ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #11 : Silently VIII::ใจไม่ร้ายทำไม่ลง...2 [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 56


    Silently VIII

    ใจไม่ร้ายทำไม่ลง...2

    Author: Wi Lyn



     




     

     

     

    ผมวิ่งวนไปมาในเส้นทางของเขาวงกตที่คดเคี้ยว มองซ้ายขวาสองข้างก็เจอแต่เส้นทาง ไม่เห็นจุดสิ้นสุด สมองประมวลผลคร่าวๆ เพื่อหาทางออกให้กับตัวเอง

     

    ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมองเห็นแสงสว่างจากทางเดินตรงหน้า ผมเดินตรงเข้าไปหาแสงสว่างนั้น ก่อนจะหลับตาลงเพราะแสงที่สว่างจ้าเกินไป บดบังทัศนียภาพและการมองเห็น

     

    รู้เพียงแค่มีมือคู่หนึ่ง ดึงผมออกจากเขาวงกตที่เดินหลงทางมาร่วมหลายชั่วโมง เหมือนหลุดออกจากการถูกพันธนาการ หน้าอกสองข้างยกตัวสูงขึ้นแสดงถึงการหายใจ

     

    ก่อนจะหอบหายใจอย่างแรง แล้วกอบโกยอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะไขว่คว้าเอาไว้ได้ แรงส่งจากมือของบุคคลปริศนาบีบอย่างแรงจนต้องเบ้หน้า

     

    น้ำเสียงอ่อนโยนที่ฟังยังไงก็ดูคุ้นเคย เหมือนเสียงของคนที่หัวใจเรียกหา เพราะภาพก่อนที่สติจะดับนั้น จิตที่เกือบจะหลุดจากร่าง สั่งให้ร้องเรียกชื่อของบุคคลที่เฝ้าคิดถึง

     

    “ชานยอล ชานยอล” เสียงที่พยายามเค้นออกจากลำคออย่างยากลำบาก แต่ยังอยากจะเรียกชื่อคนๆนั้น หวังว่าเมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาจะได้พบกับคนที่ใจเพรียกหาแม้ในความฝัน

     

    แรงบีบที่มือที่เคยมีในตอนแรก กลับค่อยๆคลายออกไป ก่อนจะหายไปในที่สุด ส่งผลให้ต้องฝืนลืมตามองโลกแห่งความเป็นจริง

     

    “เซฮุน...” เพราะไม่ใช่คนที่ตนร้องเรียก ความผิดหวังฉาบบนใบหน้าอย่างชัดเจน ทำเอาบุคคลที่ไม่ได้ชื่อชานยอลหน้าเสียโดยอัตโนมัติ

     

    “ชานยอลมันไปโทรตามแม่นายอยู่ เดี๋ยวมันก็มา” พอพูดจบประตูห้องก็ถูกร่างสูงเปิดออก ก่อนจะเดินมาหยุดข้างเตียงคนไข้

     

    ผมส่งยิ้มให้ชานยอลทันทีที่เห็นหน้า ความฝันที่เกิดขึ้นตอนหลับ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน พอเมื่อลืมตาตื่นมาพบว่าร่างสูงยังคงมีแววตาห่วงใย ก็ได้แต่ถอนหายใจ ว่าเรื่องที่ตนพบเจอนั้นเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น

     

     

    “ชานยอล ตอนลู่หลับ ลู่ฝันร้ายมากเลย แต่พอตื่นมาเจอชานยอล ลู่เลยรู้ว่าลู่คิดไปเอง” ผมพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ทั้งๆที่ยังคงเวียนหัว เพราะลุกขึ้นทั้งๆที่เพิ่งฟื้นตัว ส่งผลให้จู่ๆก็เกิดหน้ามืด

     

    แต่ก็ยังคงกัดฟันฝืนตัวเองเอาไว้ เพราะอยากจะคว้ามือของคนที่รักมากุมไว้ให้หายคิดถึง อยากให้ร่างสูงปลอบประโลมให้หายหวาดกลัวจากฝันร้ายที่พบเจอ

     

    แต่ร่างสูงกลับเดินถอยหลังออกห่าง ก่อนจะส่งสายตาผิดหวังที่ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็ยังคงย้ำเตือนความทรงจำแสนเลวร้ายที่ตัวเองเป็นคนก่อขึ้น

     

    ต่อให้เหยียบความลับเอาไว้จนมิด ตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้มันตายไปพร้อมๆกับร่างกายและวิญญาณ แต่สุดท้าย สิ่งชั่วช้าที่ทำเอาไว้กลับผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด ที่เด็ดทิ้งเท่าไรก็ไม่หมดเสียที

     

    ละครฉากใหญ่ที่มีตัวผมเองเป็นทั้งผู้กำกับ คนเขียนบท นักแสดงนำ ช่างกล้อง ช่างไฟ แต่ไร้ซึ่งคนดู...ละครหลอกตัวเอง หลอกว่าตนยังคงมีค่าให้ทะนุถนอม

     

    ไร้ซึ่งเสียงปรบมือแสดงความยินดี มีแต่คำติฉิน นินทาที่ได้รับผ่านทางสายตาและคำพูด ละครที่ไม่มีคนดู กลับมีแต่คนสมเพช สุดท้ายก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง


    น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้ม รู้ทั้งรู้ว่าแก้วที่แตก จะต่อมันด้วยกาวชั้นเยี่ยม มันก็กลับมาใช้งานดังเดิมไม่ได้ เหมือนใจคนตรงหน้า ที่ตนลงมือทำร้ายมันด้วยตัวเอง

     

    “ชาน...ยอล ฮึก ฮือ ได้โปรด ได้โปรด ขอโทษๆๆ” ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ มีเพียงคำขอโทษที่ไม่รู้ว่าต้องพูดอีกกี่ครั้งถึงจะลบความผิดได้

     

    “พอเถอะลู่ มันจบแล้ว อย่าให้เราสามคนต้องเจ็บไปมากกว่านี้เลย เราอยากดูแลลู่นะ แต่เราทนไม่ได้จริงๆ” ชานยอลพูดพลางค่อยๆถอยหลังห่างไปอีกหลายก้าว จนชิดผนังห้อง

     

    เหมือนตัวเชื้อโรคที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แค่ร้องขอการอภัย ยังไม่มีสิทธิ์เลยสินะ...

     

    ชานยอลหันหลังเดินออกจากห้อง ไม่สนแม้เสียงเรียกชื่อที่ดังก้องไปทั่วห้อง เสียงร้องไห้ดังระงมเมื่อคนที่รักหันหลังให้

     

    เสียใจ...จนมองไม่เห็นว่ามีอีกชีวิต ยืนน้ำตาไหลกับภาพที่เห็นอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง อยากจะเข้าไปกอดปลอบ แต่ตนกลับไม่ใช่บุคคลที่ร่างบางต้องการ

     

    คนสามคน เสียใจ เจ็บปวด ไม่ต่างกัน เวลาจะเป็นกาวประสานทุกสิ่งได้หรือไม่? คงได้แต่รอวันข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง ใจแข็งพอจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งไหม? ไม่มีใครตอบได้?


     

    ---------------------20%------------------



     

     

    ผมยังคงชนแก้วกับพวกมันต่อไปเรื่อยๆ วันเกิดปีนึงมีหนเดียว มันต้องเอาให้หนักเลย โว้ว!!!!!

     

    กินจนอ้วกแตกไปสองรอบ แต่ก็ยังยกกระดกเหมือนน้ำเปล่า กินจนลิ้นไม่รับรสชาติ คนตัวเล็กข้างกายนั่งหน้าบูดเป็นตูด แต่นั่นกลับทำให้เขาดูน่ารักขึ้น >//<

     

    “นี่ วันเกิดในความหมายของพวกนาย ไม่มีเหล้าไม่ได้ใช่มั้ย?” ลู่ฮานเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะคว้าแก้วไปจากมือผม แล้วยกกระดกดื่มหมดรวดเดียว

     

    “กินไปเยอะแล้วนะ เมาแล้ว พูดก็ไม่ฟังเลย นี่แฟนนะ” ลู่ฮานดุด้วยน้ำเสียงที่พายามเค้นให้ทุ้ม ตอนผมเมานี่ แฟนทำอะไรก็มองว่าน่ารักไปเสียหมด

     

    ผมหัวเราะร่าเริง เพราะวันเกิดปีนี้ นอกจากจะฉลองกับเพื่อนแล้ว ยังเป็นปีแรกที่ผมมีลู่ฮานมาฉลองด้วย แฟนคนที่เท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่ารักเหลือเกิน ^^ เอิ๊ก...เมา

     

    “กูว่าเอาไอ้ชานยอลมันไปล้างหน้าล้างตาแล้วพามันไปนอนเถอะ ปกติมันไม่กินเยอะขนาดนี้หรอกนะ สงสัยวันนี้มันจะดีใจที่เป็นวันเกิดปีแรกที่มีนาย” ได้ยินเสียงไอ้คริสลอยเข้าหูแว่วๆ ให้กูล้างหน้าทำไมวะ?

     

    จู่ๆก็มีมือของคนสองคนมาพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินเข้าห้องน้ำแล้วเอาน้ำเย็นๆมาลูบหน้า แม้สติจะกลับมาไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังอยากแกล้งร่างบางด้วยการเอนไปพิงไหล่เล็กนั่น

    อ้อนได้ไม่นาน ผมก็รู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงบนที่นอน แต่เพราะรู้สึกว่านอนไม่สบาย เลยกลิ้งลงพื้นเพื่อหาความเย็น

     

    ก่อนที่ไฟในห้องจะดับลง หลงเหลือไว้เพียงแต่แสงสว่างจะภายนอกที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านสีขาวโปร่ง เพราะฤทธิ์เหล้าทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว เลยกลิ้งไปมาบนพื้นกระเบื้อง ก่อนจะไปหยุดที่หน้าห้องน้ำ เย็นดีแท้ =_=

     

    หลับไปได้ซักพัก ก็เริ่มรู้สึกตัว สายตาค่อยๆปรับให้คุ้นชินกับความมืด ก่อนจะจ้องไปที่แสงสว่างเพื่อใช้เป็นตัวส่องทิศทาง

     

    *** สำหรับตอนนี้ขออนุญาติตัดออก เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสมนะคะ
    ไรท์ไม่อยากให้พี่เว็บมาแบน เบื่อตอนต้องมาปลด***

     


    ทำเรื่องเลวร้ายอย่างไม่อายฟ้าดิน จนร่างสูงต้องยกมือขึ้นมากัดเพื่อกลั้นเสียงลมหายใจ

     

    น้ำตาหยดแรกไหลออกมา ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น มีเพียงเสียงครางอย่างสุขสมของคนสองคนที่ดังไปทั่วห้อง ก่อนจะหอบหายใจแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หลังจากเสร็จกิจกรรมอย่างว่า

     

    หลับตาลงเพื่อลบภาพนั้น ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลลงมา พร้อมกับเข้าสู่ห้วงนิทรา หวังพึ่งเพียงว่า ตอนตื่นตนจะลืมเรื่องที่เห็น ยอมเป็นคนตาบอดซักครั้งเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้


    คงเพราะรักถึงยอมขนาดนี้ คงเพราะรักมากถึงได้เจ็บมาก รู้ตัวเอาอีกทีก็ตอนที่รู้ว่าลิมิตที่ตัวเองมีนั้น ช่างน้อยนิด เรื่องแบบนี้ ต่อให้ตาบอดจริงๆก็คงลืมยากอยู่ดี

     

    -------------40%-------------

     

    ผมตื่นลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวัน หันไปมองนาฬิกาก่อนจะพบว่ามันเป็นเวลาเที่ยงของอีกวัน หันไปมองเตียงกว้างที่บัดนี้ไม่มีใครจับจอง

     

    ผ้าปูเตียงเรียบสนิทเหมือนไม่มีใครใช้งาน นั่นเป็นข้ออ้างชั้นดีที่ร่างสูงจะใช้หลอกตัวเองว่ามันคือความฝัน

     

    ก้าวเท้าเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะเจอเพื่อนอีกสามคนนอนก่ายกันอยู่หน้าทีวี ร่างเล็กยืนอยู่หน้าเตา กลิ่นหอมที่โชยมาทำให้รู้ว่ากำลังทำอาหาร

     

    ผมเดินเข้าไปกอดลู่ฮานจากทางด้านหลัง สูดกลิ่นกายของอีกคน ก่อนจะชะงักเพราะได้กลิ่นน้ำหอมที่เซฮุนมักจะใช้ อุดจมูกคงไม่ทันแล้ว เลยทำเป็นไม่สนใจ

     

    “อะไรกัน สร่างปุ๊บก็อ้อนปั๊บเลยนะ” เอวบางของลู่ฮานกระเพื่อมขึ้นลงจากการหัวเราะ

     

    ผมยังคงหาความสุขเล็กๆน้อยๆจากการแทะโลมร่างบางของลู่ฮาน ร่างบางที่ดูน่ารักยามใส่ผ้ากันเปื้อน ดีกว่าตอนไร้เสื้อผ้าอาภรณ์เสียอีก

     

    ผมไล่จูบเรื่อยๆตั้งแต่ขมับจนถึงลำคอ สายตาก็มองเห็นตราประทับสีกุหลาบอ่อนๆแต่กลับเด่นชัดบนผิวขาวเช่นน้ำนม มือสองข้างผละออกจากเอวโดยอัตโนมัติ

     

    ก่อนจะคว้าข้อมือร่างบางแล้วลากเข้าห้องน้ำ อย่างน้อย ชำระร่างกายเอาสัมผัสของใครคนนั้นออกไปก็ยังดี

     

    ผมเปิดน้ำใส่อ่างจนเต็ม แล้วดันร่างบางของลู่ฮานที่ยังคงใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้นให้ลงไป ล้างเอากลิ่น ล้างเอาสัมผัสพวกนั้นออกให้หมด

     

    ขัดแล้วขัดอีก ยิ่งขัดเท่าไรกลับยิ่งรู้สึกว่ามันมากขึ้น นั่นเพราะลบผิดที่ สิ่งที่ยังคงติดอยู่ คือภาพที่เห็น สมองเมมเก็บเอาไว้ในซอกหลืบของจิตใจ แต่กลับแจ่มชัด

     

    ลู่ฮานเองก็ได้แต่งงกับการกระทำของผม ผมจึงยิ้มให้เล็กน้อย แล้วเลี่ยงที่จะบอกความจริง เรื่องบางเรื่อง คงดีกว่าหากเหยียบมันเอาไว้...

     

    ผมก้มลงกดจูบในทุกที่ที่มีรอยประทับของคนก่อน หวังจะเข้าไปแทนที่แม้เพียงภายนอกก็ยังดี ไม่ได้สนใจความรู้สึกตัวเองซักนิด ที่ยิ่งทำก็ยิ่งเจ็บ

     

    ก่อนจะคว้าคอร่างบางมาจูบเบาๆอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะเอาหัวเล็กซุกไว้ที่อก ฝั่งซ้ายใกล้หัวใจ หวังให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก




    มือเล็กวางลงที่ตำแหน่งของหัวใจ ก่อนจะกระซิบบอกมันเบาๆแต่ได้ยินชัดเจน

     

    “รักนะ ^^” คำว่ารักออกจากปากคนตรงหน้า ได้แต่หวังว่าคำที่เอ่ยออกมา ความหมายมันจะตรงตัว

     

     

    เพราะรู้เห็นทุกอย่าง ถึงได้ต้องเป็นฝ่ายทนและทรมาน การให้อภัยดูเหมือนจะไม่ใช่ทางออกของทุกสิ่งเสมอไป เรื่องบางเรื่อง ใครก่อก็ต้องรับ ถ้ารู้จักมัดปม ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้มันด้วยตัวเอง

     

    ปมเชือกของผมคือเรื่องลู่ฮาน ยิ่งปล่อยให้วันเวลาผ่านไป เชือกกลับยิ่งรัดแน่นขึ้น มัดเราสามคนเอาไว้แน่นจนดิ้นไม่หลุด แต่วันนี้ผมกำลังลองคลายเชือกที่รัดผมจนเขียวช้ำออก จนตอนนี้ถึงจะยังไม่เป็นอิสระเต็มร้อยจากเชือกเส้นนั้น แต่...ผมก็เจ็บน้อยลง

     

    วันที่ผมเจอแบคฮยอนที่ห้างโดยบังเอิญ ผมไปดูหนัง กินข้าวกับลู่ฮานตามประสาคนเป็นแฟนกัน จนกระทั่งลู่ฮานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบมิสคอลทั้งหมด 150 สาย ข้อความอีกเกือบ 20 ส่งมาจากเซฮุน

     

    ลู่ฮานดูร้อนรน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่รู้ว่าเซฮุนกำลังตามตัว ระหว่างที่ผมทำเป็นมองดูนู่นนี่เพื่อเบนความสนใจ ลู่ฮานก็สะกิดที่ไหล่เบาๆ

    “ชานยอล ที่บ้านเราโทรมาตามอ่ะ เราคงต้องกลับบ้านก่อนนะ” ผมได้แต่มองตามหลังร่างเล็กที่วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ คนของเราแท้ๆ ยังปล่อยให้ไปกับคนอื่นได้

     

    “นี่กูโดนทิ้งหรอวะเนี่ย? ตลกดีเว้ย” แม้จะพูดเล่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นแต่กลับไม่มีประโยชน์

     

    สองเท้าก้าวเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย ทั้งที่ตั้งใจว่าจะชวนกันไปเดินเล่นซื้อของ แต่กลับต้องถูกทิ้งแบบนี้

     

    เพราะความสูงที่มีมากกว่าผู้ชายเกาหลีทั่วไป เวลาเดินท่ามกลางผู้คนมากมาย ผมเองมักจะเห็นทิวทัศน์หรือระยะทางได้ไกลกว่า (เออ!ไอ้โย่ง) ตอนนี้ผมเห็นหลังบางของใครคนนึง ที่ดูเหมือนลู่ฮาน

     

    อยากจะเห็นหน้าเหลือเกิน...สองเท้าสั่งให้ออกเดินอย่างรวดเร็ว สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังเล็กนั่น ตั้งใจจะวิ่งเข้าไปหาแต่กลับพบว่าคนที่เดินเข้ามาจูงมือแฟนผม เป็นเพื่อนรักของผมเอง เซฮุน

     

    ขาสองข้างหยุดชะงัก ก่อนจะวิ่งหลบที่มุมตึก ชะโงกหน้าออกมามองดูเหตุการณ์ระหว่างคนสองคน ที่เถียงกันไปมาซักพัก แต่แล้วก็เป็นเซฮุนที่ดึงลู่ฮานเข้ามากอดเอาไว้ ก่อนทั้งสองจะยืนจูบกันท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนไปมา



    ผมกลับหลังหันเดินออกจากบริเวณนั้น เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบที่ตรงอกข้างซ้าย คำว่ารักที่ร่างเล็กพร่ำบอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นแค่คำโกหกอย่างนั้นหรอ?

     

    เดินมาจนถึงลานกว้างของห้างสรรพสินค้า แล้วบังเอิญเจอเพื่อนตัวเล็กอีกคนกำลังเดินเหม่อ จึงรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ทันที

     

    เรียกเท่าไรก็ไม่หันมามองซักที เลยจับหูกระเป๋าเป้ ออกแรงรั้งเพียงนิดหน่อยร่างบางก็เหมือนคนย่ำอยู่กับที่ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ออกเดินด้วยซ้ำแต่เจ้าของร่างกลับไม่รู้ตัว สองเท้าเล็กยังก้าวซ้ำไปมาหลายรอบ

     

    ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ แววตาสดใสแต่แฝงไปด้วยเรื่องมากมายนั้น ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ ผมส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายแบบกว้างที่สุด

     

    แค่เพียงได้เห็นใบหน้า ก็ลืมเรื่องขุ่นมัวในใจไปเสียสนิท แปลกที่รู้สึกดี แม้ก่อนหน้านี้จะเจอเรื่องที่เกินรับไหว

     

    มาแอบหนีเที่ยวที่นี่เอง ว่าแล้ว ทำไมเข้าไปที่ร้านถึงไม่เจอ ผมเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน พร้อมกับเขกหน้าผมเล็กไปหนึ่งที

     

    ก้านนิ้วเรียวยกขึ้นมาลูบเบาๆที่หน้าผาก บริเวณที่ถูกเขก ก่อนจะค้นสมุดในกระเป๋าเอามาเขียน

     

    วันนี้มาช่วยเทาซื้อของขวัญให้ม๊าเขาน่ะ ใกล้จะวันเกิดม๊าเทาแล้วไง ร่างบางเขียนเสร็จก็ส่งมาให้ผมอ่าน ข้อความของมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ที่ชอบใจก็เห็นจะเป็นสีปากกา

     

    เมื่อก่อนใช้แต่สีดำ เดี๋ยวนี้พอลองพลิกหน้าสมุดดูเรื่อยๆกลับพบสีสันของปากกามากมาย อีกทั้งผมยังเคยบอกเขาว่าผมชอบสีพีช ^^

     

    เพราะวันนี้ยังมีหลายอย่างที่อยากจะทำ ผมเลยฉุดข้อมือแบคฮยอนให้เดินตาม ร่างเล็กโอนอ่อนยอมเดินตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะเริ่มพยศโดยการยื้อข้อมือเอาไว้ แล้วชี้นิ้วไปในทิศตรงข้าม

     

    อะไรของนายนะ ไปทางนั้นใช่มั้ย? ก็ได้ ว่าแต่...กินข้าวรึยัง?” เพราะถ้ายังไม่กิน ผมก็จะลากเขาไปเลี้ยงของดีๆ ดูสิ จากที่ตัวเล็กอยู่แล้ว ยิ่งกินน้อยๆแขนขาก็เหมือนคนไม่มีเนื้อหนัง

     

    หลังจากนั้นก็ไม่มีการพูดคุยใดๆเกิดขึ้น ในหัวผมกำลังเรียบเรียงว่าจะคุยเรื่องไหนกับแบคฮยอนก่อนดี จนร่างบางสะกิดแล้วใช้ภาษามือถามว่า เป็นอะไร?

     

    ความจริงแล้ว วันนี้เราไม่ได้มาเดินคนเดียวหรอกนะ เรามากินข้าวเย็นกับลู่ฮานน่ะ แต่อยู่ดีๆลู่ฮานก็ขอตัวกลับก่อน บอกว่ามีธุระกับที่บ้าน แล้วก็ทิ้งเราดื้อๆเลย ผมบอกความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว การให้คนอื่นรับรู้เรื่องที่ตัวถูกแฟนทิ้งไปหาอีกคนมันกระดากปากที่จะพูด

     

    ร่างบางหยิบปากกากับสมุดออกมาอีกครั้ง ก่อนจะลงมือเขียน ด้วยความสงสัยผมจึงชะโงกหน้าไปแอบดู

     

    ไปเดินเล่นที่แม่น้ำฮันด้วยกันมั้ย?ไม่รอให้คนตัวเล็กส่งสมุดให้ ผมก็ตอบตกลงทันทีแบบไม่ต้องคิด

     

    เพราะอยากจะมาให้ทันดูการแสดงน้ำพุตอนสองทุ่มครึ่งทำให้เราเลือกที่จะนั่งรถแท็กซี่มาแทนการนั่งรถประจำทาง ทะเลาะกันอยู่นานเพราะคนตัวเล็กไม่อยากเปลืองเงินค่าแท็กซี่ จนผมยืนยันว่าจะจ่ายเองถึงได้ยอม

     

    มาถึงสะพานแม่น้ำฮันตอนสองทุ่มพอดี ทำให้พอมีเวลาเหลือเดินชมวิว รับลมเย็นๆ เวลานี้คนกำลังเยอะ เพราะต่างก็มารอดูการแสดงน้ำพุเหมือนเราสองคน

     

    พอเดินจนเหนื่อยแบคฮยอนก็เอนตัวลงบนพื้นคอนกรีตพอรอดูน้ำพุ ก่อนจะหลับตาลงแล้วนิ่งไป



    พอแบคฮยอนหลับตา ผมก็สบโอกาสมองหน้าคนตัวเล็กได้แบบเต็มตา ไม่รู้สึกเขินอายยามถูกจับได้ว่าแอบมอง หลายครั้งที่ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงได้มีความสุขนักเวลาอยู่ใกล้คนๆนี้

     

    มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ซับซ้อน คิดถึงคือคิดถึง อยากพูดคุยคืออยากพูดคุย อยากดูแล อยากปกป้อง เคยคิดว่าเพราะสงสาร แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป กลับเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆเวลา ร่างบางมีใครมาจีบ

     

    ยิ่งเวลาแบคฮยอนใกล้ใคร หรือใครมาใกล้ ยิ่งคันมือคันไม้อยากจะซัดคนเล่น แรกๆก็สับสนกับตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะแบคฮยอนบริสุทธิ์จนไม่อยากให้ใครมาแตะต้อง นอกจากตัวผมคนเดียว

     

    แบคฮยอนลืมตาขึ้นก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้ว แล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ชันเข่าตัวเองขึ้นมาสองข้างแล้วกอดเอาไว้

     

    “หนาวหรอ? หรือง่วง?” แบคฮยอนชูสองนิ้วคล้ายจะบอกว่าทั้งสองอย่าง

     

    ใบหน้าขาวอมชมพูนั้น จมูกที่รั้นขึ้นเหมือนคนดื้อแพ่ง ปากสีเชอร์รี่ ใบหน้าเรียวเล็กได้รูป กำลังทำให้สติผมหลุด ไหนจะตาปรือๆแล้วท่าหาวที่ดูเหมือนเด็กน้อย

     

    ระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แบคฮยอนก็หยิบเอาก้อนหินรอบๆตัวโยนลงไปในน้ำ แล้วจ้องมองแม่น้ำที่บัดนี้กลายเป็นสีดำ เหมือนกับสีท้องฟ้า น้ำกระจายตัวออกเกิดเป็นวง ร่างบางนั่งมองเหมือนโดนสะกดจิต

     





    “แบคฮยอน ถ้า...เราอยากจะดูแลนาย นายจะว่ายังไง?”


     

    ---------100%----------- 

     

     




    [คุยกับไรท์เตอร์]



    ในที่สุดก็ครบร้อยเปอร์เซนแล้ว เย้ๆๆ #สะบัดพู่

    หลังแข็งจริงๆค่ะ กว่าจะขัดเกลาทุกบรรทัดออกมาได้

    เรียนนักอ่านเงาทุกท่านว่า “อ่านให้สนุกนะคะ”

    ไม่มีใครเดาถูกเลยหรอว่าตัวละครอีกตัวจะเป็นใคร ไม่ยากนะ

     

    ตอนนี้ตอนที่ 9 กับ 10 เสร็จแล้วค่ะ

    เหลือแค่รอช่วงเวลาดีๆ(?)เพื่ออัพเท่านั้น ใครขอชานแบครอได้เลยค่ะ ^^

    ส่วนจะหวานถูกใจมั้ยก็ต้องดูอีกที ฮ่าๆๆๆ

     

    รักคนเม้นท์ทุกคนเลย เจอกันตอนต่อไป ปย๊ง!!!


     

     

    สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย


    :)� Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×