ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #12 : กลรักอสุรา l บทที่๑๑ ตอน นิมิตลิขิตฝัน {อัพ100%}

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.42K
      119
      16 ก.พ. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *




    บทที่๑๑
    ตอน นิมิตลิขิตฝัน


    ครั้นเมื่อ นิมิตลิขิตฝัน เหตุอัศจรรย์จึงมาโปรดให้เกิดผล

    บันดาลภาพอรชนนารีชน ด้วยตัวตนรูปลักษณ์สุรางคณา

    ดวงหน้าสวยต้องตาแต่แรกพบ วนบรรจบพบรักแรกที่โหยหา

    ท่าร่ายรำอ่อนช้อยร้อยลีลา มากล้นค่ากว่าบุปผาผกาทอง

    ……

    หรือตัวเรานั้นไซร้คืออัปสร นารีชนเว้าวอนเฝ้าถามหา

    นางครุ่นคิดทวนฝันทุกเพลา หรืออสุราว่าไว้คงจะจริง

    คิดแล้วจึงศึกษา หาสาเหตุที่มาให้สับสน

    หาที่ปลายเหตุที่มาและตัวตน หวังคลายกังวลให้ดวงใจ


     

    ขบวนรำถวายนี้ เป็นของกำนัลจากแดนสรวงแทนสินน้ำใจที่ท่านท้าวอสุเรนทร์เคยช่วยไว้จากการรุกรานเจ้าค่ะ…’

    ท่ามกลางการว่ายวนอยู่ในความฝันซึ่งถอดแบบมาจากหนังสือที่ชอบอ่าน ฉันได้ยินเสียงหวานจากหนึ่งในนางอัปสรกล่าวขึ้นอย่างอ่อนน้อม หลังจากขบวนแห่ร่ายรำชักเท้ามาหยุดอยู่บริเวณกลางสวนกว้าง หากแต่เสียงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวฉัน หากแต่มาจากนางอัปสรอีกตนซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับฉันราวกับถอดแบบกันมา

    หม่อมฉันหวังว่าท่านท้าวจักพอพระทัยกับขบวนแห่สินน้ำใจในครานี้นะเจ้าคะ...’ 

    นอกจะได้ยินเสียงหวานของนางอัปสรตนนั้นแล้ว ฉันยังได้ยินเสียงไถ่ถามของยักษ์หนุ่มเจ้าเมือง

    เจ้ามีนามว่าเช่นไรรึ?’ อาจด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็นล่ะมั้ง ขณะหมอบกราบฉันจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสถานการณ์แสนแปลกตรงหน้า ทว่า สิ่งที่รอคอยเบื้องหน้าหลังจากตัดสินใจเงยหน้าลอบมอง กลับเป็นนัยน์ตาคมดุดันหากแต่ช่างสังเกตของยักษ์หนุ่มอีกตนในชุดเครื่องทรงสีขาวสะอาดตามันเสียอย่างนั้น

    และฉันจำได้แทบจะทันที ว่าเขาคือใคร

    หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านท้าวอสุเรนทร์

    ทั้งที่จิตนึกคิดในภาพฝันกำลังสั่งการให้ก้มลงหมอบกราบดั่งเก่าเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ แต่ว่า สายตาของท่านอสุราในตอนนั้นคล้ายกับมีมนต์สะกด พานให้ร่างกายทุกส่วนแข็งทื่อจนไม่สมเป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่ต่างจากโลกความจริงเลยเห็นที่คงจะเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่เริ่มรุนแรงขึ้น ตลอดที่นัยน์ตาคู่นั้นของเขาจับจ้อง

    และท่านอสุรายังคงจ้องมองฉันอยู่แบบนั้น

    แม้ว่าปากของเขากำลังเอ่ยชมแม่หญิงนิมมานรดีคนรักของตัวเอง

    เหตุใดชื่อเจ้าจึงได้เพราะเสนาะหูนักเล่า แม่นิมมานรดี ? ที่น่าตลกก็คือ ในฝันมันคือฉันเสียเองที่เป็นฝ่ายอยากสบสายตากับเขาเช่นนั้นให้เนิ่นนานที่สุด

    แต่แล้วภาพของขบวนแห่และบทสนทนาภายในสวนหลวงหลังวังก็มีอันแปรเปลี่ยนไป จากภาพสวนสวยซึ่งทั่วบริเวณคับคั่งไปด้วยเหล่าหมู่ยักษ์และนางอัปสร บัดนี้เหลือเพียงแค่ฉันเพียงลำพังพร้อมด้วยพานทองบรรจุดอกบัวสดในมือขณะกำลังเร่งฝีเท้าไปตามเส้นทางหินลัดเลาะกำแพงสีขาวสูงตระหง่าน

    แม้ไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นทำไมภาพตัวเองในฝันถึงดูรีบร้อนนัก ถึงอย่างนั้นร่างกายก็ไม่วายขยับเคลื่อนไหวตามความรู้สึกที่ได้รับจากภาพฝันอยู่ดี โดยขณะที่สองเท้าเร่งจ้ำไปข้างหน้า มือและสายตาก็เอาแต่วุ่นวายกับดอกบัวบนพานทองไปด้วย แล้วตอนนั้นเอง

    ตึกตึก

    ความรีบร้อนและไม่มองทาง ก็นำพาความซวยมาเยือน เมื่อโถงประตูตรงหน้ามีร่างสูงของใครอีกคนเดินแทรกตัดหน้าออกมาพอดิบพอดี พลอยให้ฉันซึ่งเร่งรีบและไม่ได้ดูทางเดินชนเขาเข้าอย่างจัง

    ตุบ! เกร้ง!

    ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านนายทหาร…’ คำขอโทษแสดงความรู้สึกแสนสุดภาพถูกเอ่ยขึ้นแทบจะวินาทีนั้น ขณะรีบทรุกตัวลงนั่งก้มหน้าก้มตาเก็บพานทองที่ทำหลุดมือและดอกบัวสดบนพื้นเก็บกลับเข้าที่ 

    แต่แล้วหลังจากก้มเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดเข้าที่ได้สำเร็จ และเงยหน้าขึ้น มันก็เป็นฉันเสียที่ต้องตกใจ เมื่อร่างสูงใหญ่ที่ฉันในฝันเข้าใจว่าเป็นทหารวังกลับเป็นคนอื่นที่อยู่เหนือความคาดหมาย

    เหตุใดจึงมองเหม่อหาได้มีสติดูทางเช่นนี้เล่า นางอัปสร…’ ท่านอสุราว่าขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเขาขณะไถ่ถามนั้นปราศจากอาการไม่พอใจให้ได้เห็น หากแต่กลายเป็นฉันเสียเองที่ดันหวาดกลัวต่อความผิดของตัวเอง แม้อีกฝ่ายจะมีสีหน้าเปื้อนยิ้มก็ตาม

    ขออภัยเจ้าค่ะท่านอสุรา หม่อนฉันรีบเร่งจึงมิได้มองเส้นทางเบื้องหน้า กรุณาอย่างลงโทษหม่อมฉันเลยนะเจ้าคะ…’ สิ้นเสียงร้อนรนซึ่งดังลอดผ่านปาก ผู้ฟังกลับขยับยิ้มกล่าวถ้อยกลับมา

    เหตุเพียงแค่หยิบมือ เหตุใดเราจึงต้องคาดโทษเจ้าด้วยเล่านางอัปสร ?ไม่ใช่แค่พูดแต่ท่านอสุราในภาพฝัน ยังถือโอกาสเคลื่อนมือมาหยิบดอกบัวบนพานขึ้นไว้กับตัวดอกหนึ่ง แล้วกล่าวเสริม เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าดอกบัวในพานทองนี้ กำลังช้ำ

    ‘หะ เห็นเจ้าค่ะ

    แล้วเจ้าคิดหรือ ว่าท่านพี่อสุเรนทร์จะโปรดปราน ดอกบัวช้ำเหล่านี้? และคำพูดของเขามันก็ทำให้ฉันเริ่มรู้เหตุผลความเร่งรีบของตัวเองในความฝัน ท่าให้ดี เราเกรงว่าเจ้าควรจัดเตรียมดอกบัวพวกนี้มาใหม่เสีย

    ว่าจบท่านอสุราก็วางดอกบัวกลับคืนลงพานทอง ก่อนละสายตาจากกลีบดอกช้ำๆ เป็นการมองหน้าฉันโดยตรง อีกทั้งยังเป็นฝ่ายตั้งคำถาม

    ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร มีชื่อเสียงรายนามเช่นไรงั้นรึ ?ไม่รู้ว่าทำไมการเผชิญหน้ากับระหว่างฉันกับท่านอสุราในฝันถึงได้ให้ความแตกต่างจากชีวิตชนิดที่ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น

    บรรยากาศระหว่างเราตอนนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน ซ้ำมันก็เป็นฉันเสียที่ยังคงรู้สึกหวาดกลัวความผิดของตนเมื่อครู่ และเมื่อถูกถามแบบนั้น ปากจึงเริ่มขยับ โดยได้ความรู้สึกที่มีในตอนนั้นร้องบอกว่า หากเอ่ยชื่อนี้ออกไป บางทีโทษทัณฑ์ซึ่งยังรู้สึกผิดทางความคิดจะลดน้อยลงไปได้บ้าง

    หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา

    ที่น่าแปลกก็คือ ความฝันประหลาดที่คล้ายกับว่าฉันเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าของตำนานท้าวอสุเรนทร์ซึ่งไม่เคยถูกบันทึกวัน ยังคงติดตรึงและอยู่ในความคิดแบบนั้น แม้ว่าจะตื่นจากความฝันและกลับมาอยู่ในโลกความจริงแล้วก็ตาม

     

    เวลา 10.40 นาฬิกา

    ห้างสรรพสินค้า K

    ไปทานกันเยอะๆ นะคะ !”

    เสียงของฉันดังไปทั่วพื้นที่บริเวณลานกว้างของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ในมือพลางหยิบยื่นใบปลิวและส่วนลดของร้านพีพีมุกชาส่งให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการห้างในเวลานั้นด้วย เหตุที่ฉันสามารถกล้าส่งเสียงดังในลักษณะนี้ได้ก็เพราะ การแจกใบปลิวของร้านนั้น ไม่ใช่การยืนแจกด้วยเครื่องแต่งกายปกติ แต่ต้องใส่ชุดมาสคอตของหมีสีน้ำตาลติดโบว์สีชมพูอ่อนสัญลักษณ์ของร้านเพื่อดึงดูดผู้คนให้สนใจไปด้วย

    ด้วยเพราะกองถ่ายต้องพักกองไปหนึ่งอาทิตย์ สิ่งที่ฉันทำฆ่าเวลาเพื่อไม่ให้อดอยากปากแห้งจึงเป็นการมาตามนัดงานที่ทางร้านโทรเรียก แม้ว่าฉันจะต้องสวมชุดมาสคอตเดินวิ่งวุ่นแจกใบปลิวของทางร้านไปรอบๆ ลานกว้างของห้าง ถึงอย่างนั้นทุกช่วงเวลาการทำงานก็ยังสามารถถูกผู้จัดการร้าน พีพีมุกชาจับจ้องได้อยู่ตลอดเวลาอยู่ดี

    เนื่องจากร้านชานมร้านนี้ส่วนใหญ่มักจะเปิดสาขาใหญ่ๆ อยู่ในห้าง นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไม คุณนกที่โทรเข้ามาถึงบอกฉันบอกกับทางผู้จัดการร้านว่าฉันได้งานมาจากเธอ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แต่ สุดท้ายมันก็ไม่สำคัญเท่ากับเงินที่จะได้หลังเลิกงานนักหรอก

    ถึงแม้จะบอกตัวเองว่าไม่ต้องคิดอะไรเยอะ นอกจากตั้งใจทำงานของตัวเองให้เต็มที่ก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่สามารถสลัดให้ออกจากหัวได้นักตั้งแต่ตอนตื่น เห็นที่คงไม่พ้นเรื่องความฝันแปลก ซึ่งตอนนี้ยังติดอยู่ในความคิดชนิดที่ว่าพยายามสะบัดให้ออกอย่างไรก็ไม่มีทางหลุด

    จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่า ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ฝันเป็นตุเป็นตะแบบนั้นได้

    แม้จะสงสัย แต่ตอนตื่น ฉันก็ใช่ว่าจะบอกเล่าเรื่องความฝันแสนแปลกนี้ให้กับใครอีกคนที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันให้ได้รู้หรอกนะ ในเมื่อภาพฝันที่มองเห็นมันมีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ดูจะคล้ายคลึงกับตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่เคยอ่าน นอกนั้นมันคือเรื่องราวที่เหมือนกับจิตนึกคิดปรุงแต่งเองเสียมากกว่า

    สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างความฝันกับความจริงก็คงจะเป็นเรื่องของแม่หญิงนิมมานรดี ที่ไม่ว่าจะในฝันหรือเรื่องจริง ก็ยังปรากฏให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ ว่าฉันน่ะไม่ใช่คนรักที่ท่านอสุราตามหา

    แล้วอะไรกันล่ะ ที่ทำให้เขาคิดว่าฉันใช่แบบปักใจถึงขนาดนั้น

    กลิ่นกายเจ้า...หอมหวานดั่งดอกสร้อยทองรุ่งอรุณมิแปรเปลี่ยน

    เพราะกลิ่นตัวงั้นเหรอ

    พอคิดแล้ว ฉันก็เผลอยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเพื่อทดสอบกลิ่นกายของตัวเองไม่ได้ ใช่ค่ะ ทดสอบทั้งที่ยังสวมชุดมาสคอตหมีนี่หล่ะ!

    แต่แล้วขณะที่กำลังพิสูจน์กลิ่นของตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ผู้จัดการซึ่งน่าจะอยู่ในร้านก็ส่งเสียงดังขึ้น จำตัวรีบลดแขนข้างหนึ่งลง แล้วหันมองไปทางเธอด้วยความสงสัย

    ทับทิม ทำไหวหรือเปล่า ?คำถามของเธอ ทำฉันรีบจ้ำเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาทันที พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมถอดหัวหมีขนาดใหญ่ออกจากหัวเพื่อที่จะได้มองหน้าค่าตากันได้ถนัดๆ

    ไหวค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?

    วันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยนะ พอดีคนที่สมัครไว้อีกคนดันมาไม่ได้น่ะ

    ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำไหว ให้ฉันแจกแทนของอีกคนก็ได้นะคะฉันเสนอ

    จะไหวเหรอ หมื่นกว่าใบเชียวนะ

    ไหวอยู่แล้วค่ะ แค่นี้เอง

    เอางั้นเหรอ…” ผู้จัดการร้านถามคล้ายกับลังเล เธอคิดอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนเสนอสิ่งที่น่าสนใจอย่างสุดๆ ให้ได้ยิน เอางั้นก็ได้ ถ้าทับทิมแจกครบทุกแผ่น เดี๋ยวเลิกงาน ฉันจะให้ค่าแรงเธอ 2 เท่าก็แล้วกัน

    ตกลงค่ะ!” สิ้นเสียงรับปากสิ่งที่ฉันได้กลับมาจากผู้จัดการคือรอยยิ้มที่คล้ายกับจะฝากฝัง และเมื่อยิ่งรู้ตัวว่าหากจบงานนี้ ฉันจะได้เงินเพิ่มจากที่คิดไว้อีกเท่าตัวด้วยแล้ว มันก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมเข้าไปใหญ่

    เพราะรู้สึกแบบนั้น หัวหมีในมือจึงถูกบรรจงสวมครอบหัวอีกครั้งพร้อมทั้งรีบหันกลับไปยังลานกว้างตรงหน้าเพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ แต่แล้วตอนนั้นฉันกลับต้องเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงหน้าด้วยเครื่องทรงยักษ์สีนวลแสนคุ้นตา ท่ามกลางฝูงชนที่เริ่มทยอยเข้ามาภายในห้างมากขึ้นเรื่อยๆ

    ทั้งที่อยู่ไกลกัน แต่จากตรงนี้ฉันกลับสามารถมองเห็นรอยยิ้มบนหน้าของเขาได้ชัดไม่ต่างจากตอนอยู่ใกล้ๆ จนอดคิดไม่ได้ว่า เหตุผลที่คนงานอีกคนมาทำงานไม่ได้วันนี้ เป็นเพราะฝีมือเขาหรือเปล่า ?

    ขณะเดียวกัน พอได้เห็นท่านอสุราปรากฏตัวขึ้นกลางลานกว้างของห้างแบบนี้แล้ว ในหัวมันก็ดันเผลอนึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาอีกเสียได้

    ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร มีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไรงั้นรึ ?เสียงของเขาในฝัน ยังดังอยู่ในหัวให้ได้ยินชัด เช่นเดียวกับเสียงของฉันในฝัน ที่เอ่ยตอบคำถามเขากลับไป

    หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา และพอนึกได้ มันก็พาให้เกิดเป็นคำถามขึ้นในหัวอย่างไม่อาจห้ามได้ ว่าเพราะเหตุใด ในฝันฉันจึงตอบถ้อยท่านอสุรากลับไปแบบนั้น

    กึก

    เสียงฝีเท้าหนักๆ ซึ่งเหมือนจะดังชัดขึ้นกว่าฝีเท้าของคนอื่นๆ ทำฉันสะดุ้งจากวังวนความคิด มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อร่างสูงของยักษ์หนุ่มที่ตามองเห็นนั้นกำลังก้าวเดินเข้ามา กว่าจะคิดได้ว่าควรจะทำอะไร ฝีเท้าหนักๆ ของเขาก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

    เหตุใดการออกเดินทางหนนี้ แม่ทับทิมหาได้เอ่ยปากบอกพี่เช่นที่เคยทำไม่ ?แถมเขายังเอ่ยปากถาม

    ด้วยเพราะสถานการณ์กลางห้างในช่วงเวลาที่ลูกค้ากำลังเข้าใช้บริการ มันดูไม่สมควรนักที่จะพูดคุยด้วย เหตุผลก็เพราะ ในเมื่อมีเพียงฉันเท่านั้นที่มองเห็น คนอื่นคงจะหาว่าบ้ากันพอดี ด้วยเหตุนั้นสิ่งที่ฉันทำหลังถูกถาม จึงเป็นการรีบครอบหัวหมีและเลี่ยงเดินไปทางอื่นทันที

    มันก็จริงอย่างที่ท่านอสุราทักท้วงนั่นหล่ะ ปกติแล้วไม่ว่าจะออกไปไหนหรือทำอะไร ฉันมักจะยกมือไหว้แล้วบอกอยู่เสมอๆ เพื่อให้ท่านคุ้มครองและช่วยให้สิ่งที่คิดจะทำในแต่ละวันราบรื่นไม่ติดขัด แต่นั่นไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่ฉันสามารถพูด มองเห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือได้แบบระบบคมชัด HD

    เพราะยังไม่รู้สึกกับการมีท่านอยู่ใกล้ๆ สักที วันนี้นับตั้งแต่ตื่น ฉันจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกจากบ้านทันที ไม่ได้บอกกล่าวอย่างที่เคยทำ

    นี่หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่าการถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทวงน่ะ

    และถึงแม้จะหลบเลี่ยงที่จะพูดคุยด้วยเหมือนปกติ หากแต่การทำเช่นนั้นก็ใช่จะทำให้เขายอมลดละการตามติดลงเสียไหน ท่านอสุรายังคงเหยียบตามรอยเท้าที่ฉันเดินหลบหนี ซึ่งแม้ไม่ได้เหลียวหลังมอง ฉันก็ยังรับรู้ได้ถึงการถูกติดตาม โดยเฉพาะกับเสียงไถ่ถาม ราวกับอยากจะชวนพูดคุย

    สถานที่แปลกตาแห่งนี้ มีชื่อเรียกขานว่าเช่นไรงั้นรึแม่ทับทิม เหตุใดจึงมากล้นด้วยมวลมหาปุถุชนถึงเพียงนี้เล่า ?สิ้นเสียง หางตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองเจ้าของเสียงถามไถ่ผ่านช่องดวงตาของชุดมาสคอตไม่ได้ ก่อนพบว่าท่านอสุรายังคงปรากฏตัวอยู่ในระยะใกล้ตามอย่างที่คิด แต่ว่าสิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เวลานี้กลับไม่ใช่ฉันเหมือนอย่างทุกที แต่ว่าเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวเสียมากกว่า

    ไม่ใช่แค่ท่าทีเท่านั้นที่อีกฝ่ายให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัว แต่แววตาและสีหน้ายังสะท้อนอารมณ์ซึ่งบอกถึงความสนอกสนใจและประหลาดใจให้ได้เห็นอีกด้วย อาจเพราะที่ที่เขาจากมานั้น คงไม่มีข้าวของหรือสถานที่แบบนี้ให้เห็นบ่อยนัก จึงไม่น่าแปลกใจหากยักษ์โบราณเช่นเขาจะแสดงทีท่าประหลาดใจกับทุกสิ่งรอบตัวให้ได้

    ผลพลอยจากการทำงานเป็นผู้ช่วยชั่วคราวในกรมศิลป์ ทำให้ผู้ซึ่งถูกถามและมักคอยทำหน้าที่อธิบายสิ่งต่างๆ ให้ผู้ไม่รู้ได้เข้าใจอย่างฉันจึงเผลอต่อปากต่อคำ อย่างอดไม่ได้

    ที่นี่คือห้างสรรพสินค้าเจ้าค่ะ

    ห้างสรรพสินค้างั้นรึ? ไยจึงฟังดูพิลึกซ้ำยังเรียกขานยังนักแม้ว่าเขาจะยอกย้อนกลับมาเช่นนั้น หากแต่ไม่ใช่กับสายตาที่ยังเอาแต่ปรายมองไปรอบตัวอย่างสนอกสนใจ

    แปลกตรงไหน เพราะที่ที่ท่านอยู่ไม่มีล่ะสิ ถึงได้มองว่ามันแปลกอะแต่ครั้นพอจะยอกย้อนกลับไปบ้าง มันก้เป็นฉันเองที่ต้องเงียบเสียงลงในช่วงท้ายประโยค เพราะทันทีที่สายตาเลื่อนละจากคนตัวใหญ่ไปยังทางเบื้องหน้า ฉันกลับต้องตกใจเมื่อลูกค้าหญิงคนหนึ่งกำลังแสดงสีหน้าตกใจ

    ที่สำคัญเธอกำลังยื่นมือมารับใบปลิวจากมือฉันเสียด้วย

    พะ พูดกับฉันหรือเปล่าคะ ?นอกจากนั้นแล้ว ยังตั้งคำถาม โดยเฉพาะแววตาที่ลูกค้าสาวใช้มองนั้น มันกำลังบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังแปลกใจและสงสัย

    บ้าเอ้ย! เพราะแบบนี้ยังไงล่ะ ฉันถึงได้เลี่ยงที่จะคุยกับเขา!

    ค่ะ!” และเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นจึงเป็นการแถ พลางผายมือเชื้อเชิญไปยังหน้าร้านเปลี่ยนจากการถูกมองอย่างสงสัย ให้กลายเป็นการเรียกลูกค้าเข้าร้านมันเสียเลย หากที่ที่ท่านอยู่ไม่มีร้านชานมที่อร่อยที่สุดในโลกอย่างพีพีมุกชาแล้วล่ะก็ แต่นแต้นนนน ทานวันนี้ได้ส่วนทันที 50% วันนี้นะเอออ...”

    มันใช่เรื่องที่ฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้นอกเหนือจากการแจกใบปลิวไหมเนี่ย!

    ทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่ใครจะนึกล่ะว่า หลังจากส่งเสียงออกไปแบบนั้น มันจะแปรเปลี่ยนการแจกใบปลิวธรรมดาให้การมาเป็นการเรียกลูกค้าเข้าร้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    มีส่วนลดด้วยใช่ไหมคะ ฉันขอใบหนึ่งคะ…”

    ขอด้วยค่ะ !”

    ฉันด้วย!” จากการที่ต้องคอยวิ่งแจกใบปลิวและส่วนลด กลับกลายเป็นว่าตรงจุดที่ฉันยืนอยู่นั้น กลับกลายเป็นที่สนใจของบรรดาลูกค้าบางส่วนที่ชื่นชอบการดื่มชานมไข่มุกไปโดยปริยาย โดยเฉพาะกับพวกเด็กๆ

    ขอโทษนะคะ รบกวนถ่ายรูปกับลูกสาวดิฉันหน่อยได้หรือเปล่า ?

    ได้สิคะปากน่ะให้การตอบรับ หากแต่ไม่ใช่กับที่มียังสาละวนหยิบยื่นใบปลิวในมือส่งให้กับลูกค้าที่แห่กันเข้ามาด้วยความสนใจ ทว่า ท่ามกลางฝูงชนที่รุมแห่กันเข้ามาเพื่อขอส่วนลดลิ้มรองรสชาติชานมจากร้านพีพีมุกชาอยู่นั้น  อย่าลืมลองไปทานพีพีมุกชากันเยอะๆ นะคะ อะ…”

    ฟึ่บ!

    กลับมีหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นทำเรื่องน่าตกใจ ด้วยการกระชากใบปลิวจำนวนหนึ่งไปจากมือฉันอย่างถือวิสาสะ พานให้ต้องรีบตวัดสายตาไปยังเจ้าของการกระทำไร้มารยาทดังกล่าวทันทีแบบไม่ต้องคิด แต่ก่อนที่ปากจะทันได้ขยับต่อว่า

    เจ้าของการกระทำดังกล่าวกลับส่งเสียงแทรกขึ้นท่ามกลางกลุ่มฝูงชนเสียก่อน

    เจ้าข้าเอย! บัดนี้มีชาจอกใหญ่รสเลิศให้ลิ้มลอง พวกเจ้าทุกตนจงแห่แหนลองลิ้มชิมชารสเลิศกันบัดเดี๋ยวนี้เถิด!”

    ภาพที่บังเกิดอยู่ตรงหน้าทำฉันตาโตด้วยความตกใจใส่เจ้าของเสียงแทบจะวินาทีนั้น หากแต่กริยาทางตาเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกสนใจสักเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่เขากำลังทำคือการถือใบปลิวของร้านไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะใช้อีกมือหยิบยื่นใบปลิวเหล่านั้นส่งให้แก่ผู้ที่เดินผ่านไปมา

    ไม่รู้เลยว่าระหว่างที่ท่านอสุรากระทำการเลียนแบบการแจกใบปลิวของฉันอยู่ สิ่งที่สายตาคนนอกมองเห็นจะออกมาในรูปแบบไหน จะเหมือนกับในหนังผีที่เห็นเพียงกองกระดาษลอยไปมารึเปล่า หรืออาจมองไม่เห็นราวกับสิ่งที่คนตัวใหญ่กำลังทำนั้นเป็นเพียงธาตุอากาศ

    เหตุที่คิดแบบนั้นก็เพราะ ลูกค้าบางกำลังกำลังหน้าตกใจผ่านสีหน้าและแววตาอย่างเห็นได้ชัด บ้างก็มองแล้วหันไปซุบซิบ ขณะที่บ้างก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วหันกล้องโทรศัพท์ส่งตรงไปยังจุดที่ท่านอสุรายื่นอยู่ ทว่า วินาทีที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดแจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้สงบลงได้ด้วยวิธีใด ตอนนั้นเองลูกค้าบางคน ซึ่งตอนแรกยืนออกเพื่อขอรับใบปลิวจากฉัน กลับเริ่มหันเหและเปลี่ยนทิศทางอย่างพร้อมเรียง

    ที่น่าตกใจกว่าสิ่งที่ท่านอสุราทำอยู่นั้น คงไม่พ้นกับเรื่องหมู่มหาประชาชนซึ่งต้องการส่วนลดของร้านชาเปิดใหม่ เริ่มทยอยกันแห่ไปรับใบปลิวจากชายหนุ่มในชุดเครื่องยักษ์ข้างกายพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา

    ขอแผ่นหนึ่งค่ะ!” มิหนำซ้ำลูกค้าบางคนยังส่งเสียงร้องขอใบปลิวจากเขาราวกับว่ามันเรื่องปกติ

    ทำไมล่ะ ? คนพวกนี้เห็นเขางั้นเหรอ ?

    แม้จะรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดไม่หาย ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยู่ในหน้าที่ของตัวเอง เพราะเมื่อมีเสียงลูกค้าร้องขอใบปลิวและส่วนลดจากคุณหมี สิ่งที่ฉันพึงจะทำมากกว่าจะนิ่งเพราะภาพที่เห็น จึงเป็นการหยิบยื่นใบปลิวในมือส่งให้อย่างเสียไม่ได้

    ตลอดการทำงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ่อยครั้งที่ฉันมักจะเหลือบมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องทรงยักษ์ขณะหยิบยื่นใบปลิวในมือให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในห้างอย่างไม่ถือตัว ซึ่งหากไม่นับเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับบนตัวเขานั้น ท่านอสุราเวลานี้ดูไม่ต่างจากผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งตรงไหน

    เวลา 12.50 นาฬิกา

    ทานนี่ก่อนสิเจ้าคะ…”

    แก้วชานมขนาดเหมาะมือซึ่งถูกติดโลโก้ของพีพีมุกชา ถูกฉันหยิบยื่นให้กับชายหนุ่มข้างกาย ที่เวลานี้ยังคงให้ความสนอกสนใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะวุ่นวายอยู่กับการช่วยแจกใบปลิวมาหมาดๆ ก็ตาม

    ถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงสายที่ท่านอสุราจะทำ จะพาให้คนที่เห็นเช่นฉันรู้สึกตกใจมากแค่ไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่กล้าที่จะต่อว่าเขาอยู่ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ นับตั้งแต่ที่ท่านอสุราปรากฏตัวแล้วช่วยแจกใบปลิวจนไม่สมฐานะยักษ์แบบนั้น กลับกลายเป็นตัวดึงดูดชักชวนผู้ที่ผ่านไปมาสนใจได้มากกว่าที่ฉันคิดนัก ซ้ำยังทำให้ใบปลิวจำนวนครึ่งหมื่นตามข้อตกลงที่ต้องแจกในตอนแรก หมดไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น

    ในมือน้อง คือสิ่งใดงั้นรึ ?ท่านอสุราถามขึ้นทันทีที่หันมาตามเสียงเรียก อีกทั้งยังจับจ้องสายตามายังแก้วชานมไข่มุกในมือฉันอย่างสนอกสนใจ

    กะ ก็เครื่องดื่มไงเจ้าค่ะ มันคือชาที่ท่านตะโกนบอกคนพวกนั้นให้ลองมากินน่ะพูดจบ คนตัวใหญ่จึงเคลื่อนมือมารับแก้วชานมไปจากมืออย่างว่าง่าย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ยกขึ้นดูดตามอย่างที่ควรทำ แต่ท่านอสุราเลือกที่จะถือแก้วชานมไว้ในมือแบบนั้นนิ่งๆ โดยใช้เพียงแค่สายตากวาดสำรวจไปรอบๆ  รูปทรงของแก้ว

    พอเห็นเขาเอาแต่มองแก้วชาอยู่แบบนั้นแล้ว มันก็อดถามไม่ได้

    ทานได้หรือเปล่าเจ้าคะ หรือว่าฉันต้องจุดธูปเรียกก่อน…” คำถามของฉันหนนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นการยียวนกวนประสาทผู้ถูกถาม แต่เปล่าเลย ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งขณะเดียวกันท่านอสุราเองก็คล้ายกับเข้าใจ เขาถึงได้ตอบกลับมาแบบนั้น

    ตัวพี่นั้นอิ่มทิพย์ หาได้ต้องการเครื่องเซ่นเหล่านี้ประทังชีวิตไม่ได้ฟังอีกฝ่ายพูดแบบนั้น สิ่งที่ฉันเลือกทำจึงเป็นการดูดชานมแก้วที่เหลือในมือตัวเองหนึ่งที โดยที่ยังถูกเขาจ้องอยู่ แต่พอถูกอีกฝ่ายจ้องมากเข้า จู่ๆ มันก็กลับรู้สึกเขินขึ้นมาเสียดื้อๆ จำต้องเป็นฝ่ายละสายตาจากเขาด้วยตัวเอง

    ยามนี้ เมืองมนุษย์ยามนี้ผิดแปลกจากเก่ามากนัก หาใช่ดินแดนเช่นที่เคยคุ้นไม่…” แต่แล้วมันก็เป็นท่านอสุราเองนั่นหล่ะที่กล่าวขึ้น ดูเช่นชาจอกใหญ่ในมือพี่นี้สิ เริ่มเดิมทีหาใช่จักมีขนาดมโหฬารเช่นนี้ไม่ ซ้ำยังมิอุ่นร้อน แต่กลับเย็กเฉียบจนดูจืดชืด

    คำพูดราวกับต้องการจะบอกความรู้สึกและความคิดที่มีต่อยุคสมัยปัจจุบันของท่านอสุรา ทำฉันอดที่จะเหลือบมองเขาอีกครั้งไม่ได้ และเหมือนเดิม เขายังคงเพ่งพินิจพิจาณาแก้วชานมในมืออยู่แบบนั้นราวกับแก้วชานมไข่มุกทั่วๆ ไปคือสิ่งวิเศษวิโส

    ถ้าท่านไม่ลองทาน แล้วท่านจะรู้ได้ยังไงล่ะเจ้าคะ ว่ารสชาติของชาในเมืองมนุษย์เป็นยังไง ? ท่านอสุราไม่ตอบแต่เลือกที่จะปรายตามองมาที่หน้าฉันแบบตรงๆ เขาไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกที่บ่งบอกถึงการอยากลองชิมชานมในมือเลยแม้แต่นิด แต่มันก็อย่างที่ฉันบอกนั่นหล่ะ ถ้าไม่ลองก็คงไม่รู้จริงไหม?

    ลองดูดสักปื๊ดสิเจ้าคะ จะได้เอาไปบอกเล่าต่อๆ กันว่า ชาในเมืองมนุษย์รสชาติอร่อยแค่ไหน ?

    คราวนี้พอถูกคะยั้นคะยอหนักขึ้น ท่านอสุราก็เกิดอาการลังเลให้ได้เห็น เขาหลุบตามองแก้วชานมในมือตนเองสลับกับหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ยอมยกแก้วในมือขึ้นสูงระดับริมฝีปากในที่สุด

    แต่ใช่ว่าทำแล้ว เขาจะเริ่มกินมันตามเสียงเร่งเร้าเสียที่ไหน เพราะสิ่งที่ยักษ์หนุ่มต่างภพทำคือการปรายตามองท่าทีฉันอยู่ตลอดเวลา และในตอนที่ฉันยกแก้วชานมขึ้นดูดเป็นหนที่สองนั่นแหละ เขาถึงได้ยอมที่จะคาบปากลงบนปลายหลอดแล้วดูดเครื่องดื่มที่ตนเองกล่าวหาว่าแปลกประหลาดเข้าปาก

    ทว่า แป๊บเดียวเท่านั้นท่านอสุราก็สำลักออกมา ซ้ำยังโวยวาย สีหน้าเหยเก

    มะ เม็ดแค่กๆ  เม็ดสีนิลเหล่านี้ติดคอพี่!”

    คะ ใครใช้ให้ท่านกลืนไข่มุกลงคอแบบนั้นล่ะเจ้าคะ!?” ฉันย้อน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ที่จะห่วงอาการที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นไม่ได้อยู่ดี ท่านต้องเคี้ยวก่อนเจ้าค่ะ มันจะหนึบๆ แล้วก็มีรสหวาน

    อีกหนที่คนฟังตัดสินใจดูดชาเข้าปากอีกครั้ง หากแต่ในหนนี้สังเกตได้ว่าปากของเขากำลังขยับ คล้ายกับกำลังทำตามสิ่งที่เพิ่งถูกบอกอย่างไรก็อย่างนั้น เมื่อเห็นสีหน้าและอาการที่เขาแสดงผ่านใบหน้าไปในทางที่ดีขึ้น ฉันจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถามอีกครั้ง

    เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ ถูกปากท่านบ้างไหม ? ท่านอสุราส่ายหน้าน้อยๆ หลังถูกถาม แม้ว่าเขาไม่ได้ตอบออกมาด้วยคำพูด แต่เพียงแค่การส่ายหน้าปฏิเสธกับสีหน้าที่คล้ายกับครุ่นคิดอะไรตลอดเวลาเคี้ยวเม็ดไข่มุกในปาก เท่านั้นมันก็มากพอแล้วล่ะสำหรับคำตอบที่ฉันต้องการ

    ทั้งที่คำตอบออกมาเป็นคำว่าไม่แท้ๆ แต่ฉันกลับหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ไหว

    แม่ทับทิมหัวร่อสิ่งใดรึ ?และแน่นอนว่าคนที่ทำตัวไม่ถูกกับยุคสมัยที่กำลังเป็นนั้น ก็รีบถามแทรกขึ้นโดยทันที

    หัวเราะท่านยังไงล่ะเจ้าคะ มันก็แค่ชาไข่มุกเอง แต่ทำไมท่านถึงได้ดูลำบากกับการกินขนาดนี้ก็ไม่รู้

    พี่ดูน่าหัวร่อมากถึงเพียงนั้นเลยรึ แม่ทับทิม?ในหนนี้ฉันส่ายนิดๆ แทนคำตอบ และยอมหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองลง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะให้คำตอบกลับไป

    ไม่หรอกเจ้าค่ะ แต่น่าเอ็นดูมากกว่า

    นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มทานชานมเข้าไป สังเกตได้ว่าท่านอสุรามักแสดงอาการประหม่าให้ได้เห็น ไม่ว่าจะผ่านสีหน้าหรือแววตา ล้วนแล้วแต่บอกได้เป็นอย่างดี ยักษ์หนุ่มตนนี้ค่อนข้างเกร็งและดูไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมรอบข้างนัก

    เรื่องที่ท่านไม่ชินกับยุคสมัยของที่นี่น่ะ มันไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะ ฉันเข้าใจ…” พอรู้สึกแบบนี้ ฉันจึงพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของตัวเองออกไปบ้าง แต่ที่แปลกน่ะก็คงเพราะ ทั้งที่ท่านไม่ชินแล้วทำไมถึงยังปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่น แล้วทำเรื่องแบบนั้นต่างหาก

    จนถึงตอนนี้ เรื่องที่เขาปรากฏตัวในสภาพสวมใส่ชุดเครื่องยักษ์ต่อหน้าคนอื่น นั้นยังทำให้ฉันรู้สึกตกใจไม่หาย แต่พอคิดมาคิดไป สำหรับท่านอสุราแล้วมันคงไม่แปลกอะไร หากจะใช้อิทธิฤทธิ์ที่ตนเองมีในการทำเรื่องเหล่านี้

    ฉันไม่ชินกับการใช้อิทธิฤทธิ์ของเขาที่มีตั้งแต่ยุคสมัยอื่น ขณะที่เขาไม่ชินกับการกินชานมไข่มุกของเมืองมนุษย์

    พูดง่ายๆ เราสองคนก็คงเจ๊ากันล่ะมั้ง

    เหตุเพราะพี่หมายจักช่วยแม่ทับทิม ทำการงานให้สำเร็จลุล่วงโดยพลันเพียงเท่านั้น จึงกระทำการไปโดยมิทันได้บอกกล่าว…” แต่แล้วในช่วงที่บทสนทนาระหว่างขาดช่วงลง มันก็เป็นท่านอสุรานั่นแหละที่กล่าวขึ้นเพื่อต่อยอดบทสนทนาของเราให้ดำเนินต่อไป มิหนำซ้ำน้ำเสียงของเขายังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด เช่นนี้แล้ว แม่ทับทิมยังมั่นหมายจักชกพี่อีกหรือไม่ ?

    โดยเฉพาะกับคำกล่าวอ้างที่ฉันเคยพูดขู่ไว้เมื่อวาน

    จะบ้าเหรอท่าน ฉันก็แค่ขู่ไปอย่างงั้นเอง ใครจะไปกล้าชกท่านล่ะเอาเข้าจริง ฉันก็เคยชกเขาไปแล้วหนหนึ่งเหมือนกันนะ

    เหตุใดจึงหวั่นเกรงด้วยเล่า ในเมื่อพี่อนุญาตแม่ทับทิมให้ยกตนเทียบเคียงเสมอพี่

    ก็แหมท่านเป็นถึงน้องชายยักษ์เจ้าเมืองไม่ใช่หรือเจ้าคะ ฉันก็ต้องหวั่นเกรงเป็นธรรมดาน่ะสิ ?ทว่า คราวนี้ทันทีที่พูดจบ ท่านอสุรากลับนิ่งไป ซ้ำยังไม่เอ่ยวลีใดตอบโต้ให้ได้ต่อปากต่อคำด้วยเหมือนทุกที

    เขาเอาแต่มองหน้าฉัน และจ้องอยู่แบบนั้น สัมผัสได้ว่าสายตาที่ท่านอสุราใช้มองมาเวลานี้เต็มไปด้วยหลายๆ ความรู้สึก แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เขาก็พึมพำบางอย่างขึ้นมา

    บางอย่างซึ่งฟังเหมือนกับเป็นชื่อเรียก

    “แม่จันทน์ผา…”

    Talk1 เอ๊ะยังไงกันน้าาาาาาาาาาาา

    Talk2 ทำไมอยู่ๆ เหมือนจะกลายเป็นนิยายตลกไปได้ล่ะท่าน 5555555

    Talk3 จันทร์ผาคือใครน้อออออ

    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

    ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T

       
    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า

       

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×