คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : กลรักอสุรา l บทที่๑๐ ตอน อสุราอปป้า {อัพ100%}
“หากเช่นนั้น ยามนี้พี่จักขอเป็นเอ่ยถ้อยถามแม่ทับทิมบ้างได้หรือไม่ ?” พอถูกเขาร้องขอแบบนั้น ฉันจึงพยักหน้าหงึกหงักแบบไม่ต้องคิด ซึ่งการตอบรับกลับไปเช่นนั้นมันก็ทำให้รอยยิ้มเปื้อนหน้าท่านอสุราขยับกว้างขึ้นมากเข้าไปใหญ่
ฟึ่บ!
แต่แล้วไม่นานคนที่ต้องร้องอุทานด้วยความตกใจหลังจากนั้น กลับกลายเป็นฉันเสียเอง เมื่อจู่ๆ ท่านอสุราขยับกาย โน้มลำตัวลงมาหา พลางใช้สองมือฉุดฉันให้ขยับลุกขึ้นจากนั่งพับเพียบบนพื้นบ้านแบบไม่ทันให้เตรียมตัว
“อ๊ะ…” ครั้นจะต่อต้านเรี่ยวแรงที่อีกฝ่ายใช้ ก็ดูจะไม่ประสบผลเท่าไหร่นัก
เพราะลำพังแค่เรี่ยวแรงที่มีนั้น ไม่สามารถเทียบเคียงเรี่ยวแรงมหาศาลในแบบที่ท่านอสุรามีได้แม้แต่นิด นั่นเลยทำให้ร่างทั้งร่างโอนเอนไปตามแรงฉุดกระชากที่คนตัวใหญ่มอบให้อย่างสิ้นการขืนขัด
กึก...
ถึงสถานการณ์จะลงเอ่ยแบบนั้น
แต่ก็ใช่ว่าท่านอสุราจะทำเรื่องไม่ดีกับฉันเสียเมื่อไหร่
เพราะสิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการฉุดดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นจากพื้นมานั่งเคียงคู่เสมอตนบนโซฟาตัวเดียวกันแต่เพียงเท่านั้น
และเมื่อเขาทำทุกอย่างได้จนสมใจ
ยักษ์หนุ่มจึงเอ่ยขึ้น
“นับแต่นี้ไป แม่ทับทิมหาได้ต้องเกรงอกเกรงใจ แบ่งชนชั้นวรรณะต่อพี่เฉกเช่นผู้อื่นไม่…” ไม่ใช่แค่บอกแต่เพียงเท่านั้น แต่เขายังฉวยโอกาสคว้ามือฉันไปกุมไว้บนตักตนเอง ทั้งที่ปากยังขยับพูด “พี่เป็นของแม่ทับทิม และจักเป็นเช่นนี้สืบต่อไปจนกว่าชีวาพี่นี้จักวอดวาย...”
ทั้งที่คำพูดดังกล่าวค่อนไปทางจริงจัง หากแต่นั่นกลับทำให้คนที่ได้ฟังเผลอหลุดหัวเราะขึ้นอย่างสุดจะกลั้น
อีกสิ่งซึ่งให้ความรู้สึกต่างจากเวลาอ่านหนังสือ เห็นทีคงเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ได้รับหลังจากการได้ยิน ยกตัวอย่างเช่น เวลาได้อ่านบทที่ท่านอสุราพูดอะไรทำนองนี้ใส่คนรัก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกครั้ง ฉันจะรู้สึกฟิน จิ้นกระจาย นอนเกลือกนอนกลิ้งเพราะความเขินอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง
ด้วยเพราะสำเนียงและวิธีการพูดของเขามันผิดจากยุคสมัยปัจจุบัน และฉันเองก็ชินกับวิถีชีวิตปัจจุบันด้วยล่ะมั้ง พอต้องมาได้ยินคำพูดบอกความรู้สึกเหล่านั้นจากปากเขาด้วยหูตัวเอง ฉันถึงรู้สึกว่าคำพูดสื่อความรู้สึกแบบโบร่ำโบราณของเขามันแปลกมากกว่าที่จะชวนให้รู้สึกเขิน
และหากว่าการชักมือออกหลังจากท่านอสุราพูดจบ
คือการดับฝันอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้ตรงหรือเหมือนเนื้อหาที่เคยเขียนบอกเล่าไว้
หลังเขาเรื่องพรรค์นี้ทำใส่แม่หญิงนิมมานรดีแล้วล่ะก็
เชื่อเถอะว่านั่นคือสิ่งแรกที่ฉันทำพร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมบอกความรู้สึกของตัวเองให้เขาได้รับรู้ไปด้วย…
“คิกๆ เสี่ยวอ่ะท่าน…”
พูดจบ
ผู้ฟังก็ถึงกับทำหน้าฉงนให้ได้เห็น
เขาหรี่ตามองหน้าฉันคล้ายกับพิจาณาอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงคายความสงสัยของตนให้ได้รู้ในที่สุด
“เสี่ยวงั้นรึ แม่ทัมทิมหมายถึงสิ่งใด...เหตุใดจึงหัวร่อพี่เช่นนี้เล่า ?”
“เจ้าค่ะ เสี่ยว…”
ฉันย้ำ โดยหนนี้ก็ไม่ลืมที่จะอธิบาย “เสี่ยว ก็หมายถึงแบบ…เชยหรือไม่เข้าท่า ไม่เข้าตา อะไรทำนองนี้น่ะเจ้าค่ะ ฟังแล้วฉันก็เลยรู้สึกตลก”
“พี่กระทำสิ่งใดผิดแผกจนน่าขบขันถึงเพียงนั้นเชียวรึ
เหตุใดแม่ทับทิมจึงกล่าวว่าเช่นนี้ ?” สังเกตได้ว่า
ตลอดเวลาที่ท่านอสุราถามนั้น สีหน้าเขาฉาบไว้ด้วยความกังวลระคนความสงสัยอยู่ตลอดเวลา พอเห็นแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรสักอย่างเพื่อบอกกล่าวให้เขาเข้าใจ
“สำหรับที่ที่ท่านอยู่
มันก็ไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะ แต่สำหรับที่นี่มันก็แปลกอยู่บ้าง…”
“…” คนฟังไม่ได้พูดอะไร
เขาทำเพียงแค่นั่งนิ่ง คล้ายกับให้ความสนใจการบอกกล่าวจากปากฉันยิ่งกว่าอะไร
ด้วยความที่เป็นเช่นนั้น ฉันจึงอาศัยโอกาสในช่วงเวลาดังกล่าว ลุกออกจากโซฟา จากนั้นก็รีบ
กางแขนออกแล้วหมุนรอบตัวเองต่อหน้าช้าๆ ทั้งที่ปากยังคงขยับ
“ท่านเห็นเครื่องแต่งกายของฉันใช่ไหมเจ้าคะ
ที่เมืองมนุษย์เรานิยมแต่งตัวกันแบบสบายๆ
ในขณะที่ที่ท่านจากมาบนเครื่องทรงและอาภรณ์ล้วนเต็มด้วยเครื่องประดับ…” ครู่หนึ่งที่ผู้ฟังหลุบมองร้อยสังวาลประดับกายตนเองตามเสียงบอกกล่าว และเพ่งพินิจพิจารณาอยู่ช่วงสั้นๆ
ก่อนหันเหสายตากลับมายังฉันเป็นหนที่สอง โดยไม่ลดความสงสัยบนหน้าลงเลยแม้แต่น้อย
เห็นแบบนั้นฉันเลยต้องอธิบายเพิ่ม “ส่วนอีกเรื่องก็คงเป็นพวกคำพูดสำหรับใช้สื่อสารกัน…”
เหมือนเคย พอฉันเริ่มส่งเสียง
ท่านอสุราเริ่มแสดงมารยาทอันดีของตนด้วยการนั่งฟัง เพียงแค่เห็นแววตา
ก็รับรู้ได้แล้วว่าเขากำลังตั้งใจมากแค่ไหน
“ที่เมืองมนุษย์
ผู้คนไม่ค่อยใช้คำพูดซึ่งฟังดูเป็นพิธีเหมือนท่านมากนัก เพราะยุคสมัยนี้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเร่งรีบ
ผู้คนส่วนใหญ่จึงใช้คำพูดที่สั้น ห้วนในการสื่อสารกันให้เข้าใจง่ายมากกว่า
นอกจากนั้นแล้วยังมีกลุ่มคำใหม่ๆ
ที่ถูกคิดขึ้นเพื่อนใช้เฉพาะเจาะจงแต่ละช่วงโอกาสด้วย”
“…”
“เพราะงั้น ท่านไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ มันไม่ได้ประหลาดขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ถึงมันจะฟังดูตลกไปบ้างก็เถอะ...”
ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแซว ฉันก็ไม่คิดหรอกว่าหลังจากนั้นจะต้องมายืนอธิบายอะไรยืดยาวให้สิ่งเร้นลับเช่นเขาฟังถึงขนาดนี้
แต่พอได้เห็นสีหน้าของท่านอสุราพอทุเลาความเป็นกังวลลงได้บ้างหลังพูดจบ
ลึกๆมันอดรู้สึกดีใจกับทีท่าที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ได้
อีกอย่างการได้พูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองในลักษณะนี้
มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ตรงไหน ดีเสียอีก ที่อย่างน้อยการได้พูดคุย
แลกเปลี่ยนความคิดให้แก่กันและกัน มันจะทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้น จนไม่รู้สึกว่าการมีท่านอสุราอยู่ใกล้เป็นเรื่องน่าหวั่นวิตกหรือเรื่องน่าหวาดกลัว
ทว่า ไม่นาน
ความสนอกสนใจที่เคยมีให้แก่ท่านอสุราก็ถูกขัดคั่นลง ด้วยเสียงทำนองเพลงจากซีรีย์เรื่องโปรดดังแทรกขึ้นจนให้บทสนทนาระหว่างเราขาดช่วงลง
สายตาเหมือนถูกเสียงจากจอแก้วดึงดูดให้เหลียวมองได้แทบจะในวินาทีนั้น
(เลขาซูมิน! คุณอย่าให้ผมต้องใช้กำลังนะ
นี่ผมกำลังจีบคุณอยู่!) ภาพที่กำลังปรากฏบนจอโทรทัศน์กำลังปรากฏของดาราหนุ่มเกาหลีที่สาวๆ
ชื่นชอบในบทบาทของพระเอก เดินจ้ำเท้าตรงเข้าไปหานางเอกซึ่งกำลังยืนท่าเก้ๆ กังๆ อยู่ภายในห้องทำงานด้วยสีหน้าขึงขังดุดัน
(คุณพูดบ้าอะไรของน่ะคุณแทโฮ
อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!)
ด้วยเพราะฉันลุ้นซีรีย์เรื่องนี้มาตั้งแต่เริ่มเรื่อง แม้ภาพฉายที่ปรากฏ จะเป็นภาพย้อนความเดิมของอาทิตย์ที่แล้วก็ตาม
แต่พอสมาธิเริ่มจับจ้องกับการแสดงของคู่พระนางในจอแก้ว มันก็เผลอลุ้นตามเนื้อหาและบทบาทของคนทั้งคู่ไปเสียทุกครั้งไม่ได้
ไม่ว่าจะฉากที่นางเอกปฏิเสธความรู้สึกพระเอกที่มักชอบแสดงนิสัยแข็งกร้าวของตัวเอง
หรือแม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่เธอกำลังเดินชนไหล่พระเอกเพื่อหลบเลี่ยงที่จะปะทะหน้า
(ฟึ่บ! ไม่มีผู้หญิงคนในปฏิเสธผมได้หรอก คุณก็รู้…) โดยเฉพาะกับตอนที่พระเอกเลือกที่จะหยุดนางเอกไว้ด้วยการคว้าแขนและกล่าวขึ้นแบบไม่มองหน้า
(ผมไม่สนว่าคุณจะรักผมไหม แต่ตอนนี้ผมชอบคุณ…)
(อะ! คุณจะทำอะไรน่ะ!) ร่างกายเผลอเกร็งตามบทบาทของตัวละครหญิงอย่างไม่อาจห้ามได้
เมื่อพระเอกหนุ่มใช้เรี่ยวแรงตามบทบาท
ผลักเธอจนแผ่นหลังแนบชิดกับบานประตูห้องทำงาน
ที่ทำให้ตื่นเต้นและลุ้นจนตัวโก่งอย่างสุดๆ
เห็นที่คงจะเป็นตอนที่กล้องโคลสอัพไปที่ใบหน้าของพระนางสลับไปมา
ขณะที่ฝ่ายชายเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้โดยหมายจะจูบเธอนั่นยังไง
(ผมต้องการให้คุณเป็นของผมตั้งแต่ตอนนี้…เป็นของผมคนเดียวได้ไหม คุณเลขาซูมิน…) สุดท้ายฉันก็ห้ามความฟินของตัวเองไม่อยู่ จำต้องระบายออกมาผ่านการเหวี่ยงไม้เหวี่ยงมือเพื่อระบายความฟินที่มี ให้ละลงบ้าง
กว่าจะรู้ตัวว่า เวลานี้ไม่ได้มีเพียงฉันอยู่ตรงหน้าทีวีภายในห้องรับรองเพียงลำพัง คงเป็นตอนที่มือไม้ซึ่งพยายามสะบัดไล่ความเขินเพราะฉากในจอแก้ว
ถูกมือของใครอีกคนคว้าเอาไว้นั่นหล่ะ
หมับ!
“อะ…” ด้วยความตกใจ สายตาที่เคยให้ความสนใจกับภาพฉายซ้ำบนจอแก้ว
จึงมีอันต้องรีบตวัดมองไปเจ้าของสัมผัสดังกล่าวทันทีอย่างไม่ต้องคิด ก่อนพบเข้ากับนัยน์ตาคมคุ้นเคยที่อีกฝ่ายใช้มอง
แววตาของท่านอสุราในหนนี้ดูแปลกไป ไร้ซึ่งความเป็นกังวลอย่างที่เคยแสดงให้เห็นในตอนแรก
แต่ก่อนจะทันได้ถามหาความใดจากการกระทำที่ได้รับ มันก็เป็นฉันเสียเองที่ต้องสะดุ้ง เมื่อยักษ์ซึ่งเคยนั่งชันขาข้างเดียวอยู่บนโซฟา ขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟา ขยับย่นระห่างระหว่างเราให้หดสั้นลงทั้งที่ยังจับข้อมือฉันไว้เช่นนั้น
ซึ่งการกระทำดังกล่าว
มาพร้อมคำพูดสำเนียงที่ผิดแปลกไป จนสามารถแช่แข็งผู้ที่ได้ยินให้หยุดชะงักนิ่งไปชั่วขณะ
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธผมได้หรอก คุณก็รู้…”
ไม่ใช่แค่พูด เพราะทันทีที่ท่านอสุราพาตัวเองเคลื่อนกายมาหยุดตรงหน้า
เขายังฉวยโอกาสในช่วงเวลานั้น เคลื่อนฝ่ามืออุ่นแตะลงบนผิวแก้มอย่างระมัดระวัง ทั้งที่ปากยังคงขยับ
“ผมไม่สนว่าคุณจะรักผมไหม
แต่ตอนนี้ผมชอบคุณ…”
ที่บ้าก็คือ คำพูดที่ลอดออกจากปากท่านอสุราครั้งนี้
ยังเป็นการถอดแบบจากซีรีย์เมื่อครู่ได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนอีกด้วย ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก
ว่าทั้งหมดที่ได้ยินนั้นเป็นเพียงการพูดเลียนแบบบทละครจากซีรีย์เรื่องโปรด หากแต่ความรู้สึกกลับไม่ยอมหยุดนิ่งลงง่ายๆ
“ผมต้องการให้คุณเป็นของผมตั้งแต่ตอนนี้…” ซ้ำยังทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องยามที่ต้องได้ยินคำพูดเหล่านั้นดังลอดผ่านปากยักษ์หนุ่มตรงหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้ โดยเว้นระยะห่างระหว่างเราไว้เพียงลมหายใจ
ขณะบดริมฝีปากเอ่ยคำร้องขอในช่วงสุดท้าย “เป็นของผมคนเดียวได้ไหม…”
การกระทำดังกล่าว
ทำให้ลมหายใจที่เคยเป็นปกติ ผิดแปลกไปจากที่ควร ยิ่งได้เห็นแววตาปราศจากทีเล่นทีจริงของผู้ชายตรงหน้ากำลังมองลึกเข้ามาด้วยแล้ว
ทั่วหน้าก็ยิ่งร้อนขึ้นราวกับกำลังจับไข้
อาจเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา
ฉันไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชายในลักษณะนี้บ่อยนัก
ร่างกายจึงเผลอตอบสนองการกระทำทั้งหมดที่ได้รับด้วยการสะบัดมือจากการจับกุมให้หลุดออก
ซ้ำยังพลั้งมือผลักอกกว้างของอีกฝ่ายให้ถอยห่างอย่างเต็มแรง
ก่อนที่ความเขินอายทั้งหมดที่มีจะผลักดันให้เท้าสองข้างรีบจ้ำเดินไว
พาตนเองหลบหนีจากนัยน์ตาคู่เดิม
แม้ว่าในช่วงเวลานั้น
หูจะได้ยินเสียงเรียกของท่านอสุราดังไล่หลังมาก็ตาม
“แม่ทับทิม !”
ตึก! ตึก! ตึก!
ถึงจะบอกว่าหนีก็เถอะ
แต่ฉันก็ใช่จะไปไหนไกลๆ เสียที่ไหน เมื่อสถานที่ที่เท้าสองข้างเร่งจ้ำเดินหลบมานั้น
คือโถงทางเดินมุ่งสู่ทางเข้าห้องครัวซึ่งอยู่ถัดจากห้องรับรองเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อควบคุมให้ความรู้สึกของตัวเองให้สงบลงมากกว่านี้หน่อยก็เท่านั้น
ทั้งที่ต้องการเพียงแค่นั้น
แต่ว่า หัวใจกลับยังคงเต้นแรงไม่หยุด เช่นเดียวกับใบหน้าซึ่งยังคงร้อนผ่าว โดยเฉพาะกับสัมผัสข้างแก้มที่ท่านอสุรามอบให้
จนถึงต้องนี้มันยังไม่ยอมคลายลงตามอย่างที่ใจคิดเลยแม้แต่นิด
ตึก… ตึก…
กึก!
เช่นเดียวกับการหลบหนี
ซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้นานตามอย่างที่ต้องการ เมื่อบริเวณพื้นทางเดินเข้าห้องครัวที่เคยว่างเปล่านั้น
บัดนี้ได้ปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดทรงยักษ์สีสะอาดตา กำลังยืนขวางอยู่เบื้องหน้าโดยทิ้งระยะห่างออกไปนิดหน่อย
การที่เป็นแบบนั้น มันเลยทำให้ฉันตระหนักได้ว่า การหลบหนีสิ่งเหนือธรรมชาตินั้น
ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่
มิหนำซ้ำ
มันก็เป็นเขาเสียเองที่ชิงเอ่ยถาม
“ไฉนแม่ทับทิมจึงหนีหน้าพี่มาเช่นนี้เล่า
?” ไม่รู้ว่าฉันตอบช้า หรือความเป็นกังวลในตัวเขามันมีมากเกินไป
ท่านอสุราถึงได้เอ่ยขึ้นอีก แบบไม่ได้รอให้ฉันได้ตอบโต้ “หรือเมื่อครู่
พี่กระทำสิ่งใดพลาดผิดไปงั้นรึ แม่ทับทิมจึงหาได้รอพี่เอ่ยถ้อยให้จบความก่อนไม่…”
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า
ท่านอสุราเป็นยักษ์ผู้น้องที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเอง
แต่ฉันก็ไม่คิดหรอก ว่าเขาจะซื่อบื่อถึงขั้นมองไม่อารมณ์คู่สนทนาไม่ออกแบบนี้ !
“มะ ไม่มีอะไรผิดหรอกเจ้าค่ะ”
แม้ลึกๆ ยังคงรู้สึก ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังตอบเขาอยู่ดี
โดยพยายามควบคุมเสียงให้ฟังดูเป็นปกติมากที่สุด เพราะหากเข้าใจคำพูดเขาไม่ผิด
ดูท่าว่าสิ่งที่ท่านอสุราจงใจทำใส่กันเมื่อครู่นั้น เป็นผลมาจากที่ฉันอธิบายให้เขาฟังยาวยืดก่อนหน้านั้นนั่นหล่ะ
“ฉะ ฉันแค่ไม่ชินกับการถูกปฏิบัติใส่แบบนี้เท่านั้นเอง”
โชคดี
ที่หนนี้ท่านอสุราดูจะเข้าอะไรได้โดยง่าย สีหน้าเป็นกังวลในคราวแรกจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเปื้อนหน้าอย่างคนหมดความกังวล
ซ้ำยังต่อว่า
“พึลึกนัก ! ก่อนหน้าแม่ทับทิมเป็นผู้บอกกล่าวเองมิใช่หรอกรึ ว่าปุถุชนในเมืองมนุษย์
นิยมชมชอบถ้อยคำเช่นบุรุษและสตรีในกรอบแก้ว แล้วเหตุใดยามนี้ แม่ทับทิมถึงได้กล่าวว่า
มิคุ้นชิน”
พอฟังมาถึงตรงนี้
ฉันก็ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ เกิดจากการที่อสุราจดจำและทำตามคำพูดที่ได้รับฟังทั้งสิ้น
เมื่อถูกย้อนมันก็อดนึกโกรธตัวเองไม่ได้
“เจ้าค่ะ! ฉันเป็นคนพูดเอง ใครจะคิดล่ะเจ้าคะ ว่าท่านจะเรียนรู้ได้ไวขนาดนี้”
ยอมรับว่ามีนิดหนึ่งที่ฉันเผลอแขวะเขาผ่านคำพูด แต่ก็แค่นั้นแหละ
สุดท้ายก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ดันไปอธิบายเรื่องการพูดให้เขาฟังแบบนั้นเอง “ฉันไม่ชกท่านให้สักป๊าบแทนของรางวัลก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ชกรึ ?” อีกหนที่เขาถาม
หากแต่คราวนี้น้ำเสียงของท่านอสุราดันแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะ
“ชะ ใช่เจ้าค่ะ มีอย่างที่ไหนคิดจะทำก็ทำ
คราวหน้าคราวหลังก็หัดบอกกันก่อนสิเจ้าคะ ฉันจะได้ตั้งตัวทัน!” และหากไม่ได้คิดไปเอง ดูเหมือนว่ายิ่งฉันพยายามพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองมากเท่าไหร่
ยักษ์หนุ่มตรงหน้าก็ยิ่งหัวเราะในลำคอคล้ายกับชอบอกชอบใจดังมากขึ้นเท่านั้น
“แม่ทับทิมจักประมือพี่ทันรึ
หากพี่กระทำทันด่วนโดยมิบอกกล่าว…” ซ้ำยังยอกย้อนด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ
“ทันสิเจ้าคะ! ท่านอย่าดูถูกนังทับทิมคนนี้สิเจ้าคะ…อะ” แต่ครั้นเมื่อถึงคราวที่ฉันยอกย้อนกลับบ้าง
ท่านอสุรากลับเลือกที่จะหยุดทุกเสียงของฉัน
ด้วยการหายตัวไปจากสายตาแล้วปรากฏกายอีกครั้งตรงหน้าในระยะประชิด
หากแต่พลังเหนือธรรมชาติที่เขามีนั้น
ไม่ใช่สาเหตุที่ทำเอาทุกเสียงที่เคยมีเงียบหรอกนะ
แต่ว่าเป็นฝ่ายมืออุ่นที่กำลังแตะอยู่บนแก้มแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวของท่านอสุราเสียมากกว่า
โดยเฉพาะกับคำพูดรู้ทันซึ่งขัดจากภาพลักษณ์แสนซื่อที่เขามี
“เหตุใดแม่ทับทิมจึงกล่าวมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น ในเมื่อยามนี้นั้นไซร้ แก้มขาวนวลยังแดงก่ำครั้นเมื่อต้องมือพี่เช่นนี้”
และนี่คงเป็นอีกครั้งที่คำพูดของเขา
ทำให้คนฟังพูดอะไรไม่ออก พร้อมเพรียงกับอาการเขินในตัวที่เริ่มพุ่งขึ้นสูงจนปรอทแตก
โอเค! ฉันถอนคำพูดก็ได้
ว่าคำพูดโบร่ำโบราณของท่านอสุราฟังแล้วมันรู้สึกตลก
เชื่อแล้วก็ได้ว่าคำพูดของท่านสามารถทำให้แม่นิมมานรดีเขินได้แบบนี้จริงๆ !
Rrrrrrr
ฟึ่บ!
อาจเพราะโชคของยังมีอยู่
ในช่วงเวลาที่เริ่มทำตัวไม่ถูกเพราะคำพูดรู้ทันบ้าๆ นั่น
เสียงโทรศัพท์มือถือถึงได้ดังขึ้น จนสามารถฉกฉวยเสียงที่ได้ยินมาใช้สำหรับเป็นช่องทางสำหรับหลบหนี
และเมื่อโอกาสมาหาถึงที่ ฉันจึงไม่รอช้ารีบปัดมือท่านอสุราออกอย่างรีบร้อน
พร้อมกันนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดรับทันที
“สวัสดีค่ะ
ทับทิมพูดค่ะ” แน่นอนว่า ระหว่างกรอกเสียงผ่านสาย
ฉันก็ไม่ลืมที่จะก้าวเท้าพาตัวเองเดินหลบจากเขาไปอีกทางด้วย
[ฮัลโหลสวัสดีค่ะ
ดิฉันโทรจากร้าน พีพีมุกชา ที่คุณกรอกใบสมัครงานไว้นะคะ…] และดูเหมือนว่าปลายสายที่โทรเข้ามานั้น
จะเป็นงานของที่ใดที่หนึ่งซึ่งฉันยื่นใบสมัครไว้ทางเน็ตอีกด้วย
“ค่ะ! รับฉันเข้าทำงานแล้วหรือคะ?” แม้ว่าสายงานที่โทรเข้ามานั้นจะไม่ได้ตรงกับงานชั่วคราวที่ทำหรือความชอบ
แต่เพราะขึ้นว่าเป็นงานที่ทำแล้วได้เงิน
ฉันจึงรีบถามปลายสายกลับด้วยความตื่นเต้นทันที
[ค่ะ แต่ว่าทางเราตอนนี้พนักงานร้านเต็มทุกสาขาเลยค่ะคุณทับทิม
ดิฉันเลยจะโทรมาถามว่าหากเป็นงานพิเศษแบบชั่วคราว
ทางคุณทับทิมยังสนใจจะร่วมงานกับเราหรือเปล่า ?]
งานพิเศษชั่วคราวอีกแล้วเหรอ…
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างคะ
งานชั่วคราวที่ว่าเนี่ย ?”
[แจกใบปลิวและใบส่วนลดของท่านร้านค่ะ
โดยเราจะให้ค่าแรง 55 บาทต่อชั่วโมง เริ่มต้นตั้งแต่ 8
โมงเช้าสำหรับรับใบปลิวจากสาขาที่ใกล้ที่สุด โดยทางร้านจะปิดตอนเที่ยงคืนของทุกวันค่ะ
ไม่ทราบว่าคุณทับทิมสนใจหรือเปล่าคะ ?]
ค่าแรงสี่สิบห้าบาทงั้นเหรอ…
สี่สิบห้าบาท ถ้าฉันทำสิบหกชั่วโมง
ก็ได้เกือบพันต่อวันแหนะ!
ก็แค่แจกใบปลิวเอง
มันก็ไม่ได้ยากอะไรสักหน่อย แต่ว่าไหนจะงานในกองถ่ายอีก เอายังไงดีล่ะ ?
[คุณทับทิมคะ…]
ไม่รู้เพราะฉันเงียบไปหรือเปล่า
ปลายสายจึงส่งเสียงขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการยื่นทางเลือก [หากคุณสะดวกหรือสนใจจะทำเมื่อไหร่
สามารถเดินทางไปรับใบปลิวที่สาขาที่ใกล้ที่สุดได้ทุกเวลานะคะ เพียงแค่บอกกับทางผู้ดูแลร้านว่า
นกเป็นคนรับเข้าก็พอค่ะ]
“อะ อ้อค่ะ! ได้ค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” พูดจบ เสียงสดใสของพนักงานร้านชาก็ถูกตัดไป
ก่อนเปลี่ยนบรรยากาศสดใสซึ่งเคยเต็มไปด้วยความรู้สึกเคอะเขินในตอนแรกให้กลายเป็นความตึงเครียด
ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน
ที่ฉันต้องแบกรับความเครียดเรื่องเงินทองเหล่านี้ไว้เพียงลำพัง หากนับย้อนไปในวัยเด็ก
ครอบครัวฉันจัดว่าเป็นคนมีฐานะอยู่พอสมควร
พ่อของฉันนั้นท่านเป็นเจ้าของโรงสีข้าว
ขณะที่แม่เป็นลูกสาวกำนันหมู่บ้านซึ่งมีโรงสีข้าวเหมือนกันและมีไร่ที่นาเป็นของตัวเอง
เพราะเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมแทบทุกอย่าง พ่อกับแม่จึงไม่ต้องการให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองน้อยหน้าใคร
พวกท่านใช้เงินที่หามาได้ซื้อบ้านหลังใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้วอพยพกันมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง
โดยส่งเสียให้ฉันได้ร่ำเรียนในโรงเรียนแพงๆ และดี
แต่แล้ววันหนึ่ง
โรงสีข้าวของพ่อกับแม่ กลับถูกลอบวางเพลิงจากคนใน ทำให้ข้าวที่เตรียมส่งขายเสียหายวอดวายไปเกือบหมด
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ทำให้ทั้งพ่อและต้องพากันกลับต่างจังหวัดเพื่อจัดการทรัพย์สินที่เสียหาย แต่ยิ่งแก้ทุกอย่างยิ่งยุ่งยาก
เมื่อกิจการที่เคยทำมาค้าขายและทำเงินให้กลับครอบครัวนั้นไม่อาจกลับคืนย้อนมาได้ดั่งเก่า
มิหนำซ้ำยังต้องกลายมาเป็นหนี้เพราะสินค้าที่รับไว้เสียหายไปจนหมด
จากที่เคยเป็นเถ้าแก่คอยออกคำสั่ง
ทำให้ทั้งพ่อและแม่ต้องพลิกบทบาทกลับกลายเป็นลูกจ้างถึงอย่างนั้น
พวกท่านก็พยายามหาเงินเพื่อใช้หนี้ของตัวเองจนหมด โดยยังเหลือบ้านหลังหลังนี้เอาไว้ราวกับต้องการมอบมันเป้นของขวัญให้แก่ลูกสาว
เพราะรับรู้สถานการณ์ทางบ้านของตัวเองเป็นอย่างดี
ฉันจึงเริ่มหัดทำงานและหางานพิเศษทำนับตั้งแต่เกิดปัญหาครั้งนั้นเกิดขึ้น
หากจำไม่ผิดก็คงช่วงที่ฉันเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยล่ะมั้ง…
และตั้งแต่ที่เริ่มทำงานหาเงินเอง
พ่อกับแม่จึงไม่ได้ส่งเงินมาให้อีกเลย ไม่ใช่เพราะพวกท่านไม่มีน้ำใจกับลูกหรอกนะ
แต่ฉันคือฝ่ายที่ปฏิเสธที่จะรับไว้ต่างหาก
ด้วยเพราะแบบนั้น
ฉันจึงกลายเป็นคนบ้างานเหมือนอย่างที่เคยถูกเพื่อนว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะไม่ว่าจะค่าน้ำ
ค่าไฟ หรือค่าเล่าเรียน ทั้งหมดนั่นล้วนแล้วแต่ต้องหาด้วยตัวเองทั้ง
หากเอาแต่เที่ยวสนุกไปวันๆ ชีวิตที่แย่อยู่แล้ว คงต้องแย่ลงเข้าไปใหญ่
ดังนั้นฉันจึงเป็นคนไม่ค่อยเลือกมากนัก
ขอแค่สุจริต ไม่ว่าจะงานอะไร หากทำแล้วได้เงิน ฉันถือว่านั่นคือโอกาสดีๆ
ที่ควรคว้าไว้ทั้งหมด
คืนนั้นฉันส่งข้อความไปหาคุณกรองขวัญ
ถามเรื่องงานในกองถ่าย ก่อนได้คำตอบกลับมาว่าพี่ช้างผู้กำกับของพักกองต่อไปอีกหนึ่งอาทิตย์
เพื่อรอให้เมรีหายดีจนสามารถกลับมาทำงานได้ ถึงจะเริ่มถ่ายทำกันใหม่
ถึงอย่างนั้นตลอดเวลาที่คุยกับคุณกรองขวัญ
ฉันก็ยังเห็นนะ เห็นข้อความของใครอีกคนซึ่งถูกส่งเข้ามาหลายฉบับ
ซึ่งฉันก็ไม่ได้เปิดอ่านข้อความเหล่านั้นของเขา
แต่เลือกที่จะปิดเครื่องและเข้านอนเพื่อรอเช้าวันใหม่ของการทำงานเวียนมาถึงมากกว่า
แต่ก็ใช่ว่า
ฉันจะหลับลงหลังจากปิดเครื่องมือสื่อสารได้เลยเสียที่ไหน เพราะทันทีที่หลับตาลง
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นกลับกลายเป็นเสียงฝีเท้าของใครอีกคนซึ่งดังแทรกความเงียบให้ได้ยิน
จนบ่อยครั้งก็เผลอลืมตามองฝ่าความมืดเพื่อค้นหาต้นเสียง ที่น่าขนลุกก็คือ
สิ่งที่เจอหลังพยายามกวาดตามองหามีเพียงความว่างเปล่ายังไงล่ะ
เฮ้อ! จะมีใครโชคร้ายได้เท่าฉันอีกไหมนะ
ทางบ้านก็ล่มละลาย
แถมยังต้องมาอยู่อาศัยกับสิ่งที่มองไม่เห็นอีก!
ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่พยายามข่มตาให้หลับ
จะมีเสียงเดินของท่านอสุราดังให้ได้ยินตลอดเวลาจนรู้สึกขนหัวลุกก็ตาม
แต่ว่าความอ่อนแรงจากการทำงานของวันนี้ มันก็มีมากกว่าความกลัวเป็นไหน
จนท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราได้ในที่สุด
แต่ว่า…
ไม่รู้เพราะฉันเก็บสิ่งที่ได้พบเจอช่วงหลังมานี้ไปคิดมากหรือเปล่า
การนอนในครั้งนี้ จึงเกิดเป็นภาพฝัน ซ้ำยังเป็นฝันที่แปลกมากเท่าที่เคยรู้สึกมา
ในฝัน
ฉันเห็นภาพงานเฉลิมฉลองและขบวนแห่ของเหล่านางฟ้านางสวรรค์หลายสิบตน
ขณะร่ายรำเดินชักเท้าด้วยทีท่าอ่อนช้อยตามจังหวะเสียงฉิ่ง มุ่งตรงมาตามเส้นทางหินซึ่งถูกปูด้วยกลีบของดอกเกสรสวรรค์
ผ่านสวนสวยในแบบที่ฉันเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในภาพนิมิต
โดยที่ตรงนั้น มีฉันกำลังร่ายรำอยู่ที่หน้าขบวนแห่ด้วยสถานะของหนึ่งในนางสวรรค์...
Talk1 ถ้าท่านจะเลียนแบบคำพูดจากซีรีย์ได้เป๊ะขนาดนี้ 5555555
Talk2 ยอกย้อนเก่งนะท่านเนี่ย น่าโดนทับทิมชกสักที 55555
Talk3 เอ๊ะ ยังไงกันน้าาาาา
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น