ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Delphena--เดลฟีนา (The fool and a sand-castle)

    ลำดับตอนที่ #2 : มนตรากับพ่อค้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 262
      0
      17 ก.ย. 54






     
     
    ชายหนุ่มจากไปแล้ว คงเข้าเมืองเพื่อไปติดต่อหาห้องพักตามแผนที่ที่เธอเขียนให้ แสงตะวันยามเช้าเคลื่อนคล้อยเข้าเวลาสาย แผดแสงแรงกล้ายิ่งขึ้นราวกับจะเร่งให้เด็กสาวออกไปทำงานโดยไว เมธโทรค่อยๆโขยกเขยกพาร่างอันพิการของตนเดินห่างไปจากแนวชายป่า เวลาล่วงไปขนาดนี้แล้ว หากไม่รีบไปเปิดแผง วันนี้ทั้งวันอาจจะหาลูกค้าไม่ได้เลยสักราย
     
     
    แม้จะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ตลาดใหญ่กลางเมือง ทว่าเด็กสาวก็มิได้ใช้เส้นทางเดียวกับที่เพิ่งชี้ให้เพื่อนของตนดู เส้นทางนั้นใกล้กว่าก็จริง แต่ก็ต้องปีนบันไดสูงชัน ซ้ำบางตอนยังเป็นด่านเกวียน เธอเดินเร็วไม่ได้ ครั้งจะหลบร่างกายก็ขยับไม่ทันใจ เมื่อช้านักก็มักโดนเหล่าเจ้าของเกวียนที่กำลังเร่งรีบตะโกนด่าทอประจำ ในที่สุด เมธโทรก็ต้องเลี่ยงมาอาศัยเส้นทางอื่น ถึงต้องอ้อมหน่อย ทว่าก็เดินสบาย ไม่ต้องกลัวว่าจะไปทำให้ใครเดือดร้อนอีก
     
     
    กว่าเด็กสาวจะพาร่างของตนเข้าสู่ความวุ่นวายใจกลางเมืองได้ดวงอาทิตย์ก็อยู่ตรงหัวเสียแล้ว ช้าขนาดนี้ คงไม่เหลือทำเลดีๆให้ร้องเรียกลูกค้าอีก นักพยากรณ์ในเดลฟีไม่ต่างจากขอทาน หากเข้าไปในตัวตลาดสุ่มสี่สุ่มห้าอาจโดนขับไล่ออกมา เมธโทรจึงตัดสินใจนั่งเยื้องห่างจากปากทางเข้าตลาดไม่มากนัก อาศัยร่มเงากำแพงหินหลบแดด แต่ก่อนหน้านั้นไม่ลืมแวะไปเอาอุปกรณ์หากินจากคุณป้าร้านขายตุ๊กตาดินที่มีเมตตารับฝากของไว้ให้เสียก่อน ใจจริงแล้วเธอก็ไม่อยากรบกวนใครนัก ขัดอยู่ว่าขาที่พิการทำให้การหอบของไปกลับชายป่าและตลาดทำได้ยากยิ่ง แม้คุณป้าใจดีจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่นักทำนายก็เกรงใจ และพยายามตอบแทนด้วยการพยากรณ์ไพ่ให้ฟังเสมอๆ
     
     
    แผงทำนายของเมธโทรเรียบง่ายเช่นเดียวกับตัวเธอเอง มีเพียงผ้าดำผืนหนึ่งปูบนพื้น ป้ายเขียนข้อความรับดูไพ่ครั้งละสิบสองเหรียญทองแดง และไพ่เยินๆสำรับหนึ่งวางไว้ข้างๆป้าย เมื่อจัดทุกอย่างเสร็จแล้ว เมธโทรก็ได้แต่นั่งรอ...
     
     
     
    "ข้าอยากให้เจ้าทำนายชะตาระหว่างข้ากับเขา"    ผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าลูกค้าคนแรกของวันจะปรากฎตัวขึ้น เป็นเด็กวัยรุ่นชายหญิง คะเนแล้วอายุคงน้องกว่าเมธโทรสักสองสามปี ทั้งสองแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามีราคา ไม่ได้หรูหรานัก น่าจะเป็นเหล่าลูกพ่อค้าผู้มีอันจะกินในตลาด
     
    "ว่าอย่างไรเล่า? "   เด็กสาวเร่ง กระซิบกระซาบ ท่าทางขึงขังจริงจัง ผิดกับเด็กหนุ่มที่ทำหน้าบึ้งไม่เต็มใจราวกับถูกบังคับให้มา
     
    "ไพ่จะเป็นผู้บอก ท่านเลือกมาสักหนึ่งใบเถิด"    นักทำนายตอบเรียบๆ หยิบสำรับไพ่ขึ้นมาสลับ คลี่ออกเป็นวงพัดยื่นให้บุตรีพ่อค้า ทว่าเด็กสาวไม่รับ แต่หันไปคะยั้นคะยอให้เด็กหนุ่มข้างกายเลือกแทน
     
    "เจ้าเองก็อย่าเรื่องมาก ข้าให้เลือกก็รีบๆหยิบไปสิ"    เสียงหวานกระซิบแหวเมื่อเพื่อนชายทำหน้าเหม็นเบื่อหนักกว่าเดิม ไม่รู้เพื่อตัดรำคาญหรืออย่างไร เด็กหนุ่มจึงเลือกหยิบไพ่ขึ้นมาอย่างเสียมิได้
     
    "ไพ่อัศวินทรงรถม้าศึก"    นักทำนายกระซิบเสียงแผ่วหลัวจากรับไพ่ไปดู น้ำเสียงไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
     
    "พวกท่านจะได้ออกเดินทาง ระหว่างนั้นจะพบทุ่งดอกไม้และภูเขาหิน สีสวยของบุปผาแท้จริงนั้นจอมปลอม ส่วนภูหินนั้นขรุขระยากเย็ญยิ่งนักในการสัญจร ไม่มีทางใดผิด ทางใดถูก เพราะท้ายสุดแล้วปลายทางย่อมเป็นสิ่งเดียวกัน"
     
     
    กล่าวออกไปแล้ว เมธโทรก็ได้แต่คิดว่าไม่สมควรพูดออกไปเลย เพราะเด็กสาวหน้าซีดเผือดลงทันตาเมื่อคำพยากรณ์ไม่ได้ออกมาดีอย่างที่หล่อนคาดหวัง สายตาคู่งามมองมาที่เธอราวกับจะประนามว่าโกหก สำหรับเด็กหนุ่มนั้นเล่า เมื่อเห็นเพื่อนเป็นเช่นนี้แล้ว ก็พึมพำอะไรบางอย่าง ฉุดเด็กสาวออกจากร้านทันที แต่อย่างน้อยก็ยัง'โยน'เหรียญเล็กๆสองสามเหรียญลงตรงหน้าเมธโทร
     
     
    พอลูกค้าจากไป หญิงพิการนักทำนายจึงเก็บเหรียญมาใส่ลงไปในถุงผ้าเก่าคร่ำซึ่งเหน็บไว้ข้างเอว เงินจำนวนนี้เล็กน้อย ทว่าก็มากพอที่จะทำให้ อาหารเย็นของวันนี้ไม่ใช่มายาภาพเพ้อฝัน
     
     
    พอคิดถึงอาหารเย็น...เมธโทรก็อดนึกถึงชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันเมื่อคืนไม่ได้ หากวันนี้โชคดี มีลูกค้ามาเพิ่มอีกสักสองสามราย เธอคงมีเงินพอจะเชิญเขามาทานข้าวด้วยกระมัง 
     
     
    เมื่อคิดแล้ว หญิงสาวขาพิการก็ต้องอมยิ้มให้กับความคิดของตน
     
    ต้องเอาใจเสียหน่อย...ก็เขาจะเล่นกลทำให้เธอกลายเป็นเดลฟีนานี่นะ!
     
     
     
     
     
    อีกฟากหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายของตลาดใหญ่กลางเมือง ชายในชุดเสื้อคลุมพเนจรกำลังเดินไปตามเส้นสัญจร ฝีเท้าของเขาช้าและเนิบ น่าแปลกนักที่ไม่มีผู้ใดเร่งหรือตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่ใช่เพราะดาบยาวเล่มงานที่เหน็บอยู่ฝนฝักข้างเอวหรอก และก็ไม่ใช่เพราะท่วงท่าสง่างามเช่นขุนนางปัญญาชนด้วย หากแต่เป็นเพราะสุนัขจิ้งจอกสูงไม่เกินหนึ่งศอกที่กำลังวิ่งเหยาะๆไปข้างๆชายหนุ่มต่างหาก    
     
     
    จิ้งจอกนั้นน่ารักนัก ขนสีทอง ฟูกลมไปหมดทั้งตัว หญิงใดได้มาเห็นคงหลงเอ็นดู ให้ค่ามันมากกว่าเพรชกว่าพลอย ส่วนชายหนุ่มนั้นเล่าแม้จะอยู่ในชุดเสื้อคลุมคนจรขาดวิ่น แต่เมื่อตลบผ้าที่คลุมปิดซ่อนศีรษะออกแล้ว ดวงหน้านั้นก็งดงามราวรูปสลัก ทั้งหวานเช่นหญิงสาวและกร้าวเช่นบุรุษ ดวงตาสีราตรีเหมือนมีเวทมนต์ ตรึงไว้จนแทบไม่อาจละ เรือนผมสีเดียวกันซอยสั้น ไม่ได้เรียบแปล้อย่างเจ้าเมือง แต่ก็ไม่ได้ยุ่งจนเกินงาม เมื่อแย้มรอยยิ้มแล้ว คงมีเพียงนักพรตและบุรุษเพศเดียวกันเท่านั้นที่จะไม่โอนอ่อนไปตาม   
     
     
    โดยรวมแล้ว จึงต้องขอกล่าวว่า เมื่อจิ้งจอกทองและชายหนุ่มมาอยู่คู่กัน จึงเป็นภาพที่ราวกับหลุดออกมาจากปลายพู่กันของจิตรกร กลายเป็นจุดสนใจของคนที่พบเห็นไปโดยปริยาย
     
     
     
    "เนธาน นายไปรอที่ห้องก่อนดีกว่า "    เซนาส เนราเวล กระซิบกระซาบกับจิ้งจอกของตน แม้จะรู้ดีว่าควรวางตัวอย่างไรท่ามกลางสายตาของคนหมู่มากเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มเป็นคนพเนจร ย่อมไม่ชอบทำตัวโดดเด่น
     
    ทั้งนี้ ใช่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าตอนแรกที่สุนัขขนทองขอตามออกมา'เดินเที่ยว'ด้วยนั้น เขาไม่ทันคิด
     
    "แกอย่าคิดสั่ง "    เสียงที่ตอบกลับมานั้นกร้าวเอาเรื่องทีเดียว เหมือนประกาศชัดว่าหากจะใช้กำลังบังคับก็ลองดู ถึงเซนาสไม่คิดว่าตนจะแพ้จิ้งจอกขนฟูตัวเล็กที่ขดตัวทีก็กลมเหมือนลูกบอล หากชายหนุ่มก็ไม่ต้องการทำให้มันไม่พอใจ ข้อเสนอที่ยื่นไปใหม่จึงประณีประนอมมากยิ่งขึ้น
     
    "ถ้าอย่างนั้น นายต้องให้ฉันอุ้ม"
     
    ไม่รอให้จิ้งจอกทองมีโอกาสตอบ ร่างเล็กของมันก็ถูกอุ้มสูงขึ้นไปในอากาศ ทว่าก็หนักแน่นมั่นคงเมื่ออยู่ในอ้อนแขนแกร่ง ครั้งเห็นสัตว์ขนฟูตั้งท่าจะโวยวาย คนพเนจรจึงรีบชิงตัดบทเสียก่อน
     
     
    "นายเลือกเอา จะอยู่เงียบๆหรือจะเข้าไปรอในห้อง"
     
    เท่านั้นเอง เนธานจึงได้ยอมสงบปากสงบคำ ทำหน้าบูดปล่อยให้ชายหนุ่มหิ้วมันไปไหนต่อไหนราวกับเป็นตุ๊กตา ตลอดทั้งวันเซนาสมิได้ทำสิ่งใดที่สมควรทำเลย หลังจากไปติดต่อขอเช่าห้องพักตามที่อยู่ซึ่งนักทำนายจดไว้ให้ ชายหนุ่มก็เอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ในตลาดกลางเมือง ทั้งเดินดูสินค้า คุยกับเหล่านายวาณิช หรือแม้แต่เข้าไปชมบรรยากาศในสนามประมูล ทำตัวเช่นขุนนางมีเงิน ครั้งมีคนชวนให้ทำงาน เสนอผลตอบแทนเสียงาม นักพเนจรก็เพียงหัวเราะเก้อๆไม่ตอบรับ บางครั้งเมื่อมีคนถามถึงเนธาน ชายหนุ่มก็บอกแต่เพียงว่าเป็นจิ้งจอกที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข หากมีผู้ขอซื้อ แม้เสนอราคาถึงเหรียญทองเต็มหีบ เซนาสก็จะปฎิเสธไปด้วยเหตุผลเข้าที จนผู้มาขอซื้อไม่คะยั้นคะยออีก
     
    กว่าจะตกเย็น คนพเนจรและสุนัขจิ้งจอกก็จำแผนผังในตลาดได้ขึ้นใจ รู้จักกับบรรดานายวาณิชมากกว่าครึ่ง ถึงจะเที่ยวทำตัวคล้ายคนจับจด แต่ชายหนุ่มมีอัธยาศัยดี ผู้ใดได้สนทนาด้วยก็ย่อมมีความชมชอบ บางคนเห็นเขาไม่มีเงิน จึงให้อาหารมาเสียมาก เมื่อรวมปริมาณทั้งหมดแล้วก็มากเสียจนใช้กินอยู่ไปได้ถึงสามวันเต็มๆ แม้เนธานจะค่อนขอดว่าเขาหน้าด้านนัก ประพฤติตนเช่นเดียวกับขอทาน ชายหนุ่มก็ไม่มีปากมีเสียงอะไร เพราะรู้ดีว่าคนพูดเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นคนเช่นไร  
     
     
    ชายหนุ่มไม่มีเงิน เมื่อเช่าห้อง จึงต้องขอวางประกันด้วยทรัพย์สมบัติอื่น ฝักดาบมีอัญมณีประดับสวยงาม ดูมีราคาอยู่ไม่น้อย เจ้าของห้องเช่าจึงยอมรับไว้เป็นประกันสำหรับค่าเช่าหนึ่งเดือนโดยง่าย ซ้ำยังใจดี เอาฝักดาบเก่าๆมาให้คนพเนจรยืมใช้แก้ขัดอีก ห้องเช่านั้นหรือก็ทั้งเล็กและแคบ ทว่าอย่างน้อยก็มีห้องน้ำในตัว มีเตียงตั้งไว้ที่มุมหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าไว้อีกมุมหนึ่ง เมื่อยัดโต๊ะเขียนหนังสือตัวย่อมและเก้าอี้ไม้ลงไป ห้องก็ดูอึดอัดเหมือนไม่มีที่จะเดิน โชคยังดีที่ยังพอมีระเบียงเล็กๆกว้างเท่าแมวดิ้นตายให้ไปยืนสูดอากาศบ้าง
     
     
     
    ดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้าประกาศอาณาจักรรัตติกาล ความเงียบดูจะทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมพเนจรกำลังเดินลัดไปยังชายป่า มือข้างหนึ่งชูตะเกียง อีกข้างหนึ่งอุ้มสุนัขจิ้งจอกสีทองตัวน้อยไว้แน่น เขาไม่ใช่คนท้องถิ่น จึงไม่คุ้นเคยกับหนทาง ทว่าเขาเป็นคนความจำดี จึงย้อนเส้นทางที่ตนใช้สัญจรเมื่อยามเช้าได้อย่างแม่นยำ
     
     
    เซนาสไม่รู้ว่าบ้านเมธโทรอยู่ที่ไหน หากไถ่ถามผู้คนที่ตลาดก็คงรู้คำตอบ ตอนนี้ตลาดวายเสียแล้ว ทว่าเขายังอยากคุยกับหญิงขาพิการ อยากฟังเธอเล่าเรื่องต่างๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีก ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจมายังสถานที่ซึ่งเขากับเธอได้พบกันเมื่อคืนก่อน และก็ไม่ผิดหวังเมื่อเห็นเงาร่างตะคุ่มนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
     
     
    "เมธโทร คาลินจ์ นักทำนายแห่งเดลฟี "    เมื่อคนพเนจรทัก ร่างเงาดังกล่าวสะดุ้งเล็กน้อย เขาส่งยิ้มให้ก่อนเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆเด็กสาว แขวนตะเกียงไว้บนกิ่งไม้ ปล่อยจิ้งจอกทองลงจากอ้อมแขน ซึ่งมันก็ฉวยโอกาศออกไปวิ่งเล่นไม่ไกลนัก 
     
    "เซนาส เนราเวล เจ้ามาจริงๆด้วย"    เมธโทรร้องเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ แย้มยิ้มอย่างยินดี 
     
    "ใครว่ามารอเจ้า ข้าพาเนธานมาวิ่งเล่นต่างหาก"    ชายหนุ่มกระเซ้าแหย่ ประกายขบขันฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาสีราตรี และพอเด็กสาวขาพิการย้อนว่าเหตุใดต้องออกมาไกลถึงชายป่า เขาก็อ้างชื่อสุนัขของตนว่าเป็นผู้อยากมา 
     
    "แน่ใจหรือ ข้าถามเนธานก็ได้ "    เมื่อเห็นนักพยากรณ์ทำท่าขึงขังจะเรียกจิ้งจอกทองมาสอบจริงๆ เซนาสก็หัวเราะ ยกมือขึ้นสองข้างเป็นท่ายอมแพ้
     
    "ขืนเจ้าทำอย่างนั้น คืนนี้มันได้ไล่ข้าให้ลงมานอนบนพื้นพอดี"
     
    "เซนาส นอกจากข้าแล้ว มีผู้ใดรู้เรื่องที่จิ้งจอกของเจ้าพูดได้หรือไม่"    อยู่ดีๆ น้ำเสียงของเมธโทรก็ปลี่ยนเป็นจริงจัง ครั้งเซนาสตอบว่าไม่มี เด็กสาวก็ทำท่าโล่งใจ เตือนเขาว่าอย่าได้ให้เนธานพูดภาษามนุษย์กับใครอีก อาจถึงขั้นถูกไล่ออกจากเมือง หรือร้ายกว่านั้นคือโดนรุมประชาทัณท์ เพราะสัตว์พูดได้ถือเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นสิ่งชั่วร้าย
     
    "มันถึงหงุดหงิดอยู่นี่ไง วันๆถูกข้าอุ้มร่อนไปร่อนมาราวกับเป็นตุ๊กตา"    ชายหนุ่มบ่นเสียงไม่จริงจังนัก ใครฟังก็รู้ว่าเอ็นดู แต่เมธโทรไม่พอใจ คิดว่าเขายังไม่เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์ดังกล่าว จึงตั้งต้นจะอธิบายซ้ำอีกรอบ ทว่าเซนาสชิงเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน
     
    "เจ้าอยากดูข้าเล่นกลไหม"    โดยไม่รอคำตอบ คนพเนจรแบมือ พลันลูกไฟสีชมพูก็ปรากฎขึ้นบนนั้น ส่องสว่าง เต้นระริกราวกับดอกไม้เพลิง    สวยงามยิ่งนัก เขาหัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินเสียงเด็กสาวอุทานด้วยความตื่นเต้น
     
    "จะจับมันเสียก็ได้ "    เซนาสเอื้อมมือใหญ่ของเขาไปกุมมือหญิงพยากรณ์ไว้อย่างอ่อนโยน ค่อยๆจับมือนางมาสัมผัสกับประกายลูกไฟ ..ไฟนั้นไม่ร้อน เมื่อแตะต้องก็กระพริบพร่าตามแรง เปลี่ยนเป็นสีต่างๆมากมาย สลับไปมาชวนให้นึกถึงภาพพู่กันของจิตรกรเอก น่าตื่นตาตื่นเต้น นักทำนายคล้ายตกอยู่ในห้วงแห่งมนตรา หัวเราะเริงร่าราวกับเด็กๆ
     
    "เจ้าชอบสัตว์ใด เมธโทรคนดูไพ่ กระต่ายหรือ หรือว่าจะเป็นกวาง แต่อย่างเจ้า ข้าคิดว่าเหมาะกับนกมากกว่า นกน้อยสีขาว..."    ชายหนุ่มพูดไปก็ขยับมือไปพลาง นิ้วของเขาไหวไปมาราวกับพร่างพรมอยู่บนคีย์ที่มองไม่เห็น จากลูกไฟดวงกลมพลันเปลี่ยนเป็นนกสีเงินกระพือปีกบินไปรอบๆพวกเขา และเมื่อเมธโทรยื่นมือออกมาข้างหน้า เจ้านกน้อยก็ร่อนลงเกาะที่แขนเธออย่างนุ่มนวล ครั้งชายหนุ่มสะบัดมืออีกที นกน้อยนั้นก็กลายเป็นกำไลข้อมือวงงาม สีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีเลอค่า
     
    "ข้าไม่อยากได้กำไลงาม ข้าอยากได้จิ้งจอกอย่างเนธาน"    เด็กสาวหัวเราะคิก สนุกสนานชอบใจนัก ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าเมื่อย บ่นเบาๆว่าหมาจอมยโสขี้หงุดหงิดอย่างเนธานมีดีตรงไหน แต่ก็ยอมทำตามคำขอโดยดี เมธโทรมองกำไลในมือตนเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง ความตื่นเต้นฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาสีเขียวอ่อนเมื่อเห็นจิ้งจอกทองปรากฎขึ้นตรงหน้า ขนาดรูปร่างหน้าตาเหมือนจิ้งจอกของคนพเนจรไม่ผิดเพี้ยน แม้กระทั่งสายตาคู่สีม่วงก็ยังมีแววยโสโอหัง
     
    "ข้าชื่อเนธาน เป็นจิ้งจอกสีทอง แต่เมื่ออยู่ในเดลฟีข้าต้องแปลงร่างเป็นตุ๊กตา"    ชายหนุ่มแกล้งพากษ์ เมื่อเขาพูด ปากของจิ้งจอกมายาก็ขยับตาม เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากหญิงขาพิการ เธอนึกสนุก ร้องขอสัตว์อื่นๆอีกมากมาย และคนพเนจรนักมายากลก็สามารถเสกสรรขึ้นมาได้เพียงขยับปลายนิ้ว
     
    "มายากลของเจ้าราวกับเวทมนต์ เจ้าทำได้อย่างไรกัน?!"    เมธโทรอุทานอย่างประทับใจเมื่อเขาสร้างนกเพลิงอมตะขึ้นจากความว่างเปล่า เส้นขนแต่ละเส้นละเอียดพริ้วไหวยิ่ง สีของมันแดงก่ำราวทับทิมลุกไหม้ มันไม่ได้บินร่ายรำไปรอบพวกเขา หากแต่กางปีกพุ่งทะยานสูงขึ้นสู่ดวงจันทร์สีทอง เชื้องช้าเนิบนาบ ทว่าสง่างามยิ่งนัก 
     
    "ความลับทางการค้า เรื่องอะไรข้าจะบอกเจ้า นักมายากลในเดลฟีมีมากพอแล้ว นักพยากรณ์ไม่ต้องอุตริมาเล่นกลหรอก"    เซนาสย้อนขำๆ ส่วนเด็กสาวเมื่อรู้ตัวว่าโดนคำของตนเองย้อนเข้า ก็ชี้หน้าเขา กล่าวหาว่าเจ้าเล่ห์นัก ซึ่งชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มรับ และรีบเสกม้าขาวเขาเดียวเป็นการเอาใจ 
     
     
     
    ค่ำคืนแสนสนุก เมธโทรเพลิดเพลินราวกับตกอยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่กาลเวลาเดินเร็วยิ่ง เพียงพริบตา เด็กสาวพิการก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนอยู่ดึกเกินไปเสียแล้ว อดนอนเพียงคืนเดียวยังไม่ค่อยกระไรนัก แต่หากอดนอนถึงสองคืนติดกัน เธอก็ไม่คิดว่าตนจะสู้ไหว...
     
    แค่ครั้งจะบอกลาชายหนุ่ม...เมธโทร คาลินจ์ นักดูไพ่แห่งเดลฟี กลับพบว่า ตนพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียว...
     
    เพราะกลัวว่าจะสูญเสียช่วงเวลาที่แสนดีนี้ไปตลอดกาล....
     
     
     
    "เมธโทร..."    ชายหนุ่มเรียก เสียงของเขาดึงเธอกลับมาจากห้วงแห่งความคิด
     
    "กลสุดท้ายของคืนนี้ สำหรับว่าที่เดลฟีนาแห่งเดลฟี"    เซนาสเอ่นยิ้มๆ และก่อนที่เด็กสาวขาพิการจะทันตั้งตัว นักพเนจรก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ...ชิดเสียจนสัมผัสถึงลมหายใจซึ่งกันและกัน มือของเขาบรรจงประดับมงกุฏสีเงินลงเหนือศีรษะเมธโทรอย่างอ่อนโยน ปัดเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่คลอระดวงหน้าใสให้ขึ้นสีแดงซ่า นักทำนายแทบได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นตึงตังอยู่ในอก ดังลั่นราวกับกลอง ทว่าก็มีความสุข...มีความสุขเหลือเกิน
     
    ชั่วขณะหนึ่ง เด็กสาวคิด...หากหยุดเวลาไว้ไม่ให้เดินได้ก็คงดี...
     
    เด็กสาวยากจน ทั้งยังขาพิการ อาศัยเลี้ยงชีพด้วยการรับทำนายแลกกับเศษเงินเล็กๆน้อยๆพอประทังชีวิต ตลอดมาจึงมีเพื่อนน้อยยิ่งกว่าน้อย และในบรรดาเพื่อนจำนวนเพียงนิดเดียวนั้นก็ไม่มีสักคนที่สนิทพอที่จะสามารถหัวเราะด้วยอย่างสนิทใจได้ ทว่าเซนาส คนพเนจรนั้นต่างออกไป เขาร่าเริง สนุกสนาน ทั้งยังอ่อนโยนยิ่ง แม้จะเพิ่งได้พบกันเพียงวันเดียวเด็กสาวก็ชอบเขานัก เมื่อชอบแล้วก็ย่อมกลัว..กลัวการสูญเสีย
     
     
    "หากข้ายังไม่ได้เป็นเดลฟีนา เจ้าก็อย่าได้ไปไหน เซนาส เนราเวล"    ความกลัวนั้นเองที่บีบให้เธอเผลอพูดออกไปเช่นนั้น เมื่อกล่าวออกไปแล้วก็ตกใจ เด็กสาวไม่ตั้งใจจะผูกมัดเขา ทั้งยังไม่ต้องการเผยความรู้สึกที่แท้จริงในใจตนเองออกไปด้วย
     
    ทว่าดูเหมือนชายหนุ่มจะเข้าใจดี เขาเพียงแต่ยิ้มน้อยๆอย่างที่ชอบทำ มือใหญ่ลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอแผ่วเบา
     
    "ข้าสัญญากับเจ้าแล้ว ยังมีเหตุใดต้องกลัวอีกหรือ" เสียงนุ่มปลอบประโลม พอเห็นเด็กสาวเร่งส่ายหน้า จึงได้กล่าวต่อไปอีก
     
    "เพียงแต่..."
     
    เมธโทรเกลียดคำนี้ เธอชังมันนัก คำว่าแต่ย่อมหมายถึงสิ่งที่เธอไม่ปราถนา นักทำนายอยากเอื้อมมือไปปิดปากชายหนุ่ม ขอร้องว่าอย่าได้พูดต่ออีกเลย ทว่าท้ายสุดแล้ว เธอก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่กล้าลงมือทำตามที่ใจคิด
     
    "เพียงแต่ข้าคงจะมาหาเจ้าดึกๆเช่นนี้ไม่ได้อีก จนกว่าจะครบสามสัปดาห์"
     
    นั่นไง นักพยากรณ์ใจหายวาบ ในหัวมีแต่คำว่าเขาจะหายไปหรือ เขาจะไม่มาพบเมธโทรนักทำนายพิการคนนี้แล้วหรือ วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สามสัปดาห์ฟังดูนานแสนนานราวกับชั่วกัลป์
     
    สีหน้าของเธอคงซีดนัก คนพเนจรจึงได้เร่งเอ่ยต่อไปอย่างรวดเร็ว
     
    "เมธโทร เจ้าอย่าได้กังวล ในเวลากลางวัน ข้าจะพยายามแวะไปหาเจ้าบ้าง"
     
    "เจ้า..สุดท้ายเจ้าก็ได้งานแล้วหรือ ที่ใดเล่า?"    เด็กสาวเข้าใจไปเสียอีกทาง เมื่อถามก็พยายามกลั้นเสียงของตนไม่ให้สะอื้น เขาได้งานทำเป็นเรื่องน่ายินดี เธอย่อมไม่ควรเรียกร้องเอาแต่ใจ 
     
    "ข้าไม่..."   คราแรกเซนาสตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ในตัวชายหนุ่มเองก็คิด ที่เขาไปทำนั้นก็เรียกว่างานอย่างหนึ่งมิใช่หรือ หากปฏิเสธว่ามิได้ไปทำงาน จะให้เขาอธิบายกับหญิงตรงหน้าเช่นไรเล่า ครั้งเมื่อคิดได้ดังนี้ ชายหนุ่มจึงพยักหน้ายอมรับแทน
     
    "งานข้าไม่มีที่ทำหลักแหล่งแน่นอน"    เขาอธิบายเพียงสั้นๆเพราะไม่ประสงค์ที่จะโกหกเธอมากนัก ทั้งยังรีบตัดบทสนทนาเอาดื้อๆก่อนที่คนดูไพ่จะทันได้ซัก
     
    "ว่าแต่เจ้าเถอะ เมธโทร บ้านของเจ้าอยู่ไหนกัน ข้าจะไปส่ง"
     
     
    แน่นอนว่าเด็กสาวย่อมไม่อยากให้ชายหนุ่มเห็นบ้านเก่าทรุดโทรมของตน จึงรีบตอบปฏิเสธ ทั้งยังเร่งให้เขากลับห้องพักเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ผิวปากเรียกสัตว์ของตนมา ครั้งจิ้งจอกทองมาแล้วจึงร่ำลาเมธโทร อวยพรของให้เธอโชคดี
     
    หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หันหลังให้กัน ก่อนจะเดินแยกไปคนละทาง...
     
     
    .............................................
    ...................................
    ..........................
    .....................
    ..............
    ..........
    .......
    ....
    ..
     
     
     
    สัปดาห์แรกผ่านไป เซนาสก็ได้กระทำตามที่ลั่นวาจาไว้ไม่ผิดเพี้ยน นั่นคือไม่ได้ไปหานักทำนายยามค่ำคืนอีก ชายหนุ่มใช้ชีวิตประหลาดนัก ไม่ทำการงานสิ่งใด เขาตื่นแต่เช้าตรู่เข้าไปสนทนากับเหล่านายวาณิชในตลาด แม้จะพบเมธโทรก็ทักทายเพียงสั้นๆทำตัวห่างเหิน ครั้งสายก็จะหายหน้าราวกับลี้หลีกไปจากเมือง เมื่อตกบ่ายก็จะไปปรากฎตัวอยู่ในหอสมุดประจำเดลฟี พอล่วงเข้ายามเย็นก็จะกลับไปตลาดใหญ่อีกครั้ง ดึกดื่นค่ำคืนก็พูดคุยกับผู้คนตามร้านเหล้า กว่าจะกลับเข้าห้องพักก็เกือบจะเช้าเสียแล้ว วนเวียนเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา...
     
    แม้ในสายตาคนอื่นจะเห็นชายหนุ่มผมดำเป็นเพียงคนขี้เกียจจับจด เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ตามใจตน ทว่าเนธานจิ้งจอกทองก็ทราบดีว่าแท้จริงนายของตนกำลังพยายามทำงานหนักอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย นักพเนจรมีความสามารถสูงจนแตะขั้นอัจฉริยะในการเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน ทักทอประสานเหตุการณ์ราวกับใยแมงมุม สิ่งใดผ่านประสาททั้งห้าเพียงครั้งเดียวก็จำได้มิรู้ลืม ทั้งยังเชี่ยวชาญกลหลอกลวงยิ่งนัก
     
    หากไม่เชี่ยวชาญ คงไม่สามารถทำให้คนทั้งเมืองคิดว่าตนเป็นคนเกียจคร้านได้แน่!
     
     
    ครั้งถึงสัปดาห์ที่สอง กิจวัตรประจำวันของเซนาสก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ทว่าเขาเริ่มเดินเตร็ดเตร่น้อยลง จมอยู่ในหอสมุดมากขึ้น น่าแปลกนักที่หลายคนกลับต้องเป็นฝ่ายตามหาตัวเขาเสียเอง ทั้งใจกลางตลาด ในหอสมุด หรือแม้กระทั่งในร้านอาหารและร้านเหล้า ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ผู้คนมากหน้าหลายตามาพบปะเขาไม่ขาดสาย มาทั้งแบบสง่าองอาจและหลบเร้นซ่อนกาย เมื่อมาแล้วก็เพียงคุยกับชายหนุ่ม ไม่ได้จ้างวานหรือเสนอขายสินค้าใดๆทั้งสิ้น 
     
    และเมื่อล่วงเข้าสัปดาห์ที่สาม ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีดำ ถึงจะยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมพเนจรตัวเดิม ทว่าฉายาคนพเนจรนั้นได้หายไปแล้ว...เหลือทิ้งไว้เพียง เซนาส เนราเวล พ่อค้าข่าวแห่งเดลฟี เท่านั้น
     
     
     
    วันนี้เดลฟีนามีคำพยากรณ์มาว่าจะมีพายุฝนรุนแรง พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายจึงเร่งเก็บข้าวของกันแต่หัววัน เซนาสที่มองขึ้นฟ้าแล้วเห็นดวงตะวันฉายแสงเปรี้ยงชัดเจนจึงออกจะงุนงงอยู่ไม่น้อย แต่ครั้งจะบอกไปว่าแดดแรงขนาดนี้จะไปมีพายุได้อย่างไร ก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องที่น้ำเชี่ยวต้องเอาเรือเข้าไปขวาง ครั้งจะออกไปคุยกับนายวาณิชในตลาดเช่นเคยก็เห็นทีคงไม่มีใครว่างพอ ชายหนุ่มเลยตัดสินใจแวะเข้าไปในหอสมุด ระยะหลังหากไม่มีธุระอื่นใด เขาก็มักมาศึกษาตำราที่นี่เกือบทั้งวัน บางครั้งก็นานเสียจนมืดค่ำ ถูกเนธานบ่นเอามาก
     
     
    "เรื่องที่ทางการกำลังจะฉวยโอกาศขึ้นภาษียาสมุนไพรตั้งเจ็ดเปอร์เซ็นต์คงขายได้ราคาดีแน่"    ชายหนุ่มผมดำเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มหนาที่กำลังอ่านอยู่ เปรยยิ้มๆกับร่างสูงที่นั่งหน้าบูดอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยเสียงคล้ายกระซิบทว่าก็ยังคงดังอยู่ไม่น้อย ไม่มีใครทราบว่าชายดังกล่าวไปทราบข่าวนี้มาจากไหนหรืออย่างไร แต่หลายคนที่ได้ยินก็รีบผุดลุกออกไปจากโต๊ะอ่านหนังสือ วิ่งออกไปจากหอสมุดอย่างรวดเร็ว ทำนายได้ไม่ยากว่าคงเร่งเอาข่าวสำคัญนี้ไปทำเงินเป็นแน่ บนโต๊ะใหญ่จึงเหลือคนเพียงสองคน นั่นคือนักค้าข่าวและอีกหนึ่งชายที่ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์
     
    "ไม่ใช่ว่ายกเลิกภาษีสมุนไพรหรอกหรือ แล้วที่ขึ้นเจ็ดเปอร์เซ็นต์นั้นคือเครื่องปั้นดินเผาตะหาก "    ชายคนดังกล่าวย้อน ทว่าก็ด้วยเสียงเบาระมัดระวัง เขาเป็นคนร่างสูง เมื่อเทียบกันแล้วคงพอๆกับคนพเนจร แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นดีทั้งท่วงท่าก็ดูสง่างามราวกับขุนนาง เส้นผมสีทองสว่างปรกละใบหน้าแต่พองาม ทว่าดวงหน้าขาวหวานละม้ายคล้ายสตรีนั้นบึ้งสนิท ทั้งดวงตาคู่สีม่วงเข้มก็ฉายแววรู้ทันชัด
     
    "ไม่เอาน่า เนธาน ข่าวฟรีๆไม่มีในโลก อยากได้ข่าวดีก็ต้องจ่ายเงิน"    เซนาสเอ่ยยิ้มๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำของตน คิดแต่เพียงว่าเท่านี้ก็คงกำจัดเหล่าเหลือบไรที่หวังจะมาดักเอาข้อมูลจากเขาไปฟรีๆได้สักพัก ไม่นึกสนว่าข่าวปลอมดังกล่าวจะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือก่อความเดือดร้อนเพียงใด
     
    "แก..."    ชายหนุ่มผมสีทองอยากจะสบถหยาบคาย อยากจะกล่าวประนามมันนัก อยากจะเข้าไปเขย่าตัวแล้วถามว่าทำแบบนี้ย่อมมีคนที่จะลำบากมิใช่หรือ ทว่าสุดท้ายแล้ว เขาก็พูดไม่ออก ถ้อยคำเชือดเฉือนทั้งหลายที่แล่นพล่านอยู่ในหัวกลับมิอาจหลุดลอดออกจากริมฝีปากแม้สักคำ
     
     
    "ไม่ต้องมาพองขนขู่ใส่เลย อย่าลืมสิว่าตอนนี้นายไม่ได้อยู่ในร่างจิ้งจอกน้อยน่ารัก "    เจ้าของนัยน์ตาสีรัตติกาลหัวเราะหึหึ แกล้งแซวยั่วโทสะของอีกฝ่ายให้ลุกไหม้ยิ่งขึ้น สนุกสนานเสียอีกเมื่อเห็นคู่สนทนาเดือดดาลไปตามเกม พอเห็นสีหน้าโกรธจัดนั่นแล้ว เซนาสต้องสะกดใจอย่างยิ่งยวดมิให้เอื้อมมือไปขยี้เรือนผมสีทองสวยของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้เหมือนที่เคยทำมาตลอดยามเนธานเป็นเพียงจิ้งจอกสีทอง  
     
     
    ต้นเหตุของเรื่องคือหอสมุดใหญ่ประจำเมืองเดลฟีไม่อนุญาตให้นำสัตว์ทุกชนิดเข้าไป ส่วนเรื่องส่วนสุนัขจิ้งจอกจะกลายมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไรนั้น ในเมื่อเซนาส เนราเวล ไม่ใช่คนพเนจรธรรมดามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นจึงควรคาดหมายได้ว่า เนธานเองก็ย่อมไม่ใช่จิ้งจอกทองธรรมดาๆเช่นเดียวกัน
     
     
    "นอกจากค้าข่าวแล้ว ฉันยังมีงานสำคัญอีกเรื่อง"    ชายหนุ่มผมดำรีบฉวยโอกาศเปลี่ยนบทสนทนาก่อนที่จิ้งจอกทองจะโวยวาย ให้รับมือเนธานในร่างมนุษย์เขาไม่ถนัดนักหรอก 
     
     
    "ทำให้สาวพิการนักดูไพ่ขึ้นเป็นเดลฟีนาแห่งเดลฟี?"                           

                   น้ำเสียงนั้นแสดงชัดว่าหยามหยัน แม้ภายนอกจะเป็นชายหนุ่ม ทว่าคำพูดคำจานั้นส่อเสียดประชดประชันเหมือนเจ้าจิ้งจอกทองตัวเดิมไม่ผิดเพี้ยน เจ้าของนัยน์ตาสีอเมทิสต์เลิกคิ้ว ราวกับจะท้าให้ปฏิเสธ ทว่าคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ชายหนุ่มผมทองถึงกับตะลึงนิ่งไป 
     
    "หาทางแก้คำสาปให้นายตะหาก"    คนพเนจรเอ่ยยิ้มๆ ตัดบทไปด้วยในตัว    
     
    "เดี๋ยวตอนบ่ายสามโมง พ่อค้าอัญมณีจะมาเจรจาธุรกิจด้วย กว่าจะถึงตอนนั้นนายก็นั่งอ่านหนังสือไปเงียบๆแล้วกัน"
     
     
     
     
    ครั้งพอได้เวลาเข็มสั้นชี้เลขสามพอดีไม่ขาดไม่เกิน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอแสดงถึงความมั่นใจของผู้เดิน ...เป็นเสียงฝีเท้าเฉพาะตัวของพ่อค้าผู้ประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจ เมื่อได้ยินดังนั้น เซนาสก็ปิดหนังสือเล่มที่ตนกำลังอ่านค้างอยู่เสีย วางคืนลงบนโต๊ะอย่างอ้อยอิ่งเสียดายเล็กน้อย พร้อมกันนี้ก็หันไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่เชื่อว่าคงไม่ได้มาหอสมุดเพื่ออ่านหนังสือเป็นแน่ 
     
    "สวัสดียามบ่าย เซนาส เนราเวล "    เจ้าของฝีเท้าผู้มาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขาพร้อมทั้งกล่าวคำทักทายนั้นเป็นชายวัยกลางคน ท่าทางภูมิฐาน นิ้วมือประดับแหวนเพชรพลอยมีราคา สีหน้านั้นแม้ยิ้มแย้ม แต่ทำไมคนพเนจรจะไม่รู้ว่าดวงตาสีอำพันนั้นมิได้แย้มยิ้มตามไปด้วย ทว่ากำลังมองเขาอย่างประเมินราวกับตีค่าสินค้าเลยทีเดียว
     
    "พ่อค้าข่าวยินดีรับใช้เสมอ ท่านเกเบรียล ควอทซ์ "    เซนาสยืนขึ้น โค้งศีรษะลงคำนับอย่างลวกๆ ผลประโยชน์หรอกที่สำคัญ มิใช่มารยาททางสังคม ทว่าดูเหมือนพ่อค้าอัญมณีจะไม่สนใจนัก เร่งเอ่ยเรื่องที่อยู่ในใจของตนออกมาโดยเร็ว
     
    "เรื่องคราวนี้คงต้องไปคุยกันที่บ้านข้า เจ้าสะดวกไหมเล่า?"
     
    ชายหนุ่มผมดำอยากจะหัวเราะ รู้ดีว่าภายใต้ประโยคขอร้องนั้นคือคำสั่งชัดเจน
     
    "ข้าคงไม่สะดวกนัก ท่านเกเบรียล..."    ชายหนุ่มตอบตามตรง ฟังคล้ายคนซื่อ หากนายวาณิชเองก็ใช่จะไม่ทันกลเล่ห์เหลี่ยมนั้น
     
    "แปดเหรียญทองยี่สิบห้าเหรียญเงิน เพิ่มจากค่าข่าว หากว่าข้อมูลของเจ้ามี'ราคา'จริง "
     
    นัยน์ตาสีราตรีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มิใช่เพราะไม่อยากเชื่อว่าพ่อค้าอัญมณีจะยอมทุ่มทุนถึงขนาดนี้ หากแต่เกเบรียลเป็นพ่อค้าใหญ่มานาน รู้ถึงแวดวงธุรกิจดีกว่าใครๆ การที่ชายวัยกลางคนยอมทุ่มเสนอราคาให้เช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องเร่งร้อนนัก ซึ่งก็นับว่าเป็นข่าวที่พอจะขายได้ราคางามทีเดียว       
     
    "บางที ข้าอาจจะพอเลื่อนนัดลูกค้าคนอื่นๆได้กระมัง"    พ่อค้าข่าวว่ายิ้มๆ ไม่ตอบรับหรือปฎิเสธชัดเจน ถึงอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็รู้บทบาทการเล่นละครของตน การต่อรองเพื่อผลประโยชน์เป็นเรื่องธรรมดาในแวดวงธุรกิจ ดังนั้นเมื่อเกเบรียลผายมือเป็นทำนองเชิญชวนให้ไปขึ้นรถเทียมม้าด้วยกัน ชายหนุ่มก็เดินตามไปเป็นอันดี ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะติดต่อลูกค้าเพื่อเลื่อนนัดตามที่กล่าวอย่างใด
     
    "แล้วจิ้งจอกตัวงามของเจ้าไปไหนเสียเล่า"    พ่อค้าอัญมณีอดถามขึ้นไม่ได้ในขณะที่ขาก็ยังคงก้าวไปตามโถงทางเดินของหอสมุด ชายวัยกลางคนคุ้นชินกับภาพสุนัขขนทองเดินอยู่ติดกับเจ้านายหนุ่มตลอดเวลา จึงสงสัยเมื่อเห็นมันหายไป
     
    "รออยู่ข้างนอก หอสมุดไม่อนุญาตให้นำสัตว์เข้ามาหรอกท่าน "  เซนาสปดหน้าตาย ส่วนนายวาณิชเมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจก็พยักหน้า ไม่คิดซักไซ้สิ่งใดอีก
     
     
    ครั้งออกมาภายนอกอาคารหินอ่อนหลังงาม ปรากฎว่ารถเทียมม้าหรูหรามารอรับอยู่หน้าหอสมุดแล้ว พ่อค้าอัญมณีก้าวขึ้นก่อน ส่วนคนพเนจรรั้งรออยู่ครู่หนึ่ง ผิวปากหวีดหวิวเสียงแหลมสูง เมื่อเกเบรียลขมวดคิ้วถามว่าทำอะไรหรือ ชายหนุ่มจึงอธิบายว่าจิ้งจอกของตนคงไปวิ่งเล่นเพลินอยู่ ไม่ได้รออยู่หน้าหอสมุดตามที่ตนสั่ง เห็นทีคืนนี้คงต้องจับตัวมาอบรมกันยาว สิ้นคำเนธานก็วิ่งเหยาะๆโผล่มาจากหัวมุมถนน พอเห็นนายของตนยืนอยู่ก็เข้ามาหา นายวาณิชจึงหัวเราะ บอกเซนาสเลี้ยงสุนัขเข้มงวดนัก มันถึงได้ฉลาดเพียงนี้
     
     
    บ้านตระกูลควอทช์อยู่ค่อนไปแถบชานเมือง สร้างเสียโอ่อ่าราวกับคฤหาสถ์กลางกรุง ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและแปลงดอกไม้สีสวยเป็นระเบียบ คนรับใช้ในชุดเครื่องแบบต่างเข้าแถวโค้งคำนับเมื่อพ่อค้าอัญมณีเยื้องย่างลงจากรถ การคำนับนั้นเผื่อแผ่มาให้ชายพเนจรและจิ้งจอกทองซึ่งตามลงมาด้วย ชายวัยกลางคนไม่ได้เดินนำพวกเขาเข้าไปในตัวเรือนสีขาวของตน ทว่าพาเลี้ยงอ้อมไปยังอาคารอีกแห่งซึ่งตั้งติดกับตัวคฤหาสถ์อย่างกลมกลืน เป็นห้องอิฐก่อฉาบปูนชั้นเดียวขนาดกระทัดรัด ซ้ำยังมีการวางเวรยามรักษาการณ์ไว้แน่นหนา   
     
     
    "เข้ามาสิ "    เจ้าของบ้านเชิญชวน ไขกุญแจ ผลักประตูไม้หนาหนักให้เปิดออกด้วยมือทั้งสองข้าง 
     
     
    "นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก ท่านเกเบรียล"    เซนาสค้อมศีรษะลงเล็กน้อย และเมื่อเข้าไปในห้องดังกล่าวก็พบว่าเป็นห้องสำหรับทำงานส่วนตัวของนายวาณิช เหตุผลที่สร้างแยกต่างหากจากตัวบ้านคงเป็นเพราะต้องการความสะดวกในการเชื้อเชิญเพื่อนร่วมอาชีพมาเจรจาธุรกิจ
     
     
    ภายในห้องหรูตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพง หากมุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอยมากไปกว่าความงดงาม มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นห้องของคนค้าขาย เก้าอี้ยาวรับแขกหุ้มด้วยหนังลูกวัวสีน้ำตาลเข้มสลับขาวตั้งอยู่ที่มุมหนึ่ง มีโต๊ะไม้เล็กๆเข้าชุดกัน ถัดออกไปเป็นชั้นหนังสือซึ่งอัดแน่นด้วยตำราว่าด้วยเรื่องอัญมณีนานาชนิด สภาพนั้นแม้ไม่ถึงกับรกรุงรัง ทว่าก็ไม่ได้จัดเป็นระเบียบเท่าใดนัก บ่งบอกว่าถูกหยิบใช้เป็นประจำมิได้ตั้งไว้เพียงอวดโชว์ เครื่องประดับเดียวที่มีอยู่เห็นจะเป็นภาพเขียนของศิลปินชื่อดังใส่กรอบทองแขวนอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานไม้ชักเงา ซึ่งบนโต๊ะก็เกลื่อนไปด้วยกองเอกสารและสิ่งละอันพันน้อยต่างๆ 
     
     
    "ให้ข้าทาย ข้อมูลที่ท่านอยากได้คงสำคัญนัก มิเช่นนั้นห้องนี้คงไม่มีวันได้ต้อนรับคนพเนจร"    'คนพเนจร'กวาดสายตามองไปรอบๆพลางกล่าวขึ้นลอยๆด้วยสีหน้าแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน ยากนักที่จะตัดสินว่าถือจริงจังหรือเป็นเพียงคำพูดพล่อย  
     
    "ผิดเรื่องแล้ว ความสำคัญอยู่ที่ว่าเจ้ามีข้อมูลนั้นต่างหากเล่า พ่อค้าข่าว"    เกเบรียลรับโดยสงบ ก่อนจะหันไปสั่งการคนรับใช้สองสามคำ เพียงชั่วครู่เดียวชายในชุดพ่อบ้านก็โผล่กลับมาพร้อมถาดแก้วบรรจุชุดชายามบ่าย ควันร้อนลอยอ้อยอิ่งออกมาจากพวยกาพัดเอาความหอมนุ่มฟุ้งตลบไปทั่วห้อง
     
    เป็นอีกครั้งที่เขาต้องประเมินเด็กตรงหน้านี้ใหม่ ท่าทางของมันบอกชัดว่าไม่ได้"ตื่น"ไปกับความอลังการของคฤหาสถ์หรูหรา ซ้ำกิริยาบางอย่างที่แสดงออกมาเกือบจะเรียกได้ว่าคุ้นชิน 
     
    "นั่งลงแล้วดื่มชาเสียก่อน อย่าให้ตระกูลควอทช์เสียชื่อว่ารับรองแขกไม่ดี แม้ว่าแขกคนนั้นจะเป็นคนพเนจรก็ตาม"    พ่อค้าอัญมณีทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนังลูกวัว ยื่นมือออกมารับถ้วยชาซึ่งคนรับใช้รินส่งให้อย่างรู้หน้าที่ มองชายหนุ่มด้วยสายตามีพลัง ฝ่ายหลังเองเมื่อเห็นว่าตนหมดหนทางเลี่ยงเสียแล้ว จึงยอมทำตามแต่โดยดี ในใจนึกว่าพ่อค้าคนนี้ไม่เลวเลย เพียงครู่เดียวก็ทำให้ตนเสียแต้มไปหนึ่งดอกเสียแล้ว
     
    "ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะยอมขายข่าวให้ท่าน"    เซนาสจิบน้ำชาที่พ่อบ้านรินส่งมาให้อึกหนึ่ง เมื่อเห็นพ่อค้าอัญมณีวางท่าเท่าทันตน คนพเนจรก็ชอบนักที่จะประลอง หมายนักว่าจะเอาแต้มที่เสียไปคืน
     
    หากเป็นพ่อค้าอื่นคงหัวเราะเยาะ แล้วเสนอจำนวนเงินสูงลิ่วตอกใส่หน้านักขายข่าวผมดำเสีย แต่เกเบรียลเป็นนายวาณิชใหญ่ มีหรือที่จะไม่สะดุดกับความนัยที่แฝงอยู่ในความนั้น เขานิ่วหน้าเล็กน้อย ชายวัยกลางคนผ่านงานผ่านเรื่องมามาก รู้ดีว่าจะต้องจัดการกับคนประเภทนี้อย่างไร  ทว่าถึงอย่างนั้น เจ้าหนุ่มรุ่นคราวลูกตรงหน้าก็มีอะไรที่'แตกต่าง'ไปจากคนอื่นๆ น่าสนใจนัก
     
    "แปดเหรียญทองสำหรับคำตอบนี้ ตกลงไหม?"    เขาว่ายิ้มๆ ทำตัวเหมือนเป็นคนขายข่าวเสียเอง นักค้าข้อมูลตัวจริงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยคล้ายคาดไม่ถึงกับคำย้อนนั้น หากชั่วอึดใจเดียวก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะเอื่อยๆ    
     
    "ตอนนี้ข้าไม่มีเงิน...แต่คิดว่าสภาเมืองคงจ่ายให้ข้าไม่น้อยทีเดียวหากข้าสามารถบอกเขาได้ว่าท่านซ่อนทับทิมเถื่อนเลี่ยงภาษีไว้ที่ถ้ำเล็กเลียบทะเลทางทิศใต้"
     
    รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าของพ่อค้าอัญมณีทันที เกเบรียลเม้มปาก มองชายหนุ่มผมดำด้วยสายตาวาวน่ากลัวชั่วอึดใจ ไอ้เด็กนี่วายร้ายนัก ฝีมือมันก็จริงเสียยิ่งกว่าข่าวลือ ชั้นเชิงหรือก็ไม่ด้อยไม่เลวเลย เห็นทีจะเสี่ยงกับมันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเจ้าบ้านเอ่ยถ้อยคำออกมาอีกครั้งจึงเป็นการเปลี่ยนบทสนทนาโดยสิ้นเชิง
     
     
     
    "เซนาส เนราเวล ข้ามีคำถามจะถามเจ้า"    ชายวัยกลางคนเกริ่น วางท่าใหญ่โตคล้ายการโต้เฉือนคมเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เขาโบกมือไล่คนรับใช้ให้ออกไปจากห้อง รอจนแน่ใจว่าประตูถูกหับสนิทดีแล้วจึงกล่าวต่อไป
     
     
    "เดลฟีนาจะทำนายว่าอย่างไรในงานเทศกาลที่ใกล้จะถึงนี้ เจ้ารู้หรือไม่?"    ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของพ่อค้าใหญ่หนักแน่นจริงจัง แสดงชัดว่ามิได้พูดจาอะไรล้อเล่น ถึงกระนั้น เซนาสก็ยังคงเข้าใจว่าหูของตนอาจฝาดไปอยู่นั่นเอง
     
     
                   "หากข้าล่วงรู้คำทำนาย ข้าไปเป็นเดลฟีนาแห่งเดลฟีเสียเองไม่ดีกว่าหรือท่าน"    ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ และเมื่อถูกมองด้วยสายตาปรามก็แกล้งเสทำเป็นก้มปล่อยจิ้งจอกทองในอ้อมแขนลงพื้น ข้างฝ่ายเนธานครั้งผละจากอ้อมกอดมาได้ก็อ้าปากหาว ขดตัวกลมนอนเป็นลูกบอลอยู่แทบเท้าเจ้านายนั่นเอง ใบหูชี้ๆส่ายไปมาเป็นจังหวะคอยรับฟังการสนทนา
     
     
    "ข้าจะจ่ายให้เจ้าสี่สิบหกเหรียญทอง"    นายวาณิชเอ่ยช้าชัด จ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีรัตติกาลของนักค้าข่าว จำนวนเงินนี้นับว่ามหาศาลทีเดียวสำหรับข่าวเล็กๆข่าวหนึ่ง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเฉย ยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างเคย ไม่โต้ตอบอะไรราวกับกำลังใช้ความเงียบเป็นเครื่องต่อรอง 
     
    แต่ในใจเซนาสสงสัยนัก...เกเบรียลเป็นพ่อค้า อะไรที่จ่ายไปย่อมคาดหมายว่าต้องได้กลับคืนมามากกว่าที่เสีย และข้อมูลเพียงแค่นี้เองหรือที่พ่อค้าใหญ่ต้องการยิ่งถึงขนาดนำรถม้าไปรับเขามาจากเมือง ซ้ำยังตีราคาให้เสียสูงลิ่ว?
     
    "ตกลงไหม ว่าอย่างไรเล่า" เจ้าของบ้านเร่ง ฉุดบรรยากาศรอบด้านดิ่งลึกจนรู้สึกอึดอัด  
     
     
    "ข้าเป็นคนค้าข่าว..." ชายหนุ่มเปิดปากขึ้นในที่สุด ด้วยรอยยิ้มน้อยๆที่ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า   
     
     
    "ข่าวสารคือข้อมูล มิใช่คำทำนายอนาคต ข้าเสียใจที่ต้องแจ้งท่านว่าข้าตอบคำถามให้ท่านมิได้"
     
    เกเบรียลแค่นหัวเราะออกมานิดเดียว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคำปฏิเสธคือรูปแบบของการต่อรองชนิดหนึ่ง เจ้านี่ร้ายนัก แต่สำหรับเขาแล้ว เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ข้อมูลที่สำคัญจะทำเงินได้มากกว่าที่จ่ายไปหลายพันหลายหมื่นเหรียญทองนัก
     
    "หกสิบแปดเหรียญทอง"    ชายวัยกลางคนเพิ่มราคาให้อย่างใจป้ำ การเป็นพ่อค้าทำให้เขาใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตคลุกคลีอยู่กับพวกคนค้าข่าว เหตุใดจะไม่รู้ว่าคนจำพวกนี้หิวกระหายเงินเพียงใด และพร้อมเสมอที่จะแลกทุกสิ่งเพื่อมัน
     
    "ไม่ว่าท่านจะเสนอค่าตอบแทนเท่าไหร่ ข้าก็ยังคงขอยืนยันคำตอบเดิมสำหรับ 'คำถามนี้' "    เน้นลงเสียงหนักที่คำสุดท้าย อันที่จริงไม่จำเป็นต้องบอกใบ้เป็นนัยให้แก่คู่สนทนาเลย เพราะเพียงเท่านี้กาเบรียลก็ยิ้มร่า เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ทันที 
     
     
    "ฮ่ะๆๆๆ เจ้านี่มันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชัดๆ เซนาส เนราเวล"    เจ้าบ้านหัวเราะ ท่าทางโล่งใจไม่น้อย สลายบรรยากาศอึดอัดไปในพริบตา 
     
     
    "จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นเนธานหรอกท่าน ไม่ใช่ข้า"   ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มน้อยๆให้กว้างขึ้นนิดหนึ่ง ดูคล้ายกำลังแยกเขี้ยว เอื้อมมือลงไปเกาหลังใบหูให้สุนัขขนทองที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่แทบเท้าของตน
     
     
    "ท่านถามคำถามราคาหกสิบเหรียญทองของท่านมาเถอะ" 
     
    "เช่นนั้น ขุนนางเดลฟีวางแผนจะทำนายอะไร?"    เกเบรียลเร่งเอ่ย และสมใจเมื่อเห็นนักค้าข่าวพยักหน้ารับราวกับจะบอกว่าที่เขาถามนั้นถูกต้องแล้ว
     
    "พวกขุนนางลอบติดต่อกับพ่อค้าข้าวจากต่างแดน ฤดูร่วงปีนี้คงแล้งได้ง่ายกว่าปรกติ "
     
    เซนาสกลั้นหัวเราะ นึกขำ ขุนนางเดลฟีคือคำที่พวกพ่อค้าชอบใช้เรียกเดลฟีนาคนปัจจุบัน เหตุเพราะนักทำนายประจำเมืองมาจากตระกูลขุนนางใหญ่โต และเป็นที่รู้กันดีว่าในเดลฟี นายวาณิชกับเหล่าขุนนางไม่ใคร่จะกินเส้นกันนัก โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์!
     
    "บัดซบจริง!"    เจ้าของบ้านเผลอสบถออกมาอย่างลืมตัว และเมื่อรู้สึกก็เสทำเป็นกระแฮ่มไอกลบเกลื่อน ตีสีหน้าเป็นการเป็นงานขึ้นจริงจัง
     
    "ในถุงนี้เป็นค่าจ้างของเจ้า จะนับเสียก็ได้"    ถุงผ้าดิบเล็กๆมัดด้วยเชือกแน่นหนาถูกโยนส่งให้นักค้าข่าว เซนาสยิ้มรับ บรรจงเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม
     
    "ไม่ตรวจหน่อยจะดีหรือ"    ชายสูงวัยกว่าถาม แต่น้ำเสียงนั้นเกือบเรียกได้ว่าสั่งสอน
     
    "ไม่จำเป็นหรอกท่าน ข้ารู้ว่าข้าเชื่อใจท่านได้"    ดวงตาสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามราตรีมีประกายล้อเลียนระยับ ทำเอาเกเบรียลอดหลุดยิ้มขำออกมาไม่ได้ มันร้ายนักก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับทั้งรักใคร่ระคนเกลียดชังเด็กรุ่นคราวลูกเบื้องหน้า หาได้หรือในเดลฟีที่จะมีคนกล้าท้าทายอำนาจของนายวาณิชใหญ่ประจำเมืองเช่นนี้
     
     
    "จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เซนาส เนราเวล"    ชายวัยกลางคนโคลงหัว กระเซ้าด้วยความเอ็นดู หมดอารมณ์จะชิงไหวชิงพริบกับไอ้เด็กกะล่อนนี่เสียแล้ว    
     
    "ข้ารู้ว่าท่านไม่สบายใจ หากเดลฟีนาทำนายว่าฤดูร่วงปีนี้แล้งนัก ผู้คนจะไม่ทำกสิกรรม รายได้คงไม่ค่อยมี เศรษฐกิจเดลฟีจะย่ำแย่ "    ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ทว่าก็สามารถขยายความคำว่าบัดซบของเกเบรียลออกมาเป็นข้อๆได้อย่างถูกต้องไม่มีที่ผิด
     
    อันที่จริง เซนาสจงใจตกไปคำหนึ่งว่า...แล้วก็จะไม่มีใครมาซื้ออัญมณีของท่าน ไว้
     
     
    เจ้าบ้านขยับจะพูดอะไร ทว่าก็ชะงัก เปลี่ยนเป็นนิ่งเสีย ทำราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
     
    "คราวนี้เป็นทีของพวกขุนนาง ข้าคงทำได้แค่เร่งหาเส้นทางส่งสินค้าไปขายต่างเมืองเพิ่ม"    ครั้งเมื่อกล่าวออกมา น้ำเสียงนั้นก็ปราศจากอำนาจมั่นอกมั่นใจเช่นเคย ติดจะเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ คล้ายเป็นเพียงคำปรารภที่พ่อค้ามีให้กับคนสนิทที่ไว้ใจ ไม่ใช่นักค้าข่าว
     
     
    "เหตุใดท่านถึงยอมแพ้ง่ายเพียงนั้น เดลฟีนายังไม่ทันทำนาย ท่านก็ถอดใจเสียแล้ว"    สิ้นคำ จิ้งจอกทองที่นอนอยู่แทบเท้าก็ช้อนสายตามองนายของมันทันที ประกายสงสัยระคนแปลกใจฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สีม่วงเข้ม เนธานรู้จักนิสัยของเซนาส นักค้าข่าวจะเพียงขายข้อมูลเท่านั้น ทว่าจะไม่เอาตนไปผูกพันธุ์กับผลลัพท์ใด 
     
    "สิ่งใดควรทำก็ทำ สิ่งใดไม่ควรทำก็ไม่ต้องทำ เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใดหรือ"    นายวาณิชโต้ ไม่รุนแรงนัก และไม่ถึงกับไม่พอใจ แต่ก็เสียงดังพอควรทีเดียว
     
    "ความต้องการของท่าน..."    เซนาสเอ่ยช้าๆ รอยยิ้มที่แต้มประดับดวงหน้าเป็นนิจเลือนหายไปแล้ว  
     
    "ท่านต้องการให้เดลฟีนาทำนายว่าอย่างไรเล่า?"
     
     
    เกเบรียลขมวดคิ้ว มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาตำหนิ ไอ้เด็กนี่มันพูดอะไรของมัน เสียสติไปแล้วหรือ แต่เมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิท ชายวัยกลางคนก็รู้...มันตั้งใจจะทำตามที่พูดจริงๆ  
     
    "เจ้าอย่าได้ไปพูดเช่นนี้กับใครอีกเชียว เสียแรงเป็นคนค้าข่าวนัก ไม่เคยได้ยินหรือขุนนางถืออำนาจทหาร จะเอาเจ้าไปตัดหัวเสียเมื่อไหร่ก็ได้ "    นายวาณิชตัดบทห้วนๆ ทว่าก็แฝงความเป็นห่วงเป็นใยชัดจนแม้แต่ตัวเองยังนึกแปลกใจ
     
     
    "ท่านเกเบรียล...ข้า..."    เซนาสไม่ได้นึกไม่ฝันมาก่อนว่าตนจะได้รับน้ำใจจากบุรุษตรงหน้า หากเมื่อได้รับแล้วก็พูดอะไรไม่ออก อึกอักประหนึ่งคล้ายคนมีเรื่องลำบากใจ
     
    เดิมที ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้นายวาณิชเป็นตัวหมากบนกระดาน จะทำให้หญิงนักดูไพ่ขาพิการขึ้นเป็นเดลฟีนานั้นต้องต่อกรกับอำนาจขุนนางอย่างไม่อาจเลี่ยง และอะไรจะปะทะกับอำนาจขุนนางได้อย่างทัดเทียมเล่าถ้ามิใช่พลังของเหล่าพ่อค้าวาณิช
     
    หากเมื่อเห็นพ่อค้าอัญมณีเอ็นดูตนเช่นนี้แล้ว คนพเนจรก็ไม่อยากทำเล่ห์กลใดหลอกลวงอีก
     
     
    "ข้ามีทางแก้จะเสนอให้ท่าน..." พูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็สวนเปรี้ยงขึ้นมาทันที
     
    "ข้ายังไม่ได้ขอซื้อข้อมูลจากเจ้า!"
     
    เซนาสยิ้มเจื่อนลงนิดหนึ่ง ถึงเกเบรียลจะอ่อนลงอย่างไร ทว่าเนื้อแท้แล้วก็ยังเป็นนายวาณิชใหญ่ ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับแผนการค้าของตน
     
    "ถ้าเช่นนั้น ขอข้าพูดในฐานะพ่อค้าเถอะ..."
     
    เจ้าบ้านทำเสียงเหอะในลำคอ แม้จะแสดงท่าทีว่าไม่เต็มใจเท่าใดนักทว่าก็ยอมให้เจ้าเด็กนักค้าข่าวว่าต่อไปแต่โดยดี เซนาสเล่าเรื่องเก่งวิเคราะห์ปัญหาแม่นยำราวกับเป็นนายวาณิชใหญ่ เสนอแผนการมากมาย หากเมื่อทนนิ่งฟังจนจบ เกเบรียลก็พบว่าตนเองกำลังตวาดลั่นใส่หน้าชายหนุ่มผมดำ น้ำเสียงตกใจสุดขีด 
     
    "ล้มขุนนางเดลฟี เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!!"


    ...................................................................................................................................................

    กล่าวสวัสดีอีกครั้ง นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้กล่าวคำนี้ 555+ ในบทนี้จะเห็นพัฒนาของความยาวได้ชัดเจนมาก เพราะวางโครงไว้ตั้งแต่แรกว่าจะให้เป็นเรื่องสั้นประมาณแปดตอนจบ เนื้อหาบทที่เยอะๆจึงยัดเข้ามารวมกันอยู่ในตอนเดียว ดูแล้วก็ไม่ต่างไปจากเรื่องยาวเท่าไหร่เลยแฮะ ฮ่าๆๆๆ

    ขอบคุณที่ยังคงติดตามอ่าน และยังคงขอน้อมรับคำวิจารณ์เช่นเดิม :)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×