ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #10 : บ้านพักบนภูเขาหิมะ(RW)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.85K
      6
      9 ก.ย. 54

    โรงเรียนมหาเวทยังคงไม่เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเลยแม้แต่น้อย ทว่าจะพูดไปการหวังให้เปลี่ยนก็คงจะเป็นเรื่องยากเย็นซะกว่า เพราะหากเป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้นมาเป็นร้อยปีแล้ว ชั่วเวลาเพียงแค่เดือนเดียวของนักเรียนใหม่คงดูน้อยนิดราวกับการพลิกเต้นของแสงไฟ หลังจากที่ไปรายงานตัวต่อโซนประภาคารนภา ยื่นเอกสารขัดแจงทำตามพิธีการวุ่นวายเรียบร้อยแล้ว อาจารย์คนหนึ่งจึงใช้เวทมนต์วาร์ปพาเคชเข้ามาส่งยังโซนหอคอยแดง และที่นั่นเขาก็ได้พบกับเด็กคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นปีของเขา
     
    "เคช!!"    เสียงใสตะโกนทักขึ้นทันทีที่เด็กหนุ่มย่างเท้าล่วงเข้าสู่เขตแดนของโซนหอคอยแดง เคชยิ้มรับ พร้อมกันนั้นก็อ้าแขนกว้างเตรียมพร้อมรับการกระโดดกอดของแม่สาวน้อยผมส้มซึ่งวิ่งทักๆลงมาจากตัวอาคารเต็มฝีเท้า เมื่อมองขึ้นไปด้านบนก็เห็นสายตาหลายคู่ที่แสนจะคุ้นเคยจ้องตอบลงมาพร้อมรอยยิ้มกว้างบนดวงหน้า
     
    "ไง!เรเชีย ดีใจจังที่ได้เจอพวกเธออีก"    พรานป่าหัวเราะร่า มือข้างหนึ่งกอดเด็กสาวซึ่งแปลงร่างเป็นแมวเปอร์เซียขนฟูสีส้ม ส่วนอีกข้างโบกหย็อยๆให้กับเพื่อนบนตัวอาคาร ก่อนจะจัดแจงหนีบยัยเหมียวน้อยขึ้นไปรวมกลุ่มกับเพื่อนบนชั้นสองของตึกอาคารเรียนที่ตอนนี้ถูกใช้เป็นที่รวมพลชั่วคราว อาจเป็นเพราะเขากะเวลาพลาดไปสักหน่อยจึงทำให้มาถึงก่อนเวลานัดเพียงฉิวเฉียด แต่นั่นก็คงดีกว่ามาสายตั้งแต่วันเปิดเรียน
     
    "นายมาสายละเมี๊ยว"    เรเชียว่า เคชจึงหัวเราะให้กับแมวน้อยในอ้อมแขน แกล้งเอามือยีขนฟูๆนั้นให้ยุ่งเสียเลย จากนั้นเด็กหนุ่มจึงหันไปทักทายเพื่อนคนอื่นๆที่ตอนนี้อยู่กันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตา ยืนยันคำพูดของเจ้าเปอร์เซียว่าเขาสายจริงๆ
     
    "แล้วนี่พวกเธอมาถึงกันนานหรือยัง"    หลังเสร็จสิ้นการทักทาย(และปล่อยให้เรเชียคืนร่างเป็นมนุษย์ตามเดิม) พรานป่าจึงถามเพื่อนสาวผมแดงพลางนั่งเคี้ยวของฝากตุ้ยๆ เป็นมันฝรั่งย่างน้ำผึ้งตากแห้งที่เซนาเรนซื้อมาฝากทุกคน
     
    "ก็สักพักใหญ่ๆแล้ว ที่เหลือก็ขาดแค่ดีอัส เฟนริล แล้วก็เอดิสัน"    คนข้างกายตอบด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน และที่ทำให้เคชต้องเผลอเงยขึ้นมามองหน้าแม่คุณคือข้อมูลที่แฝงอยู่ในถ้อยคำนั้น เจอกันแค่วันเดียว เห็นหน้ากันผาดๆ แถมผ่านมาตั้งเดือนนึง นี่โนเอล ลีแวร์ สามารถจำทุกคนในระดับชั้นได้แล้วหรือนี่
     
     
    ...ช่างสมกับที่เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าชายดีอัส เรเฟรัสจริงๆ...
     
     
    "เอดิสัน?"   เพราะเผลอมองหน้าไปตรงๆจนอีกฝ่ายขมวดคิ้วคล้ายจะถามว่ามีเรื่องอะไร พรานหนุ่มจึงคิดอะไรไม่ออกนอกจากรีบโผลงชื่อไม่คุ้นหูที่เพิ่งได้ยินออกมา
     
    "เอดิสัน นิวตัน คาร์เวล ถ้านายจำได้ เขาคือคนผมเทาๆที่มาถึงหอคอยแดงเป็นลำดับท้ายๆของวัน เป็นลูกชายคนเล็กของหัวหน้าสมาคมนักประดิษฐ์ แต่จากข่าวลือที่ได้ยินมาก็ดูเหมือนเขาจะไม่มีฝีมือทางนี้เท่าไหร่นัก"    อีกฝ่ายสามารถแจกแจงได้ละเอียดยิบเหมือนกำลังอ่านจากสารานุกรมอัตถชีวประวัติจนเคชมองตาค้าง อุทานเสียงไม่เบานัก 
     
    "นี่ อย่าบอกนะว่าเธอใช้เวลาตลอดเดือนไปค้นข้อมูลเขามา"
     
    "ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นหรอก"    โนเอลยิ้ม สีหน้านั้นไม่ได้เฉยชาไร้อารมณ์อย่างดีอัสก็จริง แต่ก็เป็นรอยยิ้มของคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
     
    "เธอ...ทุกคนในระดับชั้นหรือว่าทั้งโรงเรียนมหาเวทกันแน่"    พรานหนุ่มโคลงหัว เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะคัดค้านเอาชนะ โดยเฉพาะกับเจ้าหล่อนที่เขาให้เกียรติด้วยเป็นสุภาพสตรี  
     
    "เพื่อน รู้จักกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่"    อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไว้ตัว รอยยิ้มลึกลับที่มุมปากกับประกายเชิดเล็กๆในดวงตาสีทับทิมนั้นชวนให้นึกถึงคุณหนูสูงศักดิ์ผู้กำลังยอมลดตัวลงมาสนทนากับคนเถื่อนชาวดง อันที่จริงมันก็ไม่ผิดไปจากความจริงเท่าใดนัก ทว่าน่าแปลกที่เคชกลับไม่นึกโกรธ 
     
    "แล้วฉันล่ะ...ข้อมูลของฉัน ไปได้มาว่ายังไงบ้าง"    นายพรานจากฟลอเรนส์สัพยอกพลางกลั้วหัวเราะ ติดจะแฝงแววเย้าแหย่นิดๆด้วยซ้ำ
     
    "จะจ่ายเท่าไหร่ล่ะ?"    โนเอลย้อนพลางยิ้มหวาน แบมือมาตรงหน้า เล่นเอาคนฟังสะดุ้ง อุทานลั่น 
     
    "เฮ้ย!นี่เธอ..."
     
    "ฉันล้อเล่น ไม่ได้เป็นนักค้าข่าวหรอก เพียงแต่ข่าวบางข่าวฉันก็ต้องใช้เงินซื้อมาเหมือนกัน"
     
    "ถ้าอย่างนั้นแล้วข้อมูลของฉัน..."
     
    "ถ้าแค่ข้อมูลของพรานป่าจากฟลอเรนส์ต้องใช้เงินซื้อ ฉันคงกลายเป็นยาจกไปนานแล้ว"     เด็กสาวผมแดงเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ทว่าสายตานั้นก็มิได้หมินแคลน บอกชัดว่าเนื้อแท้ของเธอนั้นก็เป็นคนน่าคบคนหนึ่งเลยทีเดียว  
     
    "ขอโทษด้วยนะ"    เคชกัดฟันกรอด รู้สึกแย่ขึ้นมาเล็กๆ หากเมื่อเห็นแบบนี้แล้ว โนเอลกลับยอมร่ายข้อมูลออกมาง่ายๆด้วยสีหน้าคล้ายกำลังอ่านหนังสือสารานุกรมล่องหนอยู่    
     
    "เคช เซเบเรีย พรานป่าจากฟลอเรนส์ ชนะเลิศการแข่งขันยิงปืนระดับเมืองสามปีซ้อน แถมยังเป็นนายพรานมือเยี่ยมอย่างหาตัวจับยาก ส่วนเรื่องนิสัย ต้องการให้ฉันพูดไหม?"
     
    "ไม่ต้อง"    พรานหนุ่มที่เพิ่งถูกแฉประวัติตนเองออกไปหยกๆปฏิเสธเสียงห้วนทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ไม่กล้าพนันแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวว่าแม่คุณจะเล่าถึงนิสัยเขาในแง่ดี   
     
     
    "แล้วข้อมูลของผมล่ะครับ?"    เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังเด็กสาว ที่เดินมาอยู่ข้างหลังเงียบๆแทรกกลางวงสนทนานั้นคือเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดง ดวงตาสีมรกตมีความเป็นมิตรฉายชัด
     
    "ของนาย คงต้องถามกับเจ้าตัวเองแล้วล่ะ"    นัยน์ตาสีทับทิมของโนเอลเบือนมองผู้มาใหม่ ย้อนยิ้มๆ น้ำเสียงนั้นทีเล่นทีจริง 
     
    "เอ๋.."    คนที่อุทานคือเคช ทว่าไม่มีใครสนใจเขา พร้อมกันนั้นโนเอลก็ยังคงเอ่ยต่อไป
     
    "แดริล ไนท์ ถ้าไม่นับเฟนริลซึ่งเพิ่งเป็นมนุษย์ นายเป็นคนเดียวจากทั้งหมดสิบหกคนที่ฉันไม่สามารถหาข้อมูลอะไรได้เลย"  
     
    "ผมคงเป็นพวกไม่มีความสำคัญมากพอน่ะครับ"    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงว่าอย่างถ่อมตัว รอยยิ้มละไมยังคงไม่เลือนหายไปจากดวงหน้าจนดูราวกับเขากำลังสวมหน้ากากอยู่ หากเคชซึ่งพอได้ยินดังนั้นกลับต้องขมวดคิ้วมุ่น นึกประเมินคนตรงหน้าใหม่อีกครั้ง หากเก่งระดับโนเอลยังหาข้อมูลไม่ได้ สรุปกี่ทีก็ยังได้ออกมาคำเดียวคือไม่น่าไว้ใจ
     
    ...ไม่รู้ว่าทำไม แต่สัญชาติญาณของเขามันกำลังร้องเตือน คนๆนี้ไม่ใช่เหยื่อ และไม่ใช่คนที่เขาจะล่าได้ ซ้ำถ้าไม่ระวัง บางทีอาจเป็นเขาเสียเองที่ต้องตกเป็นเหยื่อ...
     
     
    "แดริล นายเป็นใครกันแน่ หืม?"    เด็กสาวผมแดงถามตรงๆพลางยื่นหน้าเข้าไปจนแทบจะชิดกับดวงหน้าของเด็กหนุ่ม ดวงตาคู่สองสีจ้องประสานกัน ฝ่ายหนึ่งต้องการจะค้น ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการจะเร้น ไม่มีใครยอมใคร รอยยิ้มอยากเอาชนะปรากฎขึ้นจางๆในนัยน์ตาสีทับทิม ก่อนที่เธอจะยอมเป็นฝ่ายถอนสายตาออกเสียเอง
     
    "ฝีมือการยิงปืนของนายไม่แพ้เคช แต่นายก็ไม่ใช่ทั้งพรานและกันสมิธ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีครอบครัว ไม่มีข้อมูลอะไรปรากฎในฐานทะเบียนเมืองเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับนายเหมือนเป็นเรื่องโกหก กระทั่งชื่อแดริล ไนท์เอง ฉันก็ยังสงสัยว่านั่นเป็นชื่อจริงหรือเปล่า"    หย่อนระเบิดลูกเบ้อเริ่มเทิ่มสำเร็จสมใจหมายแล้ว หล่อนจึงยิ้มคล้ายเยาะ ก่อนเดินจากไปหาเพื่อนสาวที่กำลังกวักมือเรียกหย็อยๆ ดูท่าทางสะใจมากทีเดียว หากเธอเป็นผู้ชาย เคชเชื่อว่าเรื่องคงไม่จบตรงที่เดินจากไปง่ายๆแน่
     
    "อันที่จริง ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันแหละครับว่าผมเป็นใคร"    เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว แวบหนึ่งที่ริมฝีปากนั้นแย้มเป็นรอยยิ้มเศร้าสร้อย ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วคล้ายน้ำค้างต้องแสงอรุณ
     
    ...เคชคิดว่ารอยยิ้มดังกล่าวนั้นคือสิ่งที่แท้จริงที่สุดในตัวของคนๆนี้เท่าที่เขาเคยเห็นมา น่าประหลาดที่เขากลับรู้สึกเศร้าใจตามไปด้วย... 
     
     
    ...................................................
     
     
     
    "เจ้าพวกปีหนึ่งหอคอยแดง อยู่เงียบๆแล้วฟังทางนี้!!"    
     
    ถ้าคิดว่าการเปิดเทอมใหม่จะมีรุ่นพี่มาต้อนรับด้วยใบหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้มล่ะก็คิดผิดถนัด หากเป็นโซนอื่นที่ดูเรียบร้อยหรุหราอย่างโซนคฤหาสถ์เทียมเมฆก็อาจจะใช่ แต่ที่นี่ ที่โซนหอคอยแดงแห่งนี้ พวกรุ่นพี่ทั้งหกชั้นปีดูเหมือนจะมองพวกเขาเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่แสนจะน่าแกล้งซะมากกว่า  
     
    "นี่ ดีอัส ไม่คิดบ้างหรือไงว่าเจ้ารุ่นพี่พวกนั้นน่ะน่าหมั่นไส้ชะมัด เอาแต่วางท่าอวดดีอะไรกัน"    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม แต่งกายสมบุกสมบันเช่นเดียวกับพรานทั่วไปหันหน้าไปกระซิบกับเพื่อนข้างกายเบาๆ ทว่าคำตอบที่ได้รับมีเพียงสายตาเย็นเยียบที่มองมาเป็นเชิงปรามกับประโยคสั้นๆ
     
    "พวกเขาก็ผ่านหอคอยแดงมาได้แบบนาย"    คนพูดนั้นเป็นเด็กหนุ่มผมสีเงินตัดซอยสั้น ผิวขาวจนเกือบเผือดซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์หรูหรามีราคา ทั้งท่วงท่ากิริยาก็ล้วนแต่ชวนให้นึกถึงคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทว่าสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวเขานั้นกลับเป็นดวงตาสีน้ำเงินหนาวยะเยือกซึ่งเฉยชาราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ เจ้าชายรัชทายาทเพียงคนเดียวแห่งไรอัส
     
    "ไม่เหมือน ฉันกับนายมีเฟนริลมาส่งหรอก"    พรานป่าแห่งฟลอเรนส์ยิ้มเย้า การมาเจอหน้าเพื่อนที่รู้จักกันเพียงสามวันอีกครั้งหลังที่ไม่ได้พบกันหนึ่งเดือนเต็ม ในตอนแรกนั้นก็วางตัวไม่ถูกอยู่หรอก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายผู้เย็นชาแห่งไรอัสแล้ว การรื้อฟื้นความสัมพันธ์นั้นจึงยากเย็นแสนเข็ญมิต่างอะไรไปจากการไปทำความรู้จักใหม่อีกครั้งกับก้อนน้ำแข็งเดินได้สักก้อน โชคดีที่มีมังกรเพลิงเป็นตัวคอยช่วยหลอมน้ำแข็ง เฟนริลเป็นพวกพูดจาขวานผ่าซากอย่างไม่ต้องสงสัย คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น อาจเพราะเป็นมังกรจึงไร้ซึ่งสามัญสำนึกของมนุษย์ แต่พอเป็นแบบนี้เพียงไม่นานความกระดากเก้อเขินก็หายไป และทุกอย่างก็คล้ายจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
     
    ...ยังไม่เหมือนเดิมสักทีเดียวหรอก เพราะเวลาหนึ่งเดือนที่หายไปย่อมไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงแน่....
     
     
    "ใช่ เจ้าควรจะสำนึกบุญคุณข้านะเคช "    เฟนริลโผล่หน้ามาร่วมแจมวงสนทนาด้วย และเพราะมีดีอัสนั่งเป็นพระประธานท่าทางใกล้หมดความอดทนขั้นกลางอยู่ ทำให้พรานป่าหันไปเล่นงานอะไรไอ้มังกรเพลิงปากหาเรื่องไม่ถนัดนัก ได้แต่แยกเขี้ยวส่งสายตาเป็นคำด่ากลับแทนไปให้ เหอะ พูดออกมาได้นะ ใครควรจะสำนึกบุญคุณใครกันแน่ ตอนนอนปีกหักอยู่ที่พื้นจะตายมิตายแหล่ ไม่ยุให้ดีอัสเอาดาบจิ้มก็บุญแค่ไหนแล้ว
     
    "เฟนริล.."    คนเป็นนายปรามเบาๆ ทว่าทันใดนั้นเสียงทุกอย่างในห้องก็ถูกกลบด้วยเสียงตะโกนผ่านโทรโข่งของรุ่นพี่สาวผิวสีน้ำผึ้งซึ่งแหลมสูงไม่แพ้ส้นรองเท้าที่เจ้าหล่อนสวม
     
    "Attention pleaseeeeee....."    เธอลากเสียงยาวจนรุ่นน้องและรุ่นพี่เกือบทั้งห้องยกมือขึ้นอุดหู น้ำเสียงนั้นร่าเริงแสดงถึงความเป็นคนรักสนุก และก็ดูเหมือนเธอจะรู้สึกมีความสุขกับการตกเป็นจุดสนใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเสียงสูงปรี๊ดเมื่อครู่เรียกทุกสายตาให้หันมาจับจ้องเธอเป็นตาเดียว
     
    "เอาล่ะ ยินดีต้อนรับรุ่นน้องหอคอยแดงทุกคนนะคะ พี่ชื่อเมย์ มาแทนหัวหน้าโซนที่ติดประชุมด่วน" สาวผิวสีน้ำผึ้งว่ายิ้มๆ ไม่ยอมอธิบายให้รุ่นน้องฟังมากความไปกว่านี้ว่าเพิ่งเปิดเทอมทำไมหัวหน้าโซนถึงติดประชุมด่วน แล้วเธอเป็นใคร ถือสิทธิ์อะไรมาแทนที่ตำแหน่งนั้น
     
    "และเพื่อเป็นการแสดงถึงความสามัคคี ก่อนจะเข้าเรื่อง พี่ว่า เราควรจะมาร้องเพลงกันสักเพลง..."    หญิงสาวพูดพลางฉีกยิ้มหวาน ไม่สนใจอาการคล้ายตกตะลึงตาค้างของบรรดาเด็กเข้าใหม่ที่ดูราวกับจะคิดว่ารุ่นพี่เสียสติไปแล้ว
     
    "เมย์ อย่าแกล้งน้องน่า แล้วก็อย่าร้องเพลงด้วย"    รุ่นพี่ผู้ชายผมเขียว ผู้มีหูยื่นยาวออกข้างมาเป็นรูปสามเหลี่ยมแสดงถึงสายเลือดเอลฟ์ที่ยืนอยู่ข้างเวทีรีบขัดขึ้นทันที ไม่รู้ว่าด้วยเพราะสงสารน้องหรือห่วงใยความปลอดภัยในสวัสดิภาพของโสตประสาทของตนกันแน่ ไม่ใช่ไม่ชอบฟังโอเปร่า ทว่าเสียงของเพื่อนสาวผิวสีน้ำผึ้งเวลาร้องเพลงนั้นดูจะเกินกว่าโซปราโน่ไปหลายขุม ถึงขนาดเคยมีคนแอบเรียกลับหลังว่านี่มันเป็นคลื่นความถี่สูงที่สำหรับใช้ทำลายกำแพงหรือเบื่อปลาวาฬชัดๆ
     
    "ก็ด๊ายยย ก็ได้"    หญิงสาวว่า ทำหน้างอง้ำนิดหน่อยคล้ายเด็กน้อยที่ถูกบอกว่าห้ามกินอมยิ้มจนกว่าจะทำการบ้านเสร็จ และเมื่อเอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงก็ฟังดูเป็นการเป็นงานขึ้นผิดหูผิดตา
     
    "เรื่องที่พี่จะมาพูด หลายๆคนก็คงรู้อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ พี่ก็จะขอบอกสั้นๆว่า โรงเรียนมหาเวทมีหลักสั้นๆ 'หอพักไม่มีให้ ใครอยากได้ต้องสร้างเอง'" 
     
    สิ้นคำประกาศก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นกระหึ่มทันที แสดงให้เห็นว่ายังมีคนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนอีกไม่น้อย ครั้งหันมองเจ้าชายข้างตัวก็ยังดูไร้อารมณ์เหมือนเคยจนดูไม่ออกว่าตกใจหรือไม่กันแน่ ส่วนมังกรเพลิงก็เอาแต่นั่งทำตาแป๋วชนิดที่เขาสามารถอ่านความคิดในหัวมันออกได้ทันที เป็นทำนองว่าถ้าไม่มีหอพักอยู่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้ากลับไปอยู่ในป่าเหมือนเดิมก็ได้ ช่างเป็นความคิดเรียบง่ายจนน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก หากเฟนริลเป็นหมาป่าของเขา ป่านนี้เตะร้องเอ๋งไปแล้ว
     
    แต่ถ้าถามเขาว่ารู้สึกยังไง...ก็ตกใจ แล้วก็แปลกใจนิดหน่อย ทว่าก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แทบไม่มีความสำคัญด้วยซ้ำ...
     
     
    "ก็อย่างที่รู้กันนะน้องๆ ว่าโรงเรียนมหาเวทของเราน่ะกว้างมาก นอกเหนือจากเขตโซนอาคารเรียนแล้ว อยากจะไปสร้างบ้านพักตรงไหนส่วนไหนก็ตามใจ"    รุ่นพี่สาวผิวสีน้ำผึ้งเอ่ยใส่โทรโข่งต่อ หลังจากใช้นกหวีดเสียงสยองขวัญเป่าเรียกความสนใจให้ทุกอย่างกลับมาตกอยู่ภายใต้ความสงบอีกครั้ง
     
    "นั่นหมายถึงต้องสร้างบ้านพักในบริเวณที่ไม่มีเขตอาคมใช่ไหมครับ?"    ปีหนึ่งโซนหอคอยแดงสักคนยกมือขึ้นถาม เกือบจะเรียกเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง เพราะจากประสบการณ์สอบเข้าโรงเรียนมหาเวทที่ยังสั่นและหลอนประสาทอยู่ไม่หาย พื้นที่อื่นนอกจากโซนอาคารเรียนแล้วก็ล้วนแต่เป็นผืนป่าดงดิบ ทุ่งหญ้า หุบเขา เหว แม่น้ำทะเลสาบ และทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสามารถเขียนลงไปในแผนที่ภูมิศาสตร์ได้ ซ้ำยังเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ นี่คนคิดกฎนี้ขึ้นมายังสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย
     
    "ใช่แล้วจ้า"    เมย์ตอบรับเสียงใส ท่าทางเห็นเป็นเรื่องสนุกเสียเต็มประดา ทว่าชะรอยจะเห็นรุ่นน้องหน้าซีดกันเป็นแถบ หญิงสาวจึงรีบให้ข้อมูลเพิ่มอย่างรวดเร็ว
     
    "เรื่องพื้นที่ตั้งบ้านพักไปต้องเป็นห่วงกันไปหรอกน้องเอ๊ย บริเวณชุมชนน่ะคนอยู่เยอะ พวกคิเมร่ามันกล้าไม่เข้าไปกวนหรอก ขืนกล้าสิ..."    รอยยิ้มเหี้ยมปรากฎขึ้นบนดวงหน้าน่ารักของสาวผิวสีน้ำผึ้ง ช่างน่าหวาดกลัวเสียจนไม่กล้าจินตนาการต่อถึงชะตากรรมของคิเมร่าดวงซวยตัวนั้น 
     
    "พอแล้วเมย์ ขืนเอาแต่เล่นแบบนี้น้องเค้าก็งงหมด มานี่มา ให้อาเชอร์มันอธิบายต่อเอง"    รุ่นพี่ผมทองที่ยืนมองเงียบๆมาตั้งแต่แรกโคลงหัว ก่อนจะหันไปพยักเพยิดอะไรกับรุ่นพี่อีกคนซึ่งมีผมสีเขียวและมีหูเป็นเอลฟ์ผู้พิงผนังอยู่ข้างเวที ซึ่งอาเชอร์ก็รู้งาน รีบไปแตะมือเปลี่ยนตัวรับโทรโข่งมาจากหญิงสาว กระแฮ่มนิดหนึ่งพอเป็นพิธี
     
    "สวัสดีครับน้องๆ พี่ชื่ออาเชอร์ เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์หอคอยแดง ส่วนพี่เมย์เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์หอคอยแดงครับ"    เอลฟ์หนุ่มแนะนำตัว ไปๆมาๆก็เลยแนะนำไปถึงหญิงสาวร่วมรุ่นซึ่งเพิ่งเดินลงจากเวทีไปด้วยซะเลย แต่พอได้ยินแบบนี้ หัวคิ้วของเจ้าชายผมเงินจอมไร้อารมณ์ก็มุ่นลงหน่อยหนึ่ง คล้ายไม่อยากจะเชื่อว่ารุ่นพี่สาวท่าทางรักสนุกขนาดนั้นจะเป็นถึงหัวหน้าผู้พิทักษ์หอคอยแดงได้
     
    โรงเรียนมหาเวทแบ่งโซนนักเรียนออกเป็นสี่โซน แต่ละโซนต่างก็มีระบบจัดการของตัวเอง และที่โซนหอคอยแดงแห่งนี้ แต่ละรุ่นจะมีประธานรุ่นหนึ่งคนและตัวแทนสภานักเรียนอีกห้าคน รวมถึงจะมีตำแหน่งพิเศษคือผู้พิทักษ์หอคอยแดงสี่คน ขึ้นตรงต่อหัวหน้าโซนซึ่งเกือบเป็นผู้ครองอำนาจเด็ดขาดสูงสุด หรือหากจะอธิบายให้เห็นภาพ ก็คือ ตำแหน่งสภานักเรียนและหัวหน้าโซนก็เปรียบเสมือนรัฐสภาและรัฐบาลซึ่งทำหน้าที่คานอำนาจกันเองนั่นแหละ
     
    ทว่าหากเมย์เป็นหัวหน้าของผู้พิทักษ์หอคอยแดง ก็สมเหตุสมผลแล้วที่เธอจะมาทำหน้าที่แทนหัวหน้าโซนซึ่งติดประชุม...
     
     
    "เรื่องบ้านพัก ทางโรงเรียนมหาเวทจะอนุญาตให้นักเรียนปีหนึ่งอาศัยอยู่ในอาคารเรียนได้เป็นเวลาสองสัปดาห์ นั่นหมายความว่าทุกคนต้องสร้างที่พักให้เสร็จในเวลาดังกล่าวครับ บ้านหลังหนึ่งจะสร้างเล็กใหญ่หรือแบบไหนก็ได้ตามใจ จะอยู่กันกี่คนตามกลุ่มหรือจะแยกจะรวมอย่างไรก็ได้ จะไปสร้างร่วมกับเด็กโซนอื่นก็ได้
    เรื่องประตู หน้าต่าง เครื่องเรือนพวกนี้ไม่ต้องห่วง สามารถไปเบิกได้ที่ห้องสวัสดิการ โดยเดี๋ยวอาจารย์จะเข้ามาแจกการ์ดให้ ถึงตอนนั้นค่อยอธิบายละกัน"
     
    "พี่หมายความว่า เราสร้างแต่ตัวบ้านเปล่าๆใช่ไหมครับ"    เคลยกมือขึ้นถาม หมาป่าหนุ่มกระดิกหางริกๆ ท่าทางดูสนุกสนานอยู่ไม่น้อย
     
    "พูดแบบนั้นก็ใช่ แต่พวกเซ็ทพื้นฐานที่ทางสวัสดิการจัดมาให้น่ะ ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่หรอก ถ้าอยากได้ฟอร์นิเจอร์ใหม่หรือหน้าต่างประตูดีๆ ก็ต้องสะสมเอาแต้มไปแลก ไม่ก็ไปร่วมแข่งขันรายการต่างๆตามชมรม ปกติแต่ละชมรมก็ผลัดเปลี่ยนกันจัดทุกสัปดาห์แหละ แต่ถ้าอยากได้ของชั้นยอดอย่างเตียงบุนวมขนนกก็ต้องงานใหญ่ๆซึ่งปกติจะมีเทอมละสองครั้ง"  
     
    "ใช้แต้มแลก?"    พรานป่าแห่งฟลอเรนส์เผลอทวนคำเสียงดังไปหน่อย เรียกนัยน์ตาดุๆของคนข้างกายให้หันมามอง ทว่าพอรุ่นพี่อาเชอร์ได้ยินเข้าจึงเกิดใจดี อธิบายแถมให้
     
    "อย่างที่บอกไปว่าอาจารย์จะเอาการ์ดมาแจก ทั้งคะแนนสอบหรือคะแนนอะไรก็จะถูกตัดเป็นแต้มเข้าไปเก็บในการ์ด ใช้สำหรับซื้อของต่างๆในมหาเวท จะว่าไปแล้วการ์ดก็เหมือนกระเป๋าเงินนั่นแหละ แต่เฟอร์นิเจอร์ที่ขายนี่ก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แถมจะเอาจากข้างนอกเข้ามาเองก็ไม่ได้ซะด้วย"
     
    ได้ยินแบบนี้แล้ว ทั้งเคชและเฟนริลก็ค่อยรู้สึกโล่งใจหน่อย โดยเฉพาะพรานป่าแห่งฟลอเรนส์ที่ชักเริ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีเป็นบ้าที่ได้มาอยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าชายดีอัส เรเฟรัส เพราะหากมีการ์ดซึ่งใช้คะแนนเป็นเงินล่ะก็ รับรองว่าเจ้าชายผมเงินข้างตัวเขาต้องเป็นคนที่รวยที่สุดในรุ่นแน่!
     
    "ก็เอาเป็นว่า เดี๋ยวเจอของจริงแล้วก็จะรู้เองละกัน"    อาเชอร์สรุปปิดท้าย ทิ้งไว้ด้วยรอยยิ้มลึกลับให้บรรดารุ่นน้องรู้สีกร้อนๆหนาวๆเล่นว่าในอนาคตนอกจากต้องสร้างหอพักเองแล้ว ตนจะต้องเจอกับเรื่องนรกพิลึกพิศดารอะไรอีกบ้าง
     
     
     
     
    วันนั้น กว่าจะประชุมเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายย่ำเย็น ทว่าทั้งๆที่รู้สึกเหนื่อยจนอยากกลับเข้าไปหลับในห้องพักสบายๆแล้วแท้ๆ แต่งานของพวกนักเรียนมหาเวทหมาดๆกลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะหากอยากจะมีห้องพักเอาไว้ให้นอนหลับสบายๆล่ะก็ ก็ต้องเริ่มสร้างกันตั้งแต่ตอนนี้แหละนะ ทว่าดูเหมือนการสร้างบ้านพักสักหลังเพื่ออยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคน โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในนั้นเป็นเข้าชายดีอัส เรเฟรัส งานนี้เพียงแค่จะหาสถานที่สร้างบ้านก็ดูจะเป็นปัญหายุ่งยากเสียแล้ว...
     
     
    "สองต่อหนึ่ง ฉันชนะ"
     
     เจ้าชายดีอัส เรเฟรัสสรุปผลการโต้เถียงด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะไร้อารมณ์ และนั่นก็ทำให้อารมณ์ของใครบางคนพุ่งพรวด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องอีกฝ่ายอย่างฮึดฮัด และไปๆมาๆก็ลามไปถึงมังกรเพลิงที่ยืนอยู่ข้างๆด้วย
     
    "ให้ตายเถอะ!มีคนสติดีๆที่ไหนเขาจะไปสร้างบ้านพักบนภูเขาหิมะบ้าง ดีอัส นายเพี้ยนไปแล้วหรือไง" เคชโวยวายอย่างไม่กลัวตาย แน่นอนว่าประโยคแรกเป็นการตะโกนลั่นราวกับจะประกาศก้องให้โลกรู้ ส่วนประโยคท้ายนั้นเป็นเพียงคำกระซิบพึมพำกับตัวเองเบาๆ เนื่องจากเพียงแค่นี้นัยน์เนตรสีน้ำเงินคู่งามก็ตวัดปรายมาทางเขา เยือกเย็นเสียจนแทบจะแช่คนให้กลายเป็นแท่งน้ำแข็งได้
     
    "มันเงียบดี อีกอย่างที่นั่นปลอดภัยเพราะแทบไม่มีสัตว์อาศัยอยู่เลย"    เด็กหนุ่มผิวขาวผมเงินเอ่ยเสียงเฉยชา สีหน้านั้นไร้อารมณ์ใดๆปรากฎ ตรงกันข้ามกับคนฟังที่พอสิ้นประโยคก็รีบสวนขึ้นทันที
     
    "มันไม่มีสัตว์ไหนอาศัยอยู่ก็เพราะมันอยู่ไม่ได้น่ะสิ หนาวขนาดนั้นใครจะไปอยู่ได้"
     
    "เคช เจ้าแพ้แล้วอย่าพาล"    มังกรไฟแหย่ ท่าทางไม่ยินดียินร้ายอะไรที่จะต้องไปนอนท่ามกลางกองหิมะหรืออุณหภูมิติดลบเกือบสิบองศา
     
    "เฟนริล นายอย่าขี้โกง จริงๆแล้วนายก็ไม่ได้เห็นด้วยกับดีอัสหรอกใช่ไหม"    พรานป่ากัดฟันกรอด ไม่อยากนึกสภาพตัวเองต้องไปอาศัยอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะบนภูเขาเลยจริงๆ เขามาจากป่าดงดิบเขตร้อน อากาศหนาวมี แต่ไม่มีหิมะแน่ ไม่อย่างแน่นอน และเขาก็ยอมไปเผชิญหน้ากับคิเมร่าทั้งฝูงดีกว่าต้องไปแข็งตายอยู่บนนั้น! 
     
    "เสียใจ เคช ข้าบอกแล้วว่านายท่านเอายังไง ข้าก็เอาด้วย"    เด็กหนุ่มผมแดงยักไหล่ ขยับยิ้มยั่วเย้าชนิดที่คนเป็นพรานอยากจะเปลี่ยนอาชีพเป็นนักล่ามังกรขึ้นมาอยู่หมัด ในขณะที่ดีอัสเปรยเสียงเรียบขัดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ
     
    "ฉันบอกแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่านายท่าน"
     
    "เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ข้าว่าปัญหาใหญ่ก็คือจะสร้างบ้านบนภูเขาหิมะได้ยังไงตะหาก"    มังกรเพลิงรีบเสเปลี่ยนเรื่องทันที ทว่าก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธสิ่งที่เขาพูดได้ ใช่ มันเป็นปัญหาใหญ่จริงๆนั่นแหละ เพียงแค่ถึงระดับความสูงจากพื้นดินไปถึงยอดภูเขาก็เป็นระยะทางนัหลายบสิบกิโลเมตร ยังไม่รวมถึงความกดอากาศและสภาพภูมิประเทศที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยหิมะ อุณหภูมิติดลบตลอดทั้งปี วันไหนพ้นจากการติดลบมาได้เรียกว่าวันนั้นอากาศร้อน และถ้าขึ้นถึงเลขอื่นที่มิใช่เลขหนึ่งจะเรียกว่าอากาศร้อนจัด
     
    เคชยิ้ม มองไปยังคนต้นคิดหาเรื่องด้วยสายตาราวกับจะพูดว่า 'แล้วทีนี้จะทำยังไง'หรืออีกนัยหนึ่งก็เกือบจะเป็นเยาะเย้ย
     
    "เอาเป็นว่า เรามาแบ่งงานกันดีกว่า ถ้าเกิดฉันสามารถขนอุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นไปได้ พวกนายก็ต้องลงมือสร้าง ตกลงไหม"    ดีอัสถาม ใส่น้ำเสียงท้าทายลงไปในนั้น ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามยกขึ้นสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลราวกับจะจงใจถามคำถามนี้แก่เขาโดยเฉพาะ หมิ่นและดูแคลนราวกับปรามาศว่าหากไม่รับคำท้าก็เป็นแค่ไอ้ขี้ขลาด และทั้งๆที่รู้ว่านี่เป็นเพียงเล่ห์กลอย่างหนึ่ง ทว่าเคชก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแยกเขี้ยวกลับไป ตอบตกลงลั่น
     
    "ได้ ดีอัส เรเฟรัส เรามาพนันกัน ฉันสร้างบ้านให้นายได้ แต่นายจะอยู่ได้หรือเปล่านี่มันอีกเรื่องนึงนะ คุณชาย"
     
    รอยยิ้มพอใจทอดประดับดวงหน้าขาวที่สวยหวานราวกับผู้หญิง เอ่ยช้าชัด
     
    "ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นไปหรอก ฉันทนหนาวเก่งกว่านายแล้วกัน!"
     
    ...เฟนริลมองสองคนสลับกันไปมา คนหนึ่งก็เจ้าชาย อีกคนก็เจ้านาย ไม่ว่าใครจะชนะในการพนันครั้งนี้ ยังไงซะก็ไม่พ้นเขาที่ต้องลำบากคอยเป็นกรรมการห้ามอยู่แล้ว...
     
     
     
    "ดีอัส ทำไมนายต้องไปมาอยู่ที่นี่ด้วย..."    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งไม่เป็นทรงคล้ายคนเพิ่งตื่นนอนถามคำถามเดิมออกมาเป็นรอบที่ร้อยแปด หรืออันที่จริงคือมันสิ้นสภาพคำถามไปนานแล้ว และเป็นเพียงคำโอดครวญอย่างขัดอกขัดใจเท่านั้น
     
    เขายกแขนขึ้น กำด้ามขวานในมือไว้แน่นก่อนจะออกแรงเหวี่ยงซ้ำเพื่อตัดไม้ใหญ่ออกเป็นท่อนๆ ลมหายใจของเขาหอบฮั่กออกมากลายเป็นควันไอสีขาวเช่นเดียวกับสีของทุกสิ่งทุกอย่างที่รายล้อมอยู่รอบตัว เกือบสัปดาห์แล้วที่เขาต้องใช้เวลาทุกเย็นหลังการเรียนการสอนมานั่งทำงานเป็นกรรมกรใช้แรงงานอยู่ที่นี่ นรกสีขาวที่แสนจะหนาวจนแทบบ้า ถุงมือไหมพรมกับเสื้อบุนวมที่เขาสวมอยู่ก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อต้องมาเผชิญกับอุณหภูมิติดลบ
     
    เขายกขวานขึ้นอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมันพร้อมๆกับลมหนาวที่แทรกเข้าไปตามตะเข็บเสื้อ เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เหวี่ยงมันลงไปให้ซ้ำรอยบากเดิม ก่อให้เกิดเสียงทึบหนักๆ ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าฟ้าจะมืดค่ำ ไม่สิ จนกว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืนกว่าจะได้กลับไปนอน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกหากเขาจะหลับแทบจะทุกคาบเรียนด้วยความเพลียจัด บางทีก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่านี่เขามามหาเวทเพื่อมาเรียนหรือเพื่อมาฝึกเป็นกรรมกรกันแน่
     
    "ก็มันเงียบดี"    คำตอบดังขึ้นเป็นครั้งที่ร้อยแปดเช่นเดียวกับคำถาม ดีอัสนั่งอยู่บนโต๊ะไม้สร้างหยาบตัวนึง กำลังให้ความสนใจกับอุปกรณ์จำพวกสลักเดือยต่างๆที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการจัดการ พวกเขาตัดสินใจสร้างบ้านตามแบบแปลนมาตรฐานซึ่งประกอบไปด้วยหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว เเละหนึ่งห้องนั่งเล่นรวมขนาดใหญ่ อันที่จริงเจ้าชายแห่งไรอัสก็ออกจะขัดใจกับแผนผังดังกล่าวอยู่ไม่น้อย เพราะภาพในหัวเขานั้นอยากได้สักสามห้องนอนแยกกันเพื่อความเป็นส่วนตัว ทว่าพอเพื่อนร่วมกลุ่มได้ฟังแล้วก็โวยวายออกมาทันทีว่าหาเรื่องเหนื่อยเปล่า เอะอะยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว ทว่าในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนลงแรงสร้างมากนัก ดีอัสจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
     
    "ใช่ เงียบจนข้าเกือบจะแข็งตาย"    มังกรเพลิงเอ่ยเสียงสั่นด้วยความหนาว เขาเพิ่งถูกจำกัดให้มาอยู่ในร่างมนุษย์ ยังไม่รู้ว่าร่างนี้ทนต่อความหนาวได้น้อยเพียงใดเมื่อมีเพียงผิวที่ไร้เกล็ดแข็งหุ้มเนื้อ ครั้งเมื่อรู้ก็สายไปเสียแล้ว เฟนริลได้แต่นึกโทษตัวเองในใจว่าตนนั้นไม่น่าเข้าข้างเจ้านายเลย หากเชื่อเคชตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาทนลำบากขนาดนี้
     
    "นายเป็นมังกรไฟ ไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก"    คนเป็นนายเอ่ยเสียงเย็นชาอย่างไม่สนใจอะไร สายตายังคงจับจ้องแผนผังสลับกับอุปกรณ์บนโต๊ะอย่างมีสมาธิ และคงจะกลับจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้งหากไม่มีเสียงของพรานป่าโวยวายขึ้นมาบ้าง
     
    "ใช่ เฟนริลมันไม่ตายหรอกด้วยเรื่องแค่นี้ แต่ฉันเป็นมนุษย์ เข้าใจไหม เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เป็นมนุษย์น้ำแข็งอย่างนายด้วย!" 
       
    ดีอัสถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเช่นเดิม
     
    "นายเป็นลูกครึ่งเทพมังกร ไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้หรอก"
     
    ไม่มีคำตอบรับจากคนฟังนอกจากอาการกัดฟันกรอดและแขนที่ยกชูขึ้นสูงก่อนเหวี่ยงฟันลงมาราวกับจะใช้ท่อนไม้เป็นที่ระบายอารมณ์ อีกไม่กี่วันเหล่ารุ่นพี่ปีสองและปีสามก็จะยกโขยงกันมาช่วยพวกเขาสร้างบ้านเป็นการรับน้อง ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นหากเลยจากโอกาสนี้ไปก็มีหวังได้แสดงฝีมือสร้างบ้านทั้งหลังเองแน่ๆ ต่อให้เขาเป็นพรานป่าพอจะรู้วิธีสร้างบ้านมาบ้านก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนักหรอก
     
    ……………………………………………………………….
     
     
    หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน บ้านทั้งหลังก็เสร็จเรียบร้อย ไม่ได้สร้างด้วยไม้อย่างที่พวกเขาวางแผนไว้ หากก่อด้วยอิฐฉาบปูนอย่างดีเมื่อถูกรุ่นพี่ทักท้วงว่าถ้าเป็นไม้จะต้านพายุหิมะเอาไม่อยู่ มันรวดเร็วเสียจนเคชแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นบ้านทั้งหลังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ราวกับว่ารุ่นพี่เกือบสามสิบคนที่มาช่วยนั้นเสกบ้านให้ก่อขึ้นจากอากาศภายในระยะเวลาแค่สามวัน ตรงตามแบบแปลนห้องละหนึ่งทุกประการ
     
    เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่มีเตาผิงพร้อมโซฟาตัวใหญ่นุ่มๆ รวมทั้งโต๊ะไม้พร้อมเก้าอี้ ด้านซ้ายทะลุต่อไปยังห้องครัวที่มีห้องน้ำตั้งอยู่ใกล้ๆ ริมด้านขวาบนมีประตูที่ทะลุไปยังห้องนอนที่มีทุกอย่างสาม ทุกอย่างเป็นแบบง่ายๆเรียบๆ เตียงเล็กๆสามเตียงตั้งชิด กัน ตู้เสื้อผ้าเเละตู้เก็บของสามตู้ จะมีหนึ่งก็เเต่โต๊ะพร้อมโคมไฟหัวเตียงซึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงซ้ายสุดติดหน้าต่าง และก็ไม่น่าแปลกใจที่ดีอัสจะจองเตียงดังกล่าว ส่วนเคชนั้นเนื่องจากชนะเฟนริลในศึกแย่งที่นอนไปเพียงเสี้ยววินาทีจึงได้นอนเตียงตรงกลาง ดังนั้นเตียงริมขวาสุดที่เหลืออยู่หนึ่งเตียงเลยได้เจ้าของไปแบบไม่ต้องเลือก
     
    และเนื่องจากตัวบ้านตั้งอยู่ในบริเวณที่การคมนาคมสัญจรลำบากเกินเหตุ ดีอัสจึงไปเป็นตัวแทนกลุ่มไปเจรจากับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอติดตั้งวงแหวนเวทมนต์สำหรับการเดินทาง เพียงเข้าไปอยู่ในวงแหวนดังกล่าวก็จะไปโผล่ยังอีกวงแหวนหนึ่งซึ่งถูกติดไว้ยังหน้าตึกเรียนทันที ซึ่งอาจารย์เองก็อนุญาตโดยมีข้อแม้ว่าจะสามารถเปิดใช้วงแหวนได้เพียงไม่เกินหกโมงเย็นของแต่ละวันเท่านั้น
     
    "ฉันจะจัดเปลี่ยนเตียงนอนใหม่ แล้วก็โซฟากับโต๊ะด้วย!!"    นั่นคือคำประกาศของเด็กหนุ่มผมเงินทันทีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นคืนแรก แน่ล่ะว่าสภาพสิ่งของแต่ละอย่างที่ดูธรรมดาและเรียบง่ายเกินเหตุย่อมทำให้คนเป็นเจ้าชายเริ่มออกอาการทนไม่ได้ตามประสาพวกที่ใช้ของดีจนเคย แต่จะไปว่าดีอัสนักก็ไม่ได้เพราะเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นจากไม้ไม่ขัดเงา บางชิ้นก็ใช้ไม้สีอ่อนมาผสมกับสีแก่จนออกมาดูตลกอย่างเคาท์เตอร์ครัว หรืออย่างโซฟาใหญ่ที่ห้องนั่งเล่นรวมก็แข็งกระด้างเสียจนนึกว่ายัดไส้ด้วยเศษไม้ที่เหลือๆจากการทำโต๊ะ ดูสภาพแล้วไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยที่ให้ความสะดวกสบายแก่คนอยู่เลยแม้แต่น้อย
     
    "นายก็ทำคะแนนให้ดีๆละกัน จะได้เอาไปเก็บเป็นแต้มแลก"    เคชเอ่ยพลางหาวหวอด วันนี้ทั้งวันเขาวุ่นวายอยู่กับการจัดของเข้าบ้าน ทั้งยกทั้งเคลื่อนย้ายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ กว่าจะเสร็จก็ย่ำเย็นเพื่อให้มันสำเร็จเป็นบ้านพอให้คนเข้าอยู่ได้ เขาเดินไปยังเตียงซึ่งบัดนี้มีฟูกและปลอกเรียบร้อยแล้ว สะบัดผ้าห่มทำท่าเตรียมจะล้มตัวลงนอน ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามที่ใจคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเป็นคำสั่ง
     
    "ไปอาบน้ำก่อน เคช เซเบเรีย"
     
    "ไม่เอา หนาวขนาดนี้ ใครมันจะไปอาบลง"    เจ้าตัวดีปฏิเสธพลางส่ายหน้าดิก ทำท่าจะฟุบกลับลงไปยังเตียงอีกรอบ หากประกายเย็นเยียบในนัยน์เนตรสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมาอย่างดุจัดก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมตัดใจจากที่นอนและผ้าห่มอุ่นๆเดินไปยังห้องน้ำแต่โดยดี ในห้องไม่มีเครื่องทำน้ำร้อน แต่เมื่อครู่เฟนริลที่อาบน้ำเป็นคนแรกก็ได้ใช้เวทไฟปรับอุณหภูมิน้ำในถังไว้เรียบร้อยแล้ว หากยอมอาบอย่างว่าง่ายตอนนี้น้ำก็คงยังอุ่นสบาย
     
    ไม่นานนัก พรานป่าที่หายเข้าไปใรห้องน้ำยังไม่ถึงสิบนาทีดีก็โผล่ออกมาในท่ากอดอก ฟันสั่นกระทบกันกึกๆ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเปียกน้ำพราวเช่นเดียวกับดวงหน้าขาวที่ขึ้นสีจัดเพราะความหนาว เสื้อผ้ามอมแมมถูกผลัดเปลี่ยนเรียบร้อย และสิ่งแรกที่เคชทำก็คือการกระโดดขึ้นเตียงนอน ตลบผ้านวมหนาขึ้นมาคลุมโปงไว้โดยไม่สนใครทั้งนั้น ในใจนึกก่นด่าเจ้าคนออกความคิดให้ไปอาบน้ำท่ามกลางอุณหภูมิติดลบเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็เหลือจะนับ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาต้องทนตกอยู่ในสภาพนี้ไปอีกเจ็ดปีที่เรียนด้วยกัน นรก...นรกชัดๆ
     
    "ข้าว่าเปลี่ยนใจไปอยู่ที่อื่นก็ยังทันนะนายท่าน"    มังกรเพลิงบ่นขึ้นบ้าง ทั้งห่อทั้งขดตัวด้วยผ้าห่มจนเกือบจะเป็นดักแด้อยู่รอมร่อ เด็กหนุ่มผมแดงยังไม่ค่อยชินกับร่างมนุษย์ของตนเองเท่าไหร่ ซ้ำยังลงความเห็นว่าเป็นร่างที่ไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย โชคดีที่ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เขาได้ไปอยู่กับดีอัสที่ราชวังไรอัสมา ทำให้เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับร่างใหม่นี้แล้ว ทว่าถึงจะคุ้นเคยกับร่างมนุษย์ยังไง แต่ความคิดของมนุษย์...โดยเฉพาะความคิดของนายท่าน เขากลับไม่เข้าใจเอาเสียเลย
     
    "ที่นี่เงียบดี"    เจ้าชายผมเงินซึ่งดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่มีปฏิกริยาใดๆกับความหนาวจนแทบถึงจุดเยือกแข็งเอ่ยเรียบๆ ดีอัสอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว และก็กำลังกางหนังสือสารานุกรมประวัติศาสตร์เวทมนต์เล่มหนาอ่านอยู่บนเตียง กวาดสายตาไล่อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับมันเป็นหนังสือนิยายที่สนุกเสียเต็มประดา
     
    "จริงสิ พรุ่งนี้มีเรียนคาบแรกตอนสิบโมง ใครจะเป็นคนทำอาหารเช้าก่อนดี?"    เคชส่งเสียงอู้อี้ผ่านผ้านวมออกมา ตลบเปิดขึ้นนิดหนึ่งพอให้ดวงตาสีอำพันใสแจ๋วลอดออกมามองโลกภายนอกได้ เวลานี้เข็มสั้นของนาฬิกาแขวนผนังเก่าๆที่ได้รับมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์อื่นชี้ไปเกือบใกล้เลขสิบเอ็ด ไม่นับว่าดึกนักสำหรับคนเป็นพราน หากสำหรับคนทั่วไปแล้วก็ถือว่าดึกจัดทีเดียว
     
    "ข้าทำไม่เป็น ส่วนนายท่านทำไม่ได้เรื่อง งั้นเจ้าทำละกันเคช"    เฟนริลตอบตรงๆตามนิสัยชนิดที่เรียกว่าขวานผ่าซาก ยักไหล่ราวกับจะแก้ต่างว่าก็ข้าพูดความจริง เมื่อถูกนัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยตวัดมามองอย่างดุๆ
     
    "พรุ่งนี้ฉันทำเอง"    คำประกาศราวกับต้องการจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนคืนมาของเจ้าชายดีอัส เรเฟรัส ทำเอาเคชเลิกคิ้ว ยอมโผล่หน้าออกมาจากผ้านวมอีกหน่อยหนึ่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ ในขณะที่มังกรเพลิงพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ  
     
    "แน่ใจนะ?"    พรานป่าถาม ครั้งเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับหนักแน่น เจ้าตัวดีก็รีบหันไปทางเพื่อนอีกคนทันที
     
    "คำว่าไม่ได้เรื่องนี่มันแย่แค่ไหนนะ เฟนริล"
     
    "ก็ถึงขนาดนี่ข้าได้แต่มอง ไม่กล้ากินแล้วกัน"    มังกรเพลิงตอบหน้าตาย ทว่าทันใดนั้นหมอนใบหนึ่งก็พุ่งปะทะใบหน้าเขาเต็มรักเมื่อใครบางคนหมดความอดทนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด โชคยังดีที่เป็นหมอน...มิใช่สารานุกรมปกแข็งเล่มหนาเกือบสามนิ้ว 
     
    "นอน!"    สั่งลั่นอย่างหัวเสีย ก่อนที่ดีอัสจะปิดไฟดวงเล็กข้างหัวเตียงส่งผลให้แสงสว่างทั้งห้องดับวูบโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครแย้ง ต่อเมื่อทันทีที่ความมืดกร้ำกรายเข้าปกคลุมบ้านหลังน้อย นั่นแหละความเงียบสงบถึงได้เกิดขึ้น และไม่นานเด็กหนุ่มทั้งสามชีวิตก็จมเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยเพลียที่สะสมมาทั้งวัน
     
    ...ดูเหมือนแค่คืนแรกในบ้านหลังน้อยบนภูเขาหิมะก็ส่อเค้ายุ่งยากเสียแล้ว...

    .............................................................................................................

    สวัสดีทุกๆท่าน แม้จะห่างไปนานแต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้หายไปไหน ยังคงวนเวียนเข้าๆออกๆและปั่นๆๆๆบ้างเป็นบางเวลา แถมมาคราวนี้แล้วก็คงจะหายหน้าไปอีกจนกว่าจะถึงเดือนพฤศจิกา เนื่องจากเดือนกันยาและตุลาเป็นฤดูจำศีลของข้าพเจ้า ต้องสร้างบ้านสร้างรังหมกตัวอยู่ใต้กองหนังสือกฏหมายเป็นตั้งๆ เฮ้อ >[]< 

    ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นและกำลังใจ ดีใจจริงๆเวลาที่เห็นโพส อ่านเสร็จรู้สึกขัดๆตรงไหนรบกวนช่วยติชมด้วย ข้าพเจ้าจะขอบพระคุณอย่างยิ่งหากช่วยติงมาว่าข้าพเจ้าสมควรจะปรับปรุงแก้ไขตรงไหนบ้าง 

    ปล. ฝากเรื่องใหม่ด้วยเน้อ แทบจะฉีกแนว ฉีกอารมณ์จากเรื่องนี้ไปมากพอสมควร 

    http://writer.dek-d.com/ipod/story/view.php?id=730095 

      
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×