ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #9 : ตลาดยามเช้า (RW)

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 54









    ตลาดยามเช้าตั้งอยู่ใจกลางเมืองฟลอเรนส์ ฟลอเรนส์ไม่ใช่เมืองเจริญ ตรงกันข้าม แม้จะเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับต้นๆของทวีป ทว่าพื้นที่เกินครึ่งค่อนกลับเต็มไปด้วยผืนป่าดงดิบและหุบเขาสลับซับซ้อนและมีเทือกเขาสูงเขียวชอุ่มต่อกันเป็นพรมแดนธรรมชาติที่ตัดเมืองฟลอเรนส์ให้ออกห่างจากความเจริญต่างๆ กระทั่งใจกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการก็ยังคงดูซ่อมซอยิ่งไปเสียกว่าแถบชนบทของบางเมืองเสียอีก อาคารผู้ว่าการก่ออิฐเรียงโย้เย้ ที่นี่ไม่มีโรงพยาบาล มีเพียงสถานีอนามัยเล็กๆซึ่งสร้างด้วยไม้ยกใต้ถุนสูง ไม่มีร้านขายน้ำยาเวทมนต์หรือภัตรคารหรูหรา จะมีก็แต่เพิงเล็กๆขายยาสมุนไพรป่ากับร้านอาหารข้างทางที่เอาไว้ให้กินพออิ่มท้อง ประชาชนที่ขึ้นทะเบียนราษฏรกับทางการมีไม่กี่แสนคน นับว่าน้อยมากสำหรับเมืองขนาดใหญ่เช่นนี้ ทว่าพลเมืองเถื่อนจำพวกชนเผ่าลึกลับซึ่งซ่อนอยู่ในดงป่าดิบนั้น คาดการณ์ว่ามีไม่ต่ำกว่าหลายร้อยชนเผ่าเลยทีเดียว 
     
    แต่ถึงอย่างนั้นตลาดยามเช้าของเมืองฟลอเรนส์กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์มนขลังของวิถีชีวิต เป็นลานลูกรังกว้างซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้าเอาเสื่อเอาผ้ามาปูเป็นแผงลอยวางขายสินค้า คึกคักด้วยรอยยิ้มและเสียงพูดคุยกันจอกแจกจอแจ หอมกลิ่นกาแฟคั่วสดซึ่งนำเข้ามาจากแดนอื่นคละคลุ้งรวมไปกับกลิ่นฉุนของสมุนไพรพื้นบ้าน สัตว์ป่าทั้งเป็นและตายถูกจับใส่กรงหรือแขวนไว้บนตะขอตั้งไว้รอลูกค้า น้ำยาสีแปลกกับเม็ดลูกกลอนใส่กระปุกใสเรียงวางอวดโฉมเป็นทิวแถว ผืนหนัง เขา เขี้ยว กีบเล็บของสัตว์ร้ายถูกนำออกขายในฐานะของเครื่องราง มีกระทั่งแผงขายสินค้าแปลกประหลาดจากชนเผ่าลึกลับสารพัดเผ่าซึ่งอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในป่าดิบ โดยมากสินค้าพวกนี้มักมีราคาสูง เพราะแต่ละชิ้นล้วนเป็นฝีมือประจำเผ่าซึ่งมักเป็นงานชิ้นเยี่ยมการันตีคุณภาพเสมอ รวมไปถึงความยากลำบากของพ่อค้าในการบุกป่าฝ่าดงเพื่อไปรับเอาสินค้าเหล่านี้มาขายด้วย
     
    บ้านของสองพ่อลูกตระกูลเซเบเรียอยู่ลึกเข้าไปในป่าก็จริง แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลความเจริญถึงขนาดจะจัดเข้าไปในอยู่ในหมวดชนเผ่าลึกลับ ทว่าการจะเดินทางมาตลาดยามเช้านั้นก็นับว่าเป็นเรื่องลำบากเอาการ ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อออกเดินทางบุกป่าฝ่าดงเข้าเมืองเพื่อให้ทันเวลาก่อนตลาดวาย เพราะตลาดยามเช้านั้นเช้าสมชื่อ เพียงแค่สายหน่อยตลาดก็วายเสียแล้ว เนื่องจากพวกพ่อค้าแม่ค้านั้นโดยมากไม่ได้เป็นคนธุรกิจ แต่มักจะประกอบสัมมาอาชีวะอื่นประเภทพรานหรือคนเก็บของป่าเสียมาก จริงอยู่ว่าหากใช้ม้ามีปีก ระยะห่างเพียงแค่นั้นชั่วสามสิบนาทีก็ถึง แต่ม้ามีปีกเป็นของมีราคา แพงลิบลิ่วจนมีแต่พวกเศรษฐีเขาใช้กัน ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ทั้งเคชและนายเฮลกัลซึ่งเป็นพวกเกลียดการตกเป็นเป้าสายตาทั้งคู่ก็มักหลีกเลี่ยงที่จะใช้เสมอ อีกอย่าง ระยะทางแค่นี้ก็ใช่ว่าจะไกลนักหนาอะไรสำหรับคนเป็นพราน
     
     
    "เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงเจอกันตรงนี้นะลูก"  ชายวัยกลางคนผมสีน้ำตาลเข้มนัดแนะกับลูกชายซึ่งเหมือนกันอย่างกับโขกพิมพ์เดียวกันออกมา มองเผินๆเหมือนพี่ชายกับน้องชายห่างวัยกันมากกว่าจะเป็นพ่อกับลูก แต่น่าแปลกที่นอกเหนือไปจากสีผมและสีตาแล้ว ไม่เคยมีใครทักว่าเคชเหมือนพ่อสักคน เมื่อตอนที่เขายังเด็ก มักมีแต่คนบอกว่าเขาเหมือน...แค่เหมือน แล้วก็เงียบเสียงไปไม่ก็หัวเราะเสเปลี่ยนเรื่องอื่น คล้ายคนที่กำลังจะเผลอพูดเรื่องมิควรออกมาแล้วกลับนึกขึ้นได้ ทำให้เคชในวัยกำลังเพิ่งรู้ความสงสัยยิ่งนัก ทว่าไม่ว่าจะเซ้าซี้ถามต่อยังไงก็ไม่มีใครยอมบอก หรือถ้ายอมบอก ก็จะบอกแบบโกหกคำโตผสมเย้าแหย่ประเภทที่ว่าเคชเหมือนเจ้าหมาน้อยตกน้ำ   
     
    "ครับ ถ้าผมสามารถต่อราคาของทั้งหมดเสร็จภายในสองชั่วโมง"  คนเป็นลูกรับคำอย่างว่าง่าย แต่ลงท้ายยังมิวายแกล้งหยอก ในมือเด็กหนุ่มถือกระดาษสีขุ่นจดอักษรหวัดขยุกขยิกยาวเหยีด เป็นรายการของที่จำเป็นต้องซื้อสำหรับเข้าไปเรียนในโรงเรียนมหาเวท ส่วนในมือนายเฮลกัลนั้นก็ปรากฎกระดาษสีเดียวกัน จดข้อความยาวเหยียดไม่แพ้กัน ต่างกันที่เป็นลายมือสวยงามราวกับคนอาลักษณ์ เล่นหางตวัดเหมือนจดหมายชนชั้นสูง เขียนรายชื่อหนังสือนับสิบเล่มที่ต้องซื้อเรียงไล่ลงมาเป็นระเบียบเรียบร้อย
     
    "ต่อราคาอะไรกัน ให้ไปตั้งแปดเหรียญทอง"   นายเฮลกัลยิ้มแยกเขี้ยว ก่อนจะรีบผลักไสลูกชายตัวดีให้ไปซื้อของ ซึ่งเจ้าตัวแสบก็หัวเราะร่า ยอมเดินหายเข้าไปในตลาดแต่โดยดี จริงอยู่ที่แปดเหรียญทองนั้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อย แต่ก็ไม่เรียกว่ามากเลยสำหรับรายการของยาวเหยียดเช่นนี้ 
     
     
    เคชเดินไปตามทางผ่านผู้คนที่สวนกันไปมา แต่ละแผงแต่ละร้านตั้งเป็นแถวโย้เย้ เว้นตรงกลางเป็นทางเดินกว้างพอสมควร วันธรรมดาแบบนี้คนไม่มาก ไม่เบียดเสียดเหมือนช่วงมีงานเทศกาล เด็กหนุ่มกวาดสายตามองหาของที่ต้องการไล่ไปตามแผงต่างๆ แวะซื้อบ้าง แวะยิ้มทักทายคนคุ้นเคยบ้าง ไม่เร่งรีบร้อนอะไร อันที่จริง คนเกือบทั้งตลาดรู้จักเขากันทั้งนั้นในฐานะลูกชายของนายเฮลกัลและในฐานะของเคช เซเบเรียผู้นำชื่อเสียงมาให้เมืองด้วยการชนะการแข่งขันยิงปืนรายการใหญ่สามปีซ้อน เนื่องจากชาวฟลอเรนส์กว่าค่อนครึ่งยึดอาชีพเกี่ยวกับป่า นายพรานที่เก่งๆจึงดูจะได้รับการยกย่องยิ่งกว่าขุนนางเสียอีก
     
    ที่สำคัญคือตัวเมืองของฟลอเรนส์เล็กขนาดนี้...ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักมักคุ้นกันทั้งนั้นแหละ
     
     

    เด็กหนุ่มลัดเลาะไปตามแผงต่างๆอย่างชำนาญ รายการบนกระดาษแผ่นน้อยเริ่มถูกขีดฆ่าไปทีละแถบเช่นเดียวกับจำนวนเงินซึ่งร่อยหรอลงเรื่อยๆ เคชนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อต้องผ่านโซนขายสัตว์ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องวุ่นวายของบรรดาสิงสาราสัตว์ทั้งหลายแหล่ทั้งที่อยู่ในกรงและอยู่ในตะแกรงเตรียมเอาไปเชือด พื้นดินแถบนี้เป็นสีแดงก่ำเพราะถูกชโลมไปด้วยเลือดเสมอ เขียงใหญ่นับหลายสิบเขียงวางเรียงเคียงคู่กับหัวสัตว์แขวนห้อยบนตะขอเหล็ก เนื้อและหนังถูกนำชำแหละแยกออกขายชั่งเป็นกิโล โดยมากจะเป็นเนื้อสัตว์ที่นิยมอย่างกวาง แพะภูเขาและหมูป่า ส่วนสัตว์แปลกๆจำพวกกระต่ายมีเขาหรือลิงสองหางมักจะถูกขังแยกไว้อีกส่วน และจะฆ่าต่อเมื่อมีลูกค้าสั่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีลูกอัมเวริน(เสือขาวมีปีก)ที่ปีกยังไม่งอกดีสองสามตัวนอนหลับอยู่ในลังไม้ รอคนมาเลือกซื้อไปเป็นสัตว์เลี้ยง...ไม่ก็สังหารเอาเขี้ยวมาทำยาอีกด้วย ส่วนลังข้างๆมีลูกสิงห์สีน้ำตาลแดงกำลังหมอบเอาสองขาหน้าเกยกันอยู่     
     
     
    ..น่าจะพาไอ้กายกลับมาเยี่ยมบ้าน สามปีแล้วสินะเนี่ย...
     
    พรานป่าผมสีน้ำตาลยุ่งนึกขันๆ มองลูกสิงโตในลังไม้ด้วยสายตาเอ็นดู ภาพความทรงจำในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง ถึงวันแรกที่พบกับสุนัขสีเทาตัวโตสัตว์เลี้ยงของครอบครัวเซเบเรีย
     
    เคชในวัยสิบสามปีกำลังซื้อเนื้อวัวป่าอยู่ที่แผงขายเนื้อ ตั้งใจจะซื้อเยอะหน่อยเพราะใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว ถ้าหิมะตกเมื่อไหร่คงต้องจับเจ่าอยู่ในบ้านหรือที่นายเฮลกัลชอบเรียกล้อๆว่า'จำศีล'ไปชั่วระยะหนึ่ง ถึงจะมีเนื้อหมีตากแห้งรมควันตุนไว้เป็นเสบียงแบบไม่ต้องกลัวอด ทว่าจะให้กินแต่เนื้อชนิดเดียวกันซ้ำเป็นเดือนๆเด็กชายก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน รบเร้าจนคนเป็นพ่อต้องพามาหาซื้อเสบียงตุนเพิ่มที่ตลาดจนได้
     
    ทั้งๆที่ตั้งใจจะซื้อเนื้อครึ่งตัวรวมเครื่องในเพื่อให้ได้ราคาถูกแท้ๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ต่อราคา เคชกลับพบว่าตนเองนั้นพูดคุยกับคนขายไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ว่าจะพยายามตะโกนคุยหรือตะเบ็งเสียงเท่าไหร่ก็จะถูกเสียงหอนโหยหวนของตัวอะไรสักอย่างที่ทั้งแหลมทั้งสูงกลบทับไปหมด มันดังลั่นอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ไม่หยุดไม่หย่อนคล้ายแผ่นเสียงที่เล่นซ้ำไปเรื่อยๆ หนวกหูเป็นที่สุด จนคนทั้งตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนขายสัตว์ต่างต้องนิ่วหน้า พากันสอดส่ายสายตามองหาต้นเสียงกันเลิ่กลั่ก
     
    มันเป็นสุนัข..ไม่ มันเป็นลูกสุนัขป่าขนหนาฟูสีเทา โตพอที่จะหย่านมแล้ว ทว่าก็ยังคงเด็กเกินกว่าที่จะถูกแยกจากแม่ ดังนั้นเมื่อถูกพรากมาอยู่ในกรงไม้ตัวเดียว ถูกล่ามคอด้วยโซ่เส้นเขื่อง เจ้าหมาน้อยจึงเงยหน้าขึ้นอ้าปากส่งเสียงร้องโหยหวน ครางวู้ๆในลำคอมีทั้งเสียงกลางเสียงสูงราวกับนักร้องโซปราโน ตัวคนขายเองก็ได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับอย่างจนปัญญา ส่ายหน้า ยักไหล่ แบมือออกให้คนที่หันมามองเป็นทำนองว่าไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว เพราะเพียงแค่ใครก็ตามแต่ยื่นมือเข้าไปในกรง เจ้าลูกหมาก็เปลี่ยนจากเสียงหอนมาเป็นแยกเขี้ยวคำรามฮื่อ จมูกย่นเป็นสัน ตาวาววับดุร้ายน่ากลัว พร้อมที่จะกระโจนเข้าขย้ำเนื้อมนุษย์ทันที ฟันซี่เล็กทว่าคมกริบราวใบมีดโกน สะกิดนิดเดียวก็ได้เลือดสมสายพันธุ์สัตว์นักล่า
     
    จะว่าไป ชาวฟลอเรนส์ก็ไม่ค่อยชอบหมาป่านัก เพราะเนื้อของมันกินไม่ได้ หนังก็ไม่ค่อยมีราคา แถมยังชอบมาขโมยสัตว์เลี้ยง ลอบฆ่าปศุสัตว์ไปฉีกเนื้อกินบ่อยๆ ดังนั้นเมื่อรำคาญเสียงร้องนั้นหนักเข้า หลายเสียงจึงเสนอให้ฆ่าทิ้งเสีย เพราะต่อให้ขายก็คงไม่มีคนซื้อ ทว่าคนขายกลับไม่ยอม อ้างว่านี่ไม่ใช่หมาป่าธรรมดา แต่เป็นลูกหมาป่ายักษ์ที่อาศัยอยู่ในป่าลึก พอโตเต็มที่แล้วจะให้กว่าหมาป่าธรรมดาทั่วไปถึงสี่ห้าเท่าตัว พอฟังดังนี้แล้ว เสียงสนับสนุนให้รีบฆ่าจึงยิ่งมากขึ้นไปใหญ่ เนื่องจากหากหมาป่าธรรมดาว่าแย่แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าหมาป่าที่ตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นจะมีดีอะไรนอกจากเป็นเรื่องแย่สุดขีด เจ้าหมาสีเทาในกรงขังผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองก็ยังคงตะเบ็งเสียงหอนต่อไปท่ามกลางประชาชาวฟลอเรนส์ซึ่งชักจะมามุงมากขึ้นเรื่อยๆ...และแน่นอนว่าเคชก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น
     
    เด็กชายโมโห ไม่มากนักหรอก ใกล้เคียงกับคำว่าหงุดหงิดแต่ร้ายแรงกว่าหน่อย พ่อนัดเขาไปเจอที่หน้าตลาดตอนเก้าโมง และนี่ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบห้านาทีก็จะถึงเวลานัด เนื้อวัวก็ยังไม่ได้ซื้อ เขาเดินผละจากแผงขายมาก่อนเพราะคุยกับคนขายไม่รู้เรื่อง ในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องไปทำให้ไอ้แหล่งกำเนิดเสียงมันหุบปากลงให้ได้ เพื่อที่เขาจะได้ใช้วาทศิลป์ต่อราคาได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่มาตะเบ็งเสียงตะโกนแข่งกันจนคอแหบคอแห้งนี่ แต่เอาเข้าจริง พอเจอกับต้นกำเนิดเสียงที่ตัวไม่ได้ใหญ่ไปกว่าลูกหมาธรรมดาสักเท่าไหร่นักนั่งหอนแหกปากอยู่ในกรงขัง มีโซ่เส้นโตพันรอบคออยู่ คนเป็นพรานก็เริ่มใจอ่อนยวบอย่างที่ไม่เคยเป็น
     
    เขาชอบหมา ไม่ว่าจะเป็นหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอกก็ชอบ ปกติถ้าเห็นตัวก็มักจะเลี่ยงไม่ยิงอยู่เสมอ ตั้งแต่เด็กเขาเคยรบเร้าให้นายเฮลกัลซื้อหมาล่าเนื้อดีๆมาเลี้ยงสักตัว แต่หมาเชื้อพรานดีๆจำพวกสะกดรอยเก่งกาจกล้าหาญยิ่งกว่าสิงโตก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ดังนั้นจนแล้วจนรอดบ้านของสองพ่อลูกตระกูลเซเบเรียจึงยังไม่เคยมีหมากับเขาสักที
     
    "เท่าไหร่ครับ"  เผลอถามราคาออกไปโดยไม่ทันคิด แถมยังยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่มือเล็กของเด็กชายลอดผ่านซี่กรงไม้ไปสัมผัสเส้นขนสีเทาหยาบชี้โด่เด่ เจ้าลูกหมาป่าก็หยุดร้องครวญครางทันที มันชะงักไปครู่หนึ่งคล้ายไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะยื่นจมูกสีดำชื้นมาแตะมือนั้นเบาๆ ตามมาด้วยลิ้นสากที่ระดมเลียไม่ยั้งท่ามกลางความประหลาดใจของชาวบ้านผู้มามุงดู รวมไปถึงตัวคนขายเองด้วย
     
    "สิบสามเหรียญทอง" คนขายตอบเบาๆ ท่าทางยังตะลึงไม่หาย แต่ทันทีที่ราคาถูกโผล่งออกมา คนที่ตะลึงมากกว่ากลับเป็นเด็กชายผมน้ำตาลเสียนี่ เคชในตอนนั้นได้แต่อุทานสบถคำหยาบอะไรบางอย่างในใจ จริงอยู่ที่ว่าหากเจ้าหมานี่เป็นลูกหมาป่ายักษ์จริง ราคาแค่สิบสามเหรียญทองก็ถูกเหมือนได้เปล่า เพราะหากเอาไปขายในตลาดมืดคงไม่ต่ำกว่าร้อยเหรียญ แต่สำหรับพรานป่าธรรมดาๆจากฟลอเรนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพรานคนนั้นเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบสามปี จำนวนเงินสิบสามเหรียญทองก็ช่างมากมายมหาศาลเหลือเกิน
     
    ...ทว่าเขาก็อยากได้ อยากได้ไอ้ลูกหมาขนเทาตัวนี้จริงๆ...
     
    ทั้งๆที่คิดว่าหมดหวัง นายเฮลกัลพ่อเขาต้องไม่ยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อหมาตัวเดียวแท้ๆ การณ์กลับกลายเป็นว่านายเฮลัลนั้นพอไม่เห็นลูกชายมารอตามที่นัดไว้จึงออกตามหา และเมื่อมาเจอลูกชายตัวดีเกาะติดหนึบอยู่กับกรงหมาแบบไม่ยอมห่าง ตอนแรกเจ้าลูกหมาป่ายักษ์คำรามฮื่อฮ่าใส่เมื่อเห็นนายเฮลกัลเดินเข้าไปใกล้ ทว่าเพียงพรานใหญ่แค่ปรายตามมอง เสียงคำรามฮื่อก็พลันเงียบกริบลงทันทีกลายเป็นเสียงครางอ้อนในลำคอแทน หางเล็กๆเป็นพวงกระดิกพั่บๆๆแบบเดียวกับที่กระดิกให้เคช และเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนสุดขีคของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน คนเป็นพ่อก็เพียงแค่ยิ้ม พูดเปรยว่าไหนว่าอยากได้หมาล่าเนื้อ นั่นมันหมาป่าไม่ใช่หรือไง ครั้งพอรู้ราคาก็เพียงแต่สะดุ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบจ่ายไปโดยไม่ต่อราคาสักคำ เล่นเอาคนเป็นลูกซึ่งก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วโถมตัวเข้ากระโดดกอดพ่อแบบไม่อายสายตาประชาชีเลยทีเดียว
     
    อันที่จริง เคชเพิ่งมานึกขึ้นได้หลังจากที่หอบลูกหมากลับถึงบ้านและพบว่าตนเองลืมซื้อเนื้อวัวนั่นแหละ เพราะเมื่อเขาเอาเนื้อหมีรมควันหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆใส่ชามให้มันกิน เจ้าลูกหมาป่ายักษ์สีเทาซึ่งตอนนี้ถูกตั้งชื่อว่าสกายตามท้องฟ้ายามมีพายุก็ก้มหน้าก้มตากินเอาๆอย่างหิวโหยเอาเป็นเอาตาย ที่แท้สาเหตุที่สกายเลียมือเขาแผล็บๆๆนั้นไม่ใช่เพราะพิศวาสหรือสายสัมพันธ์รักแรกพบอะไรหรอก แต่เป็นเพราะมือของเขาติดกลิ่นเนื้อวัวป่ามาจากตอนเลือกเนื้อตะหาก!
     
    ยิ่งคิดถึงอดีตเคชก็ยิ่งอดอมยิ้มไม่ได้ นี่ถ้าตอนนี้เขาพาไอ้กายมาด้วย มีหวังคนทั้งตลาดไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะจากลูกหมาป่าจอมโวยวายเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้มันกลายเป็นหมาป่าสีเทาร่างยักษ์ที่ตัวโตมหึมาสมคำโฆษณาของคนขายจริงๆ เทียบกันแล้วคงใหญ่กว่าเจ้าลูกสิงห์โตนี่ตอนโตเต็มที่เสียอีก 
     
     
    "เฮ้ย เจ้าหนู มาวันนี้ไม่เอาเนื้อวัวปีหรือไง หรือจะเอาเนื้อหมาป่า"   คนขายเนื้อเจ้าของแผงคนเดิมส่งเสียงทักทายมาแต่ไกลเมื่อเห็นหน้าพรานป่า พลางหัวเราะลงลูกคอเอ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจมุขของตัวเองซึ่งจะเล่นทุกครั้งที่เจอเคช เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างหัวเราะกลับ โบกมือให้หย็อยๆ ย้อนอย่างที่เคยทำมาไม่รู้กี่รอบ ถามแบบนี้มาเขาก็จะตอบแบบนี้กลับล่ะ
     
    "เอาเนื้อคนซักสองโลครับ ไอ้กายเดี๋ยวนี้ชักจะกินจุขึ้นทุกวัน ให้เนื้ออื่นก็ไม่ยอมกินซะด้วย"   
     
    เจ้าของร้านยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม ซึ่งเคชก็เลยถือโอกาศแวะเวียนเข้าไปซื้อเนื้อนกกระทาดงเสียเลย ไหนๆก็จะต้องไปอยู่ประจำที่โรงเรียนมหาเวทแล้ว ขอกินของโปรดให้หนำใจหน่อยเถอะ 
     
     
     

    "ต่อไปก็ดาบ...เอาไปทำไมวะเรา" ผ่านโซนขายสัตว์มาได้แล้วก็ถึงโซนค้าอาวุธ เจ้าตัวดีบ่นพึมพำหลังจากอ่านของรายการเกือบท้ายสุด สองมือเต็มไปด้วยถุงมากมายหลากสีหิ้วพะรุงพะรัง เคชเองก็เช่นเดียวกับพรานป่าโดยทั่วไป คือเชี่ยวชาญการใช้ปืนมากกว่าอาวุธอื่น ถ้าให้ใช้ดาบก็ใช้ได้ แต่คงเอาไว้แค่ป้องกันตัว ไม่ได้เก่งกาจเหมือนอัศวิน ซ้ำโดยมากก็นิยมพกมีดสั้นเนื่องจากคล่องตัวกว่าดาบยาวซึ่งทั้งใหญ่หนักและเทอะทะ
     
    หลังจากตามหามาหลายร้าน เจ้าชายแดนมังกรก็ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ บ้างไม่รูปร่างแปลกตาจนเกินไปก็จะแพงเกินไป หรือไม่ก็คุณภาพแย่เกินกว่าจะยอมกัดฟันซื้อ และในขณะที่กำลังคิดเลื่อนลอยว่าจะเอามีดทำครัวที่บ้าน(ซึ่งใหญ่และหนักพอจะสับกระดูกให้ขาดได้ภายในครั้งเดียว)มาใช้แทนดีไหม ก็เผอิญว่าเหลือบไปเห็นแผงขายดาบซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้ร้านน้ำชาเสียก่อน เป็นแผงเล็กนิดเดียวแบบที่เอาผ้าปูแล้วเอาสินค้ามาวางขาย ซ้ำยังโดนเบียดด้วยชุดโต๊ะเก้าอี้จากร้านน้ำชาจนหากไม่สังเกตดีๆก็คงเดินผ่านไปได้ง่ายๆ
     
    "ลุง ไอ้นี่สองเหรียญทองได้ไหมครับ"   เด็กหนุ่มยิ้มให้กับเจ้าของร้านแบกะดินซึ่งเป็นคนแคระวัยชรารูปร่างเตี้ยแกร็น พลิกดาบในมือดูอย่างสนอกสนใจ มันเป็นดาบยาวน้ำหนักกำลังเหมาะมือ หน้าตาแสนจะธรรมดาไม่มีลวดลายวิจิตรใดๆ แต่จากมือที่เชี่ยวชาญอาวุธก็สามารถบอกได้ว่าโลหะที่ใช้ทำนั้นเป็นของชั้นดี ซ้ำฝีมือคนทำก็ไม่ได้ด้อยเลย
     
    "ไอ้หนู ถ้าอยากได้ของถูกๆก็ไปซื้อดาบสั่วๆโน่น ที่เอ็งกำลังถืออยู่เนี่ยข้าใช้เวลาทำเป็นปี คิดเอ็งแค่ห้าเหรียญทองนี่ถูกสุดๆแล้ว"  คนแคระเผ่านักตีดาบทำหน้าบึ้ง ทว่าน้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้มีแววโกรธเคืองจริงจังนัก แต่จะให้เรียกว่าพอใจเลยก็คงไม่ได้ เพราะบอกราคาไปห้าเหรียญทองแต่กลับถูกต่อราคามาเหลือสอง
    เหรียญทองนี่ก็ออกจะเหลือรับเหมือนกัน
     
    "น่าลุง คนกันเอง ไอ้พรานจนๆอย่างฉันมันจะมีเงินสักเท่าไหร่กันเชียว"   เจ้าตัวดีเริ่มตีลูกอ้อน จริงอยู่ที่ราคาดาบนั้นแพงจนน่าขนลุก หนึ่งเหรียญทองสามารถเลี้ยงดูชาวฟลอเรนส์หนึ่งครอบครัวไปได้นานสองเดือน ทว่ามันก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาจะไปถูกใจเอาอาวุธราคาห้าเหรียญทองเข้า เพราะนิสัยของความเป็นพรานนั้นมันฝังเข้าไปในสายเลือด แล้วนักล่าคนไหนล่ะที่จะปฏิเสธอาวุธชั้นดีซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าได้
     
    "สี่เหรียญทองแล้วกัน"  เจ้าของร้านพอเห็นสายตาเว้าวอนเหมือนลูกหมาลูกแมวก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน ยอมตัดใจหั่นราคาให้ทีเดียวหนึ่งเหรียญทอง
     
    "สามเหรียญละกันนะลุง"   เคชปะเหลาะต่อ ทำเป็นใจป้ำยอมเพิ่มราคาให้ทีเดียวหนึ่งเหรียญทองเหมือนกัน ซึ่งเจ้าของร้านก็ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะกระแทกเสียงตอบ
     
    "เออ!"   คนแคระชราค้อนปะหลับปะเหลือ คว้าเงินที่เจ้าเด็กผมน้ำตาลส่งมาให้เก็บลงกระเป๋าหมับอย่างลวกๆ พึมพำอะไรบางอย่างงึมงำอยู่คนเดียว ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มเชื้อพรานซึ่งหัวเราะน้อยๆอย่างดีใจ และนั่นเองที่ทำให้เจ้าของร้านอดกระตุกยิ้มจางๆตามไปด้วยไม่ได้ ชายชราร่างเตี้ยโคลงหัว แกล้งออกปากไล่เจ้าตัวดีอย่างเอ็นดู
     
    "ไปเลย ไอ้หนู จะไปไหนก็ไป ขืนเอ็งอยู่ต่อมีหวังของข้าราคาตกหมด"
     
    เคชหัวเราะหึหึให้กับคำกล่าวนั้น ฉีกยิ้มสุดกวนก่อนเดินหันหลังจากไปพลางเดาะดาบในมือเล่นด้วยมาดที่ชวนให้เจ้าของร้านอยากกระโดดถีบเป็นยิ่งนัก เด็กบ้าอะไรไม่รู้ ต่อราคาเก่งฉิบหาย!   
     
     

    "เอ้านี่ คทาของเรา"   นายเฮลกัลโยนท่อนวัตถุทรงยาวซึ่งถูกห่อด้วยผ้าขาวบางให้ลูกชายตัวดีซึ่งยกมือขึ้นรับอย่างแม่นยำ ข้างตัวของชายวัยกลางคนนั้นก็มีถุงใบย่อมๆสามสี่ใบวางพะรุงพะรังอยู่ไม่ต่างจากคนเป็นลูก เมื่อเคชแก้ออกดูก็เห็นไม้คทาอันใหญ่สีน้ำตาลอ่อนจนเกือบขาว สลักลวกลายเล็กน้อยพอสวยงาม ดูแล้วคงราคาไม่สูงมากนัก สมฐานะพรานป่าจากฟลอเรนส์ เด็กหนุ่มหมุนเล่นพิจารณาอยู่ชั่วอึดใจก็ห่อเก็บตามเดิม ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพราะถึงแม้ไม้คทาจะนับเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ทว่าศาตร์แห่งมนตราเขาไม่เชี่ยวชาญเอาเสียเลย บอกไม่ได้หรอกว่าไอ้คทานี่ดีหรือไม่อย่างไร ตอนแบ่งกันซื้อของถึงได้โบ้ยให้คนเป็นพ่อเป็นผู้ไปช่วยเลือกซื้อมาให้ ถ้าเป็นปืนสิก็ว่าไปอย่าง
     
    นึกถึงตรงนี้ ประกายในนัย์ตาสีน้ำตาลของเซเบเรียคนลูกก็พลันวาววาบขึ้นทันที เด็กหนุ่มเองก็เช่นเดียวกับพรานป่าโดยทั่วไปคือชอบเล่นปืนยิ่งนัก โดยเฉพาะเคชผู้ซึ่งเป็นถึงผู้ชนะเลิศการแข่งขันยิงปืนประจำเมืองแล้วความชอบปืนนั้นก็ยิ่งใกล้เคียงกับคำว่าหลงใหล พรสวรรค์ในการควบคุมวิถีกระสุนของเขานั้นดูจะสูงยิ่งกว่าพรานอาวุโสเสียอีก แต่ที่แย่ก็คือ ปืนของเขาในตอนนี้เป็นปืนมือสองที่ใช้มาตั้งแต่อายุยังไม่ครบสิบปีดี จนถึงตอนนี้มันก็เก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไงแล้ว ขนาดเอาไปบุกโรงเรียนมหาเวทยังต้องคอยเอาน้ำมันมาหยอดมาเช็ดกันบ่อยๆ
     
    ว่าไปแล้ว...พ่อก็เคยเผลอหลุดปากบอกออกมานี่นาว่าถ้าสอบเข้าได้จะซื้อของขวัญให้อย่างนึง
     
    "พ่อครับ แล้วไหนของขวัญของผมล่ะ"   นึกขึ้นได้ปุ๊บก็รีบทวงทันที ขัดจังหวะนายเฮลกัลได้ทันเวลาก่อนที่คนเป็นพ่อจะหยิบตำราเรียนออกจากถุงมาบรรยายสรรพคุณจนคนเป็นพ่อต้องชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมามองลูกชายตนเองด้วยสายตางุนงง
     
    "ของขวัญที่พ่อบอกว่าจะให้ถ้าผมสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทได้ไง"   เจ้าตัวดีรีบอธิบายให้พ่อฟัง ซึ่งนายเฮลกัลก็พยักหน้ารับ ร้องอ้อเบาๆเป็นเชิงนึกขึ้นได้ ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนให้ลูกชาย มือใหญ่วางแปะลงบนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งไม่เป็นทรงพลางโยกไปมาอย่างเอ็นดู
     
    "แล้วลูกอยากได้อะไรล่ะ"   อันที่จริง ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ชายวัยกลางคนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่น่าถามแบบนี้ออกไปเลย...เพราะได้เสียรู้ลูกชายที่เลี้ยงมากับมือเสียแล้ว  
     
     

    ถัดจากตลาดใจกลางเมือง เดินออกไปไม่ไกลนักคือที่ตั้งของถิ่นค้าอาวุธ ฟลอเรนส์เป็นเมืองป่า เป็นชุมนุมพราน จึงไม่น่าแปลกที่จะมีถนนซักสายอุทิศสองข้างทางให้เป็นที่ตั้งของร้านขายสรรพวุธสังหารนานาชนิด โดยมากเป็นตึกแถวสร้างด้วยไม้ทอดตัวต่อกันเป็นแนวยาว แต่ละร้านมีป้ายชื่อกระดำกระด่างแขวนโย้เย้อยู่ข้างหน้า ด้านหน้าร้านเปิดโล่ง ข้างฝาแขวนสินค้าต่างๆในลักษณะให้ลูกค้ามาเลือกดูเลือกหยิบเอาเองตามประสาชาวบ้าน เพียงไม่กี่ร้านเท่านั้นที่จะมีตู้กระจกใหญ่ตั้งอวดโฉมโชว์ และโดยมากสินค้าที่โชว์นั้นก็มักจะเป็นสินค้าราคาแพงลิบลิ่วชนิดที่คนรายได้ปานกลางก็ยังมิอาจเอื้อม
     
    อย่างเช่น...ปืนไรเฟิลสีดำสนิทไร้เงาซึ่งวางตั้งอยู่บนเบาะรองกำหยี่สีน้ำเงินเข้มเป็นต้น...
     
    "ถ้าลูกนายจะเอา ฉันยกให้ฟรี"   คำประกาศจากเพื่อนสนิทผู้เป็นถึงเจ้าของร้านปืนใหญ่ที่สุดในฟลอเรนส์ เล่นเอานายเฮลกัลสะดุ้ง หันขวับไปมองหน้าคนพูดสลับกับมองลูกชายตัวดีที่กำลังยกปืนขึ้นลูบคลำอย่างถูกอกถูกใจคล้ายหนุ่มที่เพิ่งพบหญิงสาวในฝัน
     
    "ไม่ดีมั้ง สมิธ นายขาดทุนย่อยยับเชียวนา"   พรานวัยกลางคนแยกเขี้ยวยิ้ม โคลงศีรษะน้อยๆยามเหลือบดูป้ายเล็กๆซึ่งเขียนราคาห้าหมื่นเหรียญทองไว้ ไอ้ลูกเขานี่ก็ช่างเหลือเกิน เลือกของแต่ละอย่าง ครั้งก่อนจะเอาหมาก็ราคาสิบสามเหรียญทอง มาคราวนี้จะเอาไรเฟิลราคาห้าหมื่นเหรียญทอง ให้ตายเถอะ ไม่น่าหลวมตัวออกปากไปถามมันเลยว่าอยากได้อะไร แถมเพื่อนเขาก็บ้าพอกัน ของราคาขนาดนี้ดันออกปากว่าจะให้ฟรีเอาซะง่ายๆ 
     
    "ทำไมจะไม่ดี ตั้งแต่ที่เคชมันเอาปืนร้านชั้นไปแข่งชนะสามปีซ้อน ร้านชั้นก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนผลิตปืนกันแทบไม่ทัน อีกอย่าง มันอุตส่าห์สอบเข้าโรงเรียนมหาเวทได้ ต้องให้รางวัลมันหน่อยล่ะ"  เจ้าของร้านปืนหัวเราะชอบอกชอบใจ ก่อนจะเสริมต่อ
     
    "ไอ้ปืนกระบอกนี้น่ะ บอกไว้ก่อนนาว่าไม่ใช่ฝีมือฉัน โซเนลมันเอามาฝากไว้ตั้งแต่สามเดือนก่อน ตอนนี้ก็หายหัวไปไหนอีกแล้วไม่รู้" น้ำเสียงที่พูดถึงนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่ระคนหมั่นไส้ โซเนลที่ว่านี้คือลูกชายคนโตของเจ้าของร้านปืน เป็นกันสมิทฝีมือดีผู้รั้งตำแหน่งว่าที่เจ้าของร้านรุ่นถัดไป เสียแต่ว่าชอบหายไปจากบ้านครั้งละนานๆ นัยว่าออกไปท่องโลกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เทคนิคทำปืน เคชเองก็ไม่ได้เจอเขามาเกือบห้าปีแล้ว  
     
    "ฝีมือพี่โซเนลหรือครับเนี่ย แบบนี้จอห์นมันไม่เจ็บใจตายหรอ"   เคชผิวปากหวิวเบาๆ เขาสนิทสนมกับครอบครัวนี้เป็นอย่างดีจนปกติแล้วสามารถแวะมาขอนอนค้างหรือมาขอข้าวกินได้หน้าตาเฉย ความคุ้นเคยนั้นอยู่ในฐานะที่เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทเจ้าของร้าน และในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทของลูกชายคนรองของเจ้าของร้านที่ชื่อจอห์นด้วย
     
    "เจ็บใจสิ วันที่โซเนลมันเอาปืนมาให้ ไอ้จอห์นถึงกับไม่ยอมหลับยอมนอนหมกตัวอยู่ในโรงหล่อเหล็กทั้งวัน"   คนเป็นพ่อของสองพี่น้องเอ่ยยิ้มๆ สายตายามพูดถึงลูกชายสองคนของตนนั้นส่อประกายภาคภูมิใจ จอห์นนั้นอายุพอๆกับเคช ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้ปึกที่ทั้งเล่นทั้งทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็ก รวมไปถึงต่างก็หลงใหลในอาวุธที่ใช้ลั่นกระสุนสังหารเหมือนกันด้วย แม้ว่าความหลงใหลนั้นจะเป็นในคนละเส้นทางก็ตามที
     
    "ว่าแต่ นี่มันออกไปซื้ออะไหล่ได้สักพักแล้ว คงใกล้จะกลับมาแล้วล่ะมั้ง"   ไม่ทันขาดคำ ประตูกระจกหน้าร้านก็ถูกผลักให้เปิดออกพร้อมการปรากฎตัวของคนที่กำลังโดนพูดถึงอยู่หยกๆ
     
    "กลับมาแล้วคร๊าบบ...อ๊ะ!เคช!!"  เด็กหนุ่มผมสีทองตัดสั้นระต้นคอแบบเดียวกับนายช่างส่วนมากแหกปากตะโกนพลางเดินสวบๆเข้ามาในร้าน เขามีอุปกรณ์ช่างคาดเอวรุงรัง ใบหน้ามอมไปด้วยคราบเหงื่อและปื้นน้ำมันหล่อ ทว่าดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจสภาพของตนเองนัก เพราะพอเห็นเพื่อนรักที่นานๆจะมาเยี่ยมทีก็กระโดดผวาเข้าหา ตวัดแขนทั้งท่อนกอดคอพรานป่ารัดแน่นด้วยความดีใจจนเคชแทบหายใจไม่ออก
     
    "แค่ก..จอห์น นายจะทำให้ฉันหายใจไม่ออก"   เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเอ่ยล้อๆ ผลักเพื่อนออกไปอย่างเย้าแหย่ ประกายในดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นฉายความยินดีออกมาชัดไม่แพ้กัน
     
    "ยอมออกจากดงมาแล้วหรอ ไง มาคราวนี้จะเอาอะไรล่ะ กระสุนหรือเอาไอ้แก่นั่นมาซ่อม"  จอห์นกระเซ้า พยักเพยิดไปทางปืนสีดำคร่ำซึ่งเคชสะพายติดหลังไว้ หากเจ้าตัวดีเพียงแค่หัวเราะ หยิบปืนอีกกระบอกที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นโชว์แทนด้วยท่าทางสุดยืด
     
    "คราวนี้ฉันมาขอรับไอ้นี่ไปตะหาก"   ไรเฟิลสีดำไร้เงาในมือเด็กหนุ่มทำเอาเพื่อนรักถึงกับชะงักไปครู่ใหญ่ ลูกชายกันสมิทโคลงหัว เขารู้จักฝีมือเพื่อนตัวเองดี ถ้าเคชเลือกปืนกระบอกนั้น ก็แสดงว่านั่นต้องเป็นกระบอกที่ดีที่สุดในร้าน...ไม่สิ บางทีอาจจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในฟลอเรนส์
     
    ...และนั่นก็ไม่ใช่ปืนฝีมือของเขา...
     

    "นายเลือกมิเกลหรอเนี่ย สมกับที่เป็นพี่เลยนะ"   แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายจอห์นไม่ได้หมายถึงพรานป่า ทว่าหมายถึงพี่ชายคนโตของเขา โซเนลมีพรสวรรค์ในการสร้างปืนอย่างร้ายกาจแบบเดียวกับที่เคชมีพรสวรรค์ในการใช้มัน พรสวรรค์ที่คนธรรมดาอย่างเขาคงไม่มีวันริไปเทียบฝีมือได้
     
    "มิเกล?"   เคชทวนคำเสียงสูง เขาเข้าใจดีถึงท่าทางการแสดงออกของเพื่อนรัก เข้าใจดีถึงความผิดหวังซึ่งซ่อนอยู่ใต้ความร่าเริงนั้น เข้าใจดีว่าของอย่างนี้มันปลอบกันไม่ได้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือชื่อประหลาดที่ช่างไม่คุ้นหูเอาเสียเลย
     
    "ชื่อปืนในมือนายไงล่ะ พี่น่ะเอามันมาทิ้งไว้ที่นี่ บอกแค่ว่ามันชื่อมิเกล ทำเองกับมือ ใช้เวลาเกือบสิบปีกว่าจะทำเสร็จ ให้ขายห้าหมื่นเหรียญทอง ต่ำกว่านี้ห้ามขาย"   จอห์นอธิบายได้เป็นฉากๆ ในขณะที่นายเฮลกัลพอฟังแล้วก็ต้องลอบยิ้มเจื่อนๆด้วยความเกรงอกเกรงใจเจ้าของร้านเป็นอย่างยิ่ง ให้ขายราคาหมื่นเหรียญทอง ต่ำกว่านี้ห้ามขาย เพราะแบบนี้ถึงให้ฟรีเลยสินะ
     
    "ฉันว่าพี่เองก็คงดีใจถ้ารู้ว่านายเป็นคนได้มันไป"  ช่างปืนหนุ่มพึมพำเบาๆคล้ายตั้งใจจะรำพึงกับตัวเอง ทว่าฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริง ทำราวกับความเศร้าเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
     
    "อ้อใช่ เคช นายจะต้องไปเรียนที่มหาเวทแล้วสิ เดี๋ยวนะ ฉันมีของจะให้"  โดยไม่รอฟังคำตอบหรืออธิบายอะไรเพิ่มเติม จอห์นก็หุนหันผลุบตัววิ่งตึงๆขึ้นไปยังชั้นสองของร้านซึ่งเป็นตัวบ้านทันที เรียกได้ว่าเป็นพวกคิดเร็วทำเร็วขนานแท้จนแม้แต่พรานป่าเองบางครั้งก็ยังตามอารมณ์เพื่อนรักไม่ทัน ไม่นานเขาก็วิ่งโครมครามกลับลงมา ในมือมีวัตถุสีเงินกำอยู่ด้วยกระบอกหนึ่ง
     
    "นายน่ะมันชอบไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายอยู่เรื่อย ฉันเลยสร้างนี่มาให้ งานชิ้นโบว์แดงของฉันเชียวนะ"    คำอธิบายที่มาพร้อมกับปืนพกขนาดเล็กสีเงินที่ถูกยื่นมาตรงหน้า มันเป็นลูกโม่ขนาดหกนัด น้ำหนักเบากว่าปกติเล็กน้อยคงเป็นเพราะยังไม่ได้บรรจุกระสุน จากมือที่ชาญปืนเมื่อรับมาถือแล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่าสัมผัสในมือนี้เป็นโลหะเนื้อดี จริงอยู่ว่ามันด้อยกว่ามิเกลจนเทียบกันไม่ได้ ทว่าก็ยังเป็นปืนที่ดีอยู่นั่นเอง
     
    และที่สำคัญ...มันเป็นปืนที่เพื่อนรักของเขาบรรจงสุดฝีมือทำให้เขาโดยเฉพาะ

     
     
    "ฉันเนี่ยนะชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้นนายเองก็เหมือนกันแหละน่า"  เคชกระเซ้ากลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ตอนแรกการที่จะต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนมหาเวทก็ดูไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าการทิ้งชีวิตพรานป่าไปทำอะไรน่าเบื่อซักไม่กี่ปี่ แต่ยิ่งใกล้วันเปิดเทอมเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกถึงน้ำหนักของสิ่งที่ตนต้องใช้แลกเปลี่ยน การที่ต้องจากเพื่อนรักไปก็คงเป็นหนึ่งในนั้นละมั้ง
     
    เขากับจอห์นเป็นเพื่อนสนิทที่ดูออกจะแปลกในสายตาคนทั่วไปอยู่ไม่น้อย ใช่ แม้เขาจะสามารถเรียกจอห์นได้ว่าเป็นเพื่อนคู่หูที่สนิทสนมด้วยที่สุด และมั่นใจว่าจอห์นเองก็คงคิดแบบเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย เพราะเป็นเพื่อนที่แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย อย่างเก่งก็สองเดือนหน ต่างคนต่างมีชีวิตบนเส้นทางที่แตกต่างกัน เขาเป็นพรานป่า ออกล่าในป่า ป่าทั้งป่าคือเขตแดนของเขา เป็นสิ่งคุ้นเคยต่างจากตัวเมืองที่ให้ความรู้สึกแปลกปลอม ในขณะที่เมืองคือเขตแดนของจอห์น ลูกชายกันสมิธและเจ้าของร้านปืน ทว่าถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน และเคชเองก็รู้ดี วันใดที่เขาเดือดร้อน เขาสามารถเดินเข้าไปหาครอบครัวนี้ได้เสมอ
     
    ครั้งเมื่อกำลังต้องจากเพื่อนรัก จากเขตแดนที่คุ้นเคย จากเมืองฟลอเรนส์ไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่ พรานป่าเองก็ย่อมต้องรู้สึกเศร้าใจไม่น้อยเหมือนกัน ที่ยิ้ม ที่หัวเราะ ส่วนหนึ่งคือการฝืนทำทั้งสิ้นเพื่อมิให้คนอื่นเป็นกังวล
     
    "นายตะหากที่ชอบยุ่ง แล้วลากฉันเข้าไปเอี่ยวด้วย จำตอนไปตีกับไอ้คาร์ลไม่ได้หรือไง"   ช่างทำปืนสรุปด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ไม่ลืมยกตัวอย่างมาสนับสนุนคำพูดของตน เมื่อไม่กี่ปีก่อน พวกเขาเคยก่อวีรกรรมถึงขั้นไปมีเรื่องชกต่อยกับเด็กหน้าประตูร้านเหล้า ตอนแรกก็แค่เรื่องเสียดสีกันธรรมดาตามประสาเด็กหนุ่ม ทว่าหลังจากนั้น ครั้งเห็นเคชทำท่าผละจากไปไม่เล่นด้วย คาร์ลซึ่งเป็นหัวโจกประจำถิ่นก็เลยจัดแจงเรียกบรรดาลูกน้องมาล้อมไว้หมายจะสามัคคีรุมยำสั่งสอน หารู้ไม่ว่าทั้งพรานป่าและช่างปืนที่มาด้วยกันก็ล้วนมีฝีมือติดตัวอยู่ไม่น้อย สองคนหันหลังชนกันและใช้หมัดลุ่นๆนั่นแหละเข้าตะลุมบอนกับคนเจ็ดแปดคน เรื่องจบลงตรงที่ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะเจ้าของร้านเหล้าซึ่งพอได้ยินเสียงเอะอะหน้าร้านเลยโผล่หน้าออกมาดู เมื่อเห็นเด็กรุ่นตีกันจึงจัดการสาดน้ำทั้งถังโครมเข้ากลางวง เอ็ดตะโรเสียงลั่นเกือบไล่ออกยกแก๊งค์ทั้งคนเฝ้าประตูและลูกน้อง ส่วนเคชและจอห์นที่เป็นลูกค้านั้นรอดตัวไป เพียงแค่ตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก ได้แผลปูดเป็นลูกมะนาว และโผล่หน้าไปกินเหล้าที่ร้านนั้นไม่ได้อีกราวสองสัปดาห์เท่านั้น ไม่ได้กลัวคาร์ลจะมาเอาคืนหรอกนะ แต่กลัวเจ้าของร้านเหล้าที่ยังโมโหไม่หายจะส่งสายตาเขียวปัดมองค้อนมาให้ตะหาก
     
     
    "ตอนนั้นไอ้คาร์ลมันหาเรื่องฉันก่อนเถอะ แล้วใครกันที่บอกว่าปากแบบนี้ปล่อยไปทำไม"   เคชเถียงกลับ ส่งผลให้ลูกช่างปืนใหญ่ทำหน้ามุ่ย บ่นอุบอิบ
     
    "ตอนนั้นไอ้ฉันก็นึกว่านายจะหยิบไรเฟิลมาตอกซักนัด ท้าดวลมันไปเลย ใครจะไปรู้ว่านายจะบ้าขนาดไปด่ามันกลับ"
     
    "เออ ต่อไปฉันไม่อยู่แล้ว นายเองก็ระวังไอ้คาร์ลไว้ด้วยละกัน"   พรานป่าเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนรักดังป้าบจนจอห์นครางอู้ ศอกฉับกลับมาทันพลันเช่นกัน โชคดีที่รู้เส้นกันอยู่แล้วเคชจึงกระโดดหลบได้ทันเวลา ศอกหน้าตัดแข็งๆที่หากโดนทีคงเล่นเอาจุกจึงวืดไปอย่างน่าเสียดาย
     
    "คิดว่าฉันเป็นใครกัน คนที่จะเป็นช่างปืนอันดับหนึ่งของฟลอเรนส์เชียวนา กระจอกอย่างไอ้คาร์ล เอาลูกโม่ในมือนายตอกตูมเดียวก็เรียบร้อย"   จอห์นได้ทีคุยโอ่ แต่ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเป็นกันสมิท ซ้ำยังเป็นทายาทเจ้าของร้านปืน ทว่าฝีมือการยิงปืนของเขานั้นเคชให้คำจำกัดความว่าเหลือรับจะสอนจริงๆ
     
    "แล้วนี่นาย...จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ล่ะ" น้ำเสียงนั้นหม่นลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องการลาจาก แม้ว่าตามปกติแล้วพรานป่าจะไม่ค่อยโผล่หน้ามาให้เห็นก็ตามที แต่อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจว่ามันยังอยู่ในฟลอเรนส์ ถ้าอยากไปหาก็แค่บุกป่าซักสามสี่ชั่วโมง หากครั้งนี้มันจะไปยังที่ไกลแสนไกล ไปโรงเรียนมหาเวท...ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่ามันจะสอบเข้าไปได้ โรงเรียนอันดับหนึ่งที่ค่าเทอมแพงลิบลิ่ว แถมการสอบเข้ายังยากระยำ ทว่าผู้ที่สำเร็จการศึกษาออกมานั้นล้วนมีอนาคตที่ดีรออยู่ทั้งสิ้น จอห์นไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าเมื่อเรียนจบแล้ว เคชจะยังคงเป็นเคชคนเดิม...เป็นเพื่อนเขา เป็นพรานป่ามากเล่ห์แห่งฟลอเรนส์คนเดิม
     
    "ไม่รู้สิ คงปิดเทอมใหญ่ปีหน้าเลยละมั้ง"   เจ้าตัวดีส่ายหัวดิก ก่อนจะยักไหล่คล้ายเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ และไม่น่าพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
     
    "เฮ้อ ขอบใจนะจอห์น นายอุตส่าห์ให้ไอ้นี่ฉันแท้ๆ แต่ฉันไม่มีอะไรให้นายเลยแฮะ"  เคชเดาะปืนพกในมือเล่น ขนาดของมันรับกับมือของเขาอย่างเหมาะเจาะ ทั้งไกปืน ตัวด้าม ความยาวลำกล้อง กระทั่งตัวหมุนลูกโม่ นิ้วของเขาสามารถบังคับมันได้อย่างไหลลื่นไม่ติดขัดเลยสักนิด สมแล้วที่เพื่อนบอกว่าสร้างให้เขาโดยเฉพาะ
     
    "ไม่เป็นไร นายสัญญาไว้แล้วนี่ว่าถ้าไอ้กายมีลูกจะยกให้ฉันตัวนึง"  เด็กหนุ่มผมทองยิ้มเผล่ ไม่สนใจสีหน้าปุเลี่ยนๆของคนเป็นพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ มีหมาป่ายักษ์อาศัยอยู่ในร้านขายปืนกลางเมือง..แม้จะเป็นเมืองชนบทอย่างฟลอเรนส์ก็เถอะ แค่คิดสมิธก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
     
    "ไม่ลืมหรอกน่า แต่ต้องรอหาเมียให้มันได้ก่อน ไอ้กายมันเรื่องมาก หมาป่าธรรมดามันก็ไม่สนเสียด้วย" พรานป่ารับรองสัญญาครั้งก่อนของตน แต่จะว่าไป อีกนานแค่ไหนนะกว่าเขาจะหาสุนัขป่ายักษ์อีกตัวให้มาเป็นคู่ชีวิตเจ้าหมาบ้าเลือดของเขาได้ บางทีการบังคับให้สกายสมยอมกับหมาป่าธรรมดาคงเป็นเรื่องง่ายกว่า
     
    "อย่าเชียวนา เสียสายพันธุ์หมด ไว้เดี๋ยวรอพี่โซเนลกลับมาแล้วฉันจะขอพี่ให้ช่วยหาให้ซักตัว"  ทายาทเจ้าของร้านปืนรีบห้าม โบ้ยภาระไปให้พี่ชายคนโตซึ่งตอนนี้ไม่อยู่บ้าน ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าพอกลับมาเมื่อไหร่คงโดนน้องชายมัดมือชกไปโดยปริยาย อีกอย่าง ถ้าฝีมือเก่งขนาดทำปืนราคาห้าหมื่นเหรียญทองออกขายได้ กะอีแค่หมาราคาไม่กี่ร้อยเหรียญทอง โซเนลคงมีปัญญาซื้อให้หรอกน่า 
     
    "แบบนั้นก็ไม่ต้องรอลูกไอ้กายแล้วสิ"  เคชแหย่
     
    "ไม่เอา ก็เดี๋ยวให้พี่โซเนลหาตัวเมียมา ไอ้กายมีลูกเมื่อไหร่นายค่อยให้ฉันตัวนึง เอาตัวที่เหมือนพ่อนะ" จอห์นว่า ที่แท้เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ชอบหมาป่ายักษ์หรอก แต่หลงรักสุนัขของครอบครัวเซเบเรียตะหาก ถ้าจะเลี้ยงหมาซักตัวก็ขอทายาทของมันเนี่ยแหละ    
     
     "นายพูดแบบนี้ได้เพราะนายไม่เคยเลี้ยงไอ้กายตอนเด็กน่ะสิ มันตอนเล็กๆน่ะหมานรกชัดๆ"  สีหน้าของเคชบรรยายความสยดสยองน่าพรั่นพรึงออกมาได้เกินบรรยาย หลังจากที่พาลูกหมาป่ายักษ์เข้าบ้านแล้ว สิ่งเดียวที่มันทำคืออาละวาด ทั้งกัด ทั้งหอน ทั้งเห่า โหวกเหวกโวยวายสารพัด ใครจะเข้าไปจับตัวก็ไม่ได้ แค่เฉียดเข้าไปใกล้ก็คำรามฮื่อ เวลากินก็ตระกรุมตระกรามราวกับตายอดตายอยาก ทำราวกับว่าไอ้ที่เคยกระดิกหางพั่บๆให้นั้นเป็นการเล่นละคร นายเฮลกัลยังไม่เท่าใดนัก เพราะดูเหมือนสกายจะให้ความเกรงใจอยู่บ้าง แต่กับเคชนี่สิ แขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มล้วนเต็มไปด้วยรอยฟันรอยข่วนยับซะไม่มีดีราวกับไปสู้กับแมวป่าด้วยมือเปล่า ดวงหน้าที่พอเรียกได้ว่าดูดีก็มีแต่รอยแผลเต็มไปหมด กว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้ก็เล่นเอางอมไปทั้งคนทั้งหมา เพราะกายกัดที เคชเองก็ทุบอั่กหรือถีบพลั่กไปทีเหมือนกัน เดือดร้อนคนเป็นพ่อที่ต้องคอยมานั่งทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวย
     
    "นี่ เคช ฉันจะยอมให้นายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ"   อยู่ดีๆจอห์นก็เปลี่ยนเรื่อง รวดเร็วจนพรานป่าตามไม่ทัน
     
    "ยอมอะไร?"
     
    "ยอมให้นายใช้ปืนฝีมือคนอื่นน่ะสิ ต่อจากมิเกลแล้ว นายจะใช้ปืนฝีมือใครไม่ได้ทั้งนั้น ยกเว้นของฉัน" คำประกาศแบบมัดมือชกทำเอาเคชเหวอไปครู่หนึ่ง ครั้งพอหายอึ้งแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างสุดกลั้น นี่เจ้าจอห์นเพื่อนเขาพูดแบบนี้ก็เท่ากับประกาศสงครามกับพ่อตัวเองเลยนะเนี่ย แล้วไหนจะพี่โซเนลอีก บอกมาได้ว่าจะเอาชนะช่างทำปืนอัจฉริยะนั่น ช่างบ้าเข้าขั้นจริงๆ
     
    "เอาสิจอห์น ทำให้ได้สิ ปืนที่ดียิ่งกว่ามิเกล เอาให้ดีที่สุดจนแม้มีเหรียญทองเป็นล้านก็ยังซื้อไม่ได้" พรานป่ารับคำ สลัดเสียงหัวเราะและความขี้เล่นไว้เหลือเพียงสัญญาหนักแน่นจริงจัง ถ้าจอห์นพยายามจนสามารถสร้างปืนแบบนั้นขึ้นมาได้ เขาเองก็ต้องพยายามเพื่อให้มีฝีมือคู่ควรจะใช้มันด้วย
     
    "ฮ่าๆๆ งั้นนายก็เตรียมเงินไว้จ่ายค่าปืนด้วยแล้วกัน"   จอห์นยักคิ้ว ส่งยิ้มกว้างมาให้จนพรานป่าสบถอุบ วาดเท้าฝ่าไปให้หมายจะถีบเข้าที่ท้อง แต่กับคนที่รู้เส้นกันดีทำแบบนี้จึงถีบได้เพียงอากาศ ซ้ำยังเรียกเสียงหัวเราะยั่วให้ดังกว่าเดิมด้วยซ้ำ
     
    "เออ เดี๋ยวจะรีบให้ไอ้กายมีเมียแล้วเอาลูกมันมาจ่าย"  เคชแยกเขี้ยวยิ้ม เริ่มหาเรื่องแปลงสินทรัพย์เป็นทุน นี่ถ้าสกายรู้ว่านายน้อยของมันกำลังวางแผนหาภรรยาให้มันคงร้องอิ๋งประท้วงน่าดู
     
    "นายนี่มันต้อนไม่จนจริงๆ"   คนอยากได้ลูกหมามากกว่าเหรียญทองล้านเหรียญโคลงหัว และเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจเจ้าของพ่อของลูกหมาในอนาคตของเขา เด็กหนุ่มจึงจัดแจงแถมกระสุนลูกโม่ให้ด้วยอีกสี่กล่องโตๆ คราวนี้นายเฮลกัลตาเหลือก ยืนกรานว่าถึงยังไงก็ต้องขอจ่ายเงินค่ากระสุนให้ได้ มีเคชคนเดียวละมั้งที่พอเห็นเจ้าของร้านยอมรับเงินที่พ่อเขาจ่าย เจ้าตัวแสบก็เริ่มยิ้มกริ่ม ถือวิสาสะเดินไปหยิบกล่องกระสุนสำหรับไรเฟิลมาอีกสิบกล่อง วางโครมลงตรงหน้านายเฮลกัลที่มีสีหน้าอยากจะฆาตกรรมลูกชายเต็มแก่กับสมิธที่หัวเราะเอาๆชอบอกชอบใจ
     
    "ได้ทีเชียวนะ ไปเรียนหนังสือนะไม่ใช่ไปรบ เอาไปทำไมตั้งเยอะแยะ"  คนเป็นพ่อบ่นพึมพำ แต่ถึงจะบ่นอย่างไรก็ยอมซื้อให้ครบหมดทั้งสิบกล่อง ส่วนเคชนั้นไม่อยากบอกเลยว่าโรงเรียนมหาเวทนี่แค่ตอนสอบเข้ามันก็สนามรบดีๆนี่เอง
     
    "ไปละนะ จอห์น ดูแลตัวเองด้วย ไม่ต้องเศร้าไปหรอกน่า"   ท้ายสุดเมื่อถึงเวลาต้องบอกลาเข้าจริงๆ ตัวคนพูดนั้นก็เอ่ยราวกับต้องการจะปลอบตนเองด้วย และแน่นอนว่าช่างทำปืนที่โดนจี้ใจดำด้วยประโยคเดียวกันก็ต้องรีบร้องปฏิเสธเสียงหลงทันที
     
    "ฉันไม่ได้เศร้าซักหน่อย!"
     
    "ถ้าอย่างนั้น เจอกันปีหน้า นายเองก็ห้ามออกไปตะลอนแบบพี่โซเนลล่ะ ตกลงไหม"  พรานป่ายื่นมือขวาออกไปตรงหน้าเพื่อนรักของตน และจอห์นเองก็ไม่ลังเลเลยที่จะเอื้อมมือมาจับตอบ บีบแน่นครู่หนึ่งคล้ายจะให้คำมั่น
     
    "ได้ นายเองก็อย่าผิดสัญญาแล้วกัน ต้องกลับมาให้ได้ล่ะ"
     
    เคชหัวเราะ ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยพร้อมกัน
     
    "สัญญา!!"
     
     

    ...ถ้าเกิดจอห์นรู้...ถ้าหากเขารู้สักนิดว่าเคชแท้จริงแล้วเป็นลูกครึ่งมังกรผู้เป็นถึงเจ้าชายแห่งเอร์ริเธียร์ หากเขารู้สักนิดว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เขาคงไม่ยอมเรียกร้องให้หมอนั่นกล่าวคำสัญญาแน่ เพราะว่า...มันจะเป็นคำสัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริง...    


    ...............................................................................................................    
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×