ตอนที่ 8 : บทที่ 7 : ผัดกะเพราเขย่าใจ (100%)
บทที่ ๗
ผัดกะเพราเขย่าใจ
“อาหารร้านพี่ณัทอร่อยดีนะ พี่ว่าไหม” กีรติเอ่ยปากขึ้นก่อนหลังจากทั้งคู่เดินพ้นประตูบ้านเข้ามา ชายหนุ่มรู้สึกว่าเพื่อนร่วมบ้านของเขาเงียบตลอดทางที่เดินจากบ้านของพิพัฒน์กลับมาที่บ้านเช่า
นิธินันท์ที่แสร้งกดมือถืออยู่ เหลือบตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่า ตอบเสียงเบาในลำคอ “อืม”
กีรติกำลังจะพูดต่อ แต่เธอก็ตัดบทสนทนาโดยการเดินลิ่วเข้าห้องครัวไป ชายหนุ่มมองตามหลัง รู้สึกตงิดๆ ว่านิธินันท์โกรธเขาหรือเปล่า ถึงได้มึนตึงไปเช่นนี้ แต่พอคิดไปคิดมา เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องโกรธกันได้
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจละความรู้สึกความสงสัยนี้ได้อยู่ดี ชายหนุ่มจึงสาวเท้าตามเธอไปยังห้องครัว แล้วใช้หัวเรื่องเมื่อครู่ ดึงความสนใจของเธออีกครั้ง
“พี่ณัทน่าจะจ้างมาแพงน่าดูเลยพี่ว่าไหม ทำอาหารได้หลายแบบ อาหารไทยก็อร่อย อาหารเหนือก็ดี ฟิวส์ชันยิ่งเจ๋งไปเลย”
คนที่ยืนเทน้ำอยู่หน้าตู้เย็น หันไปมองร่างสูงที่ยืนกอดอกหลวมๆ พิงขอบประตูอยู่ น้ำเสียงระรื่นที่เขาใช้ฟังแล้วน่าหมั่นไส้นัก คงจะอร่อยกับมื้อค่ำเสียจนลืมไปแล้วละมั้งว่ารับปากกับเธอเอาไว้ว่าอย่างไร แล้วที่ให้เธอไปนั่งตรงข้ามกับคนที่ยังไม่สนิทกันมากอย่างปาณัทอีก เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ แต่คนที่รู้สึกว่าถูกหลอกให้ไปนั่งตรงนั้นก็อดขุ่นข้องหมองใจไม่ได้
นิธินันท์สบตาเขานิ่งอยู่ชั่ววินาทีหนึ่ง อยากให้สายตาเรียบนิ่ง และใบหน้าปราศจากรอยยิ้มของเธอบอกทุกอย่างที่เธอรู้สึกในใจกับเขา ก่อนจะตอบไปสั้นๆ “อืม”
สิ้นเสียงคำตอบที่ขัดกับความรู้สึกบางอย่างที่เขาได้รับผ่านแววตาของเธอ คนไม่อยากจะคาดเดาอีกต่อไปก็โพล่งออกไปทันที
“พี่โกรธอะไรผมรึเปล่า”
“ฉันจะไปโกรธอะไรเธอ”
นี่ละนะผู้หญิง...คำพูดไม่เคยตรงกับความรู้สึก
“เออนั่นดิ ผมก็คิดอยู่เนี่ยว่าพี่จะไปโกรธผมเรื่องอะไร”
แล้วนี่ก็ผู้ชาย...ใช้สมองก่อนหัวใจเสมอ
นิธินันท์เผลอสะบัดสายตาไปมองเขาแวบนึง เมื่อน้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เธอชักสายตากลับ แล้วลอบระบายลมหายใจ เก็บขวดน้ำเข้าตู้เย็น ปล่อยให้มวลความเงียบปกคลุมทุกอณูระหว่างเธอกับเขา แล้วก็เป็นใครอีกคนที่ทนกับบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหว เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้ แล้วว่าต่อในสิ่งที่รู้สึก
“ผมเห็นว่าพี่หน้าบึ้ง ไม่พูดไม่จา ก็เลยคิดไปว่าพี่โกรธอะไรผมรึเปล่า แต่ถ้าไม่โกรธก็ดีแล้ว”
คนพูดยิ้มมุมปากให้ ทว่าคนฟังก็ยังตีหน้านิ่ง รอยยิ้มของเขาเลยพลอยเลือนหายตามไปด้วย
ชายหนุ่มหวังว่าเธอจะพูดอะไรกับบ้างหลังจากประโยคนั้น แต่ก็ไม่...
นิธินันท์เพียงพยักหน้ารับรู้น้อยๆ เดินผ่านเขาออกประตูครัวไปโดยไม่พูดอะไรด้วยสักคำ กีรติได้แต่ขมวดคิด มองตามหลังเธอไป คนร่างเล็กเดินไปถึงปลายบันไดขึ้นชั้นสอง ความอึดอัดก็ทำให้เขาโพล่งความรู้สึกออกมาอีกครั้ง
“พี่ทำผมคิดมากเรื่องพี่นะเนี่ย”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างวูบหนึ่งทันทีที่สิ้นประโยค เช่นเดียวกับการก้าวเดินที่หยุดชะงักชั่วอึดใจ ก่อนรอยยิ้มน้อยๆ จะแต้มขึ้นที่มุมปาก
ทำไมเธอนิสัยเสียแบบนี้ ทำไมเธอต้องหัวใจพองฟู...ทั้งที่ใครอีกคนกำลังบอกว่าเธอทำให้เขาคิดมาก
แม้ความขุ่นเคืองจะจางหายไปบ้างแล้ว แต่นิธินันท์ไม่ต่อความเขา เธอก้าวขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นสอง กีรติจึงเดินตามมาหยุดที่ปลายบันได
“พี่นันท์”
หญิงสาวไม่ขานรับ เพียงหันกลับไป ดวงตาสีเข้มของเขาที่มองมามีรอยความอาวรณ์จางๆ ปรากฏอยู่
“พี่อาบน้ำก่อนผมได้เลยนะ มันดึกแล้ว ช่วงนี้อากาศเย็นลงกว่าเดิมมาก ข้างบนน่าจะเย็นกว่าข้างล่างด้วย ร่างกายพี่อาจจะยังไม่ชิน...ผมกลัวว่าพี่จะเป็นหวัดเอา”
แม้ครั้งนี้เธอจะไม่เอ่ยตอบเขาเช่นเดิม ทว่าความห่วงใยที่เขาส่งผ่านคำพูดมาทำให้เธอต้องเม้มปากนิดๆ เพื่อกลั้นยิ้ม อารมณ์หมองมัว สดใสขึ้นมาบ้างแล้วก็จริง แต่ที่เธอไม่ยอมยิ้มตามความรู้สึก เพราะยังติดใจเรื่องที่เขาเบี้ยวนัด แถมยังหลอกให้เธอไปนั่งกับคนที่ยังไม่สนิทอีก รู้ทั้งรู้ว่าเขามีเหตุผล แต่ก็ห้ามความน้อยใจ ความเผลอเอาแต่ใจอันเป็นนิสัยเสียของน้องสาวคนเล็กของบ้านไม่ได้
นี่ละนะ ที่พี่ชายของเธอถึงชอบพูดว่า ‘ผู้หญิงก็เป็นอย่างเนี้ย’
ใช่...ก็เป็นอย่างนี้แหละ เธอไม่เถียง แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้
คนน้อยใจหันหลังให้เขา ก้าวขึ้นบันไดต่อไปอีกสองก้าว เสียงทุ้มที่คุ้นหูก็ดังตามมา
“วันนี้โทษทีนะพี่ เราอดไปเดินตลาดกันเลย” น้ำเสียงของเขาเจือทั้งความกังวลและการปลอบโยน จนคนฟังนิ่งไปอีกครั้ง “อาทิตย์นี้ไม่รู้ว่าลูกค้าจะนัดคุยงานอีกทีวันไหนด้วย”
นิธินันท์ฟังอย่างตั้งใจทุกคำพูด ขมริมฝีปากล่างเบาๆ หัวใจดวงน้อยเต้นตึกๆ รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีกไหม แล้วในชั่วอึดใจนั้นเอง...
“เดี๋ยวผมรีบเคลียร์งานก่อน...แล้วเราไปด้วยกันนะ”
แล้วคนใจน้อยก็ยิ้มได้เต็มแก้มเสียที ก็แค่ประโยคนี้แหละที่ใจรอฟัง
“อื้ม!”
ต่อตรงนี้ (50%)
แม้ว่าแสงแดดในเวลาใกล้เที่ยงของฤดูหนาวจะไม่ได้ร้อนมากขนาดเร่งเร้าให้เธอต้องรีบเดิน แต่มันก็เจิดจ้ามากพอที่จะทำให้เธอต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อสู้แสง แล้วก็เป็นตอนนั้นเอง ที่มือใหญ่ๆ ของร่างหนาเดินอยู่ข้างๆ ก็ยื่นมาบังแสงแดดให้ คนไม่ทันตั้งตัวตกใจจนเขยิบออกห่างเล็กน้อย หันไปมองคนตัวสูงกว่าหมายจะส่งคำถามไปให้ ทว่ากลับต้องเจอกับรอยยิ้มโชว์ฟันขาวที่หยุดคำพูดของเธอเอาไว้ทั้งหมด
นิธินันท์นิ่งมองเขา ทั้งที่สองขายังก้าวเดิน แสงแดดที่เจิดจ้าทำให้ผิวขาวแบบชาวเหนือของกีรติดูขาวสว่างมากขึ้นอีก ภาพที่จับสายตาของเธออยู่ตอนนี้ กลืนเอาคำถามในสมองของหญิงสาวไปเสียหมด ดวงตาคมของเขาสะกดเธอให้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ชั่วลมหายใจหนึ่ง ก่อนที่เขาจะ...
กระชากเธอกลับมาสู่โลกแห่งความจริง
“หรี่ตามาก ผมกลัวพี่หน้าผากย่น”
“ไอ้บ้า!” นิธินันท์เกือบสะดุดหน้าทิ่ม ผลักมือที่ยื่นมาบังแดดให้กลับทางเขา ทว่าชายหนุ่มกลับครางเหมือนขู่นิดๆ ขืนแรงเธอเอาไว้
“อื้อ...อ อย่าดื้อดิ ผมบังแดดให้พี่ แล้วเดี๋ยวพี่ก็ทำข้าวเที่ยงให้ผมกินไง แลกกัน”
คนพี่ขมวดคิ้วใส่ “ไหนเมื่อกี้บอกจะช่วยฉันทำ”
หลังจากคุยกันว่าเที่ยงนี้จะทำกับข้าวกินด้วยกัน เพราะอยากจะช่วยกันจัดการของสดในตู้เย็นที่ทั้งคู่ซื้อมาให้หมด ก่อนที่มันจะเน่าไปเสียก่อน แม้ว่ายังไม่ได้คิดเมนูเอาไว้ แต่เมื่อสำรวจในตู้เย็นดูแล้วพบว่ามีของสดพร้อมทุกอย่าง ยกเว้น...น้ำหวานและขนม กีรติจึงชวนเธอเดินออกมาที่ร้านป้า ตั้งใจมาซื้อขนมเอาไว้กินตอนบ่าย แก้ง่วงในวันสุดสัปดาห์ที่ต้องทำงานแบบนี้
“ไอ้ช่วยอ้ะช่วย ก็ผมรู้ไงว่าผมคงช่วยอะไรพี่มากไม่ได้ ก็เลยหาอย่างอื่นช่วยแทน”
“แค่บังแดดเนี่ยนะ” นิธินันท์ว่าเสียงดังขึ้นหน่อยๆ แกล้งทำเหมือนจะโวยวาย แต่ก็เอานิ้วชี้จิ้มๆ ฝ่ามือของเขาเล่นไปด้วย
“เดี๋ยวหิ้วของให้ด้วยอ้ะ” ชายหนุ่มว่ายิ้มๆ ก่อนจะกดมุมปากข้างหนึ่งลงเหมือนครุ่นคิด “หรืออยากให้ทำอย่างอื่นให้อีก เลี้ยงขนมเอาไหม”
คนถูกถามยิ้มปนขำ “ฉันไม่ใช่เด็กนะ ถึงต้องเอาขนมมาล่อน่ะ”
ว่าแล้วก็เดินนำลิ่วเข้าร้านขายของชำไปก่อน กีรติมองคนตัวเล็กที่กำลังตั้งอกตั้งใจมองหาเครื่องดื่มที่ถูกใจจากตู้แช่ จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล เพิ่งสังเกตตัวเองตอนนี้ ว่าตั้งแต่มีนิธินันท์มาอยู่บ้านด้วย รู้สึกเหมือนมีเรื่องให้ยิ้มได้ทุกวัน สงสัยคงเพราะไม่ต้องเหงาอยู่คนเดียวละมั้ง
ไม่นานนักทั้งคู่ก็เลือกของที่ตัวเองต้องการเสร็จ กีรติบอกให้ป้าเจ้าของร้านใส่รวมไปในถุงเดียวกัน เพราะเขาจะเป็นคนเลี้ยงเธอเองอย่างที่ออกปากเอาไว้ พอรับถุงจากป้ามาเสร็จ ชายหนุ่มก็ล้วงไอศกรีมหวานเย็นรสผลไม้ออกมา หมายจะแกะกินระหว่างเดินกลับบ้าน ทว่าคนมาด้วยกลับดึงไปหน้าตาเฉย แถมยังย่นคิ้วใส่เขาอีก
“อย่าเพิ่งกินสิ กินข้าวก่อน”
คนโดนแย่งไอศกรีมหลุดหัวเราะออกมา “พี่ห้ามอย่างกับผมเป็นเด็ก”
“แล้วทำตัวเป็นเด็กไหมล่ะ จะกินข้าวเที่ยงอยู่แล้ว จะแกะไอติมกินก่อนทำไม”
กีรติกะพริบตาใส่หญิงสาวอย่างงงๆ ก่อนที่ป้าร้านขายของชำจะหัวเราะร่วนให้บทสนทนาจนทั้งสองหันขวับไปหา ตามด้วยการรับเอาสายตาที่มีคำแซ็วแฝงอยู่กลับมา “แฟนว่ายังไงก็ว่าตามนั้นเถอะ”
ทั้งคู่หน้าเหวอไปทันทีที่สิ้นประโยคนั้น ก่อนจะพยายามปฏิเสธพัลวัน แต่ก็กลับได้เสียงหัวเราะที่ดังยิ่งกว่าเดิมกลับมา สุดท้ายทั้งคู่เลยต้องกลับบ้านมาพร้อมกับความสงสัยว่าพวกเขาดูเหมือนคู่รักกันอย่างที่ป้าว่าจริงไหม
แบบนี้เองสินะ ที่แม่ของเขาเคยเตือนอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าพาแฟนมาค้างที่บ้าน เพราะจะทำให้คนละแวกนี้คิดไปไกลว่าอยู่ก่อนแต่ง แล้วผู้หญิงจะเสียหายเอา กีรติคิดทบทวนสิ่งที่แม่เคยบอกแล้วลอบถอนหายใจ
ดีนะ...ที่ป้ายังใช้คำว่า ‘แฟน’ ไม่ใช่ ‘เมีย’
นิธินันท์เอาของที่ซื้อมาทั้งหมดเข้าตู้เย็น ก่อนจะรื้อค้นของสดออกมาดูว่าควรจะเอาอันไหนมาใช้ก่อน และของพวกนั้นทำอะไรได้บ้าง คนที่บอกว่าจะช่วยยืนพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์ครัว มองดูเธออยู่ห่างๆ
เสื้อยืดผ้าเนื้อหนาทว่าเข้ารูป ทำให้เขาเห็นส่วนโค้งเว้าของเธอได้อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะสีเทาอ่อนของเสื้อที่ทำให้เธอดูน่ามอง สายตาของกีรติเลื่อนลงต่ำเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว กางเกงยีนขาสั้นสีเข้มที่เธอใส่ประจำ ทำไมวันนี้...เขาเพิ่งสังเกตว่ามันสีตัดกับขาขาวๆ ของเธอเอามากๆ ตัดกันจนดูโดดเด่น...ยากจะชักสายตากลับ
ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าขาขาวๆ หรือกางเกงยีนตัวนั้นกันแน่ที่ดึงดูดสายตาเขา รู้แต่ว่าถ้าเธอสูงมากกว่านี้ แล้วบวกกับท่อนขาเล็กเรียวแบบนี้ เธอคงได้เป็นนางแบบแทนช่างภาพเป็นแน่ จู่ๆ ก็รู้สึกอยากขอบคุณความสูงที่ไม่ได้ไกลจากมาตรฐานหญิงไทยของเธอนัก ที่ช่วยพาให้เธอมายืนค้นตู้เย็นในบ้านของเขา แทนที่จะไปเดินโชว์เรียวขาขาวอยู่บนแคทวอร์กที่ไหนสักแห่ง
ชายหนุ่มดึงสติกลับมาเมื่อรู้สึกตัวว่าความคิดของเขาเริ่มเตลิดไปไกล พอดีกับที่เจ้าของขาขาวหันกลับมา
“ผัดกะเพราไข่ดาวดีไหม มีใบกะเพราพอดีเลย”
กีรติมองถุงพลาสติกที่หญิงสาวถืออยู่ เห็นชัดว่ามีใบเขียวๆ อยู่ในนั้นประมาณหนึ่ง หัวใจของเขาเต้นแรงตึกๆ จากภาพยวนใจเมื่อครู่ไม่หาย
ให้ตายเหอะ! ถ้าเธอเกิดได้ยินขึ้นมา แล้วเขาอ้างว่าใจสั่นเพราะใบกะเพรา เธอจะเชื่อไหม
“แล้วแต่พี่เลย ผมได้หมด”
คนไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาตลอดพยักหน้ารับ เริ่มหยิบของที่คิดว่าต้องใช้ออกมาวางไว้บนโต๊ะกลางครัว คนที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างให้ใจสงบลงบ้างเลยถามขึ้น
“แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”
แม่ครัวหลักของมื้อนี้หยิบลุงพริกสดออกมาเป็นอย่างสุดท้าย ปิดตู้เย็นแล้วหันกลับหาคนถาม คิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัวเมื่อใช้ความคิด “อืม...งั้นเริ่มจาก...หุงข้าวละกัน”
ลูกมือรับคำยิ้มๆ กำลังจะเดินผ่านหลังหญิงสาวไปยังหม้อหุงข้าวที่วางอยู่ถัดจากตู้เย็นไปไม่ไกล แต่จู่ๆ เขาก็หยุดกะทันหัน แล้วเปลี่ยนทิศทางไปฝั่งตรงข้าม เดินอ้อมโต๊ะกลางครัวไปยังจุดหมายโดยไม่ผ่านด้านหลังของเธอแทน นิธินันท์ที่กำลังจัดแจงของสดในถุง แอบเหลือบตาขึ้นมองการกระทำของเขา เอะใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงเลือกที่จะเดินอ้อมไปทางนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม เดาเอาว่าเขาคงไม่อยากจะเบียดเธอ
ยังไม่ทันที่ความคิดหญิงสาวจะสิ้นสุดดี คนที่เดินไปถึงหม้อหุงข้าวก็หันกลับมาถามแทรกความคิดเสียก่อน
“เออพี่ ที่จริงผมมีข้าวแช่แข็งนะ เวฟแล้วกินได้เลย เราไม่ต้องหุงก็ได้มั้ง”
คนถูกถามตวัดสายตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่า ชีวิตนี้จะกินแต่อาหารแช่แข็งหรือไงกัน นิธินันท์เอ็ดเขาในใจ ก่อนจะค้านกลับ “ไม่เอา มันไม่อร่อย”
“อร่อย! ผมกินประจำ”
คราวนี้แม่ครัวไม่ได้ส่งมาแค่สายตา แต่เธอหันมาเท้าสะเอวใส่เขาด้วย ชายหนุ่มอ่านท่าทางของเธอได้ดี จึงรีบกลับลำอย่างรวดเร็ว
“แต่มันก็ไม่อร่อยเท่าหุงเอง เราไม่ได้รีบ หุงข้าวดีกว่าเนอะ”
เมื่อเขาตอบมาแบบนั้น หญิงสาวก็อดอมยิ้มไม่ได้ นิธินันท์มองร่างสูงที่เดินไปตักข้าวสารใส่หม้อ ใจกำลังคิดว่าเขากินข้าวหุงสำเร็จแช่แข็งเป็นประจำแบบนี้ เธอจะได้กินผัดกะเพรากับข้าวต้มไหมนะ กระนั้นเธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ส่ายหน้าให้เขาแล้วก้มหน้าทำกิจกรรมที่ค้างอยู่ต่อ
เอาน่ะ ถ้าเกิดเขาหุงข้าวแฉะอย่างที่คิดเอาไว้ อย่างน้อยในตู้เย็นก็ยังมีข้าวสำเร็จแช่แข็งของเขาเอาไว้กันเหนียวล่ะน่า
กีรติรีบตักข้าวสารใส่หม้อแล้ว เดินไปเติมน้ำจากถังที่อยู่ห่างออกไปจนเกือบสุดด้านหนึ่งของห้องครัว หัวใจของชายหนุ่มรัวแรงยิ่งกว่าเก่า ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจว่าเขาไม่น่าหันกลับไปมองเธอเลย ทั้งๆ ที่ตอนแรกอุตส่าห์เดินอ้อมเพื่อที่จะได้ไม่เข้าใกล้เธอแล้วแท้ๆ แต่ก็ดันหันกลับไปมองเธออีกจนได้
จนได้จริงๆ
จนได้เห็น...
อกคัพซี เอวคอดเว้า กับขาขาวๆ
‘ให้ตายเหอะ! ไอ้ต่อมันอยากจะกัดลิ้นตายตรงนี้ จะบอกพี่นันท์ยังไงดีวะเนี่ย ว่าไม่ให้ใส่ชุดแบบนี้ตอนอยู่บ้าน!’
ต่อตรงนี้ (100%)
ไม่ถึงสิบห้านาที กลิ่นผัดกะเพราหมูสับก็หอมฟุ้งไปทั้งครัว เช่นเดียวกับข้าวในหม้อหุงข้าวที่เริ่มเดือด โชคดีที่กีรติเลือกแบบระบบหุงด่วน อีกไม่เกินสิบนาทีก็คงจะสุกพอดี ชายหนุ่มหยิบไข่ออกมาจากตู้เย็นตามคำสั่งแม่ครัว เธอกำลังสาละวันกับกระทะที่ตั้งอยู่บนเตา เพราะตอนนี้ผัดกะเพราะพร้อมแล้ว จะเหลือก็แค่ไข่ดาวเท่านั้น
กีรติตอกไข่ใส่ถ้วยเล็กเตรียมไว้ให้หญิงสาว ก่อนจะเดินไปหยิบจานสำหรับใส่ไข่ดาว พอเขาเดินกลับมา ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่นิธินันท์เทไข่ใส่กระทะพอดี ด้วยความร้อนที่มากเกินกว่าที่หญิงสาวคิดบวกกับความเย็นของไข่ที่เพิ่งออกมาจากตู้เย็นทำให้น้ำมันร้อนๆ ในกระทะแตกกระเด็นกระจายไปรอบทิศทาง ร่างเล็กที่อยู่ใกล้เตาที่สุด หลุดเสียงหลงพร้อมกับกระโดดออกห่างโดยอัตโนมัติจนชนเข้ากับคนที่ยืนรออยู่ข้างหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“พี่นันท์!” กีรติโพล่งออกมาพร้อมกับรวบเอาร่างเล็กที่กระแทกเข้าเต็มอก มือข้างขวาที่ถือจานอยู่เลื่อนออกห่างตัวทันทีด้วยความระวัง พร้อมกับที่แขนข้างซ้ายก็รัดเอาร่างนุ่มนิ่มไว้ด้วยสัญชาตญาณการปกป้อง
นิธินันท์เบิกตากว้าง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันว่าน่าตกใจแล้ว แต่ตอนนี้...ท่อนแขนหนาที่รวบรอบเอวของเธอเอาไว้นี่สิ...น่าตกใจยิ่งกว่า สาวร่างเล็กรู้สึกถึงแผ่นอกแกร่งที่แนบสนิทอยู่ทั่วทุกอณูบนแผ่นหลังเล็กบางของเธอ หญิงสาวผลักน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ พยายามจะตั้งสติ ทว่า...ทุกอย่างก็ยากยิ่งเมื่อเธอรับรู้ถึงแรงเต้นตุบๆ จากด้านหลัง ก้อนเนื้อเล็กๆ ในอกซ้ายของเธอก็สั่นคลอนไม่แพ้กัน
ชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งรับกับสัมผัสอันแนบชิดถึงกับนิ่งไป กำลังตกใจกับเนื้ออุ่นนุ่มในอ้อมแขนของเขา แม้สิ่งรอบตัวจะดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ทว่าเขากลับรู้สึกว่าวินาทีนี้ทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหว ไม่มีกลิ่นอาหาร ไม่มีเสียงการทำงานของหม้อหุงข้าว ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ ออกมาจากปากทั้งคู่ ที่เขาได้ยินอยู่ตอนนี้ก็มีแค่...
เสียงลมหายใจของเธอกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอกของเขา กีรติไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขากำลังหายใจอยู่หรือเปล่า คล้ายว่าเขากำลังตกอยู่ในห้องภวังค์อะไรบางอย่าง และเพียงไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น เสียงของคนตัวเล็กในอ้อนกอดก็เรียกสติเขากลับคืนมา
“เฮ้ย ไข่ไหม้แล้ว!”
นิธินันท์ผละตัวออกจากพันธนาการของชายหนุ่ม พุ่งตัวไปปิดเตาแก๊สก่อนที่ไข่ในกระทะจะไหม้ไปมากกว่านี้ กีรติที่ความรู้สึกเมื่อครู่ยังตีวนอยู่ในอกรีบเดินไปวางจานไว้บนเคาน์เตอร์ครัว ไม่ห่างจากเตาไปมาก
“พี่นันท์ ผมว่าจานไว้ตรงนี้นะ” ว่าเสียงทื่อโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา ก่อนจะรีบหมุนตัวออกไป “ขอไปห้องน้ำเดี๋ยวมา”
...
คนที่พาตัวเองหนีมาอยู่ในห้องน้ำเท้าแขนทั้งสองข้างกับอ่างล้างหน้า มองใบหน้าที่สื่ออารมณ์สับสนซึ่งสะท้อนอยู่บนกระจกเงา เช่นเดียวกับอีกคนในครัว เธอเดินกลับไปทิ้งตัวลงอย่าอ่อนแรงบนเก้าอี้ตัวประจำที่ใช้นั่งกินข้าว พ่นลมหายใจถี่ๆ สายตาล่องลอย
นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แล้วทั้งสองก็เผลอเอ่ยความรู้สึกประหลาดที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจออกมาพร้อมกันโดยที่อีกฝ่ายไม่อาจรู้
“ความรู้สึกเมื่อกี้...มันอะไรเนี้ย”
หลังจากขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำหลายนาที กีรติที่มั่นใจว่ากดความสับสนและความรู้สึกประหลาดๆ เอาไว้ได้แล้วก็เดินกลับมาในครัว และพบว่านิธินันท์จัดเตรียมอาหารมื้อเที่ยงเอาไว้บนเต็มจนเสร็จพร้อมรับประทานแล้ว หญิงสาววางแก้วน้ำเอาไว้บนโต๊ะ เหลือบมองร่างสูงที่กำลังเช็ดหน้าที่เปียกของเขากับแขนเสื้ออย่างลวกๆ คนที่รู้ตัวว่ากำลังถูกมองหันไปยิ้มร่าเริงให้ ก่อนจะเดินฉับๆ เข้ามานั่งที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หญิงสาวแอบเม้มปาก เธอใช้เวลาอยู่หลายนาที กว่าจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้
ทว่า...ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้อะไรเลย
แต่แล้วความความคิดของเธอก็เริ่มสับสน เมื่ออาหารมื้อนี้ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ เสียงช้อนส้อมกระทบกับจานข้าวที่ปกติเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ตอนกลับรู้สึกว่ามันดังเสียจนกังวลว่าจะเป็นการเสียมารยาทบนโต๊ะอาหารไหม นิธินันท์ตักไข่ดาวฟองหนึ่งมาไว้ที่จานตัวเอง ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำตามบ้าง ไม่มีใครได้กินไข่ไหม้เพราะสุดท้ายไข่ใบนั้นก็ต้องลงถังขยะไป เพราะมันเกรียมเกินกว่าจะกินได้จริงๆ
นิธินันท์เริ่มรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้บรรยากาศแบบนี้กินเวลาต่อไปอีก เธอควรจะงัดสกิลนักการทูตของเธอออกมาใช้ หญิงสาวขยับกายเล็กน้อย ใช้การเคลื่อนไหวของเธอเรียกให้ชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่เงยหน้าขึ้นมาหา แล้วในจังหวะที่เธอกำลังจะเอ่ยคำพูดออกมา เขาก็...
“พี่นันท์”
“ต่อ”
สองคำเรียกขานถูกอ่อยออกมาในเวลาต่างกันแค่เสี้ยววินาที ทั้งคู่ชะงักนิ่ง มองหน้ากันเลิกลักทำตัวไม่ถูก คนพี่จึงรีบทำลายบรรยากาศประดักประเดิดนี้
“พูดก่อนสิ”
“พี่พูดก่อนเลย”
“เมื่อกี้เธอเรียกฉันก่อน เธอนั่นแหละพูดเลย” นิธินันท์ยืนยันให้เขาพูดก่อน ไม่ใช่อะไรหรอก ที่เขาและเธอพูดขึ้นพร้อมกันเมื่อตะกี้นี้ ประโยคที่เธอเตรียมไว้ก็ดันกระจายไปหมดน่ะสิ
ชายหนุ่มที่ไม่ได้เตรียมคำพูดของตัวเองเอาไว้เหมือนกัน ยกมือขึ้นเกาคิ้วเหมือนพยายามจะประวิงเวลา ก่อนจะพูดแก้เก้อออกไปว่า “ผัดกะเพราพี่อร่อยดีนะ”
“อื้ม”
“แล้วเมื่อกี้พี่จะพูดอะไรกับผม”
“อ๋อ เอ่อ...” คนที่คิดคำพูดพูดไม่ทันส่ายสายตาไปมา มองหาตัวช่วย ก่อนจะตอบเขาไปเร็วๆ “เธอก็หุงข้าวอร่อยดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่เงียบไปสามอึดใจเมื่อหญิงสาวเอ่ยคำนั้นจบ ก่อนที่กีรติจะเป็นฝ่ายระเบิดหัวเราะออกมาก่อน เขายกหลังมือขึ้นปิดปาก พยามยามจะขำให้น้อยลงเมื่อดวงหน้าขาวเริ่มขึ้นสีระเรื่อ เธอย่นคิ้วกลับมาให้เขาเหมือนจะถามว่าเขาหัวเราะอะไร ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้าให้
จะบอกเธอได้ยังไงกันว่าหน้าตาเธอตอนเขิน มันน่ารักแค่ไหน ยิ่งได้มองแก้มใสๆ ที่ขึ้นสีชัดขึ้นเรื่อยๆ บวกกับด้วยตากลมวาวของเธอด้วยแล้ว เขาหุบยิ้มไม่ได้เลย นิธินันท์ค้อนให้เขา ทว่าก็อมยิ้มเขิน ยอมรับว่าเสียงหัวเราะของเขาทำให้บรรยากาศแปร่งๆ กระจายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดูเหมือนเธอกับเขาจะเคลิบเคลิ้มกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของกันแล้วกันจนลืมความกระอักกระอ่วนไปได้หมด หญิงสาวเลื่อนสายตาไปสานสบกับคนที่กำลังมองมา และก็เป็นเขาที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า...
“พี่นันท์...เราดูหนังกันไหม”
===========================================================
ตอนนี้มีความแน่นอนประมาน 70% นะคะ ว่าเรื่องจะออกกับ พิมพ์คำ เพราะฉะนั้นแปลว่า ฮอตซีน ในเล่มนั้นจะไม่ได้หวือหวาเหมือนกับที่ไรต์เคยแต่งลงตอนออกกับ Sugar beat เนาะ (เอาจริงหวือหวาสุดก็แค่เรื่อง บุพเพฯ 555)
นั่นล่ะค่ะ แต่ด้วยความที่ไรต์แต่ซีนนั้นเอาไว้บ้างแล้ว (ทำไมแกแต่ซีนนั้นทั้งที่เรื่องยังไปไม่ถึงไหนเนี่ยนะ เอิ๊กกก อย่าไปบอกใครล่ะ) ไรต์เลยจะเอาไปลงให้อ่านในเพจนะคะ เพราะในเด็กดีก็เหมือนจะลงไม่ได้มากเหมือนกัน เลยเห็นว่าลงในเพจน่าจะสะดวกสุดค่ะ
ปล. ตอนนี้ยังไม่ได้ลงนะคะ ลงตามละดับเรื่องค่ะ
ปล. 2 เรื่องนี้มีฮอตซีนด้วยเหรอ? >> แหมมมมมมมมมมมมมม มีสิ ไม่มีได้ไง เขาอยู่บ้านเดียวกัน แถมอิน้องมันจ้องจะจับอิพี่กินตลอดเวลาขนาดเน้! ถ้าไม่มีน้องต่อคงได้ลงแดงได้ มองนมมองขาอยู่นั่น รอวันเมื่อไหร่ไรต์จะให้กินพี่ได้สักที เอิ๊กกกกกกกกกก
ฝากอีบุ๊กเรื่องล่าสุด้วยนะค้าาาา
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เริ่มใจเต้นละสิ
ขอบคุณนะคะ
มองสวนหย่อนเล็ก สวนหย่อม
เพราะปกติแต่ไม่ค่อยได้อยู่นาน ปกติไม่ค่อย
ที่นั่่งหันหลังอยู่ นั่ง