ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #49 : ศึกประลองจ้าวยุทธจักร ตอนที่12

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 687
      30
      18 พ.ย. 60


         เมื่อทำลายกระบวนท่าพญาหงส์ของลุงจางลงได้จนหมดแล้ว  ก็ถึงคราวทางนี้จะตีโต้คืนกลับไปบ้าง  ผมรวบรวมสมาธิสร้างกระแสลมหมุนขึ้นในมือข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างนั้นคือเปลวเพลิงอันร้อนแรง  ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการทำอิมเมจเทรนนิ่งกับพวกเจ็ดองค์รักษ์เมื่อก่อนหน้านี้  เพราะพลังขั้นสีแดงนั้นสามารถใช้ควบคุมบงการธาตุพื้นฐานได้ในระดับหนึ่ง  หากตั้งจิตมั่นคงก็จะเรียกใช้ไฟ ลม วารีและพสุธาได้ดังใจนึกเลยทีเดียว

         "ในอดีตเหล่าผู้กล้าทั้งหลายต่างปราชัยให้แก่กระบวนท่านี้มาแล้วนับไม่ถ้วน  ไหนลองดูซิว่าเจ้าจะต้านทานได้สักแค่ไหน!"

         น้องหมาดูจะภูมิใจกับวิชาเพลิงวายุนี้มาก  ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อผมจับทั้งสองธาตุหลอมรวมกันจนก่อเกิดเป็นลมพายุร้อนที่โหมกระหน่ำเข้าใส่คู่ต่อสู้ในทันที  แรงลมหมุนต่อเนื่องแทบจะขุดผิวดินของลานประลองให้เหวี่ยงกระจุยขึ้นกลางอากาศได้เลยทีเดียว

         "ไม่เลวนี่จอมมาร! แบบนี้ค่อยคู่ควรที่ข้าจะเอาจริงหน่อย"

         แม้ว่าแรงกดอากาศจากกระบวนท่าพายุเพลิงจะทำให้ลุงจางดูอึดอัดอยู่บ้าง  แต่แกยังไว้ลายเจ้าสำนักด้วยการต้านรับลมพายุได้อย่างมั่นคงไม่สั่นไหว  ตอนนี้จึงกลายเป็นศึกเล่นของใหญ่ว่าใครจะยิงพลังได้แรงกว่ากันไปแล้ว  กระนั้นผมก็รับรู้ถึงความจริงบางอย่างที่ว่าแม้พลังเต็มขั้นของเจ้าสำนักมังกรทองก็ยังไม่อาจเทียบชั้นวิชาของจอมมารได้เลย  เพราะตัวผมนี่ยังใช้ได้แค่ถึงขั้นที่สามเองด้วยซ้ำ  แต่ก็รับมืออีกฝ่ายได้อย่างไม่รู้สึกตกเป็นรองอะไรเท่าไหร่นัก

         "ประมุขจาง  ในเมื่อผลการประลองมันปรากฎชัดแล้วท่านก็ควรรามือแต่เพียงเท่านี้นะ!"

         ผมยังคงกดดันให้ลุงแกยอมถอนตัวไปก่อนจะเจ็บหนักกว่านี้  เพราะนอกจากลมประสานไฟแล้ว  คราวนี้ผมเล่นลมผสานน้ำดูบ้าง  เมฆฝนพลันตั้งเค้าหนาทึบ  ปลดปล่อยหยาดน้ำจำนวนมหาศาลควบรวมกับพลังลมอันแปรปรวนรุนแรง  กลายเป็นพายุฝนกระหน่ำเข้าโจมตีใส่ลุงจางแบบไม่มียั้ง ต่อให้วิชาเซียนจำแลงจะร้ายกาจขนาดไหนก็คงทนรับมือได้อีกไม่เกินสองสามกระบวนท่าแน่ ๆ  ทว่าท่ามกลางลมพายุกระหน่ำลุงแกยังยิ้มออกมาได้

         "ดี... ดีมาก  เอาอีกสิจอมมาร!"

         กลุ่มเมฆดำเคลื่อนตัวออกมาล้อมรอบคล้ายกับกำแพงหนาป้องกันการโจมตีด้วยลมพายุได้ชะงัดนัก  จางเหอลู่เร่งพลังเสียจนควันร้อนระเหยออกจากศีรษะเลยทีเดียว  ไม่เพียงเท่านั้นผมยังสังเกตเห็นที่มุมปากมีเลือดไหลซิบออกมาอีกด้วย  ท่าทางว่าภายในคงจะบอบช้ำไม่เบาเลย

         "จางเหอลู่! เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นนัก  มิเช่นนั้นข้าก็คงต้องเอาจริงด้วย!"

         ผมยังคงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจบไอ้ศึกบ้า ๆ นี้โดยไม่มีการนองเลือด  พวกจอมยุทธนี่มันเพี้ยนสิ้นดีเลย  ตายไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา?  ชื่อเสียงเหรอศักดิ์ศรีเหรอ?  แล้วมันกินแทนข้าวได้มั้ยเล่า!  จอมมารนี่ก็โหดเหี้ยมโดยไม่จำเป็นเหมือนกัน  ในเมื่อตอนนี้พลังอำนาจมันมาอยู่ในมือผมแล้วเพราะฉะนั้นต้องใช้มันเพื่อยุติเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้เสียที!

         "ไอ้หนูถ้ามันอยากตายนักก็สงเคราะห์มันเสียทีเถอะ"

         จอมมารดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่ผมพูดจาเหมือนไว้ปราณีคู่ต่อสู้  แต่ใจนึงก็คงรู้สึกโล่งใจบ้างแหละที่ไอ้ละอ่อนอย่างผมรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ดีถึงเพียงนี้  และที่สำคัญผมไม่ได้ลงศึกนี้เพราะต้องการจะฆ่าแกงใคร  เพียงแต่อยากจะหยุดการต่อสู้ที่จำเป็นนี้เท่านั้น

         "อย่าดูถูกกันนักจอมมาร!"

         แม้จะใช้กระบวนท่าในรูปลักษณ์ของมังกร พยัคฆ์และหงส์ไปแล้วก็ยังคว่ำทางนี้ไม่ได้  ลุงจางจึงต้องเค้นพลังเรียกคลื่นลมปราณสีดำขนานใหญ่  ปรากฎลูกพลังงานทรงกลมเหนือน่านฟ้า  กลิ่นอายอันน่ารังเกียจฟุ้งกระจายไปทั่วเหมือนเมื่อตอนที่ลุงจางเดินเข้าสู่ลานประลองในรอบแรก  หากลองสังเกตดี ๆ จะเห็นเส้นเลือดตามแขนและลำคอปูดโปนคล้ายจะปริแตกได้ทุกเมื่อ  ที่ทำถึงขนาดนี้เพราะอยากเอาชนะจอมมารมากเลยหรือ?

         "ทำไม?  เจ้าอยากเอาชนะจอมมารเช่นข้าถึงขนาดนั้นเลยหรือ  แม้กระทั่งต้องขายวิญญาณให้กับปิศาจร้าย"

         ผมนึกสมเพชเวทนาชายวัยกลางคนที่ตรงหน้า  ผู้เคยเป็นถึงเสาหลักของยุทธภพเพียบพร้อมทั้งชื่อเสียงและฝีมือ  ทว่าบัดนี้เหลือเพียงซากเก่า ๆ ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยพลังมารนอกรีต  ไร้ซึ่งเค้าลางของยอดฝีมือที่เขาเคยพอเจอเมื่อก่อนหน้านี้จนสิ้น

         "ใช่! ตราบใดที่ยังกำจัดมารร้ายเช่นเจ้าไม่ได้  แผ่นดินนี้ก็คงไม่มีวันสงบสุขได้แน่ ๆ"

         จางเหอลู่พูดจบก็กระอักเลือดออกมา  เจ้าคลื่นดำนั่นไม่เพียงแต่มีไว้เพื่อล้างผลาญชีวิตผู้อื่นเท่านั้น  แต่มันกัดกินกระทั่งเลือดเนื้อวิญญาณเจ้าของวิชาเองเสียด้วยซ้ำ  ประโยชน์อะไรที่ต้องยอมพลีชีพเพื่อการต่อสู้อันไร้สาระนี้  คิดได้ดังนั้นผมจึงหันหลังให้กับคู่ต่อสู้ในทันที

         "เจ้าจะดูถูกข้าไปถึงไหนเส้าเทียนอิ้ง! จะบอกว่าข้าไม่อยู่ในสายตาเลยงั้นรึ?"

         เปล่าหรอก  ผมแค่ทนดูลุงแก่ ๆ คนหนึ่งผลาญชีวิตตัวเองเพื่ออุดมการณ์จอมปลอมไม่ไหวแล้วต่างหาก  ดูจากสภาพแล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมเอาชนะแกได้ไม่ยากแน่ ๆ  เพราะขืนเร่งลมปราณมากไปกว่านี้เดี๋ยวมันก็จะตีกลับจนย้อนทำร้ายเจ้าของวิชาเองนั่นแหละ  ถ้าสู้กันไปมากกว่านี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่ผมลงมือปลิดชีวิตลุงด้วยตัวเองเลย

         "เจ้านั่นพูดถูก  หันหลังให้เช่นนี้เท่ากับดูถูกจอมยุทธ  เจ้ากำลังจะประหารฝ่ายตรงข้ามทั้งเป็นนะไอ้หนู!"

         จอมมารเองก็เข้าใจสถานการณ์ดี  และล่วงรู้ความคิดของผมจึงได้ปรามไว้  เพราะถ้ารามือเพียงเท่านี้จางเหอลู่ก็จะโดนผู้คนดูถูกเหยียดหยามในภายหลังเอาได้  ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการทรมานอีกฝ่ายเลย  สู้ประหารให้ตายตกไปยังถือเป็นความกรุณาเสียกว่าอีก

         "ผมไม่อยากให้ลุงแกตาย  ถ้าลุงแกตาย  ลูก ๆ อีกเจ็ดคนของแกคงจะเสียใจแน่ ๆ"

         "เจ้าบ้า! ความตายถือเป็นวิสัยหนึ่งของจอมยุทธ  และเป็นการเคารพในฝีมือซึ่งกันและกัน!"

         จอมมารเริ่มมีน้ำโหแต่ผมเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน  ถ้าใครสักคนตายคนที่อยู่ข้างหลังก็ต้องเสียใจด้วยเหมือนกัน  ไม่แน่ว่าแม่และพี่ชายอาจกำลังเศร้าโศกกับการจากไปของผมอยู่ที่โลกโน้นก็ได้  ผมไม่ใช่คนใจมารขนาดที่ล้างผลาญชีวิตคนเป็นผักปลาได้นะ

         "แต่เจ้าในตอนนี้คือเส้าเทียนอิ้ง  จอมมารผู้ฆ่าคนไม่กะพริบตา! การละเว้นคู่ต่อสู้ก็เป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของข้าเช่นกัน!" 

         รอยด่างพร้อยงั้นหรือ? การเข่นฆ่าผู้คนมันมีความสุขถึงเพียงนั้นเลย?  ไม่มีทาง! ต่อให้วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ผมจะเก่งกล้าสามารถขึ้นอีกสักเท่าไหร่ก็ตาม  ผมจะไม่ฆ่าใครโดยเด็ดขาด  ถ้าไม่ใช่เหตุผลที่จำเป็นจริง ๆ  ต่อให้คนที่บังคับจะเป็นเจ้าของร่างจริงก็ตามที!


    จบตอน     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×