คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 1 : วันสบายๆ
มหาศึกพลังแห่งธาตุ
ตอนที่ 1 : วันสบายๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ปลุกให้ชายหนุ่มวัย 20 ปี ตื่นจากหลับใหล และเดินงัวเงียไปเปิดประตู เพื่อดูว่าใครมาหาแต่เช้ามืดเช่นนี้
“สวัสดีครับ ใช่คุณคานาวิส มัสสูท หรือเปล่าครับ” ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำเอ่ยถามทันที หลังจากมีคนเปิดประตูให้
“คะ .... ครับ” ผู้ถูกถามตอบออกไปแบบงงงัน เพราะสงสัยในชื่อของตัวเอง
คานาวิส มัสสูท หรือคณาวิทย์ มหาพิสุทธิ์ คือชายผู้เป็นเจ้าของบ้าน เขาเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเพื่อไม่ให้ดูเป็นตัวประหลาด ซึ่งพ่อแม่ของเขาเป็นคนบอกมาเช่นนั้น และก็รวมไปถึงตัวของพ่อแม่ด้วยที่เปลี่ยนเช่นกัน
คณาวิทย์ไม่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของการเปลี่ยนชื่อคืออะไร แต่เหตุผลที่แน่ๆ นั้น อาจมาจากชื่อ-นามสกุลของพวกเขาที่ดูประหลาดผิดไปจากคนทั่วไปนั่นเอง
หลังจากคณาวิทย์เชื้อเชิญชายวัยกลางคนเข้ามาในบ้าน เพื่อคุยงานที่ชายคนดังกล่าวเกริ่นไว้เล็กน้อยตั้งแต่ที่ประตูหน้าบ้านแล้ว
ภายในตัวบ้านเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดราวๆ 5 ตารางเมตร ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนโดยใช้ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่เป็นที่กลั้น โดยส่วนหนึ่งเป็นที่ไว้นอนซึ่งอยู่ด้านหน้าตู้เสื้อ แต่ติดกับประตูหลังบ้าน สำหรับอีกส่วนเป็นที่ที่พวกเขานั่งคุยกันอยู่ โดยจะมีโต๊ะไม้ตัวเก่าๆ และเก้าอี้อีกสองตัววางไว้ให้นั่งกลางห้อง
การพูดคุยของทั้งสองดำเนินไปด้วยความราบรื่น โดยที่ชายในชุดสูทได้เสนอว่าจ้างให้คณาวิทย์เป็นคนดูแลเรื่องความปลอดภัยให้กับกลุ่มการค้ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเดินทางมาเทียบท่าที่เดสคารีโดนแห่งนี้ในตอนเย็นของวัน
คณาวิทย์อ่านหนังสือสัญญาจ้างที่ถูกยื่นมาให้ หลังจากที่ชายวัยกลางคนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดจบ คณาวิทย์ตรวจดูรายละเอียดหนังสือสัญญาให้แน่ใจ โดยอ่านอย่างถ้วนถี่ ทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรอย่างละเอียด หลังจากนั้นเขาก็บรรจงลงลายมือชื่อเพื่อเป็นการทำสัญญาว่าจ้างทันที
คณาวิทย์ยิ้มดีใจมาก หลังส่งแขกออกจากบ้าน เพราะเขารู้สึกปลื้มใจที่ตนเองสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาได้ จนในวันนี้ก็ได้รับงานที่ทำให้ตัวเขารู้สึกว่า สิ่งที่ทำมาตลอดห้าปีมันไม่สูญเปล่า ซึ่งงานคุมความปลอดภัยให้กลุ่มขบวนการค้าในครั้งนี้ ถือเป็นงานที่ทำให้เขาต้องได้รับประสบการณ์ดีๆ อย่างมากมาย และงานนี้ก็ถือว่าเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จอีกก้าวของชีวิตเขาด้วย ซึ่งคนธรรมดาสามัญทั่วไป ที่ไม่มีพรสวรรค์อะไรติดตัวเช่นเขา คงจะไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกแล้วในชีวิต
เมื่อห้าปีก่อนนั้น ตั้งแต่ที่คณาวิทย์ย้ายมาอยู่ที่เมืองท่าแห่งนี้ใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นเขาอายุ 15 ปี เป็นช่วงที่กำลังเริ่มต้นการเป็นวัยรุ่น แต่เขาไม่อาจจะใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วไปได้ เขาจำเป็นต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัว เพื่อให้มีเงินสามารถเลี้ยงชีวิตของทั้งครอบครัวด้วยอีกทาง
คณาวิทย์ใช้เวลาสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองนานหลายปี ซึ่งเรื่องราวมันเริ่มจากการที่เขาถูกรังแกจากเด็กวัยเดียวกันในเมือง อาจจะเนื่องด้สยที่เขาเป็นเด็กใหม่ประจำเมือง แต่เขาก็ทนต่อสิ่งเหล่านั้นเรื่อยมาเพื่อเหตุผลเดียว เหตุผลที่ครอบครัวของเขาอาจจะเดือดร้อนเมื่อเขาจะเข้าสู่หนทางแห่งอันธพาล แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งความอดทนอดกลั้นของเขาหมดลง เขาได้ตอบโต้กลับไปเป็นครั้งแรกด้วยความเกรี้ยวกราด และก็อย่างที่ทราบกันดีว่า เขาเป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป ที่ไม่มีพรสวรรค์อะไร ดังนั้นในการต่อสู้ครั้งแรกนั้นก็แพ้อย่างราบคาบ
การต่อสู่ดิ้นรนของคณาวิทย์ต้องเริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนั้น เพราะในทุกวันจะมีคนมาหาเรื่องอยู่ไม่ขาดสาย แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนมีความพยายาม และมุ่งมั่น เขาจึงได้ใช้โอกาสนั้นเพื่อเป็นการฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้น เพื่อที่ว่าคนเหล่านั้นจะกลั่นแกล้งรังแกเขาไม่ได้อีก และเขาก็ทำมันสำเร็จ ซึ่งก็ทำให้บรรดาคนในวัยเดียวกัน หรือใกล้เคียงเริ่มให้ความเคารพเขาขึ้นมาบ้าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นเหตุให้กลุ่มคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามารังแกเขาอยู่เรื่อยไป แต่ในท้ายที่สุดเขาก็สามารถอยู่เหนือทุกคนที่เมืองแห่งนี้ได้ในฐานะของนักเลง หรืออันธพาล นั่นคือเรื่องราวของเขา ซึ่งหนึ่งปีสำหรับการฝึกฝนตัวเอง สองปีถัดมาสำเร็จการสร้างความยิ่งใหญ่ และอีกสองปีจนถึงปัจจุบันเพื่อการเป็นที่หนึ่งตลอดกาล
ทุกวันนี้คณาวิทย์สามารถหาเลี้ยงพ่อแม่เขาได้แล้ว เขาไม่ให้ท่านทั้งสองทำงานหนักอีกต่อไป เขาจึงย้ายท่านทั้งสองไปอยู่ที่แถบชนบททางตอนเหนือของเมือง เพื่อให้ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามที่พวกท่านหวังกันเอาไว้ โดยที่เขาจะคอยไปแวะเยี่ยมเยียนบ้าง แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดนั่นคือเรื่องเงิน ที่จะส่งไปให้ท่านทั้งสองได้ใช้ในทุกเดือน
สำหรับคณาวิทย์เขายังคงอยู่บ้านหลังเล็กๆ หลังเดิมเหมือนเมื่อครั้งห้าปีที่แล้ว บ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับท่าเรือของเมือง ดังนั้นงานที่เขาเลือกที่จะทำก็จึงเป็นผู้คุ้มครองประจำถิ่น หรือเรียกง่ายๆ ว่านักเลงคุมถิ่นนั่นเอง โดยในทุกวันเขาจะคอยออกตรวจตราตามท่าเรือ คอยตรวจดูเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายภายในท่าเรือ ที่ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของเขา
สำหรับเรือสินค้า หรือใครก็ตามที่ต้องการความปลอดภัยรวมไปจนถึงทรัพย์สินก็ตาม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้เขานั่นเอง เขาไม่เคยใช้วิธีขู่บังคับให้จ่ายเงินเหมือนนักเลงทั่วไปที่ทำกัน หากแต่เขาใช้สถานการณ์บีบบังคับ เพราะยังไงเรือทุกลำที่มาเทียบท่าก็ต้องการความปลอดภัย ซึ่งสืบเนื่องมาจากรัฐบาลของเมืองไม่ได้สนใจพื้นที่ส่วนอื่นเลยนอกจากเขตของคนรวยเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นจึงต้องดูแลกันละกันเอาเองหากมาเทียบท่าที่ท่าเรือ
รายได้ส่วนใหญ่ของคณาวิทย์มาจากการเก็บค่าคุ้มครองตามเรือต่างๆ ที่อยากให้เขาเป็นผู้คุ้มครอง ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็พอเลี้ยงปากท้องเขาได้ และยังสามารถเหลือส่วนหนึ่งเอาไว้ส่งให้พ่อแม่ได้อีกด้วย
คณาวิทย์ หรือชายผู้มีร่างสูง 175 เซนติเมตรก้าวออกจากบ้าน หลังจากที่ทำกิจธุระส่วนตัวของเขาแล้วเสร็จ เขาแบกร่างอันธรรมดาสามัญของเขา เพื่อออกไปเผชิญโลกแห่งเมืองท่าอีกครั้ง ภายใต้ใบหน้าอันงัวเงียของเขา คิ้วที่เป็นเอกลักษณ์ราวคันศร สีผิวที่ออกไปทางน้ำตาลเข้ม และลักษณะรูปทรงของร่างกายที่ไม่ถึงกับบึกบึนกำยำมากมาย แต่ก็ยังมีมัดกล้ามให้เห็นบ้าง ซึ่งโดยรวมๆ แล้วก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดจนเกินไปสำหรับชายคนหนึ่ง
คณาวิทย์เดินเรียบไปตามทางเดินของท่าเรืออันสุดลูกหูลูกตา และทุกๆ 250 เมตรจะมีทางเดินที่ทำด้วยหินโครงสร้างแข็งแรง ซึ่งถูกสร้างแยกออกไปจากทางเดินหลัก และยื่นออกไปในทะเล เมื่อดูแล้วเหมือนกับเป็นสะพานเลยทีเดียว สำหรับความยาวนั้นขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำทะเลบริเวณนั้น ถ้าลึกมากก็ไม่ต้องสร้างยาวไกลออกไปมากนัก สิ่งก่อสร้างดังกล่าวนั้นถูกเรียกว่า ‘ท่าเทียบเรือ’ ซึ่งมีนับร้อยเรียงกันไปตามความยาวของทางเดินสายหลัก
คณาวิทย์ใช้เวลาร่วมๆ กว่าหนึ่งชั่วโมง ในการเดินตรวจตราที่ท่าเรือเหมือนทุกวัน หากแต่วันนี้มาเช้าหน่อยกว่าที่เคย ด้วยความที่เช้าๆ แบบนี้จึงไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนัก และเรือก็ยังไม่เทียบท่า ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีความวุ่นวายมากมายอะไรให้เขาได้จัดการ
หลังจากที่คณาวิทย์เสร็จกิจที่ท่าเรือ แสงอาทิตย์ก็กำลังแปลเปลี่ยนเป็นแสงที่ร้อนขึ้น และนั่นก็บ่งบอกให้รู้ว่าถึงเวลาเริ่มภารกิจใหม่เสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงตรงดิ่งไปยังร้านขายของร้านหนึ่งทันที
“หวัดดีครับเจ๊” คณาวิทย์ทักทายหญิงวัย 30 ปีคนหนึ่ง ซึ่งเธอกำลังจัดข้าวของที่หน้าร้านขายของ ร้านที่เขากำลังให้ความสนใจ
“อ้าว! วิส ลมอะไรหอบเธอมาแต่เช้าเนี่ย” หญิงสาวคนที่ถูกทักทายหันไปมองผู้พูดก่อนตอบออกไป
“บังเอิญผมได้งานดีๆ งานหนึ่งทำน่ะครับ เงินดีด้วย แต่มันต้องเข้าไปหาข้อมูลในเขตตัวเมืองสักหน่อย ดังนั้นผมเลยมาหาเจ๊นี่แหละ กะจะให้เจ๊จัดการเรื่องเสื้อผ้าให้สักหน่อย ... เอ๊อ! ... เจ๊ดูสิเนี่ย แค่เงินงวดแรกก็ให้ไว้เตรียมตัวตั้ง 1500 ราเซนแน่ะ แต่ก็ยังต้องเอาตั๊วเงินไปเบิกที่ธนาคารอีกตั้ง 6000 เลยล่ะ” คณาวิทย์ถอนหายใจ และเดินไปนั่งที่ม้านั่งหน้าร้านก่อนที่จะกล่าวออกมา
“โห! เงินดีขนาดนั้นเลยเหรอ ดูท่าวันนี้คงต้องจัดการให้ดูเป็นผู้เป็นคนเสียหน่อยแล้ว” หญิงคู่สนทนาของคณาวิทย์กล่าวตอบกลับ พร้อมกับเร่งมือจัดของให้เร็วขึ้น
สำหรับงานของคณาวิทย์ที่รับมานั้น เขาต้องเป็นคนจัดแจงเรื่องการวางแผนเดินทางทั้งหมด พร้อมกับมีหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยให้ขบวนพ่อค้าด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องมีการหาข้อมูลเรื่องเส้นทาง จวบจนรายละเอียดต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งสำหรับทุกสิ่งอย่างที่ว่าไปนั้นอยู่ในตัวเมือง หรือเขตคนรวยทั้งหมด และมันตั้งอยู่ภายหลังกำแพงเมืองอันแน่นหนาเข้าไปอีก สำหรับการจะเข้าไปได้ก็มีกฎอยู่เพียงว่า ‘ต้องดูดีดูมีระดับ’ หรือกล่าวง่ายๆ ว่าขอแค่ให้ผ่านการตรวจสอบจากทหารยามไปได้ก็เข้าในเขตคนรวยได้แล้ว
“ว่าแต่เธออยากได้รูปแบบการแต่งตัวแบบไหนล่ะ เดี๋ยวฉันจัดให้” เจ้าของร้านวัย 30 ปีกล่าวขึ้นอีกครั้ง หลังจากพาลูกค้าหนุ่มเขามาในร้านเรียบร้อยแล้ว
“แล้วแต่เจ๊เลยครับ ผมไม่รู้รูปแบบการแต่งตัวอะไรนั่นหรอกครับ ขอให้เข้าไปในเขตตัวเมืองได้ก็พอ เอาประหยัดสุดแล้วกันนะครับ เอาแบบไม่เกินสัก 1000 ราเซนได้ไหมครับ” คณาวิทย์ตอบคำถามเจ้าของร้าน
“1000 คงได้แค่เสื้อตัวเดียวล่ะมั้ง ... เอางี้มั้ย ติดเงินไว้ก่อนก็ได้ ไหนเห็นว่ามีตั๋วเงินที่ต้องไปเบิกที่ธนาคารอีกไม่ใช่เหรอ ได้อีกตั้ง 6000 ราเซน ติดไว้ก่อนก็ได้นะวิส” เจ้าของร้านเอ่ยแนะนำคู่สนทนา
“งั้นเหรอครับ ถ้างั้นก็ตามนั้นครับจัดมาเต็มที่เลยแล้วกัน ไหนๆ ก็ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่แล้ว แถมแพงอีกด้วย” คณาวิทย์ถอนหายใจก่อนกล่าวออกไป พลางหัวเราะไปด้วย
หลังจากลูกค้ากับเจ้าของร้านตกลงรายละเอียดการซื้อขายได้แล้ว ทางด้านเจ้าของร้านจึงเดินหายเข้าไปในดงเสื้อผ้าที่แขวนไว้นับร้อยนับพันตัว ซึ่งร้านของเธอเป็นร้านเสื้อผ้าร้านเดียวในส่วนของย่านท่าเรือของเมืองแห่งนี้ และไม่นานเธอก็ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าสี่ถึงห้าชุด เพื่อให้คณาวิทย์ได้ลองใส่
คณาวิทย์ลองใส่เสื้อผ้าที่เจ้าของร้านนำมาเสนอ และเขาก็ดูดีที่สุดในชุดของนักศึกษาที่มีระดับอยู่ในชั้นชั้นกลาง ซึ่งมีลักษณะเป็นกางเกงผ้าลื่นสีดำยาว พร้อมเสื้อเชิ้ตแขวนยาวสีขาวสว่าง และสุดท้ายสวมทับด้วยเสื้อหนังแขนกุดสีน้ำตาล สำหรับกางกางกับเสื้อเชิ้ตนั้นเป็นแบรนด์ระดับห้าดาวที่ไม่แพงมาก ส่วนเสื้อหนังนั้นเพียงแบรนด์ระดับดาวเดียวเท่านั้น และเมื่อรวมราคาทั้งสามอย่างแล้วก็สูงเกือบๆ 5000 ราเซนเลยทีเดียว
“เจ๊! ทำไมไอ้เสื้อหนังนี่มันแพงมากกว่าเสื้อกับกางเกงรวมกันอีกล่ะ ไหนเห็นว่ากันว่ายิ่งแบรนด์ระดับดาวสูงๆ ก็ยิ่งแพงไม่ใช่เหรอ นี่มันแค่ดาวเดียวเอง” คณาวิทย์ขมวดคิ้วเข้มหันไปถามเจ้าของร้านด้วยความสงสัย
“ก็จริงอย่างที่วิสพูด แต่มีแบรนด์แล้วก็มีชนชั้นด้วยไง ซึ่งแบ่งเป็นสามชนชั้น คือล่างสุด ชนชั้นกลาง และร่ำรวย หรือพวกขุนนาง สำหรับเสื้อเชิ้ตกับกางเกงเป็นแบรนด์ระดับชนชั้นกลางถึงจะเป็น 5 ดาว แต่ราคาก็เทียบไม่ติดกับแบรนด์ระดับชนชั้นคนรวยนะ” เจ้าของร้านชี้แจงแถลงไขข้อสงสัยให้ลูกค้า ส่วนลูกค้าหนุ่มเมื่อรู้เหตุผลก็ได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น
หลังจากเรียบร้อยจากร้านเสื้อผ้า คณาวิทย์ก็หาร้านเสริมสวยต่อทันที เขาเดินวกไปวนมาอยู่นานสองนานก็เจอเข้าร้านหนึ่ง อันทีจริงแล้วเขาก็ไม่เคยจะเข้ามาในตัวเมืองเท่าไหร่นัก วันๆ เขามักจะหมกตัวอยู่แต่ท่าเรือเท่านั้น ซึ่งไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่รู้ว่ามีร้านอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง สำหรับเขามีแค่ร้านเสื้อผ้าเท่านั้นที่เขารู้จัก เพราะส่วนใหญ่แล้วเจ้าของร้านมักจะจ่ายค่าคุ้มครองให้เขา เพื่อให้คอยคุ้มกันสินค้าเวลาเอามาส่งจากท่าเรือ เขาจึงรู้จักเป็นพิเศษกับเจ้าของร้านเสื้อผ้า
คณาวิทย์เดินเข้าไปภายในร้านเสริมสวยที่เขาพึ่งหาเจอ และก็เป็นร้านเดียวที่เปิดร้านในยามกลางเดือนแบบนี้ ซึ่งมันเป็นวันหยุดของทุกคน จึงทำให้หาร้านขายของที่เปิดยากหน่อยในช่วงนี้
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ผมที่เคยยาวรุงรังถูกตัดสั้นดูสะอาดตาขึ้นมาทันที เขาส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจ่ายเงินไป แล้วออกจากร้าน
“เท่านี้ก็เสร็จแล้ว ดูไปดูมาก็หล่อเหมือนกันนะเราเนี่ย ... ไอ้พวกคนมีสตังค์เนี่ยมันฟุ่มเฟือยดีจริงๆ เลย แค่เราเล่นบทเป็นคนรวยแค่สองชั่วโมงเองนะ ... โห! … เล่นหมดไปเกือบเกือบหกพันแล้ว แถมยังไปค้างเงินเขาไว้อีก บ้าไปแล้วเรา!!” คณาวิทย์บ่นกับตัวเอง
คณาวิทย์มองเงินที่เหลืออยู่ในมือของเขา ซึ่งเป็นธนบัตรใบละ 1000 ราเซน 1 ใบ และใบละร้อยอีกสองใบนอกนั้นเป็นเหรียญ 10 ราเซนอีก 4 เหรียญ และเหรียญหนึ่งราเซนอีกจำนวนหนึ่ง เขาถอนหายใจไปกับเงินที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาตอนทำสัญญาคือ 1500 ราเซน แล้วเขาก็เก็บมันเขากระเป๋า พร้อมก้าวเดินมุ่งไปสู่เขตแห่งตัวเมืองที่แท้จริง เขตของย่านคนรวยที่ทุกคนใฝ่ฝันที่จะเข้าไป และมันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ เสียที
คณาวิทย์เดินตัดเข้ามาในถนนสายหลักที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก เนื่องจากเป็นวันหยุดประจำภาคครึ่งเดือนของทุกคน และสำหรับบางร้านค้าก็จะถือเอาวันนี้ปิดร้านพักผ่อนด้วย เขาเดินไปเรื่อยผ่านร้านค้าร้านต่างๆ ที่กำลังง่วนกับการเปิดร้าน แต่บางร้านก็ยังคงปิดเงียบดังเดิม
คณาวิทย์เดินผ่านไปได้กว่าชั่วโมงก็สามารถเห็นกำแพงสูงที่กั้นระหว่างเขตเมืองทั่วไปกับเขตคนรวยได้ชัดเจนขึ้น และท้ายที่สุดเขาก็มายืนอยู่ด้านหน้าประตูเหล็ก ที่ตอนนี้ถูกเปิดออกไว้ให้ผู้คนได้เข้าไป แต่ก่อนจะได้เข้าไปนั้นต้องผ่านการตรวจสอบจากทหารยามทั้งสี่คนที่เฝ้าทางเข้า-ออกเสียก่อน
คณาวิทย์หยุดยืนนิ่งๆ เพื่อสำรวจตัวเองอีกครั้งเสริมความมั่นใจ แต่เขากลับพบว่าเหมือนมีอะไรที่มันดูขัดไปในการแต่งตัวแบบดูดีครั้งนี้ของเขา และถึงแม้เขาจะพยายามสังเกตเพียงใด เขาก็ไม่พบสิ่งที่ผิดปกติอะไรนั่น มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเสียแล้ว
คณาวิทย์เดินไปเดินมาแถวๆ หน้าประตูดังกล่าว เขาสังเกตทุกคนที่เดินเข้าไปในเขตคนรวย เพื่อดูว่าพวกเขาแต่งตัวกันอย่างไร และก็หวังเล็กๆ ว่าจะมีสักคนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ แต่สิ่งที่เขาหวังกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง ดังนั้นมันทำให้เขายิ่งมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น
“ไอ้ความคิดบ้าๆ ของเราไม่น่าจะคิดเล๊ย! จากคนมั่นใจ ตอนนี้เซ็ง! ... ถ้าเดินเข้าไปแล้วเกิดบอกว่าไม่ผ่าน จะทำไงล่ะทีนี้ ... เฮ้อ ... เราจะกลายเป็นคนไม่มั่นใจไปแล้วเหรอเนี่ย โอ๊ย!! ตายๆ!!” คณาคิดในใจขณะกำลังเดินไปเดินมา
“อ้าว! น้องไม่เข้าไปเหรอ เห็นเดินอยู่นานแล้ว ... ดูท่าแล้วน้องต้องโดนปล้นรองเท้ามารึเปล่าน่ะ เห็นรองเท้าดูเก่าๆ แต่เมื่อดูชุดมันกับเป็นคนละระดับกันเลย” ทหารยามคนหนึ่งเอ่ยถามคณาวิทย์
จากที่คณาวิทย์เดินไปเดินมา พร้อมครุ่นคิดในใจมานาน แต่เมื่อทหารยามนายนั้นเอ่ย เขากลับพยักหน้าออกไปอย่างไม่รู้ตัว คงด้วยความที่กำลังใส่ใจเรื่องที่เขากลุ้มอยู่นั่นเอง
“ดะ ... เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้พี่ทหารยามว่าไงนะ” คณาวิทย์หวนนึกถึงคำพูดของทหาร และเดินเข้าไปถาม
“เอ้า! ก็ดูรองเท้าน้องสิ มันเข้ากับชุดมั้ยล่ะ พี่ว่าต้องโดนปล้นรองเท้ามาแน่ๆ รองเท้าดูเหมือนพวกอันธพาลแถวท่าเรือเลย” ทหารยามอธิบายเหตุผล
คณาวิทย์มองลงไปที่เท้าตัวเองก็เห็นสภาพที่ขัดกับชุดอย่างชัดเจน มันเป็นรองเท้าแตะที่ดูเก่าโซโครกของเขาที่ใส่มานานจนชิน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไม่รู้เลยว่ามันไม่เข้ากับชุด เขาผิดหวังเล็กน้อย และเตรียมเดินกลับไปหาซื้อรองเท้ามาใส่ใหม่ให้ดูดี แต่เขานึกถึงคำพูดหนึ่งของทหารยาม จึงได้ถามไปอีก
“แล้วที่พี่บอกโดนปล้นรองเท้าเนี่ยมัน ... ”
“น้องคงอายที่จะพูดสินะ ช่วงนี้กำลังระบาดเลยล่ะ พวกอันธพาลปล้นรองเท้า พวกมันจะคอยแกล้งพวกคนรวยที่ใส่รองเท้าดีๆ โดยการยึดรองเท้าไป แล้วให้เดินเท้าเปล่าบ้างล่ะ ไม่ก็โดนให้ถอดเปลี่ยนกับรองเท้าอันโซโครกของพวกมัน แล้วมันก็ได้ใส่รองเท้าหรูแทน น้องก็โดนมาใช่มั้ย” ทหารยามอธิบาย
“ครับ มันเปลี่ยนของผมไป น่าเจ็บใจมากครับ ถ้าวันหลังได้เจอพวกมันอีกจะเล่นให้หนัก” คณาวิทย์ทำทีตามน้ำไปกับทหารยาม
“เอ้ารีบเข้าไป แล้วไปเปลี่ยนรองเท้าซะนะ ... น้องคงอายมากเลย พี่เข้าใจ” ทหารยามกล่าว พร้อมปล่อยให้คณาวิทย์เข้ามาไปด้านใน
คณาวิทย์ถอนหายใจออกมาฟอดใหญ่ เขารู้สึกเหมือนกำลังยกอะไรหนักๆ ออกจากอก และรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกันนั้นก็มองไปที่รองเท้าของตัวเอง เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พลางถอดมัน และโยนลงไปในถังขยะแถวนั้น แล้วเดินตรงไปยังร้านขายรองเท้าที่อยู่แถวนั้น ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้า
“อู้ยๆ เย็นๆ” คณาวิทย์ทำทีเป็นอุทานออกมา เมื่อเข้าไปข้างในร้าน
“อ้าวพ่อหนุ่ม โดนปล้นรองเท้ามาเหรอนั่น” เจ้าของร้านวัยชราเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าเข้ามาในร้าน ซึ่งเขาจ้องมองไปที่เท้าของลูกค้าทันที
“ครับ คุณลุงพอมีรองเท้าราคาซัก 1200 ราเซนมั้ยครับ พอดีมีเงินเท่านี้ ตอนแรกกะจะแค่ออกไปนอกเขตคนรวย เพื่อไปดูสินค้าแถวท่าเรือสักหน่อย จู่ๆ ไอ้พวกบ้านั่นก็มาเอารองเท้าผมไป แถมยังรีดไถเงินผมไปอีก” คณาวิทย์เริ่มสนุกกับการปั้นเรื่องโกหกในเขตคนรวยนี้แล้ว เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าเงินทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงเขาต้องเล่นบทบาทให้สมจริงเท่านั้น
“นี่ อันนี้ราคา 1000 พอดี เป็นรองเท้าผ้าใบไว้ใส่เล่นน่ะ มันน่าจะพอใส่กันความหนาวเย็นจากพื้นได้ ... ช่วงนี้ไอ้พวกอันธพาลโรคจิตปล้นรองเท้ากำลังระบาด ดีนะที่มันไม่ทำร้ายบาดเจ็บถึงตาย แต่ถ้าเคาะหามยามร้ายล่ะ ... คิดแล้วก็น่าเป็นห่วง ยังไงเวลาจะออกไปนอกเขต ก็หาเพื่อนไปด้วยล่ะ ระวังตัวด้วยนะหนู” ลุงเจ้าของร้านเอ่ย พลางยื่นรองเท้าให้คณาวิทย์
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ... ผมไปนะครับ” คณาวิทย์กล่าวลา พร้อมยื่นเงินให้ลุงเจ้าของร้าน
คณาวิทย์เดินออกจากร้าน พร้อมด้วยรองเท้าคู่ใหม่ มันเป็นรองเท้าที่ดีที่สุด และแพงที่สุดเท่าที่เขาเคยใส่ ทั้งนุ่มสบายเท้า หรือรวมไปถึงมองดูแล้วสะอาดตาด้วย
คณาวิทย์หยุดยืนอยู่บนถนนสายหลัก โดยที่ตอนนี้ยังไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นแตกต่างจากท่าเรือที่เขาเคยอยู่มากมาย ซึ่งทุกที่บริเวณรอบๆ ตัวเขาดูสะอาดตา ทั้งตึกอาคารต่างๆ รายรอบก็ดูเป็นระเบียบ และดูสวยงามวิจิตร หรือแม้กระทั่งอากาศที่หายใจเข้าไป ก็เป็นอากาศอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอยู่ริมทะเลเสียอีก
“มิน่าละ พวกคนรวยเขาดูดี ทุกอย่างรอบๆ ดูดีไปหมด” คณาวิทย์กล่าวกับตัวเองผ่านอากาศรอบๆ ตัว พร้อมกันนั้นเขาก็ก้าวเท้าเดินต่อ เพื่อไปยังที่หมายแรกนั่นคือธนาคาร
พรึบ!
คณาวิทย์หันขวับกลับหลังไปมองอะไรบางอย่างที่มุมตึก เพราะเขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ แต่เมื่อส่งสายตาไปมองก็ไม่พบอะไรที่บริเวณนั้น เขาจึงรีบวิ่งไปที่มุมตึกที่เขามองพร้อมมองออกไป ซึ่งเป็นซอยเล็กๆ ที่ทอดยาวออกไปราว 500 เมตร แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
“คณาวิทย์ มหาพิสุทธิ์งั้นเหร๊อ! คงไม่ได้เรื่อง” หญิงสาวปริศนายืนบนหลังคาตึก พลางมองคณาวิทย์ที่กำลังเดินอยู่บนถนนเบื่องล่าง พร้อมกันนั้นเธอก็เปิดสมุดบันทึกของเธอ แล้วขีดฆ่าชื่อของคณาวิทย์ที่อยู่ในนั้นออกไป
แสงแดดยามบ่ายอันร้อนแรงสาดส่องไปทั่วทุกแห่งหนของเทือกเขาสตราติล ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองที่มีชื่อเสียงด้านความเสื่อมในทุกรูปแบบ และใครก็ตามที่ลุ่มหลงไปกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว คงต้องบอกได้คำเดียวว่ายากที่จะกลับบมาเป็นผู้เป็นคนได้อีก
เมืองเดสเปอโรซ์แห่งนี้เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางเชิงเขาฝั่งตะวันตก ซึ่งกินอาณาบริเวณราวๆ หนึ่งในสิบของเทือกเขาสตราติล และอาณาเขตอาจจะขยายพื้นที่ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ก็เป็นได้
เมืองแห่งนี้แบ่งออกเป็นสามเขตพื้นที่การปกครอง โดยแบ่งเป็นเขตโบโกต้า อันเป็นที่อยู่ของเหล่าคนรวย ขุนนางของเมือง ผู้มีอิทธิพล และสภาการปกครองของเมือง เป็นเขตที่อยู่สูงสุดของเมือง ซึ่งตั้งไล่ระดับจากเขตระดับกลางไปจนถึงยอดเขา
ถัดมานั้นเป็นเขตบาจาร่า เป็นเขตที่อยู่ถัดลงมาจากเขตโบโกต้า และมีพื้นที่มากที่สุด โดยมีพื้นทีมากที่สุดในทั้งสามเขต ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นพื้นราบ โดยจะเป็นเขตที่ผู้คนพลุกพล่านมากมาย เพราะเป็นเขตแห่งการท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยอบายมุขต่างๆ นั่นเอง
สำหรับเขตสุดท้ายคือ เขตบอทซ เป็นเขตที่กฎหมายเอื้อมมือไปไม่ถึง และเป็นสถานที่ของชนชั้นแรงงานที่ต้องทำงานหามรุ้งหามค่ำแทบทุกวัน เพื่อชดใช้หนีที่ค้างอยู่ของพวกเขา และการเป็นอยู่ของพวกเขานั้นมีสภาพบ้านเรือนที่แออัดชนิดที่ว่าหลังคาเกยกันเลยทีเดียว
ท่ามกลางร้านค้า โรงแรม สถานบันเทิง แหล่งพนันต่างๆ ที่กระจายกันไปทั่วทุกหนแห่งของเขตโบโกต้านั้น ปรากฏเป็นชายวัย 18 ปีที่กำลังเดินตัดเตร่ลัดเลาะไปตามซอกตึกแคบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผู้คนมากมายที่เดินกันให้ขวักอยู่ตามถนนทางเดินสายหลัก เขาพยายามมุ่งหน้าไปสู่ที่ที่เขาจะอยู่ได้อย่างเป็นสุข ที่ที่ทำให้เขานั่งมองผู้คนได้อย่างสบายใจ ภายในร้านอาหารร้านนั้นร้านเจ้าประจำสำหรับเขา
ชายคนดังกล่าวมีนามว่า แดเนียล ไอคูล เป็นชายที่สูง 170 เซนติเมตร แต่รูปร่างเล็กบอบบาง และผอมแห้ง ราวกับว่า ถ้าถูกทำอะไรรุนแรงเข้ากระดูกเขาอาจจะหักก็เป็นได้ เขาเป็นคนผิวสีขาวซีดดุจกระดาษ ส่วนเส้นผมสีเงินซอยสั้น และดวงตาของเขาแวววาวสีเดียวกันกับเส้นผม
แดเนียลเป็นคนเงียบๆ รักสันโดษไม่ค่อยสุงสิงกับใครนัก เขามักใช้ความสามารถพิเศษของเขาล่องหนไปตามที่ต่างๆ โดยที่ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าเขาชนใครเข้าความสามารถล่องหนของเขาก็จะคลายลง ดังนั้นเวลาเดินไปที่ใดเขามักจะไม่เสี่ยงเดินในที่ที่คนพลุกพล่านนั่นเอง
แดเนียลเดินไปตามเส้นทางลัดเส้นประจำ จนในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารร้านประจำของเขา ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ติดกับทางออกไปจากเมือง เป็นร้านอาหารที่มีสามชั้น และส่วนใหญ่ร้านนี้จะคนเต็มแทบทุกวัน เพราะนักพนันที่เล่นจนหมดตัว และมีเงินติดตัวเหลือไม่มากก็มักจะมาหาข้าวกินที่นี่ ตลอดจนใช้เป็นที่ซุกหัวนอนได้อีกด้วย ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอแค่สั่งอาหารเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านเดียวที่ทำเช่นนี้
แดเนียลก้าวเข้าไปในร้านซึ่งประตูเปิดออกต้อนรับลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เขาไม่รอช้าตรงขึ้นไปชั้นสามทันที แล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารตัวหนึ่งที่ไม่มีใครจะกล้านั่ง เพราะมันถูกสลักชื่อไว้บนโต๊ะว่า ‘โรเจอร์ เดสเปอเร่’
แดเนียลนั่งไปที่เก้าอี้ตัวยาวที่ติดกับระเบียง โดยโต๊ะอาหารโต๊ะนี้จะติดกับมุมของชั้นสามจึงเป็นโต๊ะที่ติดกับระเบียงถึงสองฝั่ง มีเพียงชั้นสามนี้เท่านั้นที่จะเปิดโล่งให้ลมพัด และชื่นชมกับบรรยากาศต่างๆ ได้โดยที่ไม่มีผนังกลั้น
แดเนียลใช้หลังพิงไปที่ระเบียงที่สูงถึงกลางหลังของเขา พร้อมซะโงกหน้าออกไปมองบนฟ้า ซึ่งพอดีกับที่เมฆก้อนหนึ่งบดบังพระอาทิตย์ไว้พอดี เขามองท้องฟ้าด้วยความสุขพร้อมสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด และรับความสดชื่นของลมที่พัดผ่านไว้
“อ้าว! วันนี้มาซะเร็วเลยนะพี่” เด็กชายที่สูงเพียง 145 เซนติเมตรคนหนึ่งเอ่ยขึ้นข้างๆ แดเนียล
แดเนียลสะดุ้งตกใจทันทีหลังได้ยินเสียงใสๆ ของเด็กชายคนหนึ่งที่เอ่ยทักทายเขา ทั้งๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสามารถมองเห็นเขาได้ขณะกำลังล่องหนหายตัวอยู่ เขาชักใบหน้าของเขากลับคืนมาจากที่ยื่นออกไปนอกระเบียง แล้วมองหาต้นตอของเสียงทักทายดังกล่าว จนเห็นเป็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังยืนมองมาที่เขาอยู่
“คิดว่าใคร โรเจอร์นี่เอง” แดเนียลกล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ
เมื่อเด็กชายคนที่เอ่ยทักแดเนียลได้ยินเสียงตอบกลับมาจากชายล่องหน ก็ทำให้เขาอมยิ้มขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นก็นั่งลงไปบนเก้าอี้อีกตัวที่ติดระเบียง ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นคู่สนทนาก็ตาม แต่ด้วยความสามารถพิเศษของเขาจึงพอที่จะรับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังนั่งอยู่เก้าอี้ตัวที่ติดระเบียงอีกตัว และที่สำคัญคงไม่มีใครกล้านั่งโต๊ะอาหารตัวนี้ที่มีชื่อสลักไว้แน่นอนหากไม่ได้รับอนุญาต
เด็กชายคนดังกล่าวนั้นก็คือ เจ้าของชื่อที่สลักไว้บนโต๊ะตัวที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่ เขาเป็นเด็กชายอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของผู้คุมกฎ และผู้พิพากษาของเมืองเดสเปอโรซ์นี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนมักจะให้ความยำเกรงต่อเขา หนำซ้ำเขายังมีเอกลักษณ์ที่บ่งบอกได้ว่าเป็นโรเจอร์ นั่นคือรูปลักษณ์ที่แปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป แต่นั่นก็ไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับการใช้ชีวิตของเขา เพราะเมืองแห่งนี้การจะพบอะไรประหลาดๆ แบบนั้นได้ทั่วไป และมันก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
โรเจอร์เป็นมนุษย์สายพันธุ์ผสม เพราะในร่างกายของเขามีหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขา ซึ่งมีมากกว่า 20 สายพันธุ์หลักๆ และมีอีกนับไม่ถ้วนที่เป็นสายพันธุ์ย่อย และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่ามนุษย์ล่องหนมีตัวตนอยู่ที่ใด
โรเจอร์เป็นเด็กชายที่มีผิวสีขาวออกไปทางสีน้ำผึ้ง มีผิวสีน้ำตาลดำ และยังมีเขาอยู่บนหัวของเขาด้วย ซึ่งมีลักษณะคล้ายเขาวัว แต่เล็กมากจนมองแทบไม่เห็นหากไม่สังเกตให้ดี เขาเป็นเด็กที่หน้าตาดูเข้มๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน และสดใส เขามีหูที่แหลมผิดไปจากมนุษย์ มีดวงตาสีเขียวออกดำ อีกทั้งยังมีเขี้ยวด้วย ส่วนรูปร่างของเขาดูสมส่วนดี แต่ไม่มีมัดกล้ามเนื้อให้เห็น และสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาผู้คนนั่นคือหางของเขา หางที่มีสีขาวแซมด้วยสีส้ม และดำ ซึ่งมีลักษณะคล้ายของหมาป่า และสุดท้ายเป็นเท้าที่มีเพียงสีนิ้ว หนำซ้ำในแต่ละนิ้วยังมีเล็บที่ยาวดุจกรงเล็บขนาดย่อมๆ อีกด้วย สำหรับนอกเหนือจากนั้นเขาก็เหมือนมนุษย์ปกติทั่วๆ ไป
“ถ้ามาเร็วแบบนี้ล่ะก็ ไปกันเถอะครับ ผมมีอะไรให้พี่ดู” โรเจอร์เอ่ยชักชวน พลางลุกเดินนำออกไป จึงทำให้แดเนียลต้องเดินตามออกไปด้วย
ทั้งสองเดินไปตามตรอกซอยเล็กๆ ของตึก เพื่อเลี่ยงคนหมู่มาก เพราะโรเจอร์รู้ดีว่าแดเนียลต้องรักษาสภาพการล่องหนเอาไว้ และไม่นานนักทั้งสองก็มาอยู่ที่ด้านหน้าของตัวเมือง ซึ่งถ้าหันหน้าเข้าหาตัวเมืองจะเป็นทางเดินแยกออกเป็นสองทาง ทางแรกแยกเข้าไปทางที่ทั้งสองพึ่งเดินออกมา ส่วนอีกทางเป็นทางเดินสีขาวที่ดูสะอาด และถ้าลองหันหน้าออกจากตัวเมืองจะเป็นทางเดินที่ปูด้วยอิฐ ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่สร้างเชื่อมต่อระหว่างเมืองทั้งสองนั่นคือ เดสคารีโดน และเดสเปอโรซ์ โดยมีระยะทางมากกว่าสามร้อยกิโลเมตร
“ตามผมมาติดๆ เลยนะครับ พอไปถึงประตูทางเข้า ตอนยามเฝ้าประตูเปิดประตูออกรีบเข้าไปนะครับ อย่าลืมล่ะ” โรเจอร์พูดขึ้น เพื่อให้แดเนียลมนุษย์ล่องหนรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
โรเจอร์ออกเดินนำไปตามถนนสีขาวที่ดูสะอาดตา จนมาหยุดที่ด้านหน้าประตูเหล็กบานเล็กๆ ซึ่งมีทหารยามคอยเฝ้าอยู่ โดยประตูดังกล่าวสร้างไว้ระหว่างช่องแคบของภูเขา เพื่อให้ภูเขาเหล่านั้นเป็นราวกับกำแพง
“โรเจอร์ เดสเปอเร่” โรเจอร์ขานชื่อตัวเขา พร้อมด้วยแสดงเข็มกลัดประจำตระกูลให้ทหารได้ตรวจสอบ
หลังจากผ่านการตรวจตราเรียบร้อย ทหารยามก็เปิดประตูให้โรเจอร์ได้เข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นภายหลังกำแพงนั้นเป็นเขตของชนชั้นสูง หรือที่ถูกเรียกว่า เขตโบโกต้านั่นเอง ในขณะที่ประตูกำลังเปิดอยู่แดเนียลก็รีบสาวเท้าเดินเข้าไปด้านในทันที โดยทางโรเจอร์ก็ได้ทิ้งช่วงเวลาสักระยะก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในเขตโบโกต้า เพื่อให้แดเนียลได้เข้าไป
หลังจากเดินห่างออกมาจากประตูทางเข้า ซึ่งทั้งสองก็เดินไปตามทางแคบๆ พอได้สักระยะก็ก้าวเข้าสู่ถนนสีขาวขนาดใหญ่ ที่มีบ้านเรือนขนาบโดยรอบข้างถนน และบ้านเหล่านั้นก็ดูสะอาดตามากกว่าในเขตบาจาร่าได้ชัดเจน และถ้าเทียบกับเขตบอทซแล้วนั้นก็ยิ่งต่างชั้นกันจนเทียบไม่ได้เลย ในขณะที่แดเนียลกำลังตกตะลึงกับภาพอันงดงามของสถานที่อยู่นั้น ก็ถูกเรียกให้ตามเข้าไปบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านที่เพิ่งถูกสร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นบ้านสองชั้นสีขาวสูงตระหง่าน และก็เป็นหลังที่ใหญ่ที่สุดในละแวกอีกด้วย
หลังจากที่แดเนียลตามโรเจอร์เข้าไปในบ้านแล้ว เขาก็พบว่าภายในหรูหรามากมาย จนทำให้เขานึกถึงบ้านที่เขตบอทซของเขาขึ้นมา
“มันต่างกันจริงๆ สินะ” แดเนียลคิดในใจ พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นี่ครับกุญแจ ... ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้นครับ มันเป็นบ้านของพี่” โรเจอร์กล่าวออกมา พร้อมชูกุญแจบ้านหลังนี้ให้คู่สนทนาได้เห็นชัดๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าคู่สนทนาอยู่ตำแหน่งใด แต่อย่างน้อยเขาก็รับรู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ เขา
แดเนียลอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะเผยตัวจากการล่องหนให้ผู้เป็นน้องชายร่วมสาบานได้เห็น และนั่นก็ส่งผลให้โรเจอร์อมยิ้มเมื่อได้เห็นใบหน้า และรูปร่างของแดเนียลเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พวกเขาร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน
“ผิดคาดแฮะ ดูดีกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” โรเจอร์กล่าวออกไปด้วยความสดใส
“อ้าว! หายจากล่องหนแล้วเหรอเนี่ย โอ้! ถูกเห็นเข้าแล้วเรา” แดเนียลกล่าวออกมา พลางเกาหัวแก้เขิล พร้อมกันนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“แล้วไอ้เรื่องบ้านนี่มันอะไรกันโรเจอร์” แดเนียลยิงคำถามตรงไปยังโรเจอร์
เด็กชายโรเจอร์ยังไม่ได้พูดอะไรตอบกลับออกไปก็ถูกขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงหนึ่ง ซึ่งเป็นเสียงเปิดประตูจากประตูอีกบานที่เป็นประตูเปิดมาจากทางด้านในตัวบ้าน แล้วปรากฏให้เห็นเป็นร่างของชายวัย 28 ปีอันคุ้นเคยของโรเจอร์ และแดเนียล
“จะสงสัยอะไรนักหนาฮะ บอกว่าเป็นบ้านของแกก็เป็นของแกสิ เดี๋ยวพี่ตบให้คว่ำเลยมั้ยเนี่ย!” เสียงจากชายวัย 28 ปีกล่าว หลังก้าวขามาพ้นประตูที่ถูกเปิดออก
ชายคนดังกล่าวคว้ากุญแจจากมือของโรเจอร์ แล้วยื่นมันให้กับแดเนียลอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมองด้วยสายตาอันแข็งกร้าวบอกให้รู้ว่าต้องรับกุญแจดอกดังกล่าวไป เมื่อฝ่ายผู้รับรับของไป เขาก็เดินกลับหายเข้าไปในส่วนของตัวบ้านดังเดิม ปล่อยไว้ซึ่งความงงงันของแดเนียล
“จูลี่พี่รู้สึกว่านี่คงเป็นครอบครัวของพี่อีกเหมือน พี่อยากบอกเธอให้รู้ว่า ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ พี่อยากให้เรามาใช้ชีวิตอย่างสงบแบบนี้จังเลย นี่ก็จะ 10 ปีแล้วนะ” ชายวัย 28 ปีพูดกับตัวเอง พลางลูบคำไปที่จี้สร้อยคอ ซึ่งเป็นจี้ที่สลักคำว่า ‘จูเลียแอนนา’ หรือก็คือน้องสาวที่หายสาบสูญไปเมื่อนานมาแล้วของเขา
ชายคนดังกล่าวบรรจงจูบลงที่จี้ของเขา แล้วเดินขึ้นบันไดไปจิบน้ำชาที่ระเบียงชั้นสองต่อ และตอนนี้เขาก็มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มมากขึ้นเมื่อเขาหวนนึกถึงน้องสาวของเขาที่หายไป และน้องชายร่วมสาบานของเขาอีกสองคน ที่เวลานี้กำลังมีความสุขกันอย่างเต็มที่
ชายวัย 28 ปีคนนี้เขามีชื่อว่า เบนจามิน เบลลิส เขาเป็นคนสูงราวๆ 180 เซนติเมตร เขามีผมสีน้ำตาล ผิวสีแทน ดวงตามีสีเขียว คิ้วดกหนาดำเข้ม มีเคราขึ้นแซมที่คางบ้าง แต่ถ้าไม่ติดตรงที่เข้าเป็นคนไม่ค่อยยิ้มแล้วล่ะก็ จะถือได้ว่าเขาเป็นคนหน้าตาดูดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอจะมีรอยยิ้มบ้าง แต่เฉพาะในตอนที่ได้อยู่กับพี่น้องร่วมสาบานของเขา หรือช่วงที่หวนคิดถึงภาพวันวานเมื่อครั้งที่มีน้องสาวอันเป็นที่รักของเขาอยู่ข้างกาย
ย้อนกลับไปที่ชั้นล่างที่ซึ่งแดเนียลกำลังจ้องมองกุญแจในมืออย่างเลื่อนลอย เพราะเขากำลังคิดถึงเหตุผลต่างๆ ว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขาไปได้อย่างไร เขามองไปทางน้องชายของเขาเพื่อส่งสายตาบอกให้อธิบายให้เขาได้หายสงสัย
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกพี่ มีเวลาอีกเยอะที่จะเล่าให้พี่ฟัง ตอนนี้มากลับผมก่อน จะพาไปดูห้องต่างๆ ในบ้าน” โรเจอร์เอ่ยขึ้นเพื่อหยุดสายตาที่มองของแดเนียล แล้วก็พาไปสำรวจในบ้านตามที่บอก
บ้านหลังนี้มีพื้นที่ตัวบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูซึ่งมีสองชั้น โดยเมื่อก้าวพ้นประตูหน้าบ้านเข้ามาแล้วจะเป็นห้องนั่งเล่นกว้างๆ มีประตูบานหนึ่งเปิดสู่พื้นที่ส่วนถัดไป
พื้นที่ส่วนถัดมาเป็นพื้นที่ทางเดินโล่งๆ ที่เมื่อมองเยื่องไปทางขวาจะเห็นเป็นห้องรูปทรงโค้ง ซึ่งก็ระเบียงไว้นั่งเล่น ถัดไปจากระเบียงนั้นเป็นห้องน้ำ โดยที่ฝั่งทางซ้ายมือจะเป็นติดกับบันไดขึ้นชั้นสอง และที่ใต้บันไดมีประตูหลังบ้านซ่อนอยู่ด้วย อีกส่วนที่เหลือเป็นด้านซ้ายของตัวบ้าน ซึ่งเป็นห้องสองห้อง คือห้องไว้ผักผ่อน และห้องครัวที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำ
สำหรับชั้นสองจะมีห้องนอนสองห้อง และระเบียงไว้รับลมอีกถึงสามจุดเลยทีเดียว แต่ละจุดก็ยังมีโต๊ะเอาไว้นั่งด้วย โดยรวมแล้วเป็นบ้านที่ดีทีเดียว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับบ้าน หรืออาคารสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ถัดขึ้นไปจากชั้นแรกนี้ที่ซึ่งบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นบ้านที่ดีที่สุดในละแวกชั้นแรกของเขตโบโกต้าอยู่ดี
“ปะนั่น ไปหาพี่เบนนี่กันเถอะ นั่งอยู่นั่นไงตรงระเบียง” โรเจอร์กล่าว หลังจากที่ขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วเดินไปทางฝั่งขวาจนสุดทาง
ที่ระเบียงมีเบนจามินกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ และเมื่อเขาเห็นน้องชายร่วมสาบานทั้งสองของเขามาถึง เขาก็ยกแก้วขึ้นชูเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้มานั่ง พร้อมกันนั้นเขาก็รินน้ำชาเตรียมไว้ให้ก่อนที่บรรดาน้องๆ ของเขาจะนั่งลง
“คงสงสัยสินะเจ้าแดเนียล ... เอ๊อ ... พอเห็นตัวแกตัวเป็นๆ แล้วก็ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าจะดูเปราะปรางขนาดนี้ อีกอย่างขาวซีดจริงๆ นะไอ้น้องชาย” เบนจามินกล่าว พร้อมลุกไปลองพลิกตัวของแดเนียลไปมาซ้ายขวา เพื่อตรวจสอบน้องชายของเขาโดยละเอียด
“เอาน่าพี่ ผมไม่ค่อยถูกแดดเท่าไรนี่ อันที่จริงปีนี้ผมดำขึ้นนะ ผมได้กล้าออกไปสำรวจโลกภายนอกยามกลางวันที่คนเยอะๆ ได้ ก็เพราะพี่ และโรเจอร์เลยล่ะ แต่ก่อนผมได้แค่ออกไปยามที่ไม่มีคน ก็เพราะกลัวจะมีคนมาชนแล้วหลุดออกจากสภาวะล่องหน” แดเนียลอธิบาย
“พอๆ ไม่ต้องดราม่าเลยนะ ... เออ ... สุขสันต์วันเกิดนะไอ้น้องชาย” เบนจามินกล่าวตัดบท พร้อมกันนั้นโรเจอร์ก็กล่าวมาติดๆ กับเบนจามิน “สุขสันต์วันเกิดเหมือนกันนะพี่ ส่วนของขวัญก็บ้านหลังนี้ไงล่ะ”
แดเนียลหน้านิ่งไร้สติไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาน้ำตาคลอแล้วก้มหัวลงเพื่อแสดงถึงการขอบคุณคนทั้งสอง
“ขอบคุณจริงๆ ครับพี่ ... นายก็ด้วยนะโรเจอร์ ... แล้วรู้ได้ไงว่าเกิดวันนี้” แดเนียลกล่าว พร้อมมองหน้าคนทั้งสองเพื่อหาคำตอบ
“จะไปยากอะไรพี่ พ่อผมเป็นคนคุมกฎของเมืองนี้นะครับ มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับประชาชนทุกเขตอยู่แล้ว” โรเจอร์อธิบาย
“อือ ... เจ้าแดเนียล นี่มันความฝันแกใช่ไหมล่ะ ขอแค่อยู่อย่างไม่หลบซ่อนอีกต่อไป นี่คือความฝันในวันที่เราร่วมสาบานเป็นผู้น้องกัน ฝันของแต่ละคนที่แตกต่างๆ ... เออ ... และตอนนี้ก็สำเร็จไปแล้วหนึ่งคน ... อือ ... แต่ตอนนี้แกเจ้าแดเนียล ตอนนี้แกต้องเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลซะด้วยนะ ถ้ายังใช้ชื่อเก่าคงได้โดยลากตัวกลับไปเขตเบตซแน่ๆ” ผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยเสริม
“ขอบคุณอีกครั้งครับ ทั้งสองคนเลย ... จริงสิ เรื่องความฝันของผม ขอบคุณนะที่ยังจำกันได้ไม่มีใครลืม” แดเนียลมองคนทั้งสองด้วยความตื้นตัน พร้อมกับจิบชาในแก้วจนหมด
“ว่าแต่จะใช้ชื่ออะไรดีล่ะ พี่เบนนี่พอมีชื่อดีๆ ไหม โรเจอร์แหละคิดว่าไง” แดเนียลไม่รอช้าเอ่ยขึ้นถามทันที
“เดอลินส์ เฟียร์ส ... อือ ... เดอลินส์เคยเป็นชื่อของคนที่พี่รู้จัก เป็นคนที่ยิ่งใหญ่พอตัวเลยนะ มันก็น่าจะเป็นมงคลบ้าง ส่วนนามสกุลเป็นนามสกุลเดิมของแม่ฉันก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เหมือนพ่อ ... ว่าไงเจ้าแดเนียล พอใช้ได้ไหม” เบนจามินแนะนำ โดยที่ทางโรเจอร์ก็พยักหน้ายอมรับสิ่งที่เบนจามินกล่าวด้วย
“เอาตามนั้นแล้วกันครับพี่ แล้วต้องทำไงต่อโรเจอร์การจะเป็นพลเมืองอย่างถูกต้อง” แดเนียล หรือ เดอลินส์ เฟียร์ส ถามข้อมูลบางอย่างจากน้องชาย
“ถ้าพี่พักผ่อนพอแล้วก็ เอานี่ไปครับ ... ตราอันนี้เป็นตราประจำตระกูลเฟียร์สครับ พี่เบนนี่ทำมันขึ้นมาให้ ส่วนตอนนี้พี่ก็เอาไปขึ้นทะเบียนที่ชั้นบนๆ ประมาณชั้นที่ห้า จะเป็นที่ทำการผู้คุมกฎของเมือง บ้านหลังนี้ก็เป็นกรรมสิทธิ์ในครอบครองของ เดอลินส์ เฟียร์ส อยู่แล้ว สำหรับผมและพี่เบนนี่ก็มีตรานี้กันคนละอัน เพราะผมรับบทเป็นเพื่อนคนสนิทของเดอลินส์ ซึ่งประชากรใหม่ของเขตโบโกต้า ส่วนพี่เบนนี่รับบทเป็นมือขวาของพี่ลินส์ที่คอยทำทุกอย่างให้ แต่การขึ้นทะเบียนประชากรใหม่ต้องไปด้วยตัวเองครับ” โรเจอร์มอบตราประจำตระกูลให้เดอลินส์ พร้อมอธิบายรายละเอียดที่เดอลินส์ต้องไปทำ
“เดี๋ยวๆ นะ ถ้ามีชื่อเก่าพี่อยู่ในทะเบียนประชากร แล้วตอนนี้สถานะเป็นยังไง” เดอลินส์มองตราประจำตระกูลอันใหม่ที่จะเป็นตระกูลของเขาไปจนตลอดชีวิต แล้วเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงได้ถามออกไป
“ตอนนี้ก็สถานะ ประกาศจับครับ พี่หายไปตอน 6 ขวบ เค้าเลยหาตัวกันให้ทั่ว จนตอนนี้เค้าคิดว่าพี่เป็นตัวอันตรายของเมืองด้วยแหละ ฉะนั้นอย่าเผลอพูดชื่อเก่าพี่ไปเด็ดขาดนะครับ จำชื่อใหม่พี่ให้ขึ้นใจก็พอ” โรเจอร์แนะนำ พร้อมตอบคำถามเพื่อคลายข้อสงสัยของเดอลินส์
เมื่อเดอลินส์ทราบรายละเอียดต่างๆ แล้ว เขาก็จิบน้ำชาแก้วสุดท้ายจนหมด ก่อนจะเดินออกมาจากระเบียง พร้อมด้วยพี่น้องอีกสองคนของเขา ทั้งสามออกจากบ้านเพื่อกลับออกมาจากเขตโบโกต้า ซึ่งเขาได้ล่องหนออกมาดังเดิม
หลังจากที่ทั้งสองออกมาจากเขตโบโกต้าแล้ว ทางด้านเบนจามิน และโรเจอร์ก็หยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าเขตเพื่อรออะไรบางอย่าง ซึ่งไม่นานนักก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่พวกเขารู้จักดีเดินมาหา ชายผู้มีนามว่า ‘เดอลินส์ เฟียร์ส’
“โรเจอร์ เดสเปอเร่ ผ่าน ... แดเนียล ไอคูล โอ้! ไม่สิ เดอลินส์ เฟียร์ส ถือว่าผ่านล่ะนะ ... เบนจามิน เบลลิส นี่ล่ะ ... อือๆๆ ... ไหนๆ ก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับอีกสองคน ก็ถือว่าโอเค ล่ะนะ งั้นก็สามผ่านเลยแล้วกัน” หญิงสาวปริศนากล่าวกับตัวเอง ขณะยืนมองสามพี่น้องร่วมสาบานอยู่บนยอดของภูเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง
เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มเดิมหลังจากที่เคยขีดฆ่าซื่อของ คณาวิทย์ มหาพิสุทธิ์ออกมาตรวจดู แต่ยังไม่ทันที่เธอจะทำอะไรในหน้ากระดาษที่มีรายชื่อของบุคคลต่างๆ มากมายนั้น เธอก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ้มอยู่ในซอกของภูเขาลูกหนึ่ง และเมื่อเธอสังเกตดีๆ ถึงกับต้องอุทานออกมาเลยทีเดียว
“หืม! นั่นมันยัยขาเหล็กนี่ ยัยนั่นมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย!” หญิงสาวปริศนาอุทานออกมา พลางจ้องเขม็งไปที่หญิงอีกคนที่อยู่ซอกของหุบเขาด้านหน้าเธอ
เมื่อหญิงสาวปริศนารู้ว่าหญิงสาวอีกคนเป็นใคร เธอก็ไม่รอช้าเก็บสมุดบันทึกของเธอลงในกระเป๋ากางเกง พร้อมกันนั้นร่างกายของเธอก็สลายกลายเป็นอากาศลอยล่องไปในทันที
ร่างของหญิงสาวปริศนาคนแรกปรากฏขึ้นอีกครั้งข้างๆ หญิงสาวปริศนาคนที่สอง พร้อมกับแตะที่ไหล่ของเธอเบาๆ พลางมองไปที่เธอคนนั้นอย่างยิ้มเยาะ
“ว่าไงยัยประหลาด ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ” หญิงสาวปริศนาคนที่สองกล่าวทักทายหญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่หันไปมอง
“ว่าแต่เธอมาทำอะไรไกลจากบ้านขนาดนี้ ยัยขาเหล็กซูเวน” หญิงสาวปริศนาคนแรกตั้งคำถามขึ้นทันที หลังจากได้ยินคำทักทายจากคู่สนทนา
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ ยัยประหลาดเกรเทล ขี้สงสัยทุกอย่างรอบข้างจริงๆ ... งั้นเอาเป็นว่าไปหาดื่มอะไรกันหน่อยไหม ไม่ได้เจอกันซะนานคิดถึงน่ะ งั้นไปเจอกันที่ร้านดารีอุสนะ อยู่แถวๆ กลางๆ เมืองอะนะ ฉันไปทำอะไรอีกสักหน่อยก่อน ไปล่ะ” หญิงสาวปริศนาคนที่สองเอ่ย
เกรเทล หรือหญิงสาวปริศนาคนแรกมองตาม ซูเวน ผู้เป็นหญิงสาวปริศนาคนที่สองกระโดดลงไปจากซอกของภูเขาดังกล่าว พลางส่ายหัวในพฤติกรรมอันคุ้นเคยของเพื่อนสนิทคนนี้
“น่าสงสัยจังนะเธอเนี่ย ต้องเป็นตาลุงนั่นแน่ๆ ใช้เธอมาทำอะไรบางอย่าง ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่ๆ” เกรเทลกล่าวออกมา แล้วจากนั้นเธอก็สลายล่างของตัวเองไปตามกระแสลมอีกครั้ง
*เพิ่มเติม
- ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับการอัพนิยาย แล้วมันทำให้จำนวนตอนที่เห็นไม่เท่ากันกับจำนวนตอนที่มีอยู่จริง ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไร แต่ในวันที่ 29/10/2557 ผมอัพนิยายไม่ได้ แล้ววันนี้ 30/10/2557 กลับมาอัพได้ซะงั้น ผมนี่ก็งงเหมือนกัน แต่ยังไงซะก็กลับมาอัพได้เหมือนเดิมแล้ว T_T จึงบอกให้ทราบโดยทั่วกันครับ
- อัพอีก 50% เมื่อ 17/11/2557 ที่หายไปนายขอโทษด้วยครับ บังเอิญตัดธุระ แล้วย้ายบ้านด้วย อีกอย่างไม่มีเน็ต เลยต้องรอมานาน จุใจกันไปเลยครับ
- ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม รายละเอียดบางอย่างที่หน้าข้อมูลเบื้องต้นนะครับ
ความคิดเห็น