆ เขารู้สึกสับสนในใจมาก
"เจ้าสั่งอาหารเยอะขนาดนี้ จะกินหมดหรือ"
เฟิ่งเทียนหนิงถามนางเมื่อเสี่ยวเอ้อนำอาหารมากมายมาวางที่โต๊ะ
"กินไปเถอะมีแต่ของอร่อยทั้งนั้น มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง"
นางบอกเขาก่อนตักอาหารเข้าปากแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
"อา...อิ่มมากเลยนี่ข้ากินมากขนาดนี้ ข้าจะอ้วนอีกไหมเนี่ย"
กินเสร็จทั้งสามคนก็มายืนอยู่กลางถนน ฝู่เหยียนหลี่พูดพลางลูบท้องตัวเองวนไปมา อาเหยียนเห็นก็เลยเลียนแบบทำตามนางบ้าง
"เจ้ากินไปจนหมดเกลี้ยงแล้วเพิ่งจะมากลัวอ้วนหรือ"
เฟิ่งเทียนหนิงถามแบบไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร เพียงแค่หยอกล้อนางเล่นเท่านั้น เขาไม่คิดว่านางจะอ้วนตรงไหน ตอนนี้นางผอมเกินไปด้วยซ้ำ
"พวกเราไปต่อกันเถอะ"
นางหันมาพูดกับเขาและอาเหยียนก่อนเดินนำหน้าไปยังร้านขายของเก่า
"เจ้าจะมาซื้ออะไรที่นี่"
เขาถามนางเมื่อเดินเข้ามาภายในร้าน
"มาหากระบี่ดี ๆ สักเล่ม"
นางตอบเขาแล้วเดินไปดูรอบร้าน
"ทำไมไม่ไปที่ร้านขายกระบี่"
เขาเดินตามเข้าไปถามนางด้วยความสงสัย
"ที่นี่เป็นร้านขายของเก่าขึ้นชื่อที่มีแต่ของล้ำค่า ถ้าหากมีกระบี่ ก็ย่อมเป็นกระบี่ที่ดีกว่าพวกร้านขายอาวุธทั่วไปอยู่แล้ว"
นางพูดกับเขาพร้อมสอดส่องสายตาค้นหาไปทั่ว
"เช่นนั้นเจ้าหาไปก่อนเถอะ ข้าจะไปดูอาเหยียนเกิดซุกซนทำของเสียหายจะยุ่งเอา"
พูดจบเขาก็เดินไปหาอาเหยียน
"แม่นางสนใจกระบี่เล่มนี้เหมือนกันหรือ"
เสียงของบุรุษรูปร่างสูงโปร่งกำลังพูดคุยอยู่กับเหยียนหลี่ ในมือของทั้งสองคนกำลังจับกระบี่สีเงินเล่มเดียวกันอยู่ เฟิ่งเทียนหนิงยืนสังเกตอยู่ห่าง ๆ ก็เห็นได้ว่าสีหน้าของเหยียนหลี่ดูเปลี่ยนไป นางดูเหมือนกำลังรู้สึกไม่พอใจชายผู้นั้น นางจับกระบี่ไว้แน่นแต่ไม่พูดจาใด ๆ กับเขา
"ปล่อยมือของเจ้าเสีย คุณชายจางได้ซื้อกระบี่เล่มนี้แล้ว"
หญิงสาวอีกคนเดินเข้าไปแล้วออกคำสั่งกับนาง ด้วยท่าทางไม่พอใจเท่าไหร่นัก
"ข้าไม่ปล่อย"
เหยียนหลี่ปรายตาไปพูดกับสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าด้วยแววตาขุ่นเคือง
"อะไรที่เป็นของข้า มันก็ต้องเป็นของข้า"
นางพูดกับชายผู้นั้น ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สีหน้าดุดันเอาจริงเอาจังมาก
"บังอาจ เจ้ารู้ไหมกำลังพูดอยู่กับใคร"
หญิงสาวคนเดิมขึ้นเสียงใส่ฝู่เหยียนหลี่
"พอได้แล้วซังซัง"
บุรุษผู้นั้นหันไปพูดห้ามปรามสตรีที่ตอนนี้มีท่าทางเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันกลับไปพูดกับเหยียนหลี่
"ถ้าแม่นางชอบกระบี่เล่มนี้ข้ายกให้เจ้าก็ได้"
เขายิ้มอย่างใสซื่อให้กับนางพร้อมปล่อยมือออกจากกระบี่
"คุณชายจางแต่ท่านจ่ายเงินเถ้าแก่ไปแล้วนะ"
หญิงสาวข้างกายของบุรุษผู้นั้นดูไม่พอใจและไม่ยินยอมที่จะยกกระบี่ให้กับเหยียนหลี่
"เจ้าจะไม่เสียใจแน่นะ ที่ปล่อยกระบี่เล่มนี้ให้แก่ข้า"
นางจ้องชายหนุ่มตาเขม็งก่อนจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน
"ทำไมข้าต้องเสียใจด้วย เจ้ารับไปเถอะ"
บุรุษร่างสูงผู้นั้นดูไม่ได้ถือสาอะไรนางที่ดูท่าทีไม่ได้เป็นมิตรกับเขาเสียเลย พอพูดจบเขาก็เดินออกจากร้านไป โดยมีหญิงสาวเดินตามไปติด ๆ
ฝู่เหยียนหลี่เดินมาตรงที่เฟิ่งเทียนหนิงและอาเหยียนยืนอยู่
"กลับกันได้แล้ว หากมืดค่ำจะเดินทางลำบาก"
นางหันมาพูดกับเขาก่อนจะเดินออกไปหน้าร้าน แล้วหยุดยืนมองบุรุษผู้นั้นเดินจากไป เห็นเพียงแผ่นหลังของเขาไกล ๆ เท่านั้น
"ข้าจะให้เจ้าตายด้วยคมกระบี่เล่มนี้ในมือข้า ที่เจ้าหยิบยื่นให้"
นางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นพร้อมยกกระบี่ที่ถืออยู่ขึ้นมา เฟิ่งเทียนหนิงเอื้อมไปจับมือของนางที่กำกระบี่ไว้แน่นจนมือสั่นก่อนจะเอ่ยถามนาง
"บีบแรงขนาดนี้ เจ็บไหม"
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อนาง ฝู่เหยียนหลี่จึงยอมปล่อยคลายมือที่บีบไว้ออกแล้วถอนหายใจเบา ๆ โดยไม่พูดสิ่งใด
เฟิ่งเทียนหนิงเห็นเช่นนั้นจึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มที่อ่อนโยน
กลับบ้านเราเถอะ....
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

10 ความคิดเห็น
-
#6 คิดได้ เล่าต่อ (จากตอนที่ 6)วันที่ 17 มีนาคม 2563 / 19:40ใจเย็นๆน๊า 555#60
-
#4 Pang_happy (จากตอนที่ 6)วันที่ 17 มีนาคม 2563 / 08:45โจทย์เก่าแน่ๆสามีสารเลว#40