คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : #fictober ( 1 3 ) wolf
#fictober2019
Drabble
fiction
Pairing
lucas & marklee
Rate
PG
no.
13 (wolf)
ผู้คนมากมายกำลังเดินสวนกันไปมาอย่างอลม่านภายในตึกสีขาวแห่งนี้เฉกเช่นทุกวัน
ร่างสมส่วนที่กำลังเดินอ่านชาร์ตข้อมูลอะไรบางอย่างส่งยิ้มบาง ๆ
พร้อมกับผงกหัวเชิงทักทายให้กับเจ้าหน้าที่ในแผนกอย่างคุ้นเคย
วันนี้มินฮยองโดนเบื้องบนเรียกพบตัวโดยด่วนนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องรีบขับรถกลับมายังสถาบันทั้ง
ๆ ที่ตนเพิ่งกลับไปนอนได้เพียงแค่ 2ชั่วโมงเท่านั้น
เขามุ่งหน้าไปยังโซนบัญชาการชั้นบนสุดของตึกและสแกนบัตรพร้อมกับม่านตาเพื่อยืนยันตัวตน
และเมื่อมินฮยองเดินเข้าไปก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับบุคคลต่าง ๆ นอกเหนือคนในองค์กรร่วมไปถึงรัฐบาลที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่
“อ้าว ดร.อี มาแล้วหรอนั่งสิ” คิมซอกมินที่เป็นผอ.ของสถาบันวิจัยแห่งนี้พูดพลางผายมือไปยังเก้าอี้ว่าง
“สวัสดีครับท่านแล้วก็สวัสดีครับทุก
ๆ คน”
“คุณมาก็ดีเลย
เรากำลังคุยเรื่องที่อยากจะให้คุณช่วยอยู่พอดี”
คิมซอกมินพูดขึ้นมาก่อนจะหยิบเอกสารอะไรบางอย่างให้กับนักวิจัยคนเก่งของสถาบันอ่าน
ซึ่งมินฮยองก็หยิบมันมาอ่านโดยไม่อิดออด
ดวงตาสีสวยอ่านเอกสารอยู่ในมืออย่างละเอียดก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นข้อมูลสำคัญของเอกสารฉบับนี้
“ผมรู้ว่ามันค่อนข้างเหลือเชื่อ” ซอกมินพูดพลางเอามือมาประสานเอาไว้ตรงคาง “แต่ผมคิดว่าสถาบันของเรามีแค่คุณเพียงคนเดียวที่จะช่วยผมและท่านที่เหลือในห้องนี้ได้”
“ผม…”
“ผมคิดว่าคุณน่าจะศึกษาสปีชี่ส์ที่เกี่ยวกับสัตว์จำพวกนี้มาพอสมควร”
“แต่ผมไม่มั่นใจ” มินฮยองแย้งเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง
“แต่ผมไว้ใจแค่คุณเท่านั้น
แล้วโปรเจกต์นี้ต้องเป็นคุณเท่านั้นที่จะทำให้ผมได้”
“…”
“ดร.อี ผมเชื่อว่าคุณจะศึกษาและหาคำตอบเขาให้พวกเราได้”
“…ครับ ผมจะลองดู”
“ดี” ซอกมินยิ้มออกมาเมื่อนักวิจัยคนเก่งตอบตกลงที่จะวิจัยนี้ “แต่ผมขอให้คุณปิดมันเป็นความลับและศึกษาเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด
คุณต้องการงบประมาณเท่าไหร่หรือต้องการอะไรก็แจ้งกับผมโดยตรงเลย เข้าใจไหม”
“ครับ”
“ขอบคุณมาก ๆ ถึงมันจะค่อนข้างเหลือเชื่อก็จริงแต่ไม่ใช่ว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด
อีกอย่างถ้าเป็นอย่างที่พวกเราคิดจริง ๆ ‘เขา’ จะมีมูลค่ามหาศาลต่อประเทศเราแน่นอน”
“ครับ
ผมจะทำอย่างเต็มที่ครับ”
มินฮยองโค้งให้คนที่อยู่ในห้องก่อนจะลงลิฟต์เฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อลงไปชั้นใต้ดินที่มีห้องทดลองลับซ่อนเอาไว้อยู่เพื่อไม่ให้คนทั่วไปรับรู้ถึงเรื่องที่ลับเฉพาะของสถานบันและองค์กรต่าง
ๆ
ห้องทดลองลับชั้นใต้ดินที่มี
‘เขา’ อยู่ในนั้น
เมื่อนักวิจัยคนเก่งลงมาถึงชั้น
B7
เขาก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกนึงเต็ม ๆ
และสแกนบัตรและม่านตารวมถึงลายมือเพื่อเข้าไปยังห้องทดลอง และเมื่อห้องทดลองเปิดออก
จากที่ห้องเคยมืดสนิทอยู่ก็ถูกเปิดไฟขึ้นโดยอัตโนมัติ
เขาเดินเข้าไปยังห้องทดลองช้า
ๆ และมองไปยังห้องกระจกแผ่นหนา ๆ ที่มีเขาคนนั้นอยู่อีกฝั่งของกระจก ดวงตากลมโตลอบสังเกตความผิดปกติของอีกฝ่ายอย่างช้า
ๆ
และเริ่มบันทึกข้อมูลบนชาร์ตอย่างละเอียดจนไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วว่ามีคนเข้ามาใหม่
ปึก! ปึก!
มินฮยองสะดุ้งสุดตัวเมื่อเขาที่นั่งหันหลังตนอยู่เมื่อครู่จะผุดลุกขึ้นทุบกระจกตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
หากเป็นคนปกติเมื่อทุบมือลงบนกระจกหนา ๆ อาจจะต้องมีสะบัดมือหนีด้วยความเจ็บปวด
แต่คนคนนี้กลับทำหน้าไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด หนำซ้ำยังทุบมันรัว ๆ
จนมินฮยองกลัวว่ากระจกหนา ๆ จะแตกเพราะกำปั้นใหญ่ ๆ ของคนตัวหนานั่น…
นักวิจัยหนุ่มเดินถอยหลังออกมาเพื่อตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเริ่มบันทึกข้อมูลที่ตัวเองคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการวิจัยเอาไว้และเดินไปยังไมโครโฟนที่เอาไว้ติดต่อกับคนอีกฟาก
“เฮ้” มินฮยองกล่าวทักทายอีกคนแต่กลับได้ยินเสียงร้องขู่กลับมาเพียงอย่างเดียว
“…”
“คุณ…ฟังผมออกใช่ไหมครับ?”
“grrrrrrrrrrrrr!!”
เสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวและจำเป็นต้องเรียกคนที่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้ให้มาช่วยเขาทำให้ชายคนนั้นสงบสติลง
และเมื่อเจ้าหน้าที่ซอเดินวิ่งเข้ามาในแลปวิจัยแห่งนี้
เขาก็จัดการกดปุ่มปรับนู่นปรับนี่จนมีควันหนา ๆ พวยพุ่งออกมาทางท่ออากาศเต็มไปทั่วบริเวณกั้นกระจกอีกฝั่ง
และชายคนนั้นก็ล้มพับลงไปอย่างที่มินฮยองคิดเอาไว้
“เวลาเขาคุ้มคลั่ง
ก็กดใช้ยาสลบไปเลยนะ ลองคำนวณดูแล้ว ไม่เป็นอันตรายกับเขา”
“ขอบคุณครับพี่จอห์นนี่”
“ไม่เป็นไร นายเองก็สู้
ๆ ล่ะ
เป็นคนเดียวที่ศึกษาเปรียบเทียบดีเอ็นเอสัตว์กับดีเอ็นเอมนุษย์เองก็เหนื่อยหน่อยนะ” คนที่ชื่อจอห์นนี่พูดหยอกล้อรุ่นน้อง
“ฮ่า ๆ
ผมจะลองศึกษามันดูนะครับ”
“อ่าหะ
งั้นฉันไปดูแลส่วนอื่นแล้วล่ะ”
“ครับพี่จอห์นนี่”
มินฮยองกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะสวมหน้ากากกันก๊าซพิษและเดินเข้าไปยังประตูที่เอาไว้สำหรับเข้าออกส่วนทดลองและส่วนสังเกตการณ์ของนักวิจัย
นักวิจัยคนเก่งเดินเข้าไปยังอีกฟากและเดินไปหาชายหนุ่มที่ผอ.ตั้งชื่อที่โปรเจกต์ทดลองเอาไว้ว่า ‘แอล’
ก่อนลงไปนั่งดูอีกฝ่ายที่กำลังนอนอยู่อย่างใกล้ชิดและเริ่มตรวจดูความผิดปกติของร่างกายอีกคน
นักวิจัยคนเก่งเริ่มสำรวจที่ร่างกายโดยรวม
ๆ ก่อนเป็นอันดับแรกและเริ่มไล่ดูที่บริเวณแขน ขา และตามลำตัวเป็นจุด ๆ
คนตัวเล็กแตะเบา ๆ บริเวณกล้ามเนื้อก็พบว่าภายนอกเหมือนกับคนปกติทุกประการ อีกทั้งไม่ได้ดูแข็งแรงเสียจนเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ที่เคยดูด้วยซ้ำ
จากนั้นจึงย้ายสายตามาที่บริเวณใบหน้าก็รู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้มีเค้าโครงหน้าต่างจากคนปกติเลยสักนิด
มือบางเอื้อมมือจะไปเปิดดูดวงตาของอีกฝ่ายแต่ก็ต้องตกใจออกมาเมื่ออีกคนเบิกตาโพรงขึ้นมา
และเอื้อมมือหนามาจับเข้าที่ข้อมือเล็กอย่างอัตโนมัติ
มินฮยองพยายามบิดข้อมือออกจากอีกฝ่ายแต่ก็ไม่เป็นผล หัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความกลัว
ก่อนจะทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามจะสื่อสารกับตน
“คะ-คุณจะทำอะไรผม”
น้ำเสียงทุ้มแหบแห้งจนมินฮยองแทบจะจับใจความไม่ได้
“เมื่อกี้…คุณพูดได้ใช่ไหมครับ”
“อืม… จับผมมาทำไม”
“อ่า…”
“ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้”
“คุณครับ” มินฮยองแสดงเหยเกออกมาเมื่ออีกคนเริ่มบีบข้อมืออย่างรุนแรง
“ปล่อย”
“ตะ-แต่ทางเราต้องตรวจสอบว่าคุณเป็นอะไร…”
“…”
“พวกเราก็แค่จะศึกษาอะไรบางอย่างในตัวคุณ…”
“เหอะ”
“ถ้าคุณให้ความร่วมมือกับเรา…”
“ออกไป!” ชายผิวแทนตะคอกใส่มินฮยองเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคาม
“ผมแค่…”
“บอกให้ออกไป!!”
แอลตะโกนไล่อีกฝ่ายเสียดังจนคนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบถอยออกมาจากอีกฝ่ายเมื่อรับรู้ว่า
อีกคนเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีและไม่อยากจะคุยกับเขา
มินฮยองเดินไปหยุดตรงประตูก่อนจะหันมาพูดกับอีกฝ่ายก่อนออกไปจากห้อง
ทิ้งให้แอลอยู่ตามลำพังเช่นเดิม
“งั้นเดี๋ยวผมจะมาใหม่”
หลายวันถัดมา
แอลไม่ได้มีอาการคุ้มคลั่งเหมือนวันแรกที่มินฮยองเจอ
นักวิจัยตัวเล็กแวะเวียนมานั่งสังเกตการณ์อีกคนผ่านกระจกกั้นเสมอ ก็ไม่ได้พบความผิดปกติอะไรเช่นเดิม
วันนี้เขาเลยใจกล้าเดินเข้าไปในห้องอีกฝั่งเหมือนวันนั้น
“สวัสดีครับ”
“เหอะ”
“คุณเป็นยังไงบ้าง…”
“คิดว่าคนถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมจะเป็นยังไรล่ะ”
“…”
“บอกก่อนเลยนะว่าผมไม่สามารถช่วยพวกคุณหาคำตอบเกี่ยวกับที่ผมเป็นได้หรอกนะ”
“…”
“อีกอย่าง
ถ้าอิสรภาพของผมหายไปเพราะพวกคุณ ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
ดวงตาคมกริบราวกับสัตว์ล่าเหยื่อจ้องมาที่คนตัวเล็กอย่างหงุดหงิดใจ
“…
ถ้างั้นผมขอข้อมูลคร่าว ๆ ของคุณได้ไหมครับ เผื่อ…”
“คุณนี่ดื้อรั้นจริง ๆ
ผมบอกว่าไม่ก็คือ-”
“ผมแค่อยากจะช่วยคุณ…”
นักวิจัยคนเก่งพูดเสียงเบาแต่อีกคนก็ยังได้ยินเพราะประสาทสัมผัสทางการด้านยินของตัวเองนั้นดีกว่าคนทั่วไป
“หึ แล้วจะช่วยอย่างไรล่ะ
ช่วยให้ได้ข้อมูล?” แอลพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน
“แอล”
“โอเคจะเล่าให้ฟังก็ได้”
“…”
“ความจริงแล้วผมก็เป็นคนปกติเหมือนพวกคุณแต่พอผมอายุได้
15 ร่างกายของผมเริ่มแปลกไป ในทุก ๆ
วันที่พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงและอยู่เหนือหัวเมื่อไหร่ผมก็มักจะควบคุมตัวเองไม่ได้
ร่างกายของผมมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างกับไม่ใช่คน
ผมดุร้ายจนผมต้องหนีเข้าไปในป่าและผมก็ถูกพวกคุณจับตัวมา”
“คุณจะบอกคุณเป็นมนุษย์หมาป่า?”
“ผมไม่รู้”
“อ่า”
“แต่ต้นตระกูลของผมเลี้ยงหมาป่า”
“…”
มินฮยองไม่อยากจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นเหมือนกันเพียงแต่ว่าทุกอย่างมันบังเอิญจนเกินไป
จนเขารู้ถึงทึ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้น
แม้คนตัวเล็กจะพอไขข้อสงสัยได้ทีละจุดแต่นั่นก็ไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่า ‘โปรเจกต์แอล’ เป็นมนุษย์หมาป่าจริง ๆ
“งั้นผมขอศึกษาเลือดของคุณและดีเอ็นบางอย่างได้ไหมครับ
เผื่อมัน-”
“ก็แล้วแต่คุณ
ผมมันก็แค่หนูทดลอง”
“ผมไม่อยากให้คิดแบบนั้น”
มินฮยองพูดอย่างอ่อนใจเมื่อคนตรงหน้ายังพูดแดกดันตนไม่เลิก
เขาจัดการเตรียมเครื่องมือสำหรับเจาะเลือดและเก็บดีเอ็นเอ
จากนั้นก็นำสายยางมารัดที่ต้นแขนและทำการเจาะเลือดของอีกฝ่ายเพื่อเอามาตรวจโดยที่ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยแม้แต่น้อย
“ผมจะมาหาคุณใหม่”
มินฮยองพูดกับแอล
“…”
“ขอให้คุณเชื่อผมหน่อยว่าผมไม่หักหลังคุณหรอกแอล”
นักวิจัยคนเก่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นพร้อมกับสบตาคนที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้จนคนตัวสูงต้องเบือนสายตาหนีอีกคนด้วยความรู้สึกแปลก
ๆ ที่ตีรวนขึ้นมา
หลังจากที่มินฮยองได้ตัวอย่างเลือดและส่วนต่าง
ๆ ที่จะนำไปตรวจดีเอ็นเอได้เขาก็นำไปตรวจและสรุปผลอย่างลับ ๆ
โดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับรู้เลยสักคน
เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าอีกคนเป็นมนุษย์หมาป่าหรือไม่
เพราะถ้าหากว่าเป็นจริง ๆ
ล่ะก็รัฐบาลต้องนำตัวโปรเจกต์แอลไปพัฒนาและต่อยอดจนอีกคนต้องขาดอิสรภาพ
หรือไม่ก็นำไปขายทอดตลาดมืดระหว่างประเทศก็ได้
ซึ่งไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีต่อแอลทั้งนั้น
คนตัวเล็กใช้โควตาลาป่วยที่มีอยู่อ้างกับสถาบันเพื่อใช้เวลาทั้งหมดเพื่อตรวจสอบว่าคนคนนั้นเป็นแบบที่ทุกคนคิดหรือไม่
โดยใช้การเทียบผลของดีเอ็นเอระหว่างแอลและหมาป่าหลาย ๆ
สายพันธุ์ที่เขาเคยเก็บเคสและเขียนเปเปอร์เอาไว้ แล้วผลก็ออกมาตามที่ทุกคนคาดหมาย
โปรเจกต์แอลเป็นมนุษย์หมาป่า
ทันทีที่มินฮยองรู้เขาก็นึกเป็นห่วงอีกคนที่อยู่ในห้องทดลองชั้นใต้ดินขึ้นมาทันที
เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนในสถาบันที่รู้เรื่องนี้จะรู้หรือยังว่าเขาสามารถนำเลือดของแอลมาตรวจผลได้แล้ว
อีกอย่างมินฮยองเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตนเองถูกติดตามหรือเปล่า
เพราะถ้าเขาโดนติดตาม คนของสถาบันก็อาจจะเข้ามาแฮกข้อมูลไปก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นมินฮยองจึงเตรียมคิดแผนเพื่อพาอีกคนหลบหนีอย่างเร็วที่สุด
คนตัวเล็กใช้ความเป็นมืออาชีพและช่วงเวลาที่ทำงานกับสถาบันวิจัยตลอดหลายปีมานี้
เขียนแผนผังการตรวจตา การเข้าออกในช่วงเวลาต่าง ๆ
รวมไปถึงทางออกที่คนเข้ากันรวมไปถึงบางทางลับที่คนไม่รู้เพื่อคำนวณการหนีให้ได้แม่นยำที่สุด
เพราะถ้าหนีไม่สำเร็จ
หมายความว่าแอลอาจจะต้องโดนกักขัง
และเขาอาจจะโดนกำจัดให้หายไปจากโลกนี้ก็ได้…
มินฮยองใช้เวลาไปสามวันเพื่อเตรียมแผนการพาโปรเจกต์แอลหลบหนีออกจากสถาบันวิจัย
ซึ่งตลอดการศึกษาดีเอ็นเอของแอลรวมไปถึงการเตรียมแผนการนั้น เขาไม่ได้เข้าไปในสถาบันเลยสักวัน
นั่นก็หมายถึงเขาไม่ได้เจอแอลเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าอีกคนจะเกลียดเขาไปแล้วหรือเปล่า
มินฮยองได้แต่ถอนหายใจและเตรียมพวกสิ่งของจำเป็นรวมถึงเสื้อผ้าและกดเงินออกมาเกือบทั้งหมด
เมื่อคิดว่าถ้าเขาเริ่มแผนการนี้ เขาก็คงจะไม่ได้กลับมาเหยียบยังคอนโดที่เขาใช้น้ำพักน้ำแรงในการซื้อมันมา
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จรรยาบรรณและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์สำคัญที่สุดสำหรับเขา
เขาขับรถมายังสถาบันและทำตัวเป็นปกติเมื่อเจอกับเจ้าหน้าที่และเพื่อนร่วมงานที่เขารู้จัก
ก่อนจะลงไปยังชั้นใต้ดินที่แอลอยู่ แล้วก็พบว่าห้องทดลองมีเพียงเขาเหมือนปกติ
เขาสแกนบัตร ม่านตาและลายนิ้วเข้าไปเช่นเดิม
ก็พบว่าคนตัวสูงที่เขาไม่ได้เจอมาหลายวันกำลังยืนพิงผนังมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่เย็นชากว่าวันอื่น
ๆ แต่มินฮยองก็ทำใจกล้าเดินเข้าไปหาอีกคน
“เขาทำอะไรคุณหรือเปล่าครับ”
“…”
“แอล”
“หายไปไหนมา”
“ผมเก็บดีเอ็นเอคุณไปตรวจมาครับ”
“…”
“คุณต้องหนี” มินฮยองพูดเสียงเบา
“คุณจะพาผมหนีหรือยังไง” คนตัวสูงหัวเราะหึออกมา “คุณเป็นคนของพวกนั้น”
“ใช่ ผมจะพาคุณหนีเอง”
“…”
“ถ้าโลกมันใจร้ายมาก
เราก็ต้องหนี ถูกไหมครับ”
“อย่ามาตลก”
คนตัวสูงหัวเราะออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปบีบต้นแขนเล็กแล้วผลักนักวิจัยคนเก่งของสถาบันเข้ากับกำแพงจนมินฮยองต้องเบ้หน้าออกมาด้วยความเจ็บแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากการมองอีกฝ่ายที่กำลังสับสน
ดวงตาคมเข้มฉายแววดีใจและไม่มั่นใจออกมาเมื่อสถานการณ์ในตอนนี้มันค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
“ผมรักษาสัญญาพอ” มินฮยองพูดย้ำอย่างหนักแน่น
“ผมจะเชื่อใจคุณได้แค่ไหน”
“ถ้าคุณโดนจับ ผมก็ตาย” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือ “ตอนนี้กำลังใกล้จะถึงเวลาเปลี่ยนกะของคนดูแลรอบนอก เรามีเวลาแค่ 15 นาทีในการหนี ผมจะทำทีเป็นสอนงานคุณ และคุณเป็นเจ้าหน้าที่คนใหม่
แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นเราจะต้องผ่านชั้นนี้ไปให้ได้ก่อน
เพราะกล้องวงจรปิดค่อนข้างเยอะ”
“แล้วคุณจะทำยังไง”
“ผมให้รุ่นน้องจากต่างประเทศที่เก่งเทคโนโลยีส่งไวรัสที่แก้ไขได้ยากมาให้” คนตัวเล็กแบบมือเล็กที่กำแฟลชไดร์เอาไว้ “ถ้าเสียบกับคอมมันจะเข้าไปป่วนเซิร์ฟเวอร์และเริ่มทำลายส่วนกระจายไฟฟ้ารวมไปถึงไฟสำรอง”
“…”
“ผมจะทำทีว่ามีคนมาขโมยคุณไปจากสถาบัน”
“…”
“ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะไม่รู้ว่ามีโปรเจกต์นี้
แต่องค์กรใต้ดินที่อยู่คนละฝั่งกับรัฐบาลก็รู้และหาวิธีเข้ามาขโมยคุณเหมือนกัน”
“คุณนี่มันร้ายชะมัด” แอลพูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะ
“โอกาสมีเพียงครั้งเดียวนะครับ
คุณจะเชื่อใจผมไหม” มินฮยองสบตาคนตัวสูงอย่างหาคำตอบ
“ผมเชื่อใจคุณตั้งแต่ให้คุณเจาะเลือดแล้วครับ
ดร.อี”
ทันทีคนตัวสูงตอบกลับมาคนตัวเล็กก็ยิ้มออกมาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
ส่วนคนตัวสูงที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนักวิจัยคนเก่งก็เอื้อมไปจับมือบางเพื่อให้กำลังใจ
จนมินฮยองกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
“เราจะต้องรอดออกไปให้ได้”
“เราทั้งคู่จะผ่านมันไปได้”
ว่าแล้วมินฮยองก็พาแอลออกมาจากอีกฟากของกระจกและทำการเสียบแฟลชไดร์ไปยังคอมพิวเตอร์และรอมันรันประมาณ 30วินาที เพื่อให้ไวรัสได้ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ
จากไฟในห้องที่เคยสว่างทั้งหมดก็ดับลง
เหลือเพียงแค่ไฟสำรองที่ยังคงสามารถทำงานอยู่อีกได้ไม่นาน
คนตัวสูงสร้างสถานการณ์โดยปัดเก้าอี้และเอกสารทุกอย่างลงไปกับพื้นส่วนคนตัวเล็กรีบสแกนบัตรเพื่อออกจากห้องและพามนุษย์หมาป่าที่ทุกคนต้องการหนีออกมา
มินฮยองพาคนตัวสูงไปยังบันไดหนีไฟซึ่งเป็นทางลับของสถาบัน
เพราะปกติชั้นใต้ดินมักจะเก็บข้อมูลลับเฉพาะและจะเข้าออกเพียงแค่ลิฟต์เท่านั้น
คนส่วนใหญ่เลยไม่รู้ว่ามีบันไดหนีไฟอยู่ในนั้นซึ่งมินฮยองเป็นหนึ่งในคนที่รู้ความลับนี้
ทั้งคู่พากันวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่มีการหยุด
คนตัวเล็กวิ่งไปพร้อมกับดูนาฬิกาไปด้วย พบว่าเหลือเวลาอีก 8 นาทีกับอีก 5 ชั้นก่อนจะถึงชั้นปกติ
ทั้งคู่เร่งฝีเท้าก่อนจะวิ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูหนีไฟชั้น G และเป็นคนตตัวเล็กที่วิ่งไปหยิบถุงที่มีเสื้อกาวน์และรองเท้าผ้าใบที่เพิ่งซื้อมาใหม่ส่งให้คนตัวสูง
ซึ่งคนตัวสูงก็ทำตามอย่างรวดเร็ว
และเมื่อทุกอย่างเสร็จ
มินฮยองก็เป็นคนผลักประตูออกและพาอีกคนที่สวมแว่นและแกล้งเดินถือชาร์ตตามมาโดยพยายามนิ่งเอาไว้ที่สุดทั้ง
ๆ ที่ในใจนั้นกลัวคนอื่นในสถาบันจับได้ว่าตนกำลังพาโปรเจกต์ระดับชาติหนีอยู่
และเมื่อเดินออกมายังทางเดินของสต๊าฟ
มินฮยองก็รู้สึกโล่งอกเมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คนตัวเล็กคิดเสียหมด
เขารีบเดินออกไปยังลานจอดรถโดยไม่ทักทายเจ้าหน้าที่เหมือนปกติ และเมื่อดูเวลาแล้วเหลือเพียงแค่ 2 นาทีก่อนที่จะหมดเวลาหนี
นั่นเลยทำให้จากที่ก้าวเดินอย่างปกติอยู่นั้นต้องเร่งฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่งเพื่อให้ถึงรถของตนโดยเร็ว
และเมื่อถึงรถแล้วมินฮยองก็ขับรถออกมาอย่างรวดเร็วโดยทันเวลาอย่างฉิวเฉียด
พอออกมานอกสถาบันได้ นักวิจัยคนเก่งก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนโดยที่มีอีกคนที่มองอยู่ด้วยความเอ็นดู
“ผมแทบไม่มีเวลาเหนื่อย”
มินฮยองพูดกับแอลขณะที่ตัวเองก็เหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว
“คุณทำดีแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ผมต้องแสดงต่อแล้ว”
มินฮยองพูดออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังเหลือสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ
“คุณทำได้”
มินฮยองพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือล้วงกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคิมซอกมิน
“ผอ.ครับ!”
(มีอะไรหรือเปล่า ดร.อี)
“โปรเจกต์แอลโดนขโมยไปครับ!!!” คนตัวเล็กแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก “ผมไม่แน่ใจว่ามีใครแจ้งท่านไปหรือยัง”
(ว่ายังไงนะ! มันเกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไง!!!!) น้ำเสียงจากปลายสายเต็มไปด้วยความโกรธและร้อนรน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
(บ้าชะมัด! ผมจะส่งคนตามหาเขา คุณก็ต้องหาเขาด้วย หาให้เจอ!!!
เขาสำคัญต่อรัฐบาลมาก ๆ!!)
“รับทราบครับ
แล้วผมจะติดต่อกลับไปครับ”
วางไปแล้ว… มินฮยองวางสายไปแล้ว เขาทำสำเร็จแล้ว
ภารกิจพาโปรเจกต์แอลหนี สำเร็จแล้ว
มินฮยองยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะก่อนจะถอดซิมออกจากโทรศัพท์และทำการหักซิมทิ้งรวมไปถึงปิดเครื่องและทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ข้างทางเพื่อป้องกันไม่ให้คนของสถาบันรวมถึงรัฐบาลเจอตัว
เขาจัดการถอดป้ายทะเบียนรถทิ้งและเดินกลับมานั่งในรถเช่นเดิม
“คุณร้ายกว่าที่คิด”
“ถ้ามันคือคำชมผมก็จะรับมันไว้” มินฮยองพูดแบบขำ ๆ
“ถ้าไม่ได้คุณ-”
“ผมบอกแล้วว่าผมจะช่วยคุณ
และผมก็ทำมันสำเร็จ”
“และคุณก็กลายเป็นอาชญากรภายในไม่ถึง
15นาที”
“ใครแคร์ล่ะ”
มินฮยองยักไหล่ออกมาก่อนจะโดนอีกฝ่ายจับเข้าที่ปลายคางเพื่อให้หันไปหาตน
ภายในรถปกคลุมไปด้วยความสนุกสุดเหวี่ยงและวีรกรรมที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะทำมาก่อน
รวมมาถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่
“ผมชักจะชอบคุณแล้ว” โปรเจกต์แอลพูด
“…”
“คุณมักทำอะไรที่เหนือความคาดหมายทุกครั้งเลย
ดร.อี”
“ไม่”
“?”
“ไม่มีอีกแล้วดร.อีมินฮยอง”
“…”
“มีแค่ผมกับคุณ”
“คุณนี่มัน” คนตัวสูงลูบใบหน้าแล้วหัวเราะออกมา “ใช่ มันจบลงแล้ว
ทั้งดร.อีมินฮยองและโปรเจกต์แอล”
“มีแค่มาร์ติน อี”
“มีเพียงแค่ลูคัสเท่านั้น”ดวงตาคมเข้มจ้องมองไปที่ดวงตากลมโตก่อนจะยิ้มออกมาด้วยประทับใจจนคนตัวเล็กต้องยิ้มตาม
“ยินดีที่ได้รู้จักลูคัส”
“เช่นกันครับ มาร์ติน”
Ended
Scream and
comment on #serendipitylm
Talk เอาเรื่องนี้มาคั่นคุณไนท์เนอะ
เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง ตอนแรกไม่นึกว่ามันจะยาว แต่มันก็ยาวที่สุดในบรรดา fictober
ทั้งหมด 555555 บางจุดอาจจะไม่ค่อยเมคเซ้นเท่าไหร่
แต่ว่าเราก็พยายามปรับให้มันสมูธเต็มที่แล้วเนอะ ฮืออออออ เจอกันตอนหน้าค่ะ
ปล. เอาล่ะ ภายในวีคนี้สักวันนึงจะต้องลงฟิค 2 ตอนภายในวันเดียวให้ได้!
ปล2. คุณไนท์เนี่ยเราน่าจะทำเป็นซีรี่ย์สั้นๆจบในตอนค่ะ
ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดจบจะอยู่ตรงไหนเหมือนกัน 555
ความคิดเห็น