คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : How should I know!? (ถึงเรื่องราวระหว่างนั้น) - 1
ตอนที่ 7:
How should I know!?
(ถึงเรื่องราวระหว่างนั้น)
1
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากเด็กชายหญิงที่นั่งเคียงคู่อยู่ข้างเตียง ทั้งสองทำมือป้องปากแบบมีจริต
เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้ามันดูหวานแหววชวนจี้อย่างกับฉากในละครหลังข่าว
“เอ~ สามวันมานี้อาการคุณดีขึ้นนะครับ แทบไม่มีไข้แล้ว ส่วนความบอบช้ำทางร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังต้องระวังอยู่ ห้ามเคลื่อนไหวอะไรมาก... ไม่งั้นได้มานอนเห็นหน้าผมบ่อย ๆ
แน่ แหะ ๆ” แพทย์หนุ่มบอกเล่าอาการของไวโอเล็ตอย่างเป็นกันเอง ก่อนส่งยิ้มมีความหมายให้เธอตอนพบว่าตัวเขาชอบแอบเข้ามาพูดคุย
ดูอาการของคนไข้รายนี้เป็นพิเศษ
“ขอบคุณค่ะ ที่จริงคุณหมอไม่ต้องเข้ามาวัดไข้เองทุก ๆ สองชั่วโมงก็ได้นะคะ ลำบากเปล่า ๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ พอดีพยาบาลไม่ค่อยว่าง ก็เลยมาเอง”
“เขาว่างั้นแหนะเบบี้ไฟว์ แต่พี่พยาบาลบอกว่างานไม่ยุ่งเลยนะ”
“หมออะไรว่างจริ๊ง ดูท่าจะว่างกับไวโอเล็ตเป็นพิเศษซะด้วย~”
“เดี๋ยวเถอะทั้งสองคน มันเสียมารยาทนะ” ไวโอเล็ตจำต้องเอ็ดทั้งคู่ เพราะตั้งแต่คุณหมอเข้ามาก็โดนสองคนนี้แซวไม่หยุดหย่อน
ท่าทางเคอะเขินไปไม่เป็นของหมอหนุ่มจบใหม่จากโครงการอิชชี่ทเวนตี้ (Isshi-20) เรียกปุ่มขี้นินทาของทั้งเบบี้ไฟว์และบัฟฟาโลให้กระพือติดปีก
สองคนนี้เฝ้าสังเกตมาตลอดสามวันก็พบว่า พ่อหมอหน้ามนกำลังคิดไม่ซื่อกับพี่สาว/เพื่อนสาวคนใหม่ของตน ทั้งคู่จึงมั่นแวะมาเยี่ยมเยือนไวโอเล็ตหลังเลิกเรียน แล้วนั่งอมยิ้มหัวเราะชอบใจกับภาพการหยอดมุกจีบสาวของบุรุษชุดกาวน์ตรงหน้าคล้ายกำลังนั่งดูซีรี่ส์เกาหลี
แต่ละครตลกก็คือละครตลก ทั้งสองนึกขัดใจทุกครั้งเมื่อญาติผู้ป่วยคนที่สามชอบเข้ามาขัดจังหวะการสนทนา
พ่อหนุ่มหน้านิ่งเดินหลังตรง มาหยุดยืนอยู่ตรงขอบเตียงจนเกือบจะเบียดคุณหมอติดผนัง ก่อนเอ่ยถามอาการผู้ป่วยคล้ายไล่คนชุดขาวไปไกล ๆ
“บังเอิญจังเลยคุณหมอ ตอนนี้อาการคนป่วยเป็นอย่างไรบ้าง? คงใกล้จะหายดีแล้วใช่ไหม? กลับบ้านได้เมื่อไหร่?
พรุ่งนี้เลยได้ไหม?” เวอร์โก้หันถามห้วน ๆ ก่อนยกมือขึ้นมาดึงไส้กรอกออกจากแก้มแล้วยัดเข้าปาก เมื่อโดนเบบี้ไฟว์สะกิดบอกว่าจะเก็บแท่งสีน้ำตาลที่ติดอยู่บนหน้าไว้กินตอนเย็นเหรอ
“ครับ ถ้าสะดวกพรุ่งนี้ก็สามารถย้ายออกได้เลย แต่ส่วนตัวผมอยากให้รอดูผลข้างเคียงอีกสักระยะก่อนนะครับ ไม่อยากให้รีบร้อน” คนหนุ่มตอบตามหน้าที่แต่สายตาแสนหลุกหลิกคล้ายอยู่ไม่เป็นสุข เพราะจนตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าคนบนเตียงกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีสถานะเป็นอะไรกัน
กลัวว่าถ้าเป็นมากกว่าที่ตาเห็นแล้วไปหยอดคำเชื่อมใส่คนหน้าหวานมากเกินไป กลัวจะหน้าหงายเพราะบาทาแบบไม่ทันตั้งตัว
“ไม่เป็นไรครับ ให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านน่าจะดีกว่า
แถมทุกคนจะได้ดูแลได้สะดวกด้วย มานอนโรง’บาลนานขนาดนี้ มีคนเป็นห่วงอยู่” พยายามพูดอ้อม ๆ ว่าเจ้าหล่อนมีเจ้าของแล้ว แถมเจ้าของเป็นบ้าง่ายซะด้วย คุณหมอสุดหล่อจะได้ตัดใจเสียแต่เนิ่น ๆ ยังหนุ่มยังแน่น หน้าที่การงานก็ดีไปหาคนอื่นคงดีที่สุด ขืนยังเจ๊าะแจ๊ะไม่เลิกเขากลัวว่ามหกรรมความซวยจะไปตกอยู่กับคนป่วยแทน
ส่วนพ่อหมอคงต้องไปนอนในโลงแบบหลับไม่ตื่นฟื้นไม่มี
“งั้นเหรอครับ...นั่นสินะ คงไม่มีใครชอบนอนโรงพยาบาลกันหรอก งั้นเดี๋ยวผมจะสรุปผลการรักษาแล้วแจ้งให้นะครับ พรุ่งนี้ประมาณเที่ยง ๆ ก็ติดต่อแผนกการเงินแล้วกลับได้เลยครับ” คนสวมกาวน์สีหน้าสลดลงเมื่อพบว่าคนที่ถูกใจจำต้องกลับบ้าน ส่งยิ้มอ่อนหวานให้ไวโอเล็ต จดจำใบหน้าของเจ้าหล่อนไว้เพื่อว่าสักวันอาจจะมีโอกาสได้เจอกันอีก
หลังจากนายแพทย์ออกไปแล้ว ทั้งสามคนก็ชวนเจ้าหญิงคุยสัพเพเหระ หยิบนู้นปอกนี้ให้กินถึงแม้คนที่ปอกผลไม้จากกระเช้าเยี่ยมไข้จะเป็นคนไข้เองก็เถอะ แล้วชวนกันนั่งดูรายการโทรทัศน์เรื่อยเปื่อย จนตะวันตกดินแล้วพลันปรากฏร่างของสาวพยาบาลเข็นอาหารเข้ามาให้
“คุณไวโอเล็ตคะ ได้เวลาทานอาหารทานยาแล้วค่ะ อุ๊ยแหม...วันนี้คนคอยคุมพฤติกรรมทั้งสามคนก็อยู่ด้วย ดีเลย...งั้นช่วยบังคับให้คนไข้กินเยอะ ๆ หน่อยนะคะ ทานอย่างกับแมวดมเดี๋ยวจะโดนคุณหมอดุเอา” หญิงสาวในเครื่องแบบจัดวางอาหารให้เรียบร้อย ก่อนเอ่ยแซวเล่นกับเด็ก ๆ และพ่อชายหน้านิ่งที่เห็นมาหาทุกเย็นตั้งแต่คนป่วยนอนโรงพยาบาล
“ได้เลย-ดัสยัน เพื่อพี่พยาบาลคนสวยทำให้ได้อยู่แล้ว”
“นะ แน่นอน ถ้าขอร้องจะทำให้ก็ได้นะ โธ่เอ๊ย”
“อาหารไม่มีแฮมเบอเกอร์เหรอ?”
“มันจะมีได้ไง!!!” เบบี้ไฟว์และบัฟฟาโลตะโกนตอบจนเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งห้องอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ จนดึงให้เจ้าหญิงหัวเราะตามไปด้วย
หลังจากเข้าโรงพยาบาลมา เธอไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะกลับมาหัวเราะได้เร็วขนาดนี้ แถมร่างกายเปื้อนมลทินยังฟื้นได้ตัวไวจนเหลือเชื่อ ไม่คิดเลยว่าทุกคนในแฟมิลี่จะแบ่งปันเวลามาหาเธอไม่ขาดสาย
แม้จะไม่ได้อยู่คุยเนิ่นนานแต่ก็สลับกันมาบ่อยจนแปลกใจ
เว้นก็แต่...ผู้ชายคนนั้น รู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด
เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากสู้รบปรบมือกับเขาในช่วงเวลาอ่อนแอแบบนี้ เธอกลัว…ไม่อยากเจอหน้า เกรงว่ามันจะมีแต่เรื่องเสียเปล่า ๆ
เวลาล่วงเลยมาจนสองทุ่ม เวอร์โก้กลัวว่าหากดึกดื่นกว่านี้เด็ก ๆ จะแหกขี้ตาตื่นไปเรียนไม่ไหว จนต้องเอ่ยปากขอพากลับบ้าน
“งั้นวันนี้พวกเรากลับก่อนนะ นอนพักเยอะ ๆ ล่ะ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะมารับ” อยากจะบอกคำปฏิเสธแต่พอได้ยินว่าอีกสองคนจะตามมาด้วย องค์หญิงเป็นต้องถอดใจแล้วยิ้มรับคำบอก ยกน้ำและยาขึ้นมาทานก่อนเตรียมตัวนอน
“ไปล่ะ ไวโอเล็ต บ๊ายบาย”
“บาย-ดัสยัน”
“ไปนะ”
“...ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ไฟในห้องดับลง สิ้นเสียงปิดประตู สาวน้อยเผลอมองนอกหน้าต่างอยู่ชั่วครู่ นอนฟังเสียงลมพัดกระทบใบไม้ใบหญ้าประสานกันเป็นบทเพลงกล่อมนอน ก่อนคนฟังจะโดนฤทธิ์ยาจู่โจม แล้วหลับใหลไปในที่สุด
………………………
ภายในห้องนั้นมืดมิด มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ในยามไร้เมฆเท่านั้นที่ส่องสว่างสะท้อนทุกสิ่งภายในห้องให้เป็นสีนวล ใบหน้าของเจ้าหญิงนิทราต้องแสงมนต์ สะกดสายตาให้อีกหนึ่งชีวิตที่นั่งอยู่ในห้องจ้องมองจนมิอาจละไปไหน
โดฟลามิงโก้อยู่ในห้อง นั่งนิ่งเฝ้าดูจังหวะลมหายใจเข้าออกของคนบนเตียงอยู่ในเงามืด ไม่มีคำเอ่ยทักเพราะเจ้าตัวไม่ต้องการให้คนเจ็บรับรู้ได้ถึงตัวตนเวลามีเขาอยู่
สายตาไล่มองทุกส่วนที่โผล่พ้นผ้าห่มสีขาว ที่ตรงนั้นเขาเห็นข้อมือเล็ก ๆ ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล สูงขึ้นมาหน่อยก็เห็นสายน้ำเกลือทิ่มแทงผิวเนื้อนวลจนนึกขัดใจ ใบหน้าคนหลับนั้นดูอ่อนเยาว์และมันยิ่งเด็กลงไปอีกยามกระทบแสงสีนวลของดวงจันทรา
ริมฝีปากอิ่มนั้นซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่ต้นคอไม่เห็นร่องรอยอะไรอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะมันจางหายไปหรือจะเป็นเพราะโดนปลายเส้นผมเข้ามาบดบังก็ไม่อาจแน่ใจ
เพราะคืนนั้นเอาแต่หน้ามืดตามัวจนไม่ทันได้สังเกต แต่ผมของเธอยาวขึ้นมาก เขาจำได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรกมันไล่ละอยู่เพียงแค่ต้นคอ แต่ตอนนี้มันยาวจนเอื้อมมาสัมผัสบ่าได้แล้ว รู้สึกพิศวงไม่คาดคิดว่าระยะเวลาแค่สองเดือนผมคนเรามันจะยาวได้ถึงเพียงนี้
แค่สองเดือน...มันช่างเป็นช่วงเวลาที่อะไร ๆ เปลี่ยนไปมาก ทั้งตัวเขา ทั้งไวโอเล็ตและทุกคนในครอบครัว จนพาลทำให้นึกถึงเรื่องราวที่ได้คุยกับเวอร์โก้เมื่อสองสามวันก่อนขึ้นมา
“นี่ฉันเอง...ตอนนี้นายอยู่ไหน?”
หลังจากโทรหาหนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของครอบครัว เขาก็รีบแต่งตัวแล้วรุดหน้าไปหาปลายสายทันที จุดหมายก็ไม่ใช่ที่อื่นใด แต่คือโรงงานแปรรูปอาหารที่เขาเคยสั่งให้เวอร์โก้กลับมาดูแลช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“อรุณสวัสดิ์ดอฟฟี่ หรือต้องพูดว่าสายัณห์สวัสดีดีล่ะ?” ทักทายทันทีเมื่อโดนเจ้าของที่แท้จริงเปิดประตูพรวดเข้ามาโดยไม่เคาะให้เสียเวลา
“จะอะไรก็เรื่องของนาย”
“ดูยิ้มยากขึ้นนะ ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่เหรอ?” เอ่ยถามต่อเมื่อเห็นคนผมบลอนด์นั่งไขว่ห้างอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนเจ้าตัวจะเลื่อนหน้าหนีคล้ายไม่อยากตอบคำถาม จู่ ๆ คนไว้หนวดก็รู้สึกสนุก พอจะรู้สาเหตุที่อีกฝ่ายจิตใจยังคุกรุ่นแต่ก็ไม่วายรีบบึ่งรถมาหาเขาถึงที่นี่
“ไหนบอกว่ามีเรื่องจะคุย?” ชักสีหน้าขึ้นมาตอนเห็นอีกฝ่ายอมยิ้มกวนส้นเท้าเหมือนกำลังนึกสนุกกับอะไรบางอย่างในตัวเขาอยู่
“อ๋อ เรื่องธุรกิจไง ตอนนี้เป็นไปด้วยดีมาก ๆ รับรองต้องผ่านฉลุย ไม่โดนสั่งปิดจนไปกระทบเบื้องหลังของพวกเราหรอก แถมดีไม่ดีเรายังได้กำไรจากธุรกิจอาหารที่ใช้บังหน้าด้วยนะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว”
แท้จริงแล้วที่เวอร์โก้โดนสั่งให้มาคุมงานที่นี่โดยตรงไม่ใช่มาเพื่อกอบโกยกำไรจากธุรกิจอาหารกระป๋องงี่เง่า แต่มาเพื่อยับยั้งไม่ให้สถานที่นี้ปิดตัวไป
ธุรกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารก็แค่ฉากบังหน้า แต่เบื้องหลังแล้วพวกเขาซ่อนธุรกิจดำมืดจำพวกสารเสพติดเอาไว้อีกทอดหนึ่ง หากโรงงานโดนปิด ก็จะไร้ซึ่งหนทางขนส่งหรือกระจายสินค้าโดยไม่สะดุดตา หากส่งของให้ไม่ได้แล้ว ก็รับรองได้เลยว่าดุลอำนาจการค้าที่มีต้องอันตรธารหายไป... ซึ่งเรื่องนี้ต่างหากที่ยอมไม่ได้
“แล้วเรื่องหนอนบ่อนไส้ล่ะ?”
“ยังไม่รู้เลย แต่ดูเหมือนไวโอเล็ตจะระแคะระคายใครบางคนนะ บอกถ้ามีหลักฐานมากกว่านี้จะมารายงานให้ฟัง” แอบเห็นจำเลยหน้ากระตุกไปแป๊บหนึ่งครั้นมีชื่อโจทก์โผล่ออกมา จำได้แม่นว่าสองคนนี้ต้องคดีกระทำชำเรากันอยู่โดยมีพยานรู้เห็นคือคนทั้งครอบครัว เวอร์โก้เล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟังแต่ละบางเรื่องไว้ในฐานที่เข้าใจ
แต่ดูเหมือนว่าพูดหรือไม่พูดค่ามันจะเท่ากัน เพราะทุกคนผูกเรื่องผูกราวซะยังกับไปพบเห็นมาด้วยตาตัวเองจนต้องปล่อยเลยตามเลย
ตำรวจนิ่งไปจนคนมาใหม่เริ่มอยู่ไม่สุข ก็จริงอยู่ว่าเขาอยากรู้เรื่องธุรกิจแต่มีอีกเรื่องที่อยากรู้มากกว่า
“เรื่องที่จะบอกฉันมีแค่นี้เหรอ?” โดฟลามิงโก้ถามทันทีครั้นอีกฝ่ายก้มหน้าลงไปอ่านเอกสารเหมือนหมดเรื่องคุยแล้ว
“ใช่ หมดแล้ว” แกล้งเฉไฉทำไม่สนใจ เริ่มมั่นใจแล้วว่าเรื่องที่ตัวเองกำลังสงสัยคือเรื่องจริง ก็ไม่อยากแกล้งนักหรอก แต่นาน ๆ ทีก็ขอสักหน่อย อาการเสียศูนย์ของเพื่อนรักแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ
“หมดกะผีน่ะสิ! นายก็รู้อยู่แล้วว่าที่นี่มันสำคัญ ฉันอยากฟังเหตุผลที่ยอมให้ยัยนั่นเข้ามาคุมที่นี่ง่าย ๆ ต่างหาก ทำไมถึงยอม อย่าบอกนะว่าพวกนายสองคน...”
“โทษทีนะดอฟฟี่ นึกว่านายเบื่อแล้ว ถ้ายังไง...” เวอร์โก้แอบหุบยิ้มเกร็งหน้าขรึมแทบไม่ทัน เมื่อคนตรงข้ามทำท่าจะลุกขึ้นมาต่อยหน้าเขา อิทธิฤทธิ์ขององค์หญิงช่างน่ากลัว ไม่เคยนึกเลยว่าเพื่อนที่คบกันมาเป็นสิบยี่สิบปีจะเริ่มหันมาต่อยหน้าเขาแล้ว
“เออ! อยากได้นักก็เอาไปเลย!” เกือบต่อยเวอร์โก้แล้วจริง ๆ โดฟลามิงโก้ยอมรับข้อนั้น แต่สติเส้นสุดท้ายก็ยั้งตัวเขาเอาไว้ได้ก่อน ซ่อนสองหมัดไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
หมดแล้วเรื่องคุย บอกย้ำกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาปั่นหัวจนต้องมีอาการผีเข้าผีออกแบบนี้อีก อาจจะเป็นเพราะเขาเข้าใจผิดไปเองจริง ๆ จึงทำให้ตอนนี้ยังรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันขนาดนี้แล้วก็หมดแล้วซึ่งความสงสาร หากมีคนมารับช่วงต่อแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ก้าวเดินต่อด้วยหัวใจที่ไม่มั่นคง
‘ทำไมถึงรู้สึกเหมือนคนอกหักวะ? รู้งี้ไม่น่ามาฟังตั้งแต่แรก’
ตอนนี้เวอร์โก้อยากจะหัวเราะลั่นห้อง ทั้งตอนที่เกือบจะโดนต่อยก็ดี ตอนที่เพื่อนแสนรักเดินงุ่นง่านจากไปก็ดี อาการแบบนี้อยู่ด้วยกันมานานไม่เคยเห็น สุดท้ายจึงเลือกบอกความจริงไปดีกว่า ปล่อยไว้แบบนี้น่าสงสารแย่
ทำตัวเหมือนคนโดนบอกเลิกเลย
“เดี๋ยวก่อนสิดอฟฟี่ จะรีบไปไหน? เมื่อกี้นายถามว่าทำไมถึงให้หล่อนมาคุมงานใช่ไหม?” ไม่มีคำตอบรับ เห็นเพียงแค่อีกฝ่ายหยุดเดินแล้วหันหน้ามามองเขานิ่ง ๆ เท่านั้น
“นายเคยบอกใช่รึเปล่าว่าก่อนหน้าที่ราชาริคุจะตกหลุมพราง การบริหารประเทศนั้นดีมาก”
“เออ เล่นอยากจะเอาปืนยิงหัวกบาลมันทันทีที่เจอหน้าเลย ทำแสบมาก เล่นเอาขนหน้าแข้งร่วงไปเยอะ” นึกหงุดหงิดทันทีที่นึกถึงหน้าราชาเจ้าปัญหา แต่ต้องหยุดความคิดไว้เมื่อหน้าลูกสาวแสนสวยของมันลอยตามเข้ามาติด ๆ
“ไม่ใช่ราชาหรอกนะที่บริหารประเทศน่ะ”
“อยากจะพูดอะไร?”
“เจ้าหญิงหลุดปากมาน่ะ คนที่บริหารประเทศคือเจ้าตัวเอง เพราะฉะนั้น...นั่นแหละเหตุผลที่ฉันให้เจ้าหล่อนมาคุมโรงงานที่นี่ ซึ่งผลลัพธ์ก็อย่างที่บอกไปตอนแรกแล้ว ดีมาก ๆ เลยล่ะ สมแล้วล่ะนะที่งัดข้อกับนายได้อย่างสูสี เด็กคนนั้นฉลาดมาก เลือกคนเก่งๆ มาอยู่ที่แฟมิลี่ได้อีกแล้วนะ”
“ดีนี่หมายถึงเรื่องนั้นหรอกเหรอ?”
“ดี? อ่า...ใช่ แล้วนายคิดว่าเรื่องไหน?” ตำรวจเลิกคิ้วถามเมื่ออีกฝ่ายตอบประโยคแปลก ๆ ทั้งที่พูดไปตั้งยืดยาวแต่ดันถามกลับมาด้วยเรื่องนี่เนี่ยนะ
โดฟลามิงโก้กำลังใช้ความคิด นึกถึงคำดูถูกที่เคยต่อว่าอีกคนไว้ ก่อนปลอบใจตัวเองว่ามันอาจจะหมายถึงเรื่องอื่นด้วยก็ได้ แต่ความคิดแง่ลบจำต้องปลิวหายตอนอีกฝ่ายเฉลยความจริงมาแบบไม่มีเยื่อใย
“อ๋อ แล้วก็เรื่องเมื่อกี้นี้ฉันโกหกนะ ขอโทษที...ไม่คิดว่านายจะคิดจริงจัง เห็นดูเครียด ๆ เลยแกล้งหยอกเล่นน่ะ ระหว่างฉันกับเจ้าหญิงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก สบายใจได้ กลับมานั่งก่อนสิ”
เจ้าของโรงงานเดินกลับมานั่งที่เดิมแต่ก็ไม่วายทำท่าทางฮึดฮัดเมื่อโดนอีกฝ่ายหลอกไม่เข้าเรื่อง เขาเชื่อที่เวอร์โก้พูด เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาทุกคนในแฟมิลี่ไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงคนเดียวกันมาก่อน อย่าว่าแต่ยุ่งเลย เรื่องบาดหมางฉันชู้สาวระหว่างคนในครอบครัวก็ไม่เคยมี
ยกเว้นก็แต่เขากับไวโอเล็ตที่บังเอิญเลยเถิดลึกซึ้งกันก่อนจะเข้ามาอยู่ในแฟมิลี่น่ะนะ
ชายหนุ่มเอ่ยปากถามรายละเอียดช่วงเวลาสองเดือนที่เขาไม่อยู่ในทันที ที่ถามก็แค่อยากจะรู้พฤติกรรมของอีกคนว่าทำอะไรไปบ้างถึงทำให้บรรยากาศที่บ้านหรือที่นี่เปลี่ยนไปหมด นั่งฟังตั้งแต่พฤติกรรมการปรับตัวเข้ากับทุกคน ความฉลาดหลักแหลม รวมถึงเรื่องที่เวอร์โก้ทำความแตกนั่นด้วย
รู้สึกหมั่นไส้เจ้าตัวขึ้นมาฉับพลัน หมั่นไส้ที่บังอาจมาปั่นหัวกันตั้งแต่ก่อนเจอหน้า
‘แถมจะไม่มีข้อบกพร่องเลยรึไง? แบบนี้ก็หาเรื่องเอาผิดมาเป็นข้ออ้างไม่ได้น่ะสิ จะกลายเป็นเขาที่ไม่มีเหตุผลอยู่คนเดียว ยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม’
“แล้วเมื่อวานนายเป็นอะไรน่ะ? อดอยากมาจากไหน? เดี๋ยวทางประเทศเขารู้เรื่องเราจะซวยกันหมด”
“...ราชามันทำอะไรไม่ได้หรอก”
“คนที่ทำไม่น่าจะใช่ราชานะฉันว่า เข้าโรงพยาบาลเลยนะ โรง’บาล ดีนะไม่เผลอหยิบปืนมายิงหัวตัวเอง”
“อะไร!? เห็นเป็นห่วงเป็นใยกันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เป็นแฟนกันรึไง?” ประชดประชันแบบลืมตัว เพราะจู่ ๆ ภาพการฉอเลาะของทั้งคู่ก็กระเด็นเข้าโสตประสาท
“เหมือนเหรอ? โดนทักจากทุกคนบ่อย ๆ เหมือนกัน แย่แฮะ คงต้องปิดให้มิดกว่านี้ซะแล้ว”
“ถ้าแกยังล้อเล่นไม่เลิก ฉันจะถีบแก!”
“ไม่น่าเชื่อ หึงเหรอ...?” เบี่ยงตัวหลบแฟ้มเอกสารเกือบไม่ทันตอนมันลอยหวือผ่านหน้าไป หุบยิ้มไว้ไม่อยู่อีกแล้ว เมื่ออาการแบบนี้มันชัดเจนแล้วอีกฝ่ายเริ่มคิดไม่ซื่อ แต่ดูท่าจะยากซะหน่อยก็ไปร้ายใส่เขาไว้เสียเยอะ
“พอที! ฉันจะกลับแล้ว อยากคิดอะไรก็เชิญ” เดินกระแทกส้นออกไปบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังหงุดหงิด ไม่พ้นต้องหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่เมื่ออีกคนยังเย้าหยอกไม่เลิก
“เจ้าหญิงนอนอยู่โรง’บาลดรัมนะ เผื่อจะอยากไปหา”
“ไม่ไปโว้ย!”
แต่สุดท้ายก็มา
เสียงเปิดประตูเรียกสติของโดฟลามิงโก้ให้กลับมายังปัจจุบัน หันไปมองผู้มาเยือนก็พบว่าคือไอ้หมอหน้าอ่อนเจ้าของไข้ หรี่ตามองอย่างจับผิด ไม่รู้มันจะเข้ามาทำซากอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ
“เอ่อ สวัสดีครับ ขออนุญาตวัดอุณหภูมิคนไข้นะครับ” คนเปิดประตูก้าวเท้าเบาหวิวจนนึกว่าตนเองกำลังย่องเบา ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมไม่เปิดไฟก่อนแล้วค่อยทำงาน แต่ก็คิดว่าถ้าทำแบบนั้นอาจจะโดนลูกอะไรสักอย่างยิงแสกกลางหัวในทันที เหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลังครั้นรู้สึกว่าคนข้างหลังจ้องทุกการกระทำไม่วางตา
คิดไม่ตกว่าทำไมชายหนุ่มแต่งตัวสุดภูมิฐานคนนี้ถึงไม่เปิดไฟทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ในห้อง ได้ยินพวกพยาบาลซุบซิบนินทาว่าอีกฝ่ายเป็นประธานบริษัทธุรกิจอาวุธใหญ่โตแต่เนื้อแท้เขาคือเจ้าพ่อมาเฟีย ชะนีเก้งกวางน้อยใหญ่ต่างพากันกรี๊ดกร๊าดลุคแบดบอยของโดฟลามิงโก้กันออกนอกหน้า
นางพยาบาลเล่าว่าทุกวันหลังเข้ามาตรวจเวรก็จะเห็นคนผมบลอนด์นั่งเฝ้าคนป่วยตลอดทั้งคืน แต่เขาจะมาหลังจากเจ้าของเตียงหลับไปแล้วเท่านั้น จนบางครั้งเหล่าพยาบาลจำต้องเดินอายม้วนออกจากห้องไปตอนเห็นภาพสุดเหลือเชื่อจากนักธุรกิจมาดร้าย
“อุณหภูมิร่างกายคนไข้กลับมาเป็นปกติแล้วนะครับ ผมแจ้งเรื่องออกจากโรงพยาบาลไว้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้เลย” รู้สึกขอบคุณตัวเองเสียเหลือเกิน ตอนเลือกเอาเทอร์โมมิเตอร์ อินฟราเรดมาวัดไข้แทน นอกจากจะไม่ต้องทนอึดอัดกับบรรยากาศดำมืดนาน ๆ แล้ว ยังรู้สึกว่าหากไปถูกเนื้อต้องตัวสุ่มสี่สุ่มห้าเสียวตัวเองจะต้องไปนอนบนเตียงผู้ป่วยแทน
“ใครแจ้งออกไว้?”
“ผู้ชายไว้ผมทรงบ็อบแจ้งไว้น่ะครับ ที่มากับเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายอีกอย่างละคน” ไม่ต้องเดาให้มากความโดฟลามิงโก้ก็รู้ว่าไอ้หมอนี่หมายถึงใคร “ออกช่วงเที่ยงจะดีที่สุดนะครับ จะได้ตรวจครั้งสุดท้ายก่อนกลับบ้านด้วย ผมขอตัวนะครับ”
รีบกล่าวขอตัวแล้วเผ่นแน่บออกจากห้องไป เพราะแพทย์หนุ่มไม่อาจทนสายตาทิ่มแทงได้มากไปกว่านี้ ฝีเท้าหยุดชะงัก
ประสานสายตาเข้ากับเหล่าพยาบาลที่ยืนล้อมวงคุยกันอยู่ตรงเคาน์เตอร์แบบตาต่อตา
“คุณหมอคะ ทำไมเข้าไปตรวจคุณไวโอเล็ตตอนนี้เนี่ย?”
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
“คุณหมอไม่รู้จริงเหรอ!? นี่โง่จริงหรือโง่จริงเนี่ย?”
“โง่จริง เฮ้ย เดี๋ยวเถอะ!”
“ก็แหม ทุกคนเขาก็ลือกันให้แซ่ดว่าคนไข้เขามีคนจองแล้ว คุณหมอก็ยังจะไปยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อจีบคนมีเจ้าของอยู่นั่นแหละ นี่ก็เข้าไปหาเขามาใช่ไหมเนี่ย? ไม่โดนพ่อมาเฟียสุดสวาทของพวกเรายิงพรุนก็โชคดีมากแล้วนะคะ”
“เขาเป็นแฟนกันเหรอ?” อยากจะเอ่ยห้ามปรามไม่ให้เอาเรื่องของคนไข้มาพูดถึงสักเท่าไหร่ แต่นิสัยช่างเม้าท์ของพวกสาว ๆ บางทีก็เกินจะห้ามได้ และเขาเองก็อยากจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน
“ไม่ชัวร์อาจจะแค่ควงเฉย ๆ แต่ไปนั่งเฝ้าทั้งคืน ไม่ได้เป็นอะไรกันเลยก็ไม่น่าใช่นะคะ คืนก่อนก็แอบเห็นหอมกงหอมแก้มกันด้วย อร๊าย ต้องตัดใจกันแล้ว พวกเราเองก็ต้องหักห้ามใจไม่ไปเล่นกับไฟเหมือนกัน ฮิ ๆ” พูดจบทั้งวงก็พากันวี๊ดว๊ายในรูปลักษณ์ของซีอีโอมาดร้ายกันต่อ โดยไม่สนใจหมอหนุ่มที่เดินคอตกกลับไปทำงาน
คุณหมอน้ำตาตกใน ไม่ทันจะเริ่มจีบให้เป็นเรื่องเป็นราวก็อกหักดังเป๊าะ ไม่อาจหยั่งถึง ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ว่าเป็นไปในรูปแบบไหน
แต่เขาไม่อยากเป็นมือที่สาม แม้จะไม่สมหวัง ก็ขอให้เรื่องราวของเธอไม่แย่ลงกว่านี้ก็พอใจ หวังว่าเขาจะไม่ทำรุนแรงกับเธออีก
จนต้องมาเจอหน้ากันที่โรงพยาบาลเป็นครั้งที่สองก็พอ
─────── Talk
with write ( ̄▽ ̄)ノ ───────
คุณหมอคะ!
มีคนโรคจิตแอบมานั่งเฝ้าคนไข้ค่ะ
ความคิดเห็น