คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : I see you (ซ้อนทับภายในความมืดมิด)
ตอนที่ 6:
I see you
(ซ้อนทับภายในความมืดมิด)
บนโต๊ะอาหารมีเขาอยู่คนเดียว กำลังละเมียดละไมหั่นชิ้นเนื้อเข้าปากคล้ายงานวิจิตร ไม่มีคำพูดหลุดออกจากปาก นั่งนิ่งฟังเสียงการเคลื่อนไหวของบรรดาคนใช้ที่เดินบริการอยู่ทั่วห้องอาหารคล้ายเสียงเหล่านั้นคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงหนึ่งเดียว
ดึกมากแล้วตอนที่โดฟลามิงโก้เคลื่อนตัวลงมาถึงชั้นล่าง บรรยากาศในบ้านนิ่งสงบเพราะสังคมใต้ดินมักจะใช้ชีวิตในช่วงกลางคืน
ทุกคนไม่อยู่ คงจะออกไปทำงานหรือสังสรรค์กันตามประสา แล้วกลับบ้านมาพบหน้ากันอีกครั้งในช่วงสายของอีกวัน จะมีละเว้นก็แต่พวกเด็ก ๆ วัยกำลังโตที่ต้องไปเรียนหนังสือ
เขาเป็นคนออกคำสั่งให้เด็กทุกคนเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา แต่ต้องจบออกมาโดยที่สมองไม่กลวง เพราะชายหนุ่มรู้สึกว่าความเขลานั่นเป็นเรื่องน่ากลัว โลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไว หากโง่ดักดานอยู่กับที่รังแต่จะเป็นผู้แพ้ไปตลอดกาล
ซึ่งเขายอมรับข้อนั้นไม่ได้
นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถ่วงเวลาเฝ้ารอว่าเมื่อใด คนที่อยู่ในห้วงคำนึงจะโผล่ลงมาตามคำสั่งเสียที แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้วี่แววของเจ้าหล่อน อารมณ์เริ่มไม่คงที่เมื่อรู้สึกว่าแม่ตัวดีกำลังทำให้เขาขัดใจ
มือหนากำมีดหั่นสเต๊กแน่นก่อนจะทิ่มลงบนจานอย่างแรงจนได้ยินเสียงแตกเพล้งของกระเบื้อง บรรดาคนใช้ในละแวกตกใจ หุนหันรีบเข้ามาเปลี่ยนภาชนะใบใหม่ พร้อมจัดวางอาหารทุกอย่างเหมือนเดิมประหนึ่งจานใบก่อนหน้าไม่เคยแตกพ่าย
ทุกคนเริ่มเหงื่อตกเมื่อทราบว่านายน้อยของบ้านกำลังอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว
โดฟลามิงโก้กำลังหงุดหงิด เขารู้ตัวว่าสิ่งที่ทำลงไปมันรุนแรงขนาดไหน แกล้งพูดให้องค์หญิงเจ็บช้ำน้ำใจเล่น ๆ เพียงเพราะอยากให้เธอเชื่อฟัง
รู้ดีว่าเจ้าหล่อนไม่มีทางเคลื่อนไหวออกจากเตียงได้
เพราะไม่มีใครขยับตัวหลังทนรับอารมณ์ดิบของเขาได้แน่นอน
แต่ท้ายสุดมันกลับไม่เป็นแบบนั้น พอก้าวขาพ้นประตูห้องน้ำกลับไม่พบร่างของเด็กสาว เหลือไว้แต่เพียงร่องรอยความป่าเถื่อนที่กระจายอยู่เต็มเตียงโดยน้ำมือเขา
หล่อนออกไปแล้ว ออกไปทั้งในสภาพนั้น
“อวดเก่ง!” ขบฟันพูดย้ำเตือนความหัวรั้นของหญิงสาว ดู ๆ แล้วให้รอต่อไปก็คงไร้ความหมาย ทำท่าจะลุกขึ้นไปหาเพื่อพูดจาถากถางให้พอใจ แม้ข้างในจะไม่ได้คิดแบบนั้นเลยก็ตาม
ยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนมุ่งหน้าขึ้นข้างบน แต่จำต้องชะงักตอนได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องบาง
“มีอะไร?”
[มิสเตอร์โดฟลามิงโก้...คะ คือว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ จู่ ๆ พวกตำรวจก็มากันที่ผับเยอะแยะเลย พวกมันอ้างว่ามีหมายค้น ตอนนี้เลยกำลังตรวจผับของคุณยกใหญ่ พวกตำรวจบอกว่าได้เบาะแสมาว่าที่นี่แอบลักลอบค้ายาเสพติด เลยจะขอดำเนินการตามกฏหมายน่ะ!]
“ห๊า! ยาเสพติด พวกมันได้รับอนุมัติจากไหน!? แล้วแกขายที่นั่นเรอะ!?”
[ขะ ขายครับ]
“ปัญญาอ่อน! ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าขายที่นั่น! ใช้สมองส่วนไหนคิดวะ”
[จะ...จะให้ทำยังไงดีครับ? ตอนนี้วุ่นวายกันใหญ่แล้ว]
ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นมากุมขมับด้วยความหัวเสีย คิดผิดมากที่ให้ดิสโก้เป็นผู้จัดการผับแทนเพราะตนไม่ว่างไปดูแล มาเฟียหนุ่มถอนหายใจ กรอกเสียงสั่งให้อีกฝ่ายหัดทำอะไรที่มีประโยชน์บ้าง
ไม่ใช่สักแต่หาเรื่อง
“ยื้อไว้ก่อน! เดี๋ยวฉันรีบไป” กดตัดสายทิ้ง เขายืนสงบสติอารมณ์สักพักก่อนหันมองขึ้นไปชั้นบน
กลั้นใจปล่อยอีกคนไว้ก่อนแล้วตัดสินใจคว้ากุญแจรถซุปเปอร์คาร์ที่แรงที่สุด ก่อนเหยียบคันเร่งออกจากบ้านด้วยอัตรากิโลเมตรที่ทำได้เฉพาะช่วงเวลาดึกดื่นเท่านั้น
………………………
เพดานสีขาว คือภาพที่เห็นเป็นอย่างแรกครั้นลืมตาตื่น ใช้เวลาสักระยะจนสามารถปรับสมดุลของทัศนวิสัยให้ชัดเจน ลมหายใจช่างหนักหน่วงตอนบังคับกายให้สูดลมเข้าออก เธอรู้สึกอ่อนเพลียจนถึงกระดูก จึงทำได้แค่หันคอมองสิ่งที่อยู่รอบตัวเท่านั้น
ที่นี่ไม่ใช่แหล่งพักพิงของครอบครัวมาเฟีย แต่เป็นห้องสี่เหลี่ยมฉาบกำแพงด้วยสีขาวสะอาดตา หน้าต่างตรงขวามือถูกเปิดลมรับเมื่อพบว่าด้านนอกช่างอากาศดี เลื่อนสายตามองด้านซ้ายก็พบสายน้ำเกลือกำลังยืนตระหง่านจุมพิตเข้ากับแขนซ้าย รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เธออยู่ในโรงพยาบาล
หันกลับมามองเพดานอีกครั้ง ไร้ซึ่งความทรงจำว่าเหตุใดเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“ตื่นแล้วเหรอ? หิวไหม? ฉันจะได้บอกพยาบาลให้” เสียงทุ้มเรียกให้ไวโอเล็ตตื่นจากความฝัน อาการเหม่อลอยทำให้เธอไม่รับรู้ว่ามีใครเปิดประตูเข้ามายืนอยู่ในห้องตั้งนานสองนานแล้ว สาวน้อยหันมองก็พบว่าคนที่เข้ามาคือบุรุษที่ชอบสรรหาของพิสดารมาติดอยู่ที่ข้างแก้ม
“ค่ะ” เธอตอบเพียงแค่นั้น แล้วทำท่าจะลุกขึ้นนั่งเพราะตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว
“ไม่ต้องลุกหรอก นอนเฉย ๆ เถอะ หมอบอกว่าช่วงนี้ไม่ควรขยับตัวมาก” คนป่วยนึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะตั้งแต่ฟื้นคืนสติก็รู้สึกเจ็บคล้ายมีมีดบาดที่กึ่งกลางร่างกายอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องถลกเสื้อขึ้นก็แน่ใจว่าคงจะเต็มไปด้วยร่องรอยน่าอดสู ข้อมือทั้งสองข้างถูกพันไว้ด้วยแถบผ้าสีขาว บดบังแผลจากหนังสัตว์ร้ายที่เคยมัดตรึงกัดผิวลึก
“ฉัน…มาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
“ฉันเห็นเธอนอนหมดสติอยู่ตรงหน้าประตู ไข้ขึ้นสูงมาก 39 องศาแหนะ แถมมี...เอ่อ
ช่างเถอะ เลยถือวิสาสะพามาโรง’บาลน่ะ” ละสิ่งต่อจากนั้นไว้ ไม่กล้าพูดคำว่าเลือดครั้นกลัวมันจะทิ่มแทงจิตใจอีกฝ่าย
“งั้นเหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ” บทสนทนาถูกว่างเว้น เวอร์โก้สัมผัสได้ถึงอาการเหม่อลอยที่มีมากกว่าปกติ ทั้งยังสายตาที่ส่งมายามพูดคุยก็ดูไร้ซึ่งแสงสว่าง
“ฉันไปคุยกับหมอมาแล้วนะ เขาบอกว่าต้องเฝ้าดูอาการอีกสองสามวัน ระหว่างนี้ก็อย่าพึ่งเคลื่อนไหวอะไรมาก กินยาให้ตรงเวลา หากรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวสามารถขอยาแก้ปวดจากพยาบาลได้” ไม่มีการตอบสนอง คนป่วยละสายตามองกำแพงคล้ายมันมีสิ่งดึงดูดอยู่ตรงนั้น “คงจะยังเหนื่อย ๆ เธอนอนพักต่อเถอะ ฉันจะกลับไปที่บ้านก่อน แล้วจะให้คนเอาของใช้ส่วนตัวมาให้นะ”
“แล้วเรื่องงาน?” ไวโอเล็ตหันกลับมาถามทันที ไม่ลืมความบกพร่องในหน้าที่ เธอไม่อยากพบเจอสถานการณ์เลวร้ายหากทำอะไรผิดพลาด
“นอนพักผ่อน! บังคับให้ใช้สิทธิ์ลาป่วย 30 วัน... ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องงานเราจัดการไปหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่รอผลสรุปไตรมาสที่ 3 ก็พอ” เดินเข้าใกล้เพราะเห็นอีกคนยังไม่ยอมรับ พยายามยกมือขึ้นมาลูบผมเพื่อบ่งบอกให้เธอไว้วางใจ แต่คุณตำรวจจำต้องยั้งไว้เมื่ออีกฝ่ายผละตัวหลบคล้ายหวาดระแวง
“งั้นฉันไปก่อนนะ ไว้จะบอกทุกคนในบ้านให้ว่าเธออยู่โรง’บาล”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่บอกว่าฉันทำงานหนักเลยต้องค้างที่โรงงานก็พอ ไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย...ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ไม่ได้ประชดประชัน เธอเพียงแค่ตอบเพื่อให้เรื่องมันเงียบลงเท่านั้น จะได้ใช้ช่วงเวลาที่อยู่โรงพยาบาลปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้กลับเป็นเหมือนเดิม ...เพราะเธอยังมีหนี้ที่ต้องใช้อีกเยอะ
“งั้นฉันกลับก่อนนะ ต้องการอะไรก็โทร...อ่า ไว้จะแวะมาเยี่ยมนะ”
“ฉันอยู่ได้ค่ะ ไม่เป็นไรจริง ๆ ช่วยเรียกคุณหมอให้หน่อยได้ไหมคะ?” พูดเสียงเบาเมื่อรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้ง เธอยังนอนตอนนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องทานยาบางอย่างแบบเร่งด่วน ถึงแม้ฤทธิ์ยาอาจจะส่งผลข้างเคียงแต่ปล่อยเอาไว้เฉย ๆ
มีแต่จะสายเกินแก้ ตอนนี้ยังเช้าอยู่นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายที่ผ่านมาไม่เกิน 24 ชั่วโมง
เธอคงต้องรีบทานยาคุมฉุกเฉิน
นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่ต้องกินยาแบบนี้
เฝ้าบอกกับตัวเองว่าจากนี้ไป คงต้องทานแบบประจำเพื่อป้องกันตัวเอง
เวอร์โก้พยักหน้า
ไม่ทราบเหตุผลที่สาวน้อยเรียกหาคุณหมอในเวลานี้ ก่อนจะหันตัวออกจากห้องไปด้วยย่างก้าวที่แผ่วเบาไม่น้อยหน้ากัน
………………………
เสียงกระแทกประตูรถดังปังบ่งบอกถึงสภาพอารมณ์เจ้าของได้เป็นอย่างดี โดฟลามิงโก้เดินล้วงกระเป๋าเข้าบ้านอย่างงุ่นง่านเมื่อคิดว่าตัวเองอดนอนอีกแล้ว
เมื่อคืนกว่าจะเคลียร์ปัญหาทุกอย่างกับพวกตำรวจได้เล่นเอาเสียน้ำลายไปเยอะ ทั้งหว่านล้อม ใช้เล่ห์กลเพทุบายหรือโทรไปขู่พวกยศสูง จนพวกหน้าใหม่แสนดีมีศีลธรรมต้องหน้าซีดครั้นพบว่าตัวเองนั่นแหละ ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ...เรื่องอะไรจะยอมให้โดนจับแล้วตกเป็นข่าว ถ้าเป็นอย่างนั้น...เขารับรองได้เลยว่าจะเรียกเงินใต้โต๊ะที่ทุ่มไปทั้งหมดคืนอย่างสาสม
‘รับเงินไปแล้ว ก็หัดคุมลูกหมาของตัวเองหน่อยสิวะ! หรืออยากจะเล่นกับฉัน? จะได้ส่งเหล่าลูกน้องไปเล่นไล่จับกับครอบครัวพวกแกก่อนเลย เอาแบบนั้นดีไหม!?’ เป็นบทสนทนาที่เขากรอกพูดใส่โทรศัพท์ ก่อนหน้าที่พวกมือใหม่จะยกเลิกการตรวจค้นแล้วถอนกำลังออกไป
หลังจากสถานการณ์กลับสู่ความสงบ เจ้าพ่อกิจการมืดก็ไม่เว้นไล่ดิสโก้ออกทันที สั่งให้ลูกน้องกระทืบมันให้หายหงุดหงิด แล้วจับโยนออกนอกร้านพร้อมหนี้ก้อนโต้เป็นค่าเสียเวลาที่ต้องให้เขามาคอยตามล้างตามเช็ดเรื่องระยำไร้สาระ ก่อนจะปล่อยมันไปตามยถากรรมพร้อมกำชับว่าอย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่งั้นมันได้ไปจบลงที่ร้านขายทาสแน่
เป็นเวลาเกือบ 7 โมงเช้าได้ ที่ชายหนุ่มต้องทนใจเย็นขับรถกลับบ้านในช่วงเวลารถติดนรกแตก เหยียบเบรกบ่อยกว่าเหยียบคันเร่ง รีบเดินอาด ๆ ผ่านห้องอาหารเมื่อพบว่าตัวเองอยากนอนมากกว่าหาอะไรยัดปาก
ขายาวจำเป็นต้องหยุดชะงัก ครั้นเหลือบมองด้วยหางตาไม่พบร่างของใครบางคน
“นายน้อยกลับซะสายเชียว เมื่อคืนหนักเหรอ-อิน?”
“ไวโอเล็ตล่ะ?” เผลอตัวถามทันทีเมื่อไม่มีสติพอจะควบคุมอารมณ์
“ถ้าไม่ออกไปแต่เช้า ก็น่าจะยังนอนอยู่...พึ่งเห็นเวอร์โก้กลับเข้ามาแล้วขึ้นไปหาที่ชั้นสองเมื่อกี้นี้เอง-จี แปลกแหะ ปกติยัยหนูตื่นเช้าทุกวันนะ”
“ก็ต้องมีบ้างแหละ-ดัสยัน ฉันยังขี้เกียจตื่นไปเรียนเลยยย” ได้ยินเสียงทุกคนเอ่ยแซวบัฟฟาโลว่าจะทำตัวใกล้เคียงความหมายชื่อเข้าไปทุกที แต่โดฟลามิงโก้ไม่สนใจ ผละตัวออกจากวงสนทนาแล้วขึ้นตรงไปยังห้องเป้าหมายทันที
ยิ่งเดินเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ คล้ายกลัวตัวเองจะได้รับรู้ความจริงอะไรบางอย่าง
ที่สุดทางเดินเขาเห็นชายผมดำยืนหันหลังรออยู่หน้าห้องนอนของเชื้อพระวงศ์ เห็นหนึ่งในคนสนิทที่สามารถเรียกชื่อเล่นเขาได้แบบไม่ตะขิดตะขวง
เบนหน้าหันมามองยามเขาก้าวเดินเข้าไปหา
“อรุณสวัสดิ์ดอฟฟี่ วันนี้ตื่นเช้าจังนะ” ชายหนุ่มเอ่ยทักตามปกติ แล้วหันกลับไปอ่านข้อความในมือถือเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจิตใจกำลังยุ่งเหยิง
“นายมายืนทำอะไรตรงนี้?”
“มาเอาของน่ะ”
“ของอะไร?”
“ของใช้ส่วนตัวเจ้าหญิง ฝากสาวใช้ให้เข้าไปหยิบมาให้หน่อย”
“เอาไปทำไม? ยัยนั่นอยู่ไหน!?” รู้สึกขัดใจในตัวเพื่อนแบบที่ไม่ได้เป็นมาเสียนาน เมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจที่จะตอบคำถาม เกือบจะผลักประตูห้องแล้วเดินเข้าไปพิสูจน์ความจริง แต่ต้องยั้งสติไว้ก่อนเมื่อเวอร์โก้เอ่ยพูดออกมา
“...อยู่โรงพยาบาล แอดมิดเข้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“…...” ไม่มีคำใด ๆ หลุดจากปาก
“ไข้ขึ้นสูงมาก เรียกยังไงก็ไม่รู้สึกตัว เลยตัดสินใจพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้พิษไข้อาจจะทำให้ช็อกได้ ดีนะที่พาไปทัน...
หมอเขาเกือบจะแจ้งความเลยนะ บอกว่าร่างกายคนไข้ถูกกระทำชำเรามา อวัยวะเพศฉีกขาด
แถมมีรอยช้ำตามตัว ดีที่คนพาไปคือฉัน เลยแกล้งรับเรื่องเอาไว้ก่อน หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะโดนถามอะไรซอกแซก โชคดีที่รอดตัวไป” เวอร์โก้ยังคงพูดไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง หันกลับไปมองประตูห้องเมื่อคนใช้เปิดประตูออกมาพร้อมกระเป๋าที่อัดแน่นไปด้วยของใช้จำเป็น
“ไว้เดี๋ยวฉันบอกทุกคนเองว่าไวโอเล็ตอยู่โรง’บาล เพื่อใครว่างก็อยากให้ไปเฝ้าหน่อย ช่วงนี้แพทย์เจ้าของไข้บอกให้ระวังเรื่องสุขภาพจิตเอาไว้ด้วย ไม่ควรปล่อยให้อยู่คนเดียว... ดอฟฟี่? เป็นอะไรรึเปล่า?” เวอร์โก้เลิกคิ้วถามเมื่อเห็นคู่สนทนายืนนิ่งเหมือนคนลืมวิธีเปล่งเสียง นึกเป็นห่วงจากใจจริงว่าเจ้าตัวกำลังเพลียเพราะมีปัญหาเข้ามาถาโถมจนพักผ่อนไม่เพียงพอ
“…แค่นอนน้อยน่ะ”
“งั้นก็พักผ่อนเถอะ ที่เหลือปล่อยให้คนอื่นจัดการ เมื่อวานโมเน่เล่าปัญหาทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว คงไม่นานหรอกที่ทุกอย่างจะกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม วางใจเถอะ” อีกฝ่ายใช้มือข้างที่ว่างตบลงเบา ๆ ที่บ่าของคนสูงกว่าแล้วเดินสวนไกลออกไป ก่อนจะหันกลับมาเพราะเจ้าตัวดันลืมพูดไปอีกเรื่อง
“อ๋อ ถ้านายตื่นแล้วก็โทรหาฉันหน่อยนะ ว่าจะคุยเรื่องรายละเอียดโรงงานแปรรูปอาหารที่บอกไปเมื่อวาน ...ฉันไปล่ะ”
อีกฝ่ายจากไปแล้ว เหลือไว้เพียงความเงียบที่กัดกินความคิดทิ้งให้ทั้งร่างตกอยู่ในภวังค์ เคยปรามาสใครคนหนึ่งว่าลืมเอาปากมาจนเป็นใบ้ แต่หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็อยากจะปรามาสตัวเองเสียเหลือเกินว่าเขานี่แหละเป็นใบ้หนักกว่าเธออีก
เดินเสยผมอย่างเอื่อยเฉื่อย เพราะความรู้สึกมันกำลังตีกันมั่วซั่วอยู่ข้างในหัว ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง โกรธ หงุดหงิด เฉยชา หรือกำลังไม่มีความสุข
แต่ไม่มีความสุขเพราะอะไรล่ะ? ตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจ
ทิ้งตัวลงนอนทันทีหลังยืนใช้น้ำเย็นรดหัวอยู่เป็นนานสองนาน พลิกมองรอบเตียงก็พบว่าทุกอย่างถูกเปลี่ยนใหม่ ตอนนี้มันไม่หลงเหลือคราบคาวใด ๆ ที่จะประจานความรู้สึกผิดที่เด่นชัดอยู่ในหัว ตอนนี้โดฟลามิงโก้มั่นใจแล้วว่าตัวเองกำลังรู้สึกผิด ทั้งที่ใช้ชีวิตในด้านมืดมาจนถึงป่านนี้ทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้
เฝ้าคิดอยู่เป็นนานจนท้ายที่สุดก็ถูกความอ่อนล้ากับความเงียบจูงมือเปิดประตูเข้าสู่ห้วงนิทราไปแบบไม่รู้ตัว
ในนั้นเขาเห็นหิมะ กำลังล่องลอย ร่วงโรยสะท้อนแสงอาทิตย์สีอ่อนคล้ายความฝัน
ในฝันมีแสงอาทิตย์ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นยามชูมือไขว่คว้าไอแดด
รู้สึกหนาวสั่น มองเห็นก้อนลมที่แปรเปลี่ยนเป็นควันสีขาวลอยตรงหน้ายามปล่อยลมหายใจเข้าออกทางลำคอ
หิมะทับถม ละลายบนผิวหนังกดตรึงสองเท้าให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
หยุดนิ่งอยู่กับที่
ไม่...ไม่อยากอยู่กับที่ ทำไมถึงรู้สึกอยากหนีจากที่ตรงนี้?
ทำไม...ถึงอยากหนี
ทำไม...ถึงมาอยู่ที่นี่?
ก้มมองพื้นก็พบว่ามันไม่ใช่หิมะ
สิ่งที่ถ่วงขาสองข้างไว้ไม่ใช่หิมะ แม้มันจะมีสภาพเป็นของเหลวเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่หิมะ
หิมะ...ไม่มีทางเป็นสีแดงฉาน สิ่งที่กำลังยึดเขาไว้ไม่ใช่หิมะ
ทำไมถึงไม่เป็นหิมะ?
...ทำไม? อะไร?
นี่ตัวเขา...กำลังเดินผ่านอะไรอยู่!?
‘…ลูกต้องเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใหม่’
‘ชีวิตอะไรกัน!?’
‘เริ่มหนึ่งกันใหม่’
‘...ลูกดูดีมากเลยจ๊ะ’
‘...พ่อขอโทษ’
‘พี่! อย่าาาา’
‘อย่าาา’
‘...อย่าทำแบบนี้
ฉันขอโทษ’
“!!!” สะดุ้งตื่นจากความฝัน โดฟลามิงโก้เด้งตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อพบว่าตัวเองกำลังฝันร้าย เหงื่อกาฬไหลอาบชุ่มทั้งร่าง นั่งหอบหายใจกุมขมับแน่นครั้นไม่สามารถฝืนบังคับจังหวะร่างกายให้กลับมาเป็นปกติได้ในทันที ภาพจากห้วงความฝันบีบหัวใจให้เต้นระส่ำจนต้องกัดฟัน
จำต้องปล่อยให้เวลาผ่านไป ปล่อยให้เข็มนาฬิกาปัดอาการฝันร้ายออกให้หมดสิ้นแล้วกลับไปเป็นนักธุรกิจสีดำคนเดิม เอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียงก่อนกดดูเวลา
หกโมงเย็นแล้ว ปกติชายหนุ่มจะนอนวันละ 6 ชั่วโมงแต่นี่ปาไปตั้งสิบ ชักสงสัยแล้วว่าตนเองนั้นท่าจะเพลียหนัก ลูบหน้าไล่ความอ่อนล้าเพราะดันเผลอนอนช่วงตะวันทับตา
ก่อนลุกขึ้นยืนต่อสายหาใครคนหนึ่ง
“คะ นายน้อย?”
“วันนี้ทุกคนมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีค่ะ ทุกอย่างราบรื่นดี กลาดิอุสบอกว่าอยากคุยกับนายน้อยเรื่องคำสั่งของรัฐบาล”
“อืม พรุ่งนี้ฉันจะเข้าบริษัท ให้กลาดิอุสไปเจอฉันที่นั่น” กดตัดสายทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายรับคำ ดูท่าเขาจะเสียเวลาไปมากแล้ว ต้องรีบจัดการทุกอย่างให้มันจบ ๆ
จะได้มีเวลาให้กับตัวเองสักที
เจ้าของบริษัทยืนถอนหายใจมองทัศนียภาพยามเย็นนอกหน้าต่าง ภาพตะวันยอแสงช่างคล้ายคลึงกับในความฝัน ความฝันที่แทบจะลืมเลือนยามไม่ได้นึกถึงมานานนับสิบปี ภาพอดีตที่พยายามกลบฝังไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ปิดเอาไว้แน่นหนาไม่ยอมให้ส่วนใดย่างกรายออกมา
แต่มันก็โผล่มาอีกครั้ง และคราวนี้ความฝันนั้นเปลี่ยนไป ไม่ใช่ภาพหนังม้วนเดิมที่ฉายซ้ำวนไปวนมา แต่เป็นหนังม้วนใหม่ที่ใช้อดีตของเขาซ้อนทับลงบนเสียงของใครบางคน เสียงที่ตอนนี้ก็ยังดังก้องอยู่ในหู
ในความฝัน... เขาได้ยินเสียงของเธอ กรีดร้องทรมานบาดลึกลงจิตใจ
เผลอกำโทรศัพท์แน่น เมื่อความรู้สึกกำลังหวั่นไหว จำต้องยกหูกดโทรหาใครอีกคนในทันทีเมื่อจิตใจสุดแสนจะยุ่งเหยิง
“นี่ฉันเอง...
ตอนนี้นายอยู่ไหน?”
─────── Talk
with write ( ̄▽ ̄)ノ ───────
เด็กมีปัญหา
ช่วยไม่ได้เลยเธอ
ปล่อยไปต้องเผลอ
เผลอ เผลอ เที่ยวไปรักใคร ๆ
ก็เลยต้องหา
คนมาคอยควบคุมใจ
เป็นเธอได้ไหม
ช่วยมารัก รักกัน (ก็จะดี)
ไม่มีอะไรแค่ร้องเพลงแซวเฉย ๆ
ชื่อตอน
I
see you คนแต่งเล่นคำให้แปลได้สองความหมายนะคะ
หนึ่งคือ
เห็นเธอ แต่เห็นในไหนกันนะ?
ความคิดเห็น