ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #8 : หอคอยเเดง(RW)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.23K
      4
      21 มี.ค. 54


      
          

    หอคอยสีเเดงตั้งสูงตระหง่านอยู่เหนือหุบเขา เเสงสว่างจากพระอาทิตย์ยามเช้าที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากหุบเขาสะท้อนตัดกับสีเเดงเข้มปะทะกับสายหมอกสีขาวนวลบริเวณรอบๆ จนดูราวกับมีทะเลสาบล้อมรอบหอคอยเอาไว้ เบื้องล่างหอคอยคือผืนป่ารกทึบขนาดใหญ่จนราวกับผืนท้องทะเลสีเขียวเข้ม หากมองย้อนหลังไปก็จะเห็นทะเลทรายอันเวิ้งว้างอยู่ลิบๆ เเละถ้าใครเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก็จะพบกับร่างของมังกรเพลิงตัวใหญ่บินฝ่าเมฆหมอก ตรงไปยังสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านสีเเดง

     

    และถ้าสังเกตดีๆ...ก็จะเห็นเงาร่างเล็กๆของมนุษย์สองคนอยู่บนหลังมังกรไฟตัวโตด้วย

     

     

    "นั่น มองเห็นยอดหอคอยแดงอยู่ลิบๆแล้ว"  เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมยุ่งสีน้ำตาลเข้มชี้ไม้ชี้มืออย่างตื่นเต้น เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหนาแบบพรานป่า มีปืนไรเฟิลรุ่นโบราณสะพายเฉียงอยู่ที่หลัง สภาพนั้นโทรมทีเดียว ทว่าดวงตาคู่สีอำพันกลับระยับไปด้วยประกายสนุกสนาน

     

    "พวกนายเห็นไหม เฟนริล ดีอัส?"  คนสุดท้ายที่ถูกขานชื่อพยักหน้าเนือยๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าเด็กคนแรก ผมสีเงินนุ่มราวกับเส้นไหม พริ้วไปตามแรงลม ดวงหน้าขาวราวรูปสลักเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆปรากฎ แม้สภาพจะมอมแมมไม่ต่างไปจากเจ้าเด็กคนแรก หากท่วงท่ากิริยานั้นเล่าต่างก็ส่อชัดถึงฐานะสูงศักดิ์

     

    "หากข้าไม่เห็น จะพาพวกเจ้าบินมาถูกได้อย่างไร"  มังกรเพลิงตัวโตที่ชื่อเฟนริลย้อน เกือบกว่าค่อนคืนกับอีกครึ่งวันมาแล้วที่มันกระพือปีกบินพานายเหนือหัวทั้งสองเดินทางมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

     

    "ข้างหน้าเห็นมีผากว้าง ส่งแค่ถึงตรงนั้นก็พอ "  นักมนตราผมเงินออกคำสั่งเสียงเรียบ ดูน่าประหลาดที่มังกรเพลิงผู้แสนอหังการ์ต้องมารับคำสั่งจากมนุษย์บนหลังซึ่งร่างเล็กกว่ากันหลายร้อยเท่า หรือคิดอีกทีมันก็คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ หากมนุษย์ผู้นั้นคือเจ้าชายรัชทายาทแห่งไรอัสนามว่า ดีอัส เรเฟรัส

     

    "ไม่..."  เฟนริลขัดบัญชาหน้าตาเฉย ทั้งยังเร่งความเร็วบินเลยผากว้างไปอีกตะหาก เล่นเอาเจ้าของมังกรหมาดๆชักรู้สึกว่าคิ้วมันกระตุกๆอย่างไรชอบกล ทว่าก่อนที่ทันจะได้โวยวายหรือบรรเลงเวทใส่ไอ้มังกรหัวดื้องี่เง่า (หรือหันมาเล่นงานเจ้าชายมังกรที่นั่งอยู่ข้างๆ) เสียงนั้นก็ได้อธิบายต่อ

     

    "ข้าไม่ถอนสัญญากับท่าน"  มังกรเพลิงลงน้ำหนักเน้นทุกคำ แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ดีอัสก็สามารถจินตนาการได้ถึงประกายเด็ดเดี่ยวในดวงตาคู่สีทับทิมของสัตว์ร้าย และแม้จะกลายเป็นนายท่านได้ไม่ถึงสองวันดี ดีอัสก็คิดว่าตนพอจะรู้จักนิสัยมังกรของตนว่ามันทั้งดื้อทั้งรั้นเพียงใด ที่ร้ายคือการถอนพันธสัญญากระทำได้ทางเดียวคือต้องอาศัยความยินยอมพร้อมใจของทั้งมนุษย์และมังกร

     

    ...และลงถ้าไอ้มังกรงี่เง่านี่บอกว่าจะไม่ยอมถอนสัญญาแล้ว ใครหน้าไหนแม้แต่ตัวเขาเองก็จะถอนสัญญาไม่ได้...

     

    นิ่งเงียบไปราวๆห้านาทีคล้ายเจ้าชายรัชทายาทจะปลงตกกับชะตาชีวิตที่เผลอไปเก็บเอาสัตว์แปลกๆมาเพิ่มภาระให้ตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าดีอัสนึกอะไรอยู่ในห้วงความคิด แต่ถ้าให้ทาย คงเป็นภาพก้อนภาระหนักอึ้งที่หล่นทับลงมาบนหัวละมั้ง แน่ล่ะ ในเมื่อการเป็นเจ้าของมังกรสักตัว ซ้ำยังเป็นมังกรไฟพูดได้แบบเจ้าตัวนี้ ไม่ใช่งานที่เรียกได้ว่าสงบสุขเลยแม้แต่น้อย

     

    "น่า ดีอัส นายเอาดาบไปแทงเฟนริลมันซะขนาดนั้น ก็ต้องรับผิดชอบมันไปน่ะถูกแล้ว " คำปลอบที่ฟังยังไงก็ดูเหมือนคำยั่วถูกส่งมาพร้อมรอยยิ้มเผล่กวนอารมณ์ เข้ากันได้ดีกับเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอของมังกรเพลิงที่ดูจะแปรพรรคไปเสียแล้ว

     

    "เลิกเล่นได้แล้ว คิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ หรือจะบินเข้าไปในหอคอยแดงทั้งๆแบบนี้?" นักดาบผู้เก่งมนตราตัดบท ปรายตามองเจ้าคนชอบแหย่ด้วยสายตาปราม 

     

    "ไม่ต้องห่วงหรอก นายท่าน ถึงมหาเวทจะมีเขตอาคมกางไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายสามารถเข้าไปในโซนอาคารเรียนได้ แต่ในเมื่อท่านทำสัญญากับข้าแล้ว เขตอาคมดังกล่าวก็ไม่มีผลอีกต่อไป"  มังกรเพลิงซึ่งเข้าใจความกังวลของคนเป็นนายไปเสียอีกทางรีบอธิบาย ในขณะที่พรานป่าแห่งฟลอเรนส์ขยับยิ้ม เอามือทุบเกล็ดหนาๆของมังกรเพลิงพลางเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดให้

     

    "ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก เฟนริล แต่เป็นเรื่องที่พวกเราจะปรากฎตัวต่อหน้าเหล่าอาจารย์ในสภาพนี้ตะหาก ใช่ไหม ดีอัส"  ท้ายประโยคเคชหันไปถามเป็นเชิงขอคำรับรอง ดีอัสพยักหน้า ก่อนจะนึกได้ว่ามังกรเพลิงไม่มีวันเห็นกิริยานั้น จึงเปลี่ยนมาเป็นตอบรับเบาๆแทน

     

    ใช่...เฟนริลไม่ใช่มังกรป่า หรือถ้าพูดให้ถูกคือแม้ยังไม่ได้ทำสัญญากับผู้ใดตามกฎหมายแล้วก็ยังคงเป็นสมบัติของโรงเรียนมหาเวท...

     

    "ทำไมจะไปปรากฎตัวไม่ได้ ข้าเลือกท่านเป็นนายด้วยความตั้งใจของข้าเอง แล้วทำไมจะต้องกลัว?" มังกรเพลิงยังคงไม่เข้าใจในฐานะของตน ส่วนดีอัสผู้ซึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มและหนักใจขึ้นเป็นกำลังก็ไม่มีอารมณ์จะมาอธิบายให้มังกรของตัวเองเข้าใจ ครั้งจะหวังพึ่งเคช พรานป่าผู้ควบตำแหน่งรัชทายาทแห่งเมืองมังกรเอร์ริเธียร์ก็ดันพยักหน้าหงึกๆ เออออไปกับสัตว์ร้ายตาสีทับทิมด้วย

     

    "นั่นสิ ดีอัส นายจะคิดมากไปทำไม"

     

    ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าชายผมเงินผู้เหนื่อยเกินกว่าที่จะมาคัดค้านเอาชนะกับหนึ่งมังกรและอีกหนึ่งเทพมังกรที่แสนจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย จึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยเอาเสียดื้อๆ และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเฟนริลสามารถบินทะลุเขตอาคมเข้าไปยังโซนหอคอยแดงต่อหน้าต่อตาเหล่าบรรดาคณาจารย์ทั้งหลายได้จริงๆ จึงได้รับเสียงกรีดร้องเป็นการต้อนรับดังลั่นทีเดียว...

     

     

             .............................................

     

     

    "สองวันกับอีกหกชั่วโมง นับเป็นเวลาที่ไม่เลวเลยนะเนี่ย" ผู้อำนวยการโรงเรียนมหาเวท เกียร์ ทีราดอส กล่าวยิ้มๆในขณะที่เหลือมองดูนาฬิกาข้อมือราคาแพงของตนซึ่งเข็มสั้นเพิ่งชี้อยู่ที่เลขเจ็ดเท่านั้น อันที่จริงเขาก็พอจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าชายแห่งไรอัสคงสามารถมาถึงเส้นชัยได้เป็นอันดับต้นๆ แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือ จะเล่นมาพร้อมกับรัชทายาทแห่งเอร์ริเธียร์ ซ้ำยังขี่มังกรเพลิงมาเสียด้วย!

     

    เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองเป็นผู้สอบเข้าได้เป็นอันดับแรกนั่นเอง แถมเป็นหนึ่งในรอบหลายสิบปีที่ผู้สอบเข้าอันดับแรกจะเป็นโซนหอคอยแดง เมื่อรวมกับเรื่องของเฟนริลด้วยแล้ว จึงไม่น่าแปลกที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะถูกเรียกตัวจากห้องมาแสดงความยินดีและแก้ไขปัญหาเรื่องมังกรโดยด่วน และหลังจากที่จัดประชุมวิสามัญเรียกประชุมคณะอาจารย์ทั้งโรงเรียนที่ไม่มีหน้าที่รักษาเขตอาคมสอบฉุกเฉิน พร้อมด้วยข้อถกเถียงเอ็ดตะโรกันแทบตายกว่าสามชั่วโมง ในที่สุดผลสรุปก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยมติที่ไม่ค่อยเป็นเอกฉันท์เท่าใดนัก ทว่าเกียร์ก็ไม่ได้คิดสนใจนักหรอก เพราะความสนใจของชายวัยกลางคนในยามนี้พุ่งไปยังเด็กหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

     

    ใช่...เด็กหนุ่มสามคน...

     

    "ดีอัส เคช แล้วก็เฟนริล" นัยน์ตาสีม่วงราวกับเมรัยชั้นดีกวาดตามองนักเรียนมหาเวทหมาดๆทีละคน ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เจ้าของนามคนสุดท้าย เด็กหนุ่มผิวขาวร่างสันทัดที่มีเรือนผมสีแดงเพลิงและดวงตาสีเดียวกันซึ่งกำลังจ้องเขากลับอย่างไม่กลัวเกรง

     

    และเมื่อเขาแกล้งเพิ่มจิตสังหารลงไป ก็ได้ยินเสียงขู่คำรามลึกเบาๆอยู่ในลำคอของมังกรที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับร่างมนุษย์ของตนเองเท่าใดนัก

     

    "เฟนริล.." ดีอัสกระซิบปรามมังกรของตน ซึ่งก็ยังคงเป็นมังกรของเขา แม้ว่าผลสรุปจากการประชุมจะทำให้มังกรเพลิงกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มผมแดงก็ตามที

    การประชุมวิสามัญของเหล่าอาจารย์โรงเรียนมหาเวทที่กินเวลากว่าสามชั่วโมง ได้ข้อสรุปออกมาว่าให้กรรมสิทธิ์ในตัวมังกรเพลิงตกเป็นของดีอัส เรเฟรัส ทว่าเนื่องจากทางไรอัสก็ไม่กล้าเสี่ยงให้มีมังกรเพลิงอยู่ในเมืองทั้งๆที่เจ้าของยังคงต้องไปเรียนหนังสืออยู่ที่มหาเวท และทางมหาเวทเองก็ไม่ต้องการให้มีนักเรียนเอามังกรเพลิงมานั่งอยู่ในห้องเรียนด้วย ดังนั้นเฟนริลจึงต้องกลายเป็นผู้เสียสละให้บรรดาครูสอนวิชาเวทมนต์ทั้งโขยงมารวมตัวกันร่ายมนตราชุดใหญ่ ผนึกร่างมังกรให้กลายเป็นเด็กหนุ่มชาวมนุษย์อายุอานามพอๆกับนักเรียนชั้นปีเดียวกัน และไหนๆก็ไหนๆแล้ว ราชาแห่งไรอัสจึงจัดการส่งเฟนริลเข้าเรียนในโรงเรียนมหาเวทด้วยเสียเลย

     

    "เคช เซเบเรีย พรานป่าจากฟลอเรนส์ เจ้าของรางวัลยิงปืนระดับเมืองสามปีซ้อน"  เกียร์ไม่ได้สนใจเสียงขู่ของเฟนริล ความสนใจของเขาเบนกลับมายังเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆแทน ชั่วขณะหนึ่งที่ประกายเห็นใจเกือบเป็นสงสารไหววูบอยู่ในนัยน์ตาของผู้อำนวยการโรงเรียนมหาเวทก่อนมันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

     

    "เหมือน...เหมือนกันจริงๆนั่นแหละ" ชายวัยกลางคนพึมพำเสียงเบาหวิวจนไม่มีใครสามารถจับใจความได้เว้นแต่ตัวคนพูดเอง หากยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไรต่อไป ร่างๆหนึ่งซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นอาจารย์ผู้ดูแลการสอบก็วิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีเร่งร้อน เมื่อเข้ามาใกล้ก็รีบรายงานปนเสียงหอบ

     

    "ท่านครับ มีเด็กมาถึงโซนคฤหาสถ์เทียมเมฆแล้วครับ คราวนี้พาเสือเขี้ยวดาบเข้ามาด้วย"

     

    เกียร์ฟังจบแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ท่าทางราวกับอยากจะพูดว่าปีนี้มันจะอะไรกันนักหนา ก่อนที่จะรีบเรียกคทาประจำตัวขึ้นมาพึมพำเวทบทที่ใช้จนเคยปาก พริบตาร่างของทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนและอาจารย์คุมสอบก็หายวับไปจากที่ตรงนั้น เหลือเพียงอากาศธาตุเบื้องหน้าราวกับที่ตรงนั้นไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดมาก่อน

     

    เด็กทั้งสามคนหันมามองหน้ากัน ก่อนเคชจะเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นก่อนตามเคย

     

    "ฉันว่า..เราไปหาที่นั่งรอดีไหม"

     

    ไม่มีคำปฎิเสธจากเพื่อนทั้งสอง ทว่าท้ายสุดแล้ว สัญชาติญาณของความเป็นพรานก็ทำให้เคชไม่สามารถทนนั่งอยู่เฉยๆโดยไร้จุดหมายได้ จริงอยู่ที่นักล่าที่ดีย่อมเชี่ยวชาญการพรางตัว รอเพื่อล่าและฆ่า แต่การที่เอาแต่นั่งถอนหายใจเพื่อรอผู้เข้าสอบคนอื่นๆนั้นช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อเหลือจะรับจริงๆ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเข้มจึงตัดสินใจลุกไปยืดเส้นยืดสาย สำรวจอาณาบริเวณของโซนหอคอยแดงโดยไม่ลืมที่จะลากมังกรเพลิงผมแดงมาเป็นเพื่อนด้วย

     

    ส่วนดีอัส...ปล่อยให้หมอนั่นขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโตที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนต่อไปเถอะ

     

    โรงเรียนมหาเวทประกอบไปด้วยโซนตึกเรียนสี่โซน แบ่งเป็นโซนหอคอยแดง โซนคฤหาสถ์เทียมเมฆ โซนปราสาทหินผา และโซนถ้ำฟ้าคำราม นอกจากนั้นยังมีโซนประภาคารนภาซึ่งเป็นโซนพิเศษสำหรับอาจารย์ นอกเหนือจากโซนทั้งสี่ล้วนเป็นธรรมชาติดิบเถื่อนล้วนๆไม่มีสิ่งใดเจือปน สิ่งที่แบ่งแยกโซนเรียนออกจากบริเวณอื่นๆของโรงเรียนก็คือเขตอาคมชั้นสูงที่ล้อมรอบโซนต่างๆไว้คล้ายเป็นโดมครอบที่มองไม่เห็น หากเป็นนักเรียนหรืออาจารย์สิ่งนี้ก็ไม่มีความแตกต่างมากนักหรอก ทว่าสำหรับสัตว์อื่นหรือสิ่งมีชีวิตแปลกๆที่อยู่นอกอาณาเขตโซนเรียนแล้ว เขตอาคมดังกล่าวก็เป็นเสมือนป้อมปราการที่กั้นพวกมันไว้คนละโลก

     

    โซนหอคอยแดง...ไม่ได้เป็นโซนที่ดูหรูหราอย่างคฤหาสถ์เทียมเมฆ หรือเข้มแข็งเป็นค่ายทหารอย่างปราสาทหินผา ตัวตึกเรียนเป็นอาคารขนาดใหญ่รูปตัวแอลกับตัวยูสองอาคารเชื่อมติดกันด้วยสะพานคู่ลอยฟ้าในแต่ละชั้น ปล่อยพื้นที่ว่างด้านหน้าและตรงกลางให้เป็นลานหินกว้าง ถัดออกไปเป็นที่ตั้งของหอคอยสูงตระหง่านก่อด้วยอิฐสีแดงเพลิงอันเป็นที่มาของชื่อโซน ความสูงของมันนั้นไม่ได้สูงจนน่าประทับใจเท่าใดนัก ทว่าเป็นไอเวทมนต์จำนวนมหาศาลที่ห่อหุ้มตัวหอคอยอยู่ต่างหากที่ชวนให้รู้สึกตกตะลึงมากกว่ากันหลายเท่า เขตรอบนอกทำเป็นสวนหย่อมขนาดกระทัดรัดซึ่งดูเล็กจิ๋วไปถนัดตาเมื่อเทียบกับไพรทึบซึ่งโอบล้อมอยู่ทุกด้าน ตามปกติไม่ว่าโซนไหนๆก็มักจะมีนักเรียนทั้งหกชั้นปีแน่นขนัดเสมอ ทว่าวันนี้เป็นวันสอบเข้าของนักเรียนชั้นปีหนึ่ง ซ้ำยังเป็นเดือนปิดเทอมของทุกๆชั้นปี ตึกใหญ่จึงว่างจนแทบจะเรียกได้ว่าร้างคน เปิดโอกาศให้เจ้าพวกตัวแสบทั้งสองสำรวจกันเป็นที่สนุกสนาน

     

    หลังจากสำรวจจบหมดครบทุกซอกทุกมุมจนไม่รู้จะทำอะไรนอกจากกลับมานั่งเบื่ออยู่ตามเดิมนั่นแหละ ผู้สอบผ่านลำดับต่อมาของโซนหอคอยแดงก็ปรากฎตัวขึ้นด้วยร่างที่โชกไปด้วยเลือด...

     

    "โนเอล ลีแวร์"  ดีอัสผู้ซึ่งเพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือทฤษฎีเวทมนต์เล่มโตอุทานเบาๆ เป้าสายตานั้นคือเด็กสาวผมสีแดงเพลิงที่กำลังพยุงร่างบาดเจ็บหนักของเด็กสาวผมสีน้ำตาลไว้อย่างทุลักทุเลเต็มแก่ ด้วยตัวคนพยุงเองก็ใช้ว่าจะมีสภาพดีกว่ากันเท่าใดนัก แขนซ้ายตกห้อยเพราะข้อต่อหลุด ตามเนื้อตัวก็เต็มไปด้วยแผลถลอกปอกเปิดน้อยใหญ่

     

    เด็กสาวทั้งคู่ไม่ได้มากันแค่เพียงสองคน เพราะที่เดินตามหลังมาติดๆกันนั้นคือเด็กสาวผมสีทองอ่อนที่บัดนี้ทั่วทั้งตัวถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงก่ำ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดง และท้ายสุดคือเด็กหนุ่มผมสีชาอ่อนเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงที่เคชแสนจะคุ้นหน้า

     

    "เนรัส เรมิงตัน"  พรานป่าแห่งฟลอเรนส์พึมพำขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นคนรู้จัก เป็นเด็กหนุ่มที่เขาพบเมื่อวันแรกของการสอบเข้า แต่ตอนนั้นเขาจำได้ว่าเนรัสอยู่กับเพื่อนอีกคนที่ชื่อเอียรา บีนอฟนี่นา

     

    สภาพของเนรัสแย่ยิ่งกว่าโนเอลเสียอีก เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอเมทิสต์หอบหนักทั้งๆที่มือยังคงถือดาบใหญ่อยู่ในท่าระแวงภัย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหากไม่ได้รับการรักษาแผลรอยกรงเล็บสามรอบกดลึกบริเวณท้องน้อย ดาบนั่นอีกไม่นานคงต้องถูกใช้พยุงกายต่างไม้เท้าแน่ ซึ่งก่อนที่เคชหรือดีอัสจะทันได้เข้าไปทักทายคนรู้จักของตน อาจารย์ประจำโซนหอคอยแดงต่างก็รีบพาเด็กทั้งห้าไปรับมนตรารักษาเสียก่อน จนค่อยยังชั่วกันบ้างแล้ว เนรัสถึงได้เป็นคนแรกที่สังเกตว่าพวกตนไม่ได้มาถึงเป็นกลุ่มแรก

     

    "เคช..นั่นเคชใช่ไหม?" เสียงของเด็กหนุ่มผมสีชาส่อชัดว่าตื่นเต้นดีใจและจำเคชได้เช่นกัน โบกไม้โบกมือให้พรานป่าทั้งๆที่ยังนอนอยู่บนเตียงสนามสีขาว เคชยิ้มรับ รีบวิ่งเข้าไปหาพลางหัวเราะร่า ในขณะที่เจ้าชายผมเงินก็เดินไปคุยกับคนรู้จักของตนเช่นกัน เด็กสาวผมสีเพลิงนามโนเอลซึ่งตอนนี้มีผ้าพันแผลคล้องแขนซ้ายไว้กับคอเมื่อเห็นดีอัสก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย..เล็กน้อยจริงๆ  แต่ท่าทีที่ทั้งคู่แสดงต่อกันก็ยังดูออกว่าไม่ใช่ความสัมพันธ์เพียงผิวเผิน

     

    "นี่โนเอล ชารอน เซนาเรน แล้วก็แดริล" เนรัสผายมือไปทางเพื่อนร่วมทางของเขาทีละคนที่ต่างคนต่างก็ต้องจองเตียงสนามคนละเตียง ยกเว้นเพียงแดริลเด็กหนุ่มอีกคนของกลุ่มที่เพียงแค่นั่งพักบนเก้าอี้เท่านั้น ชารอนคือเด็กสาวผมทองท่าทางขี้อายที่สวมแว่นเลนส์ไร้กรอบ ส่วนเซนาเรนคือเด็กสาวผมน้ำตาลยาวที่โนเอลพยุงมา

     

    "คนผมเงินนั่นดีอัส ส่วนคนผมแดงนั่นเฟนริล" เคชแนะนำเพื่อนร่วมทางของตนบ้าง เด็กหนุ่มผมชาตาม่วงพยักหน้ารับ มองโนเอลกับดีอัสซึ่งดูสนิทสนมกันดีด้วยสายตาสงสัยนิดๆแต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร

     

    "แล้วเอียราล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือไง?" พรานป่าถามต่อถึงเพื่อนอีกคนที่เจอพร้อมกันกับเนรัส คนบนเตียงส่ายหน้าเบาๆ ก่อนอธิบายเพิ่มเติม

     

    "หมอนั่นทรยศ เลยไม่รอดอยู่กลางทางโน่นแน่ะ" เคชพยักหน้ารับหงึกๆเป็นเชิงเข้าใจ แม้ความจริงแล้วจะไม่ได้เข้าใจเลยอะไรเลยก็ตาม แต่แค่รู้ว่าเอียราสอบไม่ผ่านนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา ส่วนเรื่องที่ว่าจะทรยศหรืออะไรนั่น คนเป็นพรานก็ไม่ได้คิดอยากรู้จนถึงขั้นต้องซักไซร้ต่อ ยิ่งเรื่องทำไมถึงมาด้วยกันเป็นกลุ่มห้าคน หรือไปเจออะไรมาบ้างถึงมีสภาพแบบนี้ก็ยิ่งไม่อยากจะถาม 

     

    "ทำไมถึงเลือกหอคอยแดง" คำถามนี้ดังมาจากเตียงข้างๆ เป็นบทสนทนาที่แสนจะเรียบเฉยและไร้อารมณ์ของคู่ชายหญิงที่แม้รู้จักกันก็ทำราวกับไม่ค่อยรู้จักกัน

     

    "ฉันไม่ได้เลือก...แล้วเธอล่ะ" เคชเห็นดีอัสเงียบไปชั่วอึดใจก่อนตอบแบบปัดๆไปให้พ้นตัว ส่วนเด็กสาวผมแดงที่มีผ้าพันแผลคล้องแขนซ้ายอยู่นั้นทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งสำหรับคำถามที่ดูไม่น่ายากเย็นจนถึงขั้นต้องเสียเวลาคิดเลย

     

    "ของฉันสถานการณ์มันพาไป" ตอบสั้นๆแบบปัดเรื่องให้พ้นตัวเช่นกัน หรือบางทีทั้งดีอัสและโนเอลจะเหมือนกันมากกว่าที่คิด ถ้าไม่ติดว่าทั้งรูปร่างหน้าตาสีผมไม่เหมือนกันล่ะก็ บางทีเขาอาจจะคิดว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดคลานตามกันมาก็ได้

     

    ทว่าในขณะที่เคชและเนรัสกำลังเงี่ยงหูฟังบทสนทนาจากเตียงข้างๆอย่างสนอกสนใจนี่เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดห้วงความคิดของเจ้าชายแห่งเอร์ริเธียร์

     

    "อ๊ะ ขอโทษนะครับ คุณคือเคช เซเบเรีย ใช่ไหมครับ?" เมื่อหันไปมอง พรานป่าก็พบกับเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงและนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่กำลังยืนส่งยิ้มน้อยๆมาให้

     

    ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ หมอนี่เข้ามาข้างหลังเราตั้งแต่เมื่อไหร่?!...

     

    "นาย...แดริลสินะ" เคชไม่ตอบ ทว่าย้อนกลับอย่างระแวง จริงอยู่ที่เนรัสเพิ่งบอกชื่อคนตรงหน้าให้ แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยบอกนามสกุลของตนให้เนรัสรู้ด้วย อีกอย่าง คนที่สามารถเข้ามาข้างหลังเขาได้โดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัวแม้แต่น้อย คนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ไหลลื่นและเงียบกริบยิ่งกว่าสัตว์ร้ายจนสัมผัสคนเป็นพรานไม่สามารถรับรู้ คนๆนี้...ฝีมือจัดเข้าขั้นน่ากลัวเลย

     

    "ครับ ผมแดริล ไนท์ คุณเองก็คงเป็นเคช เซเบเรีย" เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีมรกตหัวเราะน้อยๆ เคชไม่นึกชอบประกายในนัยน์ตานั้นเลย แม้ท่าทางภายนอกจะดูสุภาพติดจะถ่อมตน หากสายตากลับเป็นสายตาของคนที่มั่นใจในฝีมือตัวเองสูง และยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะเป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะจางหายไปก็ตาม แต่นั่นก็เป็นประกายคมกริบของนักล่าไม่ผิดแน่                     

     

    "ไม่ต้องระแวงผมถึงขนาดนั้นหรอกครับ ในฐานะที่เป็นผู้เล่นปืนคนนึง ทำไมผมจะไม่รู้จักชื่อคุณที่ชนะการแข่งขันยิ่งปืนรายการใหญ่ถึงสามปีซ้อน"

    แดริลค้อมหัวให้เคชนิดหนึ่งคล้ายขออภัยที่ทำให้ตกใจ ก่อนปลดปืนไรเฟิลยาวที่สะพายบ่าอยู่มาชูให้เห็นจะๆเป็นการรับรองคำพูดของตน มันเป็นไรเฟิลสมัยใหม่ ติดศูนย์กล้องกำลังขยายเหมือนที่เอาไว้ใช้ในสงครามมากกว่าที่จะเอามาใช้บุกป่าหอคอยแดง รูปทรงของมันเพรียวกว่าเจ้าปืนเก่าคร่ำคู่มือของเคช บรรจุกระสุนได้มากกว่า และอัตรายิงต่อนัดคงเร็วกว่าชนิดเทียบไม่ติด แต่ขนาดกระสุนที่ใช้กลับเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด เป็นปืนที่เกิดมาเพื่อล่ามนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ร้าย

     

    "ถ้าเป็นนักเล่นปืน แล้วทำไมถึงเอาไรเฟิลสงครามมาบุกป่า หรือนายคิดจะจะล่าใครมาตั้งแต่แรก" น้ำเสียงของเคชเย็นชาและยังไม่คลายความระแวงลง ในขณะที่เนรัสกำลังพยายามบอกทั้งสองฝ่ายให้ใจเย็นๆ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเขา

     

    "ถ้าผมคิดจะล่าจริง ผมคงไม่มากับเพื่อนร่วมทางทั้งสี่คนหรอกครับ" เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆประดับดวงหน้า จริงอยู่ที่เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ทว่าความงามนั้นเมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ชายด้วยกันอย่างเคชแล้วก็เป็นอันไร้ประโยชน์ พรานป่ายังคงนิ่วหน้า สายตาส่อชัดว่าไม่ไว้ใจ และในดวงตาสีน้ำตาลก็ดูเหมือนจะปรากฎแววคุกรุ่นอยู่ไม่น้อย

     

    "อ๊ะ!มีคนมาถึงอีกคนแล้ว!!"   เสียงอุทานของเด็กสาวสักคนหนึ่งดังขึ้น ช่วยทำลายบรรยากาศตึงเครียดที่อาจจะนำไปสู่การปะทะระหว่างเด็กหนุ่มผู้ใช้ปืนทั้งสองได้ทันท่วงที เพราะทั้งเคชและแดริลต่างหันขวับไปยังแนวชายป่าทันที

     

    ...ไม่รู้ว่าร่างนั้นจะเรียกว่าคนได้ไหม และถึงเรียกว่าคนได้ มันก็ไม่ใช่'อีกคน'ด้วย...

     

    หมาป่า...หมาป่าร่างยักษ์ที่ตัวยาวเกือบสองเมตร ขนสีดำขลับเป็นมันปกคลุมทั่วตัว หูรูปสามเหลี่ยมชี้ตั้งมีรอยถูกขย้ำจมเขี้ยว หางเป็นพวงสวยอาบไปด้วยของเหลวสีแดงก่ำเช่นเดียวกับขาทั้งสี่และบาดแผลเปิดลึกถึงกระดูกบริเวณสีข้างขวา ส่วนเท้าหน้าซ้ายห้อยร่อแร่ทำให้เวลาเดินต้องโขยกก้าวด้วยเท้าเพียงสามข้าง แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือก้อนขนฟูสีส้มปนแดงซึ่งถูกคาบอยู่ในปากของมัน และเมื่อมองเพ่งดูดีๆ ก็จะเห็นว่าก้อนปุยนั้นไม่ได้เป็นเพียงกองขน ทว่าเป็นแมวเปอร์เซียสีส้มสดร่างโชกเลือดซึ่งกำลังส่งเสียงครางเบาๆอย่างน่าเวทนา

     

    อันที่จริง ดีอัสเกือบจะพุ่งเข้าไปช่วยแมวที่กำลังจะถูกหมาป่าฆาตกรรมอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าวินาทีที่เจ้าหมาขนดำร่างยักษ์ล่วงผ่านเขตอาคมเข้ามาได้ มันก็ปล่อยก้อนขมกลมฟูในปากแหมะลงมากองอยู่ที่พื้น เห็นได้ชัดว่าเปอร์เซียน้อยกระดูกซี่โครงหักทิ่มออกมานอกเนื้อและมีเลือดไหลรินจากบาดแผลไม่ขาดสาย ทว่านอกเหนือจากนั้นแล้วล้วนไม่มีบาดแผลอื่นใดอีก ไม่มีแม้กระทั่งรอยคมเขี้ยวของหมาป่าที่ใหญ่พอจะกลืนแมวเข้าไปได้ทั้งคำ ซึ่งพร้อมกันนั้นสุนัขป่าก็กลายร่างเป็นมนุษย์วัยรุ่นที่มีผมและตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีขน รวมไปถึงหูกับหางซึ่งยังคงมีอยู่แม้จะกลับมาเป็นโฮโมซาเปี้ยนแล้วก็ตาม สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดยามก้มตัวลงไปดูอาการของเพื่อนพลางพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ

     

    เหล่าอาจารย์รีบวิ่งเข้าไปช่วยร่ายมนต์รักษาตามระเบียบ ทีแรกเจ้าหมาป่าปฏิเสธการรักษา บอกให้รีบช่วยเรเซีย(ชื่อแมวเปอร์เซียสีส้ม)ก่อน ทว่ากลับถูกอาจารย์จับให้นั่งนิ่งๆและโดนว่าไปหลายคำ เพราะสภาพของเจ้าตัวนั้นดูจะแย่กว่าแมวน้อยเสียอีก ในขณะเดียวกันเปอร์เซียสีส้มที่มองเผินๆคล้ายก้อนขนฟูเปื้อนเลือด เมื่อได้รับการพยาบาลไปได้ครู่หนึ่งก็ดูเหมือนจะอาการดีขึ้น เสียงครางด้วยความเจ็บปวดเงียบหายไปและเหมือนจะมีแรงพอที่จะเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์

     

    เรเชียในร่างมนุษย์เป็นเด็กสาวตัวเล็ก เท่าที่กะประมาณเอาคร่าวๆส่วนสูงคงจะเตี้ยกว่าโนเอลหลายนิ้ว ผมยาวมัดเป็นหางม้าสองข้างเป็นสีส้มสดเช่นเดียวกับสีนัยน์ตา และยังคงมีหูรูปสามเหลี่ยมอยู่บนหัวกับหางยาวนุ่มฟูเหมือนร่างแมว หากไม่ได้บาดเจ็บหนักจนต้องนอนซมขนาดนี้ เคชก็เชื่อว่ายามปกติเธอต้องเป็นเด็กสาวที่ขี้เล่นเอาการทีเดียว

     

    "ฉันชื่อเคล ส่วนยัยนั่นชื่อเรเซีย" หมาป่าหนุ่มตอบห้วนๆเมื่อเนรัสเข้าไปทักทายด้วย ท่าทางเจ้าตัวจะดูไม่ค่อยสบอารมณ์กับผ้าพันแผลสีขาวซึ่งคล้องบริเวณแขนซ้ายและเฝือกตรงขาขวาเท่าใดนัก ใบหน้าที่รกไปด้วยเส้นผมสีดำยุ่งปัดลงมาปรกลูกตาบึ้งสนิท ราวกับว่าการที่สอบผ่านเข้ามาเป็นนักเรียนมหาเวทได้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยแม้แต่น้อย

     

    "น่าแปลกนะครับที่เผ่าสุนัขป่าแบบคุณยอมช่วยศัตรูตามธรรมชาติอย่างแมวเปอร์เซียร์" แดริลเอ่ยยิ้มๆ ฟังดูกึ่งกระเซ้าแหย่มากกว่าจะคิดหาเรื่อง เพราะดวงตาสีมรกตของเด็กหนุ่มผมน้ำตาลแดงนั้นแสดงความเป็นมิตรด้วยชัดเจน

     

    "เฮ่อะ!ยังไงซะสัญญาก็ต้องเป็นสัญญานี่" เคลพึมพำอุบอิบในลำคอ นอกจากเจ้าตัวกับเด็กสาวหูแมวแล้วคงไม่มีใครเข้าใจว่าสัญญาที่ว่านั้นหมายถึงเรื่องอะไร 

     

    หลังจากนั้นด้วยความที่ต่างคนต่างไม่มีอะไรทำก็เลยกลายเป็นช่วงทำความรู้จักกัน ทุกคนตกใจเรื่องเฟนริลเล็กน้อย แต่ในเมื่อมีหมาป่าและแมวเปอร์เซียที่แปลงร่างเป็นคนได้ การที่มังกรจะสามารถถูกสะกดให้อยู่ในร่างมนุษย์ได้จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกไปโดยปริยาย ส่วนเรื่องฐานะของเคชที่เป็นลูกครึ่งเทพมังกรนั้น ทั้งดีอัสและเฟนริลต่างก็ปิดปากเงียบสนิท อันที่จริง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เจ้าชายผมเงินจากไรอัสก็ปิดปากเงียบสนิทอยู่แล้ว

     

    ในบรรดาเด็กสาวทั้งสี่คน ชารอน โซเลนา ดูขี้อายกว่าเพื่อน เธอเป็นเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทองอ่อนผู้สวมแว่นเลนส์ไร้กรอบอยู่ตลอดเวลา ท่าทางเป็นคุณหนูอ่อนต่อโลกเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถผ่านการทดสอบที่แสนหฤโหดเข้ามาได้ จะว่าไปแล้ว กระทั่งเด็กสาวผมสีน้ำตาลที่ชื่อเซนาเรนซึ่งต้องให้เพื่อนพยุงเข้ามานั้นก็ดูเป็นสาวหวานเกินกว่าจะบุกไพรทึบเข้ามายังแดนหอคอยแดงได้เช่นกัน ครั้นเมื่อเคชกระซิบถามเนรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กหนุ่มนัยน์ตาม่วงก็เพียงแต่หัวเราะหึหึ และบอกว่าเซนาเรน วาริเชียนั้น กำแพงเวทมนต์ของเจ้าหล่อนแข็งแกร่งอย่าบอกใคร ซ้ำมนตรารักษาก็นับว่าสุดยอด ส่วนชารอนนั้น...เป็นคนที่เขาคิดจะหาเรื่องด้วยเป็นคนสุดท้าย! 

     

    ก่อนตะวันตกดินยังมีผู้สอบผ่านทยอยเข้ามาอีกเรื่อยๆ สภาพของแต่ละคนนั้นห่างไกลจากคำว่าดูดีไปโขทีเดียว ส่วนมากเลือดโชกสะบักสะบอมกันมาทั้งนั้นจนน่าสงสัยว่านี่เป็นการสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนหรือไปออกศึกสงครามกันแน่ และครั้งพอแสงสุดท้ายของวันสอบแข่งขันวันที่สามล่วงลับขอบฟ้าอันเป็นสัญญานว่าการสอบได้ยุติลงแล้ว ผู้ที่สามารถสอบผ่านเข้ามายังโซนหอคอยแดงได้ทั้งหมดก็มีจำนวนทั้งสิ้นสิบหกคน

     

    "รุ่นเรามีผู้หญิงแค่สี่คนเองหรอเนี่ย"  เนรัสเอี้ยวตัวมาพึมพำกับเคช ในขณะที่ผู้อำนวยการเกียร์ ทีราดอส กำลังก้าวขึ้นเวทีเพื่อเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ต้อนรับนักเรียนใหม่แห่งโรงเรียนมหาเวท ด้วยวิชาวงแหวนเวทเคลื่อนย้ายที่แสนสะดวกของเหล่าอาจารย์ ซึ่งทำให้สามารถไปปรากฎยังที่ใดส่วนใดภายในโรงเรียนก็ได้ในชั่วพริบตา พวกนักเรียนหอคอยแดงทั้งสิบหกจึงถูกส่งตัวมายังหอประชุมกลางเพื่อเข้ารับการปฐมนิเทศร่วมกับนักเรียนโซนอื่นๆ ซึ่งดูๆไปแล้วแต่ละโซนต่างก็มีจำนวนนักเรียนมากกว่าโซนหอคอยแดงทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซนคฤหาสถ์เทียมเมฆที่มีจำนวนนักเรียนมากกว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

     

     

    "เอาน่า ยังไงๆก็สวยๆทั้งนั้นนี่" พรานป่ากระซิบกลับ ทั้งๆที่ในหัวเพิ่มรูปเด็กสาวคนที่ห้าลงไปด้วยก่อนจะรีบปัดความคิดดังกล่าวออกไปให้พ้นใจอย่างรวดเร็ว

     

    ...เด็กสาวร่างบาง เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มพริ้วไหว ภาพหลอนที่เขาเห็นซ้อนทับอยู่บนร่างของเจ้าชายดีอัส เรเฟรัสในตอนนั้น บ้าน่ะสิ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก...

     

    "ได้ข่าวว่าทางปราสาทหินผามีผู้หญิงตั้งครึ่งรุ่นแน่ะครับ" แดริลส่งเสียงเข้ามาร่วมวงด้วย จนถึงตอนนี้อาการเขม่นหน้ากันระหว่างสองนักแม่นปืนก็ยังไม่ยุติสิ้นเชิงเสียทีเดียว แต่ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายนั้นก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง และตอนนี้พวกเขาก็นั่งบนเก้าอี้มีพนักบุผ้านุ่มสีแดงหรูหราติดกันเสียด้วย

     

    หอประชุมกลางตั้งอยู่ที่โซนประภาคารนภา หรือโซนศูนย์กลางของโรงเรียนซึ่งเป็นที่ตั้งของตึกผู้อำนวยการและตึกทำงานของเหล่าอาจารย์ หากจะให้ไล่แผนภาพโดยคร่าวของที่ตั้งในแต่ละโซน ก็เปรียบเหมือนเอากระดาษแผ่นหนึ่งลากเส้นขีดกากบาทแบ่งออกเป็นสี่ส่วน แทนโซนทั้งสี่ของนักเรียน แล้ววาดวงกลมขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางกระดาษให้แต่ละส่วนของวงกลมอยู่ในสี่เหลี่ยมทั้งสี่เท่าๆกันเป็นโซนประภาคารนภา และเมื่อประภาคารนภาเปรียบได้กับศูนย์กลางของโรงเรียนมหาเวท ดังนั้นความหรูหราและใหญ่โตของหอประชุมดังกล่าวจึงยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เกินจินตนาการของพรานป่าธรรมดาๆจากฟลอเรนส์ไปมากทีเดียว

     

    "หน็อย ไอ้พวกเจ้าปราสาทหินผา" เด็กหนุ่มผมสีชาสบถต่อท้ายเบาๆ น้ำเสียงนั้นเจือไว้ด้วยความอิจฉาเล็กๆ ในขณะที่เคชหัวเราะหึหึ หันไปยิ้มเย้ากับเจ้าคนบอกข่าวที่ไม่รู้ว่าไปหาข่าวมาจากไหนได้เร็วเหลือเกิน

     

    "พวกนาย เงียบๆกันหน่อยได้ไหม"  โนเอลผู้จับจองที่นั่งด้านหน้าร่วมกับอีกสามสาวที่เหลือหันมาดุเบาๆเมื่อชักเริ่มรู้สึกว่าเสียงกระซิบกระซาบของพวกผู้ชายชักจะดังขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาสีทับทิมคู่งามของเธอคลับคล้ายต้องการจะพูดว่า'หัดเอาอย่างดีอัสกับเคลซะบ้างสิ'

     

    ...ดีอัสผู้นั่งหลังตรงเผงตั้งใจฟังสุนทรพจน์ทุกคำพูดสมเป็นนักเรียนตัวอย่าง กับเคลผู้เปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างหมาป่าและหลบไปอยู่ใต้เก้าอี้ เอาหัววางพาดลงบนขาหน้าทั้งสองหลับสบายชนิดไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง...

     

    กว่าสุนทรพจน์อันยาวยืดจะสิ้นสุดลงพร้อมด้วยอาการคอแห้งของท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมหาเวท หมาป่าหนุ่มร่างยักษ์ก็หลับไปหลายตื่น เช่นเดียวกับแมวเปอร์เซียขนนุ่มฟูที่กลายร่างเป็นก้อนขนสีส้มนอนขดตัวกลมอยู่บนตักของชารอน ส่วนเฟนริลนั้นถึงจะอยากแอบหลับบ้างแค่ไหน แต่ก็คงไม่มีใครอนุญาตให้เขาคืนร่างเป็นมังกรเพลิงกลางห้องประชุมแน่ ส่วนรายการถัดไปนั้นคือดินเนอร์มื้อเย็นใต้แสงเทียน สถานที่นั้นก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล ลานว่างหน้าหอประชุมนี่เอง ที่บอกว่าใต้แสงเทียนนั้นเป็นเพราะกว่าเกียร์จะกล่าวปฐมนิเทศจบ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีส้มอมทองของยามเย็นมาเป็นนภาสีดำสนิทของราตรีเสียแล้ว

     

    โต๊ะใหญ่วางเรียงเป็นแถวยาวปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด พรั่งพร้อมไปด้วยอาหารเลิศรสมากมายให้นักเรียนมาตักทานได้ตามใจชอบ แยกโซนอาหารคาวไว้ด้านหนึ่ง อาหารหวานไว้ด้านหนึ่ง ตรงกลางเป็นมุมเครื่องดื่มและอุปกรณ์การรับประทาน มีที่นั่งจัดวางไว้ตามมุมต่างๆคล้ายงานเลี้ยงหรูหราของเหล่าขุนนาง เคช เฟนริล แล้วก็ดีอัสเลือกได้โต๊ะหนึ่งบริเวณค่อนจะหลบเข้าไปอยู่ในหลืบเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็มีสามสาว หนึ่งแมว หนึ่งหมา และสองหนุ่มตามมาสมทบ

     

    "พวกนายไปตักอาหารก่อน เดี๋ยวฉันกับเฟนริลค่อยตามไป"  เจ้าชายแห่งไรอัสเอ่ยสั้นๆเมื่อเคชหันมามองเป็นเชิงถามว่าไม่ไปหาอะไรกินหรือ ดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผมเงินมีอะไรจะพูดกับมังกรของตนเป็นการส่วนตัว ซึ่งเพื่อนที่เหลือก็เข้าใจดี จึงเปิดโอกาศให้เฟนริลโดนนายท่านยำได้ตามสะดวก

     

    เพราะงานนี้เป็นงานเลี้ยงรวมเด็กใหม่ทั้งสี่โซน ซ้ำอาหารในงานยังหรูจนน่าโมโห มีแต่ของกินราคาแพงชนิดที่อย่าว่าแต่จะกินเลย แค่ชื่อหรือหน้าตาเขาก็ยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ พรานป่าจากเมืองบ้านนอกอย่างฟลอเรนส์จึงค่อนข้างเกร็งไม่น้อยในการพยายามทำตัวให้ไม่เปิ่นจนเกินไปนัก ด้วยกลัวว่าจะทำให้เสียชื่อโซนหอคอยแดงตั้งแต่วันแรก อันที่จริง ตอนแรกเคชคิดว่าจะหวังพึ่งดีอัสเสียหน่อย กะว่านักดาบผู้เก่งร้ายกาจนั่นทำอะไรเขาก็จะทำตามบ้าง แต่เมื่อพอสถานการณ์กลับกลายเป็นอย่างนี้ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันจึงต้องมองหาเป้าหมายใหม่แทน...

     

    ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน โนเอล ลีแวร์ หรือเด็กสาวผมแดงผู้ถูกเคชตั้งสมญานามให้ในใจว่าดีอัสหมายเลขสองนั่นเอง

     

    "เนื้อคู่กับไวน์แดง ปลาคู่กับไวน์ขาวครับ" แผนที่จะคิดไปพึ่งโนเอลเป็นอันต้องล้มไม่เป็นท่า เมื่อเด็กสาวนั้นเลือกทานอาหารเฉพาะแต่สลัดผักกับอะไรบางอย่างที่มีส่วนผสมของผัก ผัก ผัก แล้วก็ผักเต็มชาม ลงท้ายคนที่สังเกตเห็นความลำบากใจของเคชกับเป็นคู่อริอย่างแดริลเสียนี่ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตมีรอยยิ้มบางๆประดับดวงหน้าอย่างเคยเมื่อแนะนำวิธีการรับประทานแบบ'ผู้ดี'ให้พรานป่าฟังด้วยน้ำเสียงปกติ       

     

    "ตับห่านนุ่มก็จริง แต่ค่อนข้างเลี่ยนไปนิด แนะนำให้ทานคู่กับองุ่นแห้งสักช้อนชา จะช่วยตัดรสได้มากครับ" เคชพยักหน้า จัดการตักลูกเกดซึ่งวางอยู่ในถ้วยทรงสูงโรยลงไปข้างจานของตนอย่างว่าง่าย ตามด้วยการราดซอสไวน์แดงลงไปเพียงเล็กน้อย เนื่องจากตอนตักผู้แนะนำส่วนตัวเสริมขึ้นมาว่าน้ำซอสที่เยอะเกินไปจะไปกลบรสชาติที่แท้จริงของเนื้อให้เสียไปอย่างน่าเสียดาย

     

    "แล้วตัวนายเองไม่กินอะไรหน่อยหรือไง" คนที่ได้ของกินครบถ้วนแล้วหนึ่งจานพูนๆเอ่ยถามขึ้นบ้างเมื่อเห็นเพื่อนผู้แสนรู้ไปเสียทุกเรื่องไม่แตะต้องอาหารใดเลย นอกจากแก้วไวน์บรรจุเมรัยสีเลือดในมือเพียงใบเดียวเท่านั้น

     

    "ไวน์ชั้นดีแบบนี้ คู่ควรที่จะแสดงเดี่ยวครับ" คำตอบยิ้มๆที่ทำเอาพรานป่าส่ายหน้า นี่ก็อีกคน ไม่เข้าใจจริงๆว่าไอ้เครื่องดื่มอ่อนปวกเปียกแบบนี้มีดีตรงไหน แพงระยับก็เท่านั้น จืดชืดอย่างกับดื่มน้ำเปล่าแต่งสี

     

    พอทุกคนทยอยกลับมานั่งที่โต๊ะก็ได้เวลาดีอัสและเฟนริลไปตักอาหารบ้าง ทว่าก่อนที่มังกรเพลิงจะได้ลุกจากที่นั่ง นายหนุ่มผมเงินก็สั่งเสียงเย็นว่าไม่ต้อง จากนั้นอีกสิบนาทีผ่านไป เจ้าชายแห่งไรอัสก็กลับมาพร้อมจานเปลใบโตสองใบที่มีพนักงานเสิร์ฟยกตามหลังมา ใบหนึ่งใส่ขาหมูทั้งท่อนทอดกรอบจนหนังกรอบฟู มีสลัดผักราดซอสสีส้มวางประดับอยู่มุมหนึ่งของจาน ส่วนอีกใบนั้นใส่ซี่โครงแกะอบสมุนไพรและโรสแมรี่ เข้าคู่กันดีกับซอสรสเปรี้ยวอมหวานและมันฝรั่งบดเนื้อเนียนนุ่ม  ในมือของตัวเขาเองนั้นก็ถือแก้วทรงสูงบรรจุเครื่องดื่มสีแปลกมาด้วยสองใบ

     

    "เฟนริล ฉันบอกว่าอะไร"  พอนั่งลงได้ ดีอัสก็หันไปถามมังกรของตนเป็นคำแรกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมแดงจ้องอาหารในจานตาเป็นมัน หากไม่ใช่เพราะว่าเมื่อครู่เจ้านายหนุ่มเพิ่งอบรมมารยาทบนโต๊ะอาหารชนิดรวบรัดเฉพาะกิจให้ล่ะก็ ป่านนี้ขาหมูหน้าตาน่ากินนั่นคงถูกเขาใช้มือเปล่าๆยกขึ้นมากัดกร้วมๆเหมือนแทะน่องไก่ไปแล้ว

     

    "มีดอยู่มือขวา ส้อมอยู่มือซ้าย แก้ววางด้านขวามือของตัวเอง " เฟนริลท่องทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาไปจากอาหารสุดยั่วยวนตรงหน้า น่าแปลกที่บรรดาเพื่อนร่วมโต๊ะไม่เห็นเป็นเรื่องประหลาดอะไรหากคนเพิ่งที่กลายเป็นนายท่านหมาดๆจะมาอบรมสัตว์ร้ายของตนเอาตอนนี้ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานของตัวเองไปเงียบๆด้วยความหิวซึ่งสะสมมาตลอดสามวัน

     

    "เวลากิน ทำอย่างนี้"  ดีอัส ซึ่งดูๆไปก็ชักจะเหมือนครูสอนเด็กอนุบาลมากขึ้นทุกทีจัดการเอามีดและส้อมตัดแบ่งซี่โครงแกะออกเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ยกหลังส้อมจิ้มตักชิ้นเนื้อเข้ามาใส่จานตัวด้วยฝีมือสุดเนี้ยบ หากดูเหมือนลูกศิษย์จะไม่ประทับใจการสาธิตนั้นแม้แต่น้อย

     

    "นายท่านกินแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะอิ่มกัน" มังกรเพลิงเอ่ยปากด้วยความสงสัย ในความคิดของสัตว์ร้ายนัยน์ตาสีทับทิม วิธีกินอาหารของพวกมนุษย์นี่ช่างแสนแปลก เต็มไปด้วยพิธีตรีตรองยุ่งยากน่ารำคาญมากมาย ทั้งๆที่ความหมายที่แท้จริงของการกินก็คือการทำให้ท้องอิ่มเพื่อมีชีวิตรอดมิใช่หรือ

     

    "นายอยู่ในร่างมนุษย์ ก็ต้องใช้ชีวิตแบบมนุษย์"  คำตอบสั้นๆทว่าหนักแน่นจริงจัง เป็นเหตุเป็นผลให้กับคำถามอื่นใดในอนาคต จนเฟนริลต้องเผลอถอนหายใจให้กับโชคชะตาที่กำลังรอตนอยู่เบื้องหน้า การที่มังกรต้องมาใช้ชีวิตเป็นมนุษย์นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก!

     

    "ได้ยินไหมเคล อยู่ในร่างมนุษย์ก็ต้องทำแบบมนุษย์สิ"  เนรัสหันไปแซวเด็กหนุ่มหมาป่าซึ่งกำลังใช้สองมือยกสเต็กทั้งชิ้นเข้าปากกัดกร้วมๆโดยไม่แยแสอุปกรณ์การรับประทานขั้นพื้นฐานเลยสักนิด เคลแยกเขี้ยวยิ้มคล้ายคนถูกขัดใจ ก่อนจะยอมวางชิ้นเนื้อในมือลงและใช้ส้อมกับมีดแต่โดยดี ซึ่งต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเอ็ดเบาๆของโนเอล

     

    "เรเชีย อย่ากินมูมมามสิ" จริงอยู่ที่เด็กสาวผมส้มผู้มีอะไรบางอย่างชวนให้นึกถึงแมวเปอร์เซียจะใช้ช้อนและส้อมในการรับประทานข้าวผัดในจานตน ทว่ารอบจานนั้นกลับเกลื่อนไปด้วยเม็ดข้าวหกเลอะเทอะเต็มไปหมด แม้กระทั่งยามที่เธอเงยหน้าขึ้นมา บริเวณมุมปากก็เลอะเป็นรอยเปื้อนจนเซนาเรนทนไม่ไหวต้องเอาทิชชู่ไปเช็ดให้ 

     

    "อย่าเอาฟัวกราส์ไปคลุกกินกับมันฝรั่งบดอย่างนั้นสิครับ"  คราวนี้เป็นแดริลที่ต้องรับผิดชอบสอนลูกศิษย์ของตนบ้าง แต่การสอนพรานป่าให้รู้จักมารยาทของสังคมชั้นสูงก็คงไม่ง่ายดายไปกว่าการสอนมังกรเพลิงเท่าใดนัก เคชถอนหายใจเฮือก วางมือจากการเอาตับห่านไปบี้บดรวมกับมันต้มแล้วพยายามเขี่ยๆให้มันแยกออกจากกันแทน ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทั้งๆที่อยู่ในจานเดียวกันแท้ๆแต่ทำไมถึงกินพร้อมกันไม่ได้

     

    คนเดียวที่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องยุ่งกับใครและไม่ต้องให้ใครมายุ่ง คือเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีทองอ่อนนามชารอน โซเลนา ท่าทางของเธอล้วนบอกชัดถึงความคุ้นเคยกับมื้ออาหารระดับนี้ แต่เพราะความขี้อายของเธอทำให้เด็กสาวเลือกทานสปาเก็ตตีไวท์ครีมซอสในจานตนไปอย่างเงียบๆ บางครั้งก็คอยหัวเราะเสริมเบาๆเมื่อมีคนทำตลก ยิ่งเมื่อถูกนั่งขนาบด้วยเพื่อนสาวทั้งสองคือโนเอลและเซนาเรน ชารอนจึงเปรียบเสมือนคุณหนูผู้เป็นดั่งไข่ในหินเลยทีเดียว

     

    "ดีอัส!เจ้าเอาอะไรมาให้ข้ากินกัน!!?" มังกรเพลิงไอค่อกแค่ก สำลักจนหน้าแดงก่ำ ลืมตัวจนเผลอเรียกชื่อนายท่านห้วนๆ แต่แทนที่ดีอัสจะโกรธ เด็กหนุ่มผมเงินกลับกระตุกรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก มองแก้วทรงสูงบรรจุน้ำสีแปลกซึ่งบัดนี้เกลี้ยงฉาดอย่างระอา

     

    "บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ค่อยๆจิบ อย่าซดโฮกลงไปทีเดียวแบบนั้น"

     

    "ดีอัส ของอย่างนี้ถึงค่อยๆจิบก็ใช่ว่าจะไม่เป็นไรหรอกนะ"  เคชท้วงยิ้มๆ มองเจ้าชายแห่งไรอัสสลับกับมังกรเพลิงซึ่งยังคงทำสีหน้าพะอืดพะอมไม่หาย

     

    "เฟนริลไม่เคยกินเหล้ามาก่อน อยู่ดีๆนายเล่นให้มันล่อวิสกี้ดำเข้าไปทั้งแก้วเนี่ยนะ"

     

    "ก็ถึงบอกว่าให้ค่อยๆจิบไง"  ดีอัสบอกหน้าตายอย่างไร้ความรู้สึกผิด ทำเอามังกรเพลิงชักรู้สึกว่าเส้นเลือดในหัวเต้นตุบๆ นึกเป็นหนที่สามของวันว่าสงสัยจะเลือกนายผิดเสียแล้ว

     

    ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ทารุณโหดร้ายไปสักเล็กน้อย ทว่าวิธีการสอนของดีอัสกลับได้ผลดีมากกว่าที่คิด เพราะหลังจากล่อวิสกี้ดีกรีแรงชนิดที่ว่าแม้แต่พรานป่าก็ยังไม่กล้ากระดกรวดทีเดียวหมดแก้วจนสำลักหน้าแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลแถมยังรู้สึกเหมือนพื้นโลกมันโคลงไปเคลงมาแล้ว เฟนริลก็มีความประพฤติดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นายท่านสอนมารยาทให้ทำอะไร ต่อให้ดูพิลึกยุ่งยากไม่มีเหตุมีผลแค่ไหน มังกรเพลิงก็ยอมทำตามโดยดีอย่างไม่บิดพริ้ว...

     

     

    ทั้งๆที่เป็นเวลาดึกขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากจบการดินเนอร์ใต้แสงเทียน เหล่านักเรียนมหาเวทก็ยังไม่ได้กลับบ้านไปนอนพักผ่อนให้สมกับที่เหนื่อยยากลำบากลำบนมาตลอดสามวัน เพราะต้องกลับไปยังหอประชุมย่อยของแต่ละโซนเพื่อทำการปฐมนิเทศน์โซนกันต่อ แน่ล่ะว่าเหล่านักเรียนโซนหอคอยแดงก็ไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน ทั้งสิบหกคนถูกอาจารย์ใช้มนต์วงแหวนเวทบทเดิมย้ายกลับมายังโซนที่มีหอคอยก่ออิฐเป็นสัญลักษณ์ เพื่อเข้าประชุมในหอประชุมประจำโซนที่มีขนาดเล็กและแลดูซ่อซอมกว่าหอประชุมกลางหลายเท่านัก

     

    การประชุมโซนดูมีสาระกว่าการประชุมปฐมนิเทศของท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมาก เพราะมีการบอกกล่าวถึงกฎซึ่งแตกต่างกันไปของแต่ละโซน มีการเชิญอาจารย์แต่ละวิชาขึ้นมาพูดถึงเนื้อหาสังเขปของวิชาเรียน รวมไปถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญของบรรดาเด็กที่กำลังจะกลายเป็นนักเรียนกินนอนของโรงเรียนมหาเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง"หอพัก" และ "กลุ่ม"

     

    เพราะรุ่นนี้มีนักเรียนทั้งสิ้นแค่สิบหกคน จึงสามารถแบ่งออกเป็นสามคนสี่กลุ่มและสี่คนหนึ่งกลุ่ม สาเหตุของการแบ่งกลุ่มเรื่องหลักๆก็เพื่อหอพัก ซึ่งเป็นการกำหนดว่าใครจะต้องพักกับใคร และเพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้นภายในรุ่น อาจารย์จึงเป็นผู้จับกลุ่มให้เสียเลย โดยมากก็ใช้วิธีใครสอบผ่านเข้ามากับใครก็ให้อยู่กลุ่มเดียวกันนั่นแหละ

     

    "กลุ่มสาม เคช เซเบเรีย ดีอัส เรเฟรัส แล้วก็ เฟนริล ดราก้อน"  เป็นที่แน่นอนว่าทางโรงเรียนมหาเวทต้องจัดให้ดีอัสอยู่ร่วมกับมังกรเพลิงอยู่แล้ว ส่วนที่เคชได้มาอยู่ด้วยนั้นก็คงเป็นเพราะเหตุผลตามที่กล่าวมาข้างต้น และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง สามสาวโนเอล ชารอน แล้วก็เซนาเรนจึงได้อยู่กลุ่มเดียวกันเป็นกลุ่มหนึ่ง เคล เรเชีย กับเด็กหนุ่มผมทองใส่แว่นท่าทางใจดีเป็นกลุ่มสอง ส่วนเนรัส แดริล และใครอีกคนได้อยู่เป็นกลุ่มสี่ ส่วนที่เหลือก็เป็นกลุ่มห้า

     

    กว่าจะเลิกประชุมก็เป็นเวลาดึกจัดเกินกว่าที่จะปล่อยนักเรียนกลับบ้านได้ ทุกคนเลยต้องค้างที่โซนหอคอยแดงเสียหนึ่งคืน ซึ่งอาจารย์ประจำโซนก็ใจดีเปิดตึกเรียนให้เข้าไปนอนเบียดกันในนั้น พอเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นทุกคนจึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อที่จะมาเจอกันอีกครั้งในวันเปิดเทอมของโรงเรียนมหาเวทในอีกหนึ่งเดือนหน้า

     

    วันนั้นกว่าสองพ่อลูกตระกูลเซเบเรียจะกลับถึงฟลอเรนส์ก็เป็นเวลาบ่ายย่ำเย็น เจ้าตัวดีพอลงจากหลังม้าบินได้ก็โซซัดโซเซเข้าบ้าน ไม่สนใจหมาป่าร่างยักษ์ที่ตามมาพันแข้งพันขา ปิดประตูห้องนอนตามหลังดังโครมก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มสีขาว ตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปงลวกๆ จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว โดยมีนายเฮลกัลโคลงหัวดิก เดินเข้าครัวไปชงชาให้ตัวเองสักแก้วพลางบ่นพึมพำทำนองว่ากะอีแค่สอบเข้าแค่นี้มันจะเหนื่อยอะไรกันนักหนา

     

    ...ใช่ อีกเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ก่อนที่เขาจะต้องจากฟลอเรนส์ไปกินนอนอยู่ที่โรงเรียนมหาเวท....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×