ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #10 : กลรักอสุรา l บทที่๐๙ ตอน เล่าความ {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.57K
      122
      3 ม.ค. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *




    บทที่๐๙
    ตอน เล่าความ


    ทว่า สัมผัสอ่อนโยนและน้ำเสียงอบอุ่นที่ท่านอสุราใช้กึ่งบังคับร่างกายให้ขยับเคลื่อนไหวตามจากจังการร่ายรำที่ท่านเป็นผู้กำหนด ก็ไม่อาจคงอยู่ได้นานเทียบเท่าความรู้สึก เมื่อเสียงแว่วหวานคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังแทรกสถานการณ์ระหว่างเราขึ้นมาเสียก่อน

    ทับทิม…” 

    กระนั้นแล้ว เสียงดังกล่าวก็ไม่อาจทำให้ท่านอสุราหยุดการเคลื่อนไหวของตนลงเลย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขากำลังขยับกายประสานมือทั้งสองข้างทาบไขว้กันระดับฐานไหล่ บอกความรู้สึกตนเองผ่านการร่ายรำ ก่อนที่ภาพของเขาจะค่อยๆ เลือนรางจางลงจนเหลือเพียงความมืดอันเงียบสงัด

    แต่ความมืดที่โอบล้อมกายก็ใช่จะอยู่ทนนานเสียที่ไหน

    ทับทิม !” เพราะทันทีที่เสียงเรียกของหญิงสาวคนเดิมดังขึ้น ร่างทั้งที่เคยตกอยู่ในสภาวะของผู้หลงทิศท่ามกลางความมืด ก็ถูกเสียงดังกล่าวฉุดกระชากกลับคืนสู่ความเป็นจริงอีกครั้งแบบไม่ทันให้เตรียมเนื้อเตรียมใจ

    ฟึ่บ!

    “เฮือก !” ตาทั้งสองข้างเบิกขึ้นด้วยอาการไม่ต่างจากการสะดุ้งตื่นจากห้วงความฝันในอาการหอบเหนื่อยคล้ายกับคนเพลียแรง 

    สิ่งที่รอคอยอยู่ตรงหน้าคือภาพของสวนไม้ภายในบ้านทรงไทยที่ฉันพลัดหลงเข้ามาในตอนแรก ทว่า ที่ต่างออกไปก็คือ เบื้องหน้ากลับไม่ได้ปรากฏร่างของท่านอสุราให้ได้พบเห็นเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว แต่กลับเป็นร่างสูงระดับๆ พอกันอย่างคุณกรองขวัญเข้ามาแทนที่

    ปะ เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะทับทิม…”

    คำถามของคุณกรองขวัญซึ่งฟังดูไม่เต็มเสียงนัก ทำเอาฉันที่เวลานี้มีสติสตังไม่ต่างจากคนเพิ่งตื่นนอนนัก รีบหลุบตาสำรวจสภาพร่างกายตัวเองโดยทันที ก่อนพบว่า อีกสิ่งที่ยังเหลืออยู่ และตอกย้ำว่าทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝัน เห็นทีคงเป็นมือของฉันเอง ซึ่งข้างหนึ่งยังแตะค้างไว้ที่แก้มในท่าเอียงอาย ขณะที่อีกข้างยังคงจับจีบยื่นส่งไปข้างหลังนั่นหล่ะ

     “ปะ เปล่าค่ะคุณกรองขวัญ ฉันไม่ได้เป็นอะไร…” เมื่อตั้งสติได้ ฉันก็รีบให้คำตอบตอบผู้ถามทันที พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะรีบลดมือทั้งสองข้างของตัวเองลงเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกมองอย่างความสงสัยของอีกฝ่ายไปด้วย

    หากแต่การคำตอบซึ่งขัดการกระทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถตบตาผู้มองเห็นได้แนบเนียนนัก คุณกรองขวัญแสดงสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยหลังได้รับคำตอบ ไม่บอกก็รู้ว่าลึกๆ เธอเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง  ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังยิ้ม และกล่าวขึ้น

    ถ้าทับทิมไม่ได้เป็นอะไร ก็ดีแล้วหล่ะจ่ะ พอดีว่าที่กองวุ่นวายเรื่องอาถรรพ์ท้าวอสุเรนทร์กันนิดหน่อยน่ะ เจ๊เลยกลัวว่าทับทิมจะเป็นอะไรไปอีกคน…”

    อ้อฉันไม่ได้...อะ” ทว่า จังหวะที่กำลังจะยืนการเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วงอยู่นั้นเอง จู่ๆ คุณกรองขวัญก็เอ่ยแทรกขึ้น

    ฟึ่บ...

    จะว่าไปแล้ว…” พลางเอื้อมมาจับมือฉันเอาไว้ สังเกตได้ว่านัยน์ตาคู่สวยของเธอนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับสีหน้าฉันเวลาพูดเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบเท่ากับมือที่หล่อนกำลังจับกุมไว้ ทั้งปากยังขยับ ทับทิมก็รำเป็นเหมือนกันหรือจ๊ะเนี่ย…” 

    ฉันสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อช่วงเวลาเดียวกัน นัยน์ตาคู่สวยของคุณกรองขวัญเลื่อนขึ้นสบตาอีกครั้งแบบไม่ทันให้เตรียมตัว โดยเฉพาะกับคำชม

    “รำส๊วยสวย...ทั้งที่มือยังแข็งอยู่เลยแท้ๆ

    ระ รำสวยหรือคะ?” ฉันย้อนอย่างคนไม่รู้จะพูดอะไร

    จ๊ะตอนเจ๊เห็นทับทิมรำอยู่หน้าต้นไม้ เจ๊ตกใจแทบแย่ นึกว่าจะเป็นอะไรไปอีกคนแล้วเสียอีก…” มิหนำซ้ำยังบอกเล่าเรื่องน่าตกใจให้ได้รับรู้ เจ๊น่ะยืนเรียกทับทิมอยู่ตั้งนาน ทับทิมไม่ได้ยินเลยหรือจ๊ะ ?

    เรียกตั้งนานงั้นเหรอ

    ทั้งที่คำพูดประโยคดังกล่าวฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ ทว่า ผู้ถูกถามก็ใช่จะมีโอกาสได้เอ่ยตอบเสียที่ไหน

    รู้หรือเปล่า ว่าตอนเจ๊เห็นทับทิมรำที่หน้าต้นไม้แบบนี้ เจ๊นึกถึงอะไร ?” เพราะมันดันเป็นอีกครั้งที่คุณกรองขวัญกล่าวขึ้นเองแบบไม่ได้คิดจะรอฟังอะไร 

    แต่ในหนนี้พอถามจบ คุณตัวสูงระดับๆ พอๆ กันก็เลือกที่จะเงียบลง โดยใช้เพียงสายตาเท่านั้นในการกวาดมองสำรวจไปทั่วใบหน้า เมื่อสบโอกาส ฉันจึงไม่รอช้าที่จะย้อนถามกลับไปตามมารยาท

    “คุณกรองขวัญนึกถึงอะไรเหรอคะ ?” และเป็นอย่างที่คิด ทันทีที่ถามจบคุณกรองขวัญก็เอ่ยคำตอบกลับมาอย่างทันควัน คล้ายกับรอคอยที่จะพูดมาตั้งแต่ต้น

    เจ๊นึกถึงแม่หญิงนิมมานรดีขณะร่ายรำหน้าต้นไทรหลวงภายในวังน่ะจ่ะ

    แม่หญิงนิมมานรดีงั้นเหรอ

    แต่ก็นะ ใครๆ ก็อยากเป็นแม่หญิงนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรากันทั้งนั้นนั่นหล่ะ ในเมื่อผู้ชายดีๆ ที่รักจริงแบบเขามันไม่สามารถหาได้ในโลกความจริงบ่อยๆ นี่เนอะ…” ซ้ำร้ายคำพูดยืดยาวของคุณกรองขวัญยังทำให้คนฟังรู้สึกคอแห้งผากอย่างไร้เหตุผล แม้ว่าเธอจะยอมปล่อยมือฉันกลับคืนสู่อิสระแล้วก็ตาม ขนาดเจ๊เองยังรู้สึกอยากเป็นแม่นิมมานรดีดูสักครั้งบ้างเลย

    อะไรกัน ความรู้สึกแปลกๆ ที่เหมือนกำลังถูกว่าแบบนี้น่ะ

    ลำพังแค่เพียงคำพูดของคุณกรองขวัญมันก็มากพอแล้วที่จะทำให้คนฟังอย่างรู้สึกแปลกในอก แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้เลย เมื่อหญิงสาวตัวสูงระดับพอๆ กันเริ่มก้าวเท้าถอยหลัง ขยับแขนและมือเคลื่อนไหวในท่าร่ายรำเดียวกับที่ฉันเคยทำ แล้วกล่าวถามขึ้น

    แล้วทับทิมว่า อย่างเจ๊เนี่ย รำสวยพอจะเป็นแม่หญิงนิมมานรดีได้หรือเปล่า ? เหมือนเคยฉันไม่ตอบ แต่ยังคงมองดูทีท่าของอีกฝ่ายขณะร่ายรำอย่างอ่อนช้อยและงดงามราวกับผ่านร่ำเรียนมา และทำอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเธอหยุดการร่ายรำลงด้วยตัวเอง

    ต่อให้จะรู้สึกแปลกกับสิ่งที่ได้ฟัง แต่ลึกๆ ก็อดชื่นชมไม่ได้ ว่านอกจากคุณกรองขวัญจะมีความสามารถทางเรื่องเส้นสายวงการบันเทิงแล้ว เธอยังมีความสามารถพิเศษในเรื่องนาฏศิลป์แบบนี้อีกด้วย โดยเฉพาะกับท่าร่ายรำที่ดำเนินด้วยท่วงท่าเดียวกับที่อสุราพยายามจับกายฉันให้ขยับเคลื่อนไหว

    เพราะเขาว่ากันว่า… ดอกสร้อยทอง มีกลิ่นหอมแบบเดียวกับกลิ่นกายของนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรายังไงล่ะจ๊ะ ไหนจะคำพูดแปลกๆ ที่หาข้อมูลจากตำราเล่มไหนไม่ได้ ซึ่งดันสอดคล้องกับคำพูดของท่านอสุรานั่นอีก

    แต่ก่อนที่ความคิดและความสงสัยทั้งหมดจะผลักดันให้ปากขยับถามหรือพูดอะไร ช่วงเวลาเดียวกันนั้นกลับมีเสียงโหวกเหวกโวยวายของกลุ่มคนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    คุณกรองขวัญคะ แย่แล้ว!”

    เสียงซึ่งฟังดูร้อนรน ทำความสนใจของฉันและคุณกรองขวัญที่เคยมีต่อกันถูกขัดคั่น จนต้องเบนทิศทางไปยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน จนได้พบเข้ากับเหล่าทีมงานคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่นและตกใจ

    มีอะไร ทำไมดูรีบร้อนขนาดนั้นล่ะจ๊ะ ?

    ยะ แย่แล้วค่ะ คุณเมรีน่ะค่ะ คุณเมรีล้มที่หน้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้น็อคหมดสติไปแล้วค่ะ!


    วันเดียวกัน...

    เวลา ๑๘.๑๕ นาฬิกา

    (นี่คงเป็นอีกข่าวที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับทางฝั่งโลกโซเชียลได้ไม่แพ้กับเหตุการณ์ในวันบวงสรวงเปิดกล้องละครล่มเลยนะคะ เมื่ออยู่ๆ นางเอกสาวดันเป็นลมล้มพับไปกลางกองถ่ายละครถึงขั้นไม่ได้สติเชียวเลยนะคะคุณพี่)

    (ตายแล้ว คุณน้อง! หรือว่านี่จะเป็นอาถรรพ์ตามอย่างที่คนในโซเชียลว่าไว้กันจริงคะ ?) นับตั้งแต่ที่ทีมงานวิ่งเข้ามาบอกข่าวร้ายของเมรีให้กับคุณกรองขวัญและฉันได้รู้ สถานการณ์ภายในกองถ่ายที่เคยวุ่นวายอยู่แล้ว กลับยิ่งโกลาหลมากเข้าไปใหญ่ ส่วนเหตุผลก็ตามอย่างที่สองนักข่าวสายบันเทิงกำลังรายงานนั่นหล่ะ

    เมรีเพื่อนฉัน ดันเป็นลมล้มพับลงไปและยังไม่ได้สติจนถึงตอนนี้

    แม้ว่าฉันกับดาราสาวที่ตกเป็นข่าว จะมีสถานะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ถึงอย่างนั้นการเข้าเยี่ยมเพื่อนในแบบที่เพื่อนควรจะทำนั้น ก็ใช่จะเป็นเรื่องง่ายที่ไหน โดยเฉพาะกับวันนี้ วันที่เมรีถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลครั้งแรก คาดว่าคงจะมีบรรดานักข่าวจากหลายๆ สื่อสำนักอัดแน่นเพื่อรอทำข่าวของเธออยู่ๆ 

    เพราะคิดแบบนี้ ที่ฉันทำได้นอกจากช่วยคุณกรองขวัญพาเมรีขึ้นรถเพื่อพาส่งโรงพยาบาลแล้ว ก็คงมีเพียงแค่นั่งตามข่าวของเธอผ่านจอแก้วแบบนี้เท่านั้น

     (ฮึ้ยคุณพี่ก็! อาถงอาถรรพ์อะไรกันคะ น้องกลัวนะคะเนี่ยแต่ก่อนที่คุณพี่จะทำให้น้องและคุณผู้ชมรู้สึกกลัวกันไปกว่านี้ เราไปฟังเสียงสัมภาษณ์จากคุณกรองขวัญผู้จัดการส่วนตัวของน้องเมรีกันก่อนดีกว่าค่ะ)

    ตลอดเวลาที่นั่งฟังรับคราวของเพื่อนสนิท ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันรู้สึกเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเวลานี้เป็นอย่างมาก ยิ่งก่อนหน้านี้ ยัยเพื่อนสาวตัวดีเพิ่งพูดเรื่องแปลกๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่บอกเล่าในตำนาน อีกทั้งยังใกล้เคียงกับสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญด้วยแล้ว มันก็พานให้ยิ่งเป็นห่วงเธอมากเข้าไปใหญ่

    (ตอนนี้ขวัญคงให้สัมภาษณ์เรื่องอาการของเมรีได้นะคะฮึก..

    คาดว่าคงไม่ใช่ฉันเท่านั้นที่เป็นห่วงเมรี โดยเฉพาะกับเสียงสัมภาษณ์ของคุณกรองขวัญที่ดังลอดผ่านลำโพงโทรทัศน์ที่ฟังดูเศร้าสร้อย เธอดูเป็นห่วงและกังวลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมรีเอาเสียมากๆ 

    (ก่อนหน้าที่น้องเมจะเป็นลมล้มพับไป เรายังคุยเล่นกันอยู่ในห้องแต่งตัวอยู่เลยค่ะ ฮึกมะ ไม่คิดเลยว่า หลังจากที่ขวัญแยกจากน้องไปคุยธุระ แล้วน้องจะเป็นแบบนี้)

    ธุระงั้นเหรอ... 

    แปลว่าการที่เธอเข้ามาเจอฉันในสวนวันนี้ เป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นสินะ

     “เฮ้อ…” ความกังวลและเป็นห่วงถูกพ่นทิ้งผ่านลมหายใจเป็นหนที่ร้อยของวัน ยิ่งได้ฟังข่าวของเพื่อนรักที่มีอาการไม่สู้ดีแบบนี้เท่าไหร่ มันก็พานให้รู้สึกกินข้าวไม่ลงมันเสียดื้อๆ นอกจากต้องมานั่งคิดเป็นหวงอาการของเธอแล้ว ในหัวก็ยังมีอะไรต่ออะไรไม่รู้ ลอยวนเวียนให้คิดอยู่เต็มไปหมด

    เริ่มจากเรื่องแปลกๆ ที่เมรีพูดขึ้นที่ใต้ถุนบ้านก่อนจะเกิดเรื่องจนกลายเป็นข่าวตอนนี้ หรือแม้แต่เรื่องคำพูดแปลกๆ ของคุณกรองขวัญ ที่มักเกิดเป็นคำถามให้ต้องขบคิด หาที่มาที่ไปได้เสียทุกครั้งที่มีโอกาสพูดคุย โดยเฉพาะกับท่าร่ายรำของเธอ ที่ตอนนี้ยังติดตรึงอยู่ในหัวแบบไม่รู้ลืม

    จนถึงตอนนี้ ฉันยังรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของเธออยู่เลย

    พอความคิดมาหยุดลงที่คำถามนี้ สายตาก็พลันเหลือบมองไปยังปูนปั้นยักษ์ขนาดเล็กบนมุมชั้นวางหนังสือแบบอัตโนมัติ เพียงแค่ได้เห็นรูปปั้นของท่านอสุราเท่านั้น จังหวะการเต้นของหัวใจที่เคยเป็นปกติก็เริ่มแปลกไป จนเหมือนเสียการควบคุมไปชั่วขณะ

    ทะ ท่านอสุราเจ้าคะ…” เช่นเดียวกับปากที่เผลอขยับเรียกหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่อาจบังคับ อยู่ที่นี่หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    สิ้นเสียงการเรียกขานเสมือนคนบ้าพูดกับอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็บังเกิดเรื่องอัศจรรย์ให้ได้เห็นอีกครั้ง เมื่อที่หน้าชั้นหนังสือปรากฏร่างสูงใหญ่ของผู้ถูกเรียกขณะเดินก้าวเท้าแทรกผ่านอากาศเดินออกมา ราวกับว่าเจ้าตัว กำลังรอการเรียกหาอย่างไรอย่างนั้น

    ขณะเดียวกันการมาของเขาก็เหมือนเป็นการให้คำตอบในสิ่งที่ฉันเพิ่งถามด้วยเช่นกัน

    เมื่อสถานการณ์ลงเอยแบบนั้น ฉันจึงไม่รอช้า รีบดีดตัวลุกออกจากโซฟาลงไปนั่งพับเพียบบนพื้นบ้านทันทีด้วยทีท่าสำรวมตามมารยาทที่ควรทำ พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะพนมมือขึ้นกลางอกเพื่อไถ่ถาม

    ฉันรบกวนท่านหรือเปล่าเจ้าคะ ?” ถามจบ ผู้ถูกถามก็เริ่มขยับยิ้ม พร้อมกันนั้นก็เดินก้าวเข้ามาหา อีกทั้งยังกล่าวขึ้นเมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดลงตรงหน้าโดยทิ้งระยะระหว่างเราไว้นิดหน่อย

    ไยแม่ทับทิมจึงคิดว่าเป็นการรบกวนพี่เล่า ในเมื่อพี่นั้นเต็มใจและหมายพบเจอเจ้า ตั้งแต่เริ่มเดิมที…”

    แม้ว่าการมาของเขา จะไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกกหวาดหวั่นได้อย่างครั้งแรกๆ ถึงอย่างนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่กล้าที่จะสบตากับเขาแม้จะมีโอกาสอยู่ดี ยิ่งด้วยเพิ่งผ่านเรื่องร่ายรำอะไรนั่นมาสดๆ ร้อนๆ ด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่กล้าสบตาเข้าไปใหญ่...

    วันนี้เมรีเพื่อนฉันป่วยเจ้าค่ะ…” ถึงจะไม่กล้าสบตา แต่ไม่ใช่กับปากซึ่งยังใช้งานได้เป็นปกติ ฉันถามท่านได้หรือเปล่าเจ้าคะ ว่ามันเกี่ยวข้องกับการมาของท่านด้วยหรือเปล่า ?

    ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดตอบกลับมา ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรับรู้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ขณะที่เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาได้อยู่ดี ซึ่งการที่ท่านอสุราไม่ยอมให้คำตอบอะไรกลับมาเลยนั้น ชั่ววูบหนึ่งมันก็อดไม่ไหวที่แอบชำเลืองลอบมองทีท่าอีกฝ่าย ก่อนต้องตกใจ เมื่อพบว่าผู้ซึ่งถูกลอบมองนั้น กำลังจับจ้องสายตามองมา ซึ่งดูท่าว่า เขาน่าจะมองแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายเสียด้วย

    แต่ก่อนที่บทสนทนาระหว่างเราจะเงียบลงไป ยักษ์หนุ่มซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ทุกช่วงเวลา จึงแทรกเสียงถามขึ้นแกมดุ

    เหตุใดแม่ทับทิมจึงเป็นห่วงสหายนางนั้นถึงเพียงนี้เล่า ถึงได้เอ่ยถ้อยถามพี่หาได้รู้จักจบสิ้น” เขาทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว เหมือนตอนที่อยู่ในสวนไม่มีผิด

    ก็เมรีเป็นเพื่อนฉันนี่เจ้าคะ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นด้วยกัน เรียนด้วยกัน ถ้าไม่ให้ฉันเป็นห่วงเธอแล้วฉันจะไปห่วงใครแน่นอนว่าฉันเองก็ให้คำตอบเขากลับไปด้วยความสัตย์จริงไม่อ้อมค้อมเหมือนครั้งแรกที่พยายามหาคำตอบจากเขานั่นหล่ะ 

    แต่ใครจะคิดว่าสิ่งที่ยินจากปากท่านอสุราหลังจากนั้น จะฟังดูดุดันกว่าปกติ ซ้ำยังออกมาในรูปแบบนี้

    ห่วงใยแม้นว่าในภพชาติอดีต แม่ทับทิมจักเคยถูกสหายตนนี้เข่นฆ่าจนชีวาวายงั้นรึ ?

    “…” ตอนได้ยินคำถามน่ะ ฉันก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ว่าทำไมท่านอสุราถึงพูดแบบนั้น แต่พอหัวนึกถึงคำพูดของเมรีที่บ้านทรงไทยวันนี้ขึ้นมาได้

    ก็เรื่องผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันเห็นไง เขาปรากฏตัวตรงหน้าฉันอย่างไร้ที่มา และหายตัวไปราวกับใช้เวทมนต์ ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นเขามาแล้วรอบหนึ่งที่วัดก่อนงานบวงสรวงจะเริ่ม ชายคนนั้นเรียกฉันด้วยชื่อยักษ์มารในตำนานของท้าวอสุเรนทร์ 

    บวกรวมกับคำพูดและเสียงของท่านอสุราเมื่อตอนอยู่ในสวนบ้านทรงไทยที่ฟังดูโกรธจัดและคล้ายกับไม่อยากพูดถึง

    มันเป็นเรื่องของกงเกวียนกำเกวียนผู้อื่น หาใช่เรื่องที่แม่ทับทิมต้องรู้ไม่ กรรมใด ผู้นั้นพึงรับผิดฉะนั้นแล้ว จงปล่อยให้วงล้อวิบากหมุนเวียนตามหน้าที่ของมันเถิด 

    มันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะจับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้จนเกิดเป็นคำถามคาใจ ผูกโยงเข้ากับพงศาวดารที่ได้อ่านผ่านตาอยู่บ่อยๆ ซึ่งในพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่เคยอ่านนั้น ได้เขียนบอกเล่าไว้ว่า ก่อนที่ท้าวอสุเรนทร์จะปราบยักษ์มารได้สำเร็จนั้น คนรักของท่านอสุราได้ถูกยักษ์มารฆ่าตัดคอจนมีอันต้องพลัดพรากจากคนรักไปก่อนจะทันได้บอกลา

    ยิ่งด้วยก่อนหน้านี้ท่านอสุรายอมรับว่า ตนเองได้ติดตามพี่ชาย (ท้าวอสุเรนทร์) ลงมาที่เมืองมนุษย์ มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า หากสิ่งที่เมรีกำลังประสบพบเจอ จนสามารถเล่าเรื่องที่ตนเองไม่เคยอ่านหรือศึกษามาก่อนได้อย่างฉะฉานนั้น จะเป็นผลมาจากการสาปส่งของท้าวอสุเรนทร์ในภพชาติก่อน

    และถ้าเป็นแบบที่ฉันกำลังคิดจริงๆ หากท่านอสุราจะมีทีท่าโกรธเกรี้ยวและพูดถึงเรื่องเมรีด้วยน้ำเสียงแค้นอกแค้นใจแบบนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยิ่งด้วยเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่า ฉันคือแม่หญิงนิมมานรดี ทุกอย่างก็คล้ายกับจะยิ่งลงล็อกเข้าไปใหญ่

    ถึงจะเชื่อมโยงออกมาได้แบบนั้นก็เถอะ แต่คิดจะโผงผางถามตรงๆ มันก็ดูจะเสียมารยาทไปหน่อย งั้นลองแกล้งพูดอ้อมๆ ดูเสียหน่อยก็แล้วกัน

    อดีตก็คืออดีตนะเจ้าคะ ยิ่งเป็นอดีตที่ไม่สามารถนึกถึงหรือจดจำได้ด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่มีเหตุผลที่ต้องโกรธอะไรเลย ในเมื่อฉันจำเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้ ต่อให้เพื่อนฉันคนนี้ ในอดีตจะเคยเข่นฆ่ากันมาก่อน ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเธออยู่ดีเจ้าค่ะ…” 

    ตลอดที่ปากขยับถาม สายตาก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน จับทุกอิริยาบถบนดวงหน้าคมคายเพื่อดูปฏิกิริยาไปด้วย

    อีกอย่างตอนนี้คนบนฟ้าก็ลิขิตให้เราสองคนเกิดมาเป็นเพื่อนกัน คอยดูและช่วยเหลือกันยามมีเรื่องเดือดร้อน เป็นแบบนี้แล้ว หากเป็นท่าน ท่านยังจะรู้สึกโกรธลงอีกหรือเจ้าคะ ?

    สิ้นเสียง สังเกตได้ว่าบนหน้าคมคายเริ่มเปลี่ยนสี จากที่เคยเขม้นมองอย่างดุดันด้วยอารมณ์โกรธ ค่อยๆ เจือจางลงอย่างเห็นได้ชัด และเพียงไม่นาน รอยยิ้มคุ้นเคยที่เลือนหายไปก็ผุดขึ้นบนหน้าเขาอีกครั้งในที่สุด

    แม้เพลาจะเคลื่อนผ่านเป็นพันเป็นหมื่นชั่วยาม หากแต่จิตใจที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนของเจ้า หาได้เปลี่ยนผันตาม…” นอกจากจะยิ้มแล้ว ท่านอสุรายังออกปากชมอย่างพึงพอใจ แม้นว่าทุกวลีที่ได้รับนั้นจะไม่มีตรงไหนเกี่ยวข้องกับคำถามแรกของฉันเลยก็ตาม 

    อย่างไรเสีย มันก็มากพอแล้วที่จะบอกให้รู้ว่า บางสิ่งที่ฉันคิดไว้ในหัวนั้น น่าจะมีส่นของมูลความจริงปะปนอยู่ แถมยังเป็นที่น่าเหลือเชื่ออย่างสุดๆ

    เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี ในหนนี้ เมื่อสบโอกาสฉันจึงไม่รอช้าที่จะถามออกไปตรงๆ

    เหตุผลที่เมรีเพื่อนฉันต้องเป็นแบบนี้ เป็นเพราะฝีมือของท่านท้าวอสุเรนทร์พี่ชายของท่านใช่ไหมเจ้าคะ ?

    ครู่หนึ่งที่คนถูกถามนิ่งไป แต่ก้นั้น สุดท้ายเขาก็ยินยอมให้คำตอบอยู่ดี ด้วยโทนเสียงเดิม

    หากแม่ทับทิมจะกล่าวความเช่นนั้น มันก็ใช่…”

    นี่มันเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ หรือเนี่ย !?

    หากแต่ประสงค์ของพี่ชายคู่บุญนั้น หาใช่กงการใดของพี่หรือแม่ทับทิมไม่ กระนั้นแล้วจงปล่อยให้เวรกรรมหมุนเวียนตามวงวิบากของมันเถิด จงอย่าได้เป็นกังวล…” ท่านอสุรากล่าวเสริม ก่อนที่บทสนทนาระหว่างเราจะขาดช่วงลง แต่ก็ใช่บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้จะเงียบสนิทจนวังเวงเสียที่ไหน เมื่อโทรทัศน์ซึ่งยังเปิดช่องข่าวบันเทิงทิ้งไว้ยังคงส่งเสียงดังอยู่

    (ตายแล้วค่ะคุณพี่! พักชมโฆษณาแป๊บเดียวเท่านั้น ตอนนี้มีสายข่าวเพิ่งรายงานให้คุณน้องฟังสดๆ ร้อนเมื่อกี้เองนะคะ ว่าน้องเมรีตอนนี้เริ่มมีสติพูดคุยได้แล้วล่ะค่ะ) ซ้ำเสียงรายงานข่าวที่ดังแทรกเข้ามานั้น ก็ชวนให้สายตารีบตวัดมองไปยังจอแก้วได้แทบจะทันทีที่ได้ยินอีกด้วย

    (ตายแล้วคุณน้อง นี่มันปาฏิหาริย์หรืออะไรกันละคะเนี่ย !?)

    (ถ้าหากคุณพี่สงสัย ถ้างั้นเราตัดไปดูภาพสดกันดีกว่าค่ะ ป่ะ!…) จากที่เครียดมาครึ่งค่อนวัน ทันทีที่ภาพของสองนักข่าวมีกรอบสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นมุมขวา ฉายภาพเหตุการณ์วุ่นวายบริเวณโถงทางเดินหน้าพักพักฟื้นผู้ป่วย รอยยิ้มที่ช่วงนี้เคยหายไปก็ผุดขึ้นบนหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้ โดยเฉพาะเมื่อเสียงรายงานสดจากนักข่าวภาคสนามดังขึ้น

    (ตอนนี้ดิฉันอยู่ที่หน้าโถงทางเดินห้องพักผู้ป่วยที่คุณเมรีพักรักษาตัวอยู่นะคะ คุณหมอเจ้าของไข้ให้สัมภาษณ์กับทางเราเมื่อครู่ว่า สาเหตุของอาการเป็นลมล้มหมดสติของคุณเมรีในครั้งเกิดจากพักผ่อนร่างกายไม่เพียงพอค่ะ คาดว่าคุณเมรีน่าจะพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกสักคืนสองคืน จึงจะสามารถกลับบ้านและทำงานได้เป็นปกติค่ะ)

    หึๆ…” แต่แล้ว รอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความยินดีและหมดห่วงก็ไม่อาจอยู่บนหน้าได้นานนัก เมื่อช่วงเวลาเดียวกัน หูดันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบอกชอบใจของใครอีกคนดังแทรกขัดเสียงจากจอแก้ว พลอยให้ต้องเหลือบตามองไปยังเจ้าของเสียงหัวเราะพร้อมทั้งออกปากถาม

    ท่านหัวเราะอะไรเจ้าคะ ?

    พี่หัวร่อเจ้ายังไงเล่า แม่ทับทิม

    หัวเราะฉัน? ฉันมีอะไรน่าขำหรือเจ้าคะ ทำไมท่านต้องหัวเราะใส่ด้วยไม่ทราบ?” พอย้อนกลับไป เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจที่ยักษ์แสดงออกในตอนแรกจึงลดเบาเสียงลง จนหลงเหลือเพียงรอยยิ้มและแววตาบ่งบอกถึงความสุข

    หลายชั่วยามมาแล้วที่พี่มิได้มีโอกาสได้ยลมองดวงใจแย้มยิ้มเปี่ยมสุขเช่นนี้…” เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เขาใช้ เวลาพูดคุยนั่นหล่ะ นับแต่ได้พบ แม่ทับทิมหาได้เคยแย้มยิ้มเช่นยามนี้ให้พี่ยลไม่ ได้เห็นแล้วพี่จึงอดมิได้ ที่จักหัวร่อด้วยความเกษมเช่นนี้

    ก็แหม คนมันดีใจนี่ท่าน เพื่อนทั้งคนปลอดภัยทั้งที่จะให้ฉันนั่งร้องไห้หรือยังไงล่ะเจ้าคะ

    พี่หาได้หมายความเช่นนั้นไม่พี่เพียงขยายความเขาแย้ง

    ฉันก็ไม่ได้กล่าวหาท่านเหมือนกันเจ้าค่ะ ฉันเพียงแค่เปรียบเปรยว่าจบ คงฟังก็เลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับพินิจพิจารณาอะไร แม้ว่าเขาแสดงอากัปกิริยาบนหน้าให้เห็นเช่นนั้น แต่ฉันก็ยังรับรู้ได้ว่าความสุขที่ท่านอสุราพูดถึงน่ะ มันยังคงอยู่ แม้ว่าเขาจะเริ่มปริปากต่ว่า

    ยอกย้อนเก่งนัก…” หากแต่เป็นการต่อว่าระคนกับเสียงหัวเราะซึ่งมากล้นไปด้วยความสุขผ่านน้ำเสียง

    ได้เห็นท่านอสุราแย้มยิ้มแบบนี้ มันก็พานให้คนที่ได้เห็นอดไม่ได้ที่ยิ้มตามได้ไม่ยาก หากแต่การหลุดยิ้มเช่นนั้นกลับกลายเป็นเหมือนบ่วงรัดความรู้สึกที่เคยนิ่งงันให้ตื่นตัวขึ้น เมื่อท่านอสุราลั่นวาจาไถ่ถามขึ้นด้วยตัวเอง

    แย้มยิ้มได้เช่นนี้ หมายความว่าแม่ทับทิมสบายอกสบายใจขึ้นแล้วใช่หรือไม่…”

    เจ้าค่ะ ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลยที่เมรีไม่ได้เป็นอะไรมาก

    หากเช่นนั้น ยามนี้พี่จักขอเป็นเอ่ยถ้อยถามแม่ทับทิมบ้างได้หรือไม่ ?” 

    Talk1 ถ้าอ่านแล้วรู้สึกหมั่นไส้ตัวละครบางตัวขึ้นมา เราคือเพื่อนกัน 5555
    Talk2 เอาจริงๆ ท่านอสุราก็มีความดุนะ นิดเดียวอ่ะ จริงๆ 5555
    Talk3 ท่านจะขออะไรน้อออออ

    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

       
    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า

       

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×