ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Delphena--เดลฟีนา (The fool and a sand-castle)

    ลำดับตอนที่ #1 : นักมายากลจากต่างแดน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 149
      1
      17 ก.ย. 54







    แสงสีส้มนวลทอลับเหนือผืนฟ้าเป็นสัญญาณว่าทิวากำลังจะดิ่งลงสู่อ้อมกอดแห่งราตรี เงาดำชะโงกเหนือขุนเขาเปลี่ยนปุยเมฆสีขาวกระจ่างให้กลายเป็นเมฆาสีเทาทึบ ม่านหมอกแห่งความอึมครึมสยายปีกแผ่กางราวกับโอบอุ้มผืนปฐพี นภากว้างทะมึนเงียบดุดันและดิบเถื่อน สีดำของความมืดนั้นกลืนกินได้แม้กระทั่งประกายระยิบระยับของหมู่ดาว ดวงจันทราหวาดกลัวจนต้องเร้นกายหลบซ่อนปิดบังแสงนวลของตนให้มิดชิด
     
    ว่ากันว่า...สีดำของกลางคืนนั้นคือการแสดงความเคารพต่อเจ้าชายแห่งรัตติกาลด้วยความมืดมิดอันเป็นนิรันด์
     

     
    "ทำไมจะต้องโผล่มาตอนกลางคืนทุกทีนะ" 
     
      เสียงบ่นเบาๆอย่างไม่จริงจังนักดังออกมาจากชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อคลุมพเนจรเก่าขาดวิ่นที่อยู่ๆก็ปรากฎกายขึ้นจากความว่างเปล่า เขามีเรือนผมสีดำสนิท อีกทั้งนัยน์ตาทั้งคู่ก็ยังเป็นสีเดียวกัน ใบหน้าที่ซ่อนหลุบอยู่ในแสงเงานั้นดูประหลาดนัก แม้จะสวยหวานเช่นหญิงสาวทว่าก็แฝงไว้ด้วยความกร้าวแกร่งเช่นบุรุษ ทว่าที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือสุนัขจิ้งจอกขนฟูสีทองตัวเล็กในอ้อมแขน
     
    "ไม่เห็นแปลกนี่ เซนาส เนราเวล ก็เหมาะสมกันดีกับรัตติกาลมิใช่หรือ"    คำตอบดังมาจากร่างเล็กของสุนัขจิ้งจอก น้ำเสียงนั้นทั้งประชดและแดกดัน เกือบจะเรียกได้ว่าโมโห แต่ชายหนุ่มรู้จักหมาของตนเองดี แม้พูดถึงขนาดนี้ อ้อมแขนนั้นก็ยังมิได้คลายลง 
     
    "ถ้าฉันเป็นราตรี แล้วนายล่ะ เนธาน...จะเป็นอะไร?"    คนที่ถูกเรียกว่าเซนาส เนราเวล ย้อนนุ่มๆ ประกายขบขันฉายชัดในนัยน์ตาสีดำสนิทเมื่อเจ้าสุนัขจิ้งจอกในอ้อมแขนทำคอแข็ง ตาขวางขึ้นมาทันที ถ้าไม่ติดว่าถูกอุ้มอยู่ ฟันซี่เล็กๆทว่าคมกริบราวใบมีดโกนคงฝังเข้าที่ต้นแขนของชายหนุ่มไปแล้ว
     
    "ขนของนายสีทอง งั้นเป็นดวงจันทร์ไหม"    เจ้านายหนุ่มยังคงชี้ชวน เห็นได้ชัดว่าสนุกกับการกระเซ้าแหย่หมาอารมณ์บูด
     

    "ไม่!"

              เนธานปฎิเสธเสียงห้วน และเมื่อเซนาสถามว่าเป็นดวงจันทร์คอยส่องสว่างไม่ดีอย่างไร มันก็ตอบกลับด้วยการแยกเขี้ยวใส่ ทำท่าจะฝังเขี้ยวลงมากัดเข้าจริงๆ จนชายหนุ่มต้องรีบร้องห้ามเป็นพัลวัน แต่ถึงอย่างไร เสียงร้องห้ามนั้นก็ยังเจือไปด้วยอาการกลั้นหัวเราะ หากมีเค้าหวาดกลัวอยู่บ้าง ก็เป็นความหวาดกลัวที่แกล้งทำทั้งสิ้น
     
    "คนอย่างแกนี่มัน..."    สีหน้าของจิ้งจอกทองแสดงความระอา แม้อยากจะโกรธ แต่เห็นเจ้านายเป็นเสียอย่างนี้แล้วก็โกรธไม่ลง ทว่าท้ายประโยคเสียงกลับหายไปเอาเสียดื้อๆกลายเป็นเสียงคำรามขู่ฮื่อในลำคอ ดวงตาคู่สีทองจ้องเขม็งไปข้างหน้า ขนฟูๆตั้งชันขึ้นราวกับเม่น
     
    ชายหนุ่มเองก็หยุดทำตลกล้อเล่นเช่นกัน รอยยิ้มถูกกลืนหายไปแล้ว เหลือเพียงความจริงจังปรากฎชัดบนใบหน้า นัยน์ตาสีดำสนิททอดมองไปยังทิศเดียวกับสุนัขในอ้อมแขน
     
     

    ก่อนแนวชายป่าเป็นเขตพุ่มไม้ทึบ รกรุงรังตามธรรมชาติ เบียดแน่นจนเห็นเป็นเพียงเงาสีดำ ต่อไปจึงจะเป็นต้นไม้ใหญ่ และหากเข้าลึกลงไป ต้นไม้ก็จะยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น หลังพุ่มไม้ปรากฎเงาที่ไม่ใช่พืชพรรณเคลื่อนไหวกึกกัก เงานั้นเล็ก แม้ไม่ชัดเจน แต่ก็พอมองออกว่าเป็นหัวและแขนทั้งสองข้าง สันนิฐานได้ว่าควรเป็นเด็กมนุษย์
     

    "ใครอยู่ตรงนั้น ออกมา!"   
     
     น้ำเสียงของเซนาสเฉียบขาด หนักแน่นราวกับนายทหาร ทั้งมือข้างที่ว่างก็เอื้อมไปกุมที่ด้ามดาบซึ่งห้อยอยู่ข้างเอว ท่วงท่าจับดาบนั้นดี หากเป็นคนมีฝีมือย่อมมองออกว่าเขาคุ้นเคยกับการใช้อาวุธดังกล่าวเพียงใด 
     
    ...ชายหนุ่มผ่านเรื่องมามาก ทั้งยังเพิ่งมาดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรก แม้คิดว่าเป็นเด็กก็ย่อมไม่มีความไว้ใจ...
     
     
    "หากไม่โผล่หน้ามา ก็ดูซิว่าดาบนี้จะฟันทะลุพุ่มไม้ได้หรือไม่"    มือที่เลื่อนไปจับด้ามดาบกระชับแน่นยิ่งขึ้น สีหน้านั้นดุร้ายนัก ไม่เหลือเค้าคนขี้เล่นอารมณ์ดีเมื่อครู่ เมื่อประกาศชัดว่าจะฟันก็ดูราวกับไม่ลังเลที่จะฟาดฟันลงมาจริงๆ 
     
    "ยะ...อย่านะ "    พุ่มไม้ขยับไหวเพยิบพยาบ เมื่อในที่สุด ผู้ซ่อนก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นนั้นได้อีก เสียงนั้นสั่นพร่าด้วยความหวาดกลัว แม้จะอยู่ไกลจนเห็นเป็นเพียงร่างเงา แต่เงานั้นก็เป็นเงาของหญิงสาวไม่ผิดแน่...ร่างเล็กของเธอโผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้หนา ชูสองแขนขึ้นเหนือศีรษะเป็นสัญลักษณ์สากลว่าไม่คิดสู้
     
     
    "ท่าน..."    พอเห็นอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ชายหนุ่มก็ทอดเสียงอ่อนลง เขาขยับเดินเข้าไปใกล้เธอ ไม่สนใจจิ้งจอกในอ้อมกอดที่ยังคงพองขนขู่ฝ่อแฝ่
     
    "อย่าเข้ามาใกล้นะ!"    เด็กสาวกลับหลับหูหลับตาตวาดลั่น เมื่อตะโกนออกไปแล้วก็หอบหนัก ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว สายตาคู่สีเขียวอ่อนเบิกคว้าง มองชายหนุ่มที่อยู่ห่างไปไม่เกินสิบก้าวราวกับเห็นภูติผีปีศาจ
     
     
    เซนาสยิ้มให้...สีหน้าเกือบจะกลับมาเป็นชายหนุ่มขี้เล่นคนเดิม
     

    "หากข้าทำให้ท่านตกใจ ข้าขอโทษ "    เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทว่าเด็กสาวยังคงถอยหนี เหมือนลูกกวางเห็นสิงโตผู้ล่า
     
    "แกจะไปสนทำไม น่าเบื่อจะตาย"    คำกล่าวนี้เป็นของจิ้งจอกขนฟูในอ้อมแขนที่ใช้ดวงตาคู่สีทองเหลือบมองอย่างดูแคลน หากเจ้านายหนุ่มจุ๊ปากให้หมาของตนเงียบเสีย มันเลยทำหน้ามุ่ย สะบัดหางไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่าสิ่งที่เอ่ยออกไปแล้วย่อมเรียกคืนมาไม่ได้ เนื้อความอาจฟังดูทำร้ายจิตใจนัก แต่ที่ทำให้เด็กสาวตาเบิกโพลง สั่นสะท้านด้วยความกริ่งเกรงยิ่งขึ้นคือความจริงที่ว่าเจ้าสัตว์ขนฟูนั้นพูดได้ตะหาก
     
    "นี่ชื่อเนธาน เป็นจิ้งจอกของข้า ถึงจะแปลกไปบ้าง แต่ก็ไม่มีอันตราย "    เซนาสชูสัตว์เลี้ยงในอ้อมกอดของตนให้อีกฝ่ายดูเก้อๆ พยายามที่จะปลอบอีกฝ่ายให้หายตระหนก
     
    "อีกอย่าง ข้าชื่อเซนาส เนราเวล แล้วท่านเล่า?"    ชายหนุ่มเลิกรุกเดินเข้าไปหาแล้ว ซ้ำยังจัดแจงปลดดาบที่ข้างเอวโยนลงพื้นเสียงดังตุบ แม้สุนัขในมือก็วางแหมะลงที่ข้างดาบ ชูสองแขนที่ว่างเปล่าให้ดูเพื่อประกาศว่าเขาก็ไม่มีอันตรายเช่นกัน
     
    ได้ผล...เด็กสาวเริ่มมีท่าทีสงบมากยิ่งขึ้น ความหวาดหวั่นซึ่งฉายชัดอยู่ในนันย์ตาคู่สีเขียวอ่อนเริ่มอ่อนแสงลง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ไว้ใจเสียทีเดียว
     
     
    "ข้าชื่อเมธโทร คาลินจ์...เมธโทร นักทำนาย"    เธอกระซิบเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาอีก
     
    "ในเมื่อท่านรู้แล้ว จะทำอะไรก็ทำเถิด ผู้มาจากโลกอื่น"
     
     
     
    ถึงตอนนี้...เซนาสเข้าใจอาการหวาดกลัวของเด็กสาวนั้นแล้ว และเมื่อรู้สาเหตุ การแก้นั้นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย
     
     
    "อ้อ..."    เขาลากเสียง ยิ้มแบบที่เคยยิ้มกับหมาของตน ประกายขบขันฉายชัดอยู่ในดวงตาขณะมองเด็กสาวอย่างล้อเลียน
     
    "นี่ท่านเห็นมายากลของข้าด้วยหรือ น่าทึ่งใช่ไหมเล่า พระราชาดินแดนข้างเคียงถึงขนาดยอมจ่ายเงินร้อยเหรียญทองเพื่อจะได้ชมมัน แต่ท่านกลับได้ดูมันฟรีๆ "
     
    เมธโทรเงยหน้าขึ้นมองเขา กล่าวเสียงเบาหวิวตามเดิม ทว่าก็หนักแน่น
     
    "มันไม่ใช่มายากล...ข้าเห็นกับตา ท่านและสัตว์ของท่านเดินออกมาจากหลุมใหญ่กลางอากาศ เมื่อท่านออกมา หลุมนั้นก็หายไป"
     
    "ท่านไม่เชื่อข้าหรือ?"    เซนาสถามยิ้มๆ ใส่ความอ่อนโยนลงไปในน้ำเสียง ทำเหมือนกับครูผู้กำลังสอนเด็กอนุบาล
                    
     
    "เดลฟีเป็นเมืองใหญ่ก็จริง แต่เป็นแหลมยื่นล้ำออกไปในทะเล เมืองข้างเคียงมีเพียงเมืองเดียว และเมืองนั้นไม่มีพระราชา ท่านโกหก"
     
    พอถูกจับได้ว่าปด ชายหนุ่มก็หันไปมองสุนัขของตนราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อถูกทิ้งให้รออยู่ข้างดาบ จิ้งจอกทองก็งอนเสียแล้ว มันนอนหมอบ จงใจหันหลังที่มีแต่ขนหางฟูๆให้  
     
    เขาเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นใดดี หญิงตรงหน้าเขาแม้จะอ่อนแอ ทว่าก็มีปัญญา จะหลอกด้วยกลอื่นๆก็คงโดนจับได้ และตัวเขาเองก็ไม่ปราถนาที่จะทำให้เด็กสาวหวาดระแวงไปมากกว่านี้
     
    "เอาเถอะ หากท่านไม่เชื่อข้า ก็เชื่อในสิ่งที่ตาเจ้าเห็นเสียแล้วกัน "
     
    ไม่รู้เพราะอะไร แต่พอพูดแบบนี้แล้ว เมธโทรก็ดูมีอาการดีขึ้น เธอเลิกสั่นแล้ว ทั้งเมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็ไม่ขยับหนีอีก
     
    พอเข้ามาใกล้...ใกล้จนมิได้มองเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงรูปเงาแล้ว เซนาสจึงได้เห็นนักทำนายเป็นครั้งแรก
     
    เมธโทรเป็นคนงาม เธอสูงไม่มากนัก คะเนเพียงแค่คางของเขาเท่านั้น ผมสีบลอนด์ทองปล่อยยาวล้อมดวงหน้าหวานรับกับดวงตาคู่สีเขียวสด ชวนให้นึกถึงภาพวาดบนผืนผ้าใบ ทว่าเมื่อเลื่อนสายตาจากใบหน้ามายังลำตัว ชายหนุ่มก็เผลอหลุดอุทานออกมาเบาๆ
     
    นักพยากรณ์เบื้องหน้าเขานั้นเป็นคนพิการ แม้พิการไม่มาก...หากไม่สังเกตดูคงไม่รู้ ทว่าก็เป็นคนพิการไม่ผิดแน่ ขาข้างหนึ่งสั้นอีกข้างหนึ่งยาวไม่เท่ากัน เวลาเดินคงลำบาก หากเป็นหนักนักอาจถึงขั้นต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง หรือนี่คือสาเหตุที่ทำให้เด็กสาวไม่ได้วิ่งหนีไปเสียแต่แรก
     
    เซนาสตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง หากยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ถ้อยคำในหัวก็ถูกลบเลือนหายไปด้วยสิ่งหนึ่งที่ยื่นพรวดมาตรงหน้าเขา….      
     
     
    "นี่อะไรหรือ?"  ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่ออยู่ดีๆเด็กสาวก็ล้วงมือเข้าไปนกระเป๋าเสื้อคลุม ล้วงเอาไพ่หนึ่งสำรับออกมาแผ่กางเป็นใบพัดอย่างชำนาญ
     
    "ให้ท่านเลือก เพียงหนึ่งใบ ทำนายโชคชะตา"    เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้ทำรุนแรง เมทโธรจึงเริ่มวางใจ เธอยิ้มให้เซนาส ก่อนเสริมต่อว่า
     
    "ตอบแทนที่ท่านแสดงมายากลให้ข้าดู"
     
    ชายหนุ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาทำให้เด็กสาวแย้มรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น ดูสดใสราวกับดวงตะวัน พอเป็นเช่นนั้นแล้ว เซนาสผู้กลัวว่าเมธโทรจะกลับไปแสดงสีหน้าหวาดผวาแบบเก่าอีกก็รีบสุ่มหยิบไพ่ขึ้นมาใบหนึ่งโดยไว ก่อนจะส่งกลับไปให้เจ้าของเพื่อตีความอนาคต
     

    "เจ้าได้ไพ่รูปคนโง่แน่ะ!"  เด็กสาวอุทาน ในขณะที่จิ้งจอกทองซึ่งนอนหมอบอยู่ไม่ห่างหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่
     
    "หากคนอย่างแกเรียกว่าโง่ ทั้งโลกคงไม่มีใครฉลาด"    เสียงของจิ้งจอกนั้นฟังไม่ออกว่าชื่นชมหรือเยาะเย้ย หากพอได้ยิน เมธโทรนักทำนายก็หันไปมองมันอย่างประหลาดใจ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มซึ่งยิ้มเจื่อนๆ
     
    "ทำนายมาเถอะท่าน อย่าได้ไปสนใจเนธานเลย"
     
     

    ….หญิงสาวนิ่งไปชั่วอึกใจ ก่อนเริ่มร่ายคำพยากรณ์
     
    "ท่านจะก่อกองทราย ก่อเป็นปราสาทงดงาม ท่านจะวางเจ้าหญิงเจ้าชายลงบนปราสาทนั้น แต่กองทรายไม่ยั่งยืน เมื่อน้ำพัดมาก็จะพังทลาย"
     

     เมื่อเอ่ยไปแล้ว เมธโทรก็มีแต่ความไม่แน่ใจ เมื่อครู่นี้เขาอารมณ์ดี และเธอก็อยากให้เขาเป็นเช่นนั้นต่อ แต่คำทำนายนั้นไม่ดีมิ้ใช่หรือ ชายหนุ่มจะคิดอย่างไรเล่า เขาจะทำร้ายเธอหรือไม่ แล้วยังสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นอีก ว่าเขาฉลาดนัก คนฉลาดคงเห็นคำพยากรณ์เป็นเพียงคำเพ้อฝัน คิดว่าเธอดูถูกเขา ไม่ใช่เรื่องดี...
     
    "ฟังดูน่าสนุกดี ข้าจะก่อกองทราย และข้าก็จะสร้างเขื่อน คราวนี้แม้ว่าน้ำจะพัดมา ปราสาททรายของข้าก็ยังคงปลอดภัย"    เซนาสหัวเราะ ยิ้มให้เด็กสาวอย่างล้อเลียน แม้ชายหนุ่มจะยังคงอยู่ในชุดเสื้อคลุมเพนจรเก่าขาดวิ่น ทั้งยังมีดวงตาและผมเป็นสีเดียวกับราตรี แต่เมธโทรก็เริ่มเห็นว่าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่คุกคาม ไม่จับอาวุธหรือตวาดใส่เธออีก แม้เธอจะทำนายไม่ดีก็ยังยิ้มให้ ชายหนุ่มคงเป็นคนดี และเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีแล้ว เด็กสาวก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป
     
    "คำทำนายบอกได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของอนาคต อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นเลย ท่านอย่าได้กังวล" พอเห็นเด็กสาวเป็นห่วง เซนาสก็ไม่มีแก่ใจจะแก้ว่าตนไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น เขายกมือขึ้น ชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเมธโทรไม่ได้หนีอีก ก็วางมือลงบนหัวเธออย่างอ่อนโยน
     
    "ท่านเป็นนักพยากรณ์ที่ดี อย่างน้อยข้าก็เชื่อเช่นนั้น หากจะพูดในอนาคตที่เห็นอีก ท่านเองก็อย่าได้กลัว"
     
    ครั้นเซนาสพูดจบ สีหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนไปราวกับตกใจ ดวงตาคู่สีเขียวอ่อนไหลหลากไปด้วยอารมณ์มากมาย นานมากแล้ว นานมากแล้วที่มีคนบอกว่าเธอเป็นนักพยากรณ์ที่ดี มีคนบอกว่าเธออย่าได้กลัว จนเมื่อความรู้สึกทั้งมวลถูกบิดเขม็งเป็นเกลียว อัดแน่นจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ชั่วขณะหนึ่งนักพยากรณ์ก็ลืมสิ้นทุกสิ่ง ลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นบุรุษ...เป็นคนแปลกหน้า เมธโทรผวาเข้ากอดชายหนุ่มราวกับเพื่อนสนิท ปล่อยโฮออกมาทันที
     
    "ข้า..ข้าพยายาม พยายามแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อที่ข้าทำนาย"   เธอสะอื้น ส่วนเซนาสเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบเก้ๆกังๆ
     
     
    นานเท่านาน ไม่รู้ว่าเวลาไหลผ่านไปเท่าไหร่ ปล่อยให้เด็กสาวร้องจนไม่เหลือเสียง เสื้อคลุมพเนจรสีดำเปียกโชกไปด้วยน้ำตา ชายหนุ่มจึงดันตัวเธอออกอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สีเขียวอ่อนที่บัดนี้แดงก่ำ  
     
    "เอาแบบนี้ไหม..."   เขาทอดเสียงนุ่ม ทำท่าราวกับผู้ใหญ่กำลังล่อให้เด็กน้อยหยุดโยเยด้วยอมยิ้มแท่งสีหวาน
     
    "ท่านไม่ต้องร้องไห้ ข้าเป็นนักมายากล ท่านต้องการอะไร ข้าจะเสกมาให้ท่าน"
     
     
    ความจริงแล้ว เซนาสไม่ได้ตั้งใจจะหมายความจริงจังตามนั้น เขาพูดออกไปเพื่อหมายจะปลอบเด็กสาวให้หายเศร้ามากกว่าอย่างอื่น ชายหนุ่มปลอบคนไม่เก่ง ชินชากับการใส่หน้ากากหลอกลวง ไม่คุ้นเคยกับการแสดงความรู้สึกออกมา หากเมื่อเห็นเมธโทรร้องไห้ไม่หยุด เขาก็ปราถนาที่จะช่วย คนพเนจรที่ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะช่วยได้อย่างไรเล่า นอกจากทำในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด...นั่นคือหลอกลวง
     
    "ท่าน...ท่านเสกให้ข้าได้จริงๆหรือ"  เมธโทรนักทำนายหยุดสะอื้นทันที เสียงนั้นเบาแทบกระซิบ แต่ก็เร่งร้อน เต็มไปด้วยความหวัง ครั้งชายหนุ่มยังคงพยักหน้า เธอก็รีบเล่าความฝันของตนให้ฟังโดยเร็ว
     

    "ข้า..ข้าอยากเป็นเดลฟีนา ท่านช่วยทำให้ข้าเป็นเดลฟีนาได้หรือไม่"
     

    เซนาสไม่ตอบรับหรือปฎิเสธ หากเขาถามต่อไปว่า เดลฟีนาคืออะไรหรือ เมธโทรจึงอธิบายให้ฟังว่า เดลฟีนาคือตำแหน่งผู้พยากรณ์ประจำเมืองเดลฟี คอยทำนายเรื่องสำคัญต่างๆ เช่นปีนี้จะแล้งฝนหรือไม่ ปีนี้ปูปลาในทะเลจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่ 
     
    ยิ่งเล่า เด็กสาวก็ยิ่งเพลินนัก เริ่มแรกก็เป็นเพียงเรื่องของเดลฟีนา ทว่าชายหนุ่มเป็นนักฟังที่ดี สิ่งใดไม่เข้าใจก็ซักถาม สิ่งใดสนุกสนานก็ทำท่าตื่นเต้นไปด้วย ซ้ำยังลากเธอไปนั่งลงข้างๆจิ้งจอกทอง(นอกจากถอนหายใจเสียงดังเฮ้อแล้ว มันก็ไม่ได้ว่าอะไร) เมธโทรจึงเริ่มเล่าถึงวิชาพยากรณ์ เล่าถึงสังคม เล่าถึงเมืองเดลฟี จนต่อไปแม้ชายหนุ่มจะเก็บดาบขึ้นมาเหน็บที่เอวตามเดิม นักทำนายก็ไม่มีความหวาดกลัวอีก เวลาล่วงผ่านจากราตรีจนเข้าสู่ทิวาร ราวกับตกอยู่ในห้วงความฝัน กว่าจะรู้ตัว แสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็โผล่ล้ำเส้นขอบฟ้าเสียแล้ว
     
     
    "ข้าสัญญากับท่าน ในนามของเซนาส เนราเวล นักมายากล "    ชายหนุ่มรับคำเป็นมั่นเหมาะเมื่อเด็กสาวถามว่าจะทำให้เธอเป็นเดลฟีนาได้แน่หรือ เมื่อได้ยินคำสัญญาดังกล่าว นักทำนายเมธโทรก็หัวเราะน่ารักนัก แย้มรอยยิ้มสว่างไสวราวดวงตะวัน เธอบอกว่า หากเซนาสผิดสัญญา เธอจะไปป่าวประกาศว่าเขาเป็นนักมายากลที่แย่ที่สุดในโลก พระราชาไม่ต้องจ่ายทองคำถึงหนึ่งหีบเพื่อเข้าชมหรอก แค่ครึ่งหีบก็พอ แต่พอเธอพูดเช่นนั้น เจ้าจิ้งจอกทองขนฟูก็สวนขึ้นมาว่า ถ้าเป็นเซนาส พระราชาต้องยอมจ่ายทองคำสามหีบเพื่อไล่เขาออกจากเมืองตะหาก
     
    เมธโทร คาลินจ์ เป็นเด็กกำพร้า ซ้ำขาข้างหนึ่งก็ลีบพิการ เมื่อถูกขับออกจากโรงเลี้ยงเด็กแล้วก็เริ่มอาชีกนักทำนายตั้งแต่อายุสิบเอ็ดขวบ เชี่ยวชาญการพยากรณ์โดยสำรับไพ่ และมีชีวิตเช่นเดียวกับนักทำนายทั่วไปในเดลฟี คือมีความเป็นอยู่ขัดสนนัก นอกจากเดลฟีนาแล้ว นักทำนายอื่นๆล้วนถูกเหยียดหยามว่าเป็นอาชีพหลอกเอาเงินจากคนโง่ทั้งสิ้น
     
    เดลฟีนาเป็นตำแหน่งไม่แน่นอน เมื่อเป็นเดลฟีนาต้องทำนาย ต้องบอกอนาคต หากบอกอนาคตไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นเดลฟีนา ถึงอย่างนั้นผู้อยากเป็นเดลฟีนาก็มีนับร้อยนับพัน ทั้งนักทำนายฝัน นักดูลายมือ นักส่องลูกแก้ว และนักพยากรณ์ไพ่ เพราะเป็นเดลฟีนาแล้วมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่โดนดูถูกอีก อำนาจของเดลฟีนายิ่งใหญ่ แม้แต่ผู้ครองเมืองก็ต้องรับฟัง เดลฟีนาทำหน้าที่ตัดสินเรื่องสำคัญต่างๆ เช่นว่าปีนี้ควรสร้างเขื่อนกั้นพายุหรือไม่ หรือควรจัดกองเรือไปติดต่อกับดินแดนอื่นหรือไม่
     
    ทำให้เด็กสาวกำพร้านักพยากรณ์ไพ่ขึ้นไปสู่ตำแหน่งเดลฟีนาหรือ...แม้แต่ตัวเมธโทรเองก็ไม่ได้คิดเชื่อในคำสัญญาของชายหนุ่ม ทว่าถึงอย่างไรเธอก็ขอบคุณเขายิ่งนัก นานแล้วที่เธอไม่ได้หัวเราะอย่างสนุกสนาน ไม่ได้พูดคุยสนิทสนมกับใคร เมื่อได้เล่าระบายปัญหาความในใจออกไปบ้างก็รู้สึกโล่งสบายราวกับโยนศิลาก้อนใหญ่ที่แบกอยู่ทิ้งไป
     

    ดังนั้น เมื่อนักพเนจรเอ่ยปากขอให้เธอช่วยแนะนำที่พักราคาถูก เด็กสาวจึงรับปากอย่างเต็มใจ คิดว่าตนได้ช่วยเหลือเพื่อน ทั้งยังบอกว่าจะช่วยหางานให้อีกด้วย แม้ได้เงินไม่มากนัก แต่ก็คงพอกระเบียดกระเสียด ไม่ต้องกลัวอด เซนาสจึงแกล้งกระเซ้าว่าจะให้ไปทำนายน่ะหรือ ข้าอ่านไพ่ไม่เป็นหรอกนะ เมธโทรจึงค้อนขวัก บอกงอนๆว่านักทำนายในเดลฟีมีมากพอแล้ว คนที่พกดาบไม่ต้องอุตริมาพยากรณ์หรอก
     
    ชายหนุ่มหัวเราะ และกล่าวช้าๆชัดๆว่า...
     
    "เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง งานของข้ามีอย่างเดียว คือทำให้เมธโทร คาลินจ์ ขึ้นไปเป็นเดลฟีนาไงล่ะ! "


    .........................................................................................

    ก่อนอื่นเลย ต้องกล่าวคำว่า 'สวัสดี' 'ขอบคุณ' และ'ยินดีต้อนรับ' สวัสดีทุกท่านที่กำลังอ่านประโยคนี้อยู่ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงประโยคนี้ และยินดีต้อนรับเข้าสู่เรื่องDelphena หากใครอ่านเรื่องหลักของข้าพเจ้าอยู่ "ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท" ข้าพเจ้าก็จะขอเกริ่นนำไว้เลยว่าเรื่องเดลฟีน่านี้จะคนละอารมณ์กับศึกมนตราชนิดฟ้ากับเหว เรื่องนี้จะค่อนข้างหนักกว่ามาก และที่สำคัญ มันไม่ใช่นิยายชนิดรักหวานแหววแต่ประการใด 555+   

    อนึ่ง(ข้าพเจ้าเป็นเด็กนิติ โปรดทำใจกับภาษาแปลกๆ 555) เรื่องเดลฟีนาข้าพเจ้าวางโครงไว้ประมาณเจ็ด-แปดตอนจบ มันไม่ใช่เรื่องสั้น ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องยาวเช่นกัน(เอ๊ะ!หรือมันยาวแล้ว..)

    ยินดีและน้อมรับคำติชมทุกประการ ทั้งนี้ ข้าพเจ้าจะดีใจอย่างยิ่งหากมีผู้ช่วยชี้แนะข้าพเจ้าว่าตรงไหนบ้างที่ควรแก้ไขและตรงไหนที่ควรปรับปรุง >w<


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×