ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาศึกพลังแห่งธาตุ

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 2 : จันทร์สีเลือด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 44
      0
      26 ก.ค. 58

     

    ตอนที่ 2 : จันทร์สีเลือด

     


             การทักทายกันอย่างสนุกสนาน และเสแสร้งเริ่มขึ้น เมื่อสามพี่น้องร่วมสาบานได้เจอะเจอกันตามที่วางแผนไว้ ซึ่งอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าสู่เขตโบโกต้า โดยการเล่นละครตามบทบาทที่แต่ละคนได้รับมา และทำได้เนียนจนไม่มีใครรู้ แม้แต่ทหารยามยังเชื่อสนิทใจ


    “เดอลินส์ เฟียร์ส”  เดอลินส์ขานชื่อตัวเองออกไปให้ทหารยามได้รับรู้ พร้อมชูป้ายประจำตระกูลของเขาขึ้นมา


             เมื่อยามเฝ้าประตูได้ฟังดังนั้น ยามคนหนึ่งที่ประจำอยู่ที่โต๊ะทำงานหน้าประตู ก็ตรวจสอบรายชื่อในหน้าสมุดรายชื่อเล่มใหญ่ๆ เล่มหนึ่ง จนเมื่อเขาพบชื่อที่ได้ฟังมา เขาก็เดินออกมากระซิบกับคนเป็นหัวหน้าของทหารยามในทันที

    “ขอต้อนรับสู่เดสเปอโรซ์แห่งนี้นะครับ ท่านเดอลินส์ เดี๋ยวยังไงผมจะให้ทหารนำทางท่านไปที่สำนักงานของผู้คุมกฎนะครับ”  หัวหน้าทหารยามเอ่ย เมื่อได้รับฟังสิ่งที่ลูกน้องกระซิบมา


             ภายหลังที่เดอลินส์หายลับเข้าไปในเขตโบโกต้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองพี่น้องที่เหลืออยู่ก็พากันเดินเข้าไปในตัวเมืองเขตบาจาร่าต่อไป เพื่อหาอะไรรับประทาน

     

     



             บรรยากาศยามบ่ายคล้อยที่ซึ่งเหลือเวลาอีก 4 ชั่วโมงพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป แต่ภายในตัวเมืองกลับถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเมืองที่ครึกครื้นเสียยิ่งกว่าเดิม มีทั้งหาบเร่แผงลอยที่เริ่มพากันมาจับจองพื้นที่เพื่อขายของ โดยจะเว้นช่องว่างไว้ให้เดินเพียงความกว้างสองช่วงคนเท่านั้น และก็รวมไปถึงบรรดาเหล่าผู้คนที่กำลังเริ่มแน่นขนัดตามทางเดินต่างๆ ด้วย


             บริเวณกลางเมืองมีร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านอาหารอันเลิศรส ภายในตัวร้านแบ่งออกเป็นสองชั้น ซึ่งที่ชั้นล่างจะให้คนธรรมดาสามัญได้เข้าไปสั่งอาหารลิ้มรสกันได้ แต่ที่ชั้นบนจะมีเพียงพวกที่เงินเยอะๆ เท่านั้นที่จะขึ้นไปได้ และคุณภาพของอาหารก็ต่างจากชั้นล่างโดยสิ้นเชิง และสิ่งที่แตกต่างอีกอย่างคือจำนวนคน เพราะชั้นบนจะใช้เงินในการจองโต๊ะเพื่อให้ได้นั่งรับประทาน สำหรับชั้นล่างใครมาก่อนก็ได้ก่อน


             สำหรับวันนี้ที่ชั้นสองของร้านมีเพียงลูกค้าสองถึงสามโต๊ะเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเป็นสาวอายุ 16 ปี เธอเป็นคนผิวขาว มีผมสีเขียวน้ำทะเลอ่อนๆ ซึ่งเหยียดตรงถึงกลางหลัง และเปียผมประดับไว้ทางด้านขวา เธอมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสีเหลืองออกทอง รูปร่างบอบบาง แต่ได้สัดส่วนตามแบบผู้หญิง หากแต่ว่าเธอสูงเพียง 157 เซนติเมตรเท่านั้น


    “มาช้านะยะ ยัยซูเวน”  เสียงทักทายของเกรเทลหญิงสาววัย 16 ปีเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนของเธอ


             ซูเวนสาวผู้มาใหม่มองหน้าเพื่อนของเธออย่างเป็นมิตร และมีความสุข แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป


             ซูเวนเป็นสาววัยเดียวกันกับเกรเทล ซึ่งซูเวนเป็นสาวผิวสีน้ำผึ้งเหลืองนวลสวย ใบหน้ารูปไข่ ผมของเธอยาวปะบ่าเป็นสีน้ำตาลเหลือบออกไปทางทอง ซึ่งมักจะรวบมันไว้เป็นเหมือนหางม้า แต่ก็นานๆ ทีจะถักเป็นเปียบ้าง เธอมีดวงตากลมโตสีฟ้าใส พร้อมกันนั้นยังมีรูปร่างอันอ้อนแอ้นดูน่าค้นหายิ่ง และที่ขาก็ยาวเรียวดุจว่าสรรสร้างมันขึ้นมา ซึ่งความจริงนั้นขาของเธอก็ถูกสร้างขึ้นมาจริงๆ เพราะเธอเป็นคนขาพิการทั้งสองข้าง จึงต้องใส่ขาเหล็กไว้ แต่ขาเหล็กของเธอถูกหุ้มด้วยหนังเทียมอีกที เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด และขาเหล็กนั้นยังมีกลไกที่แตกต่างจากขาเทียมทั่วไป ที่ไม่มีใครจะคาดคิดเลยทีเดียว


             ซูเวนนั่งลงที่โต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามกับทางเกรเทล ซึ่งกำลังนั่งจิ้มขนมบางอย่างเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย และพร้อมกันนั้นซูเวนก็ต้องตกใจเมื่อขนมก้อนหนึ่งพอดีคำกำลังจ่ออยู่ที่ปากของตัวเอง เธอมองไปที่ผู้หญิงด้านหน้าที่ส่งขนมมาให้ เธอส่ายหัวแสดงบอกกลับไปให้อีกฝ่ายรู้ แต่ก็ไม่เป็นผล ซูเวนเลยต้องยอมรับขนมเข้าปากไป


    “โอ้แม่เจ้า! อร่อยจริงๆ ด้วย”  ซูเวนอุทานออกมา พร้อมกับคว้าส้อมในมืออีกฝ่าย เพื่อมาไว้ใช้กินขนมเสียเอง


             ซูเวนเพลิดเพลินกับของกินเล่นในจาน จนเมื่ออาหารที่เธอสั่งไปมาถึง ซึ่งก็พร้อมกับๆ ของเกรเทลด้วย ทั้งสองจัดการกับอาหารที่สั่งมาทันที พลางคุยเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละคนได้ประสบพบเจอมา บ้างก็ถามถึงความเป็นอยู่ของกันและกัน จนกระทั่งอาหารทุกสิ่งอย่างหมดลง ทางพนังงานของร้านจึงมาจัดการเก็บจานชามเปล่ากลับไป พร้อมกับนำอาหารหวานมาตบท้าย


    “ยัยขาเหล็ก ว่าแต่เธอมาทำอะไรไกลถึงที่นี่กันนะ”  เกรเทลเอ่ยออกไป ขณะที่พนังงานกำลังเสริ์ฟของหวาน


             เมื่อซูเวนผู้ถูกถามได้ฟังดังนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนของเธอด้วยสาตายอ้อนวอน แล้วเธอค่อยก้มกลับลงไปจัดการของหวานในถ้วยที่พึ่งเอามาเสริ์ฟต่อ จนของหวานในถ้วยหมดลง เธอจึงหันไปยกแก้วน้ำผลไม้ข้างๆ ขึ้นดื่มจนหมด


    “ฉันคงบอกได้แค่ว่า ตาลุงนั่นน่ะให้ฉันมาทำธุระบางอย่าง ฉันคงบอกได้เท่านี้ล่ะนะ”  ซูเวนตอบคำถามออกไป แต่ทางเกลเทลก็ไม่ได้สนใจมากนัก หากแต่เธอรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคงจะออกมาเป็นแบบนี้


    “ถ้างั้นฉันคงต้องไปก่อนแล้วล่ะ ยัยประหลาด ไว้เจอกันคราวหน้านะ ไปล่ะ”  ซูเวนกล่าว


             ซูเวนลุกออกจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงไปหาเกรเทลพลางแตะที่ไหลเบาๆ จากนั้นเธอจึงหันหน้าเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้เกรเทลจัดการกับของหวานในถ้วยที่ยังกินไม่หมดต่อไป


    “ทำอะไรต่อดีน้า! เรา”  เกรเทลอุทาน หลังจากจัดการของหวานจนหมด


             เกรเทลหยิบสมุดรายชื่อเล่มเล็กๆ เล่มเดิมของเธอขึ้นมาดูอีกครั้ง พร้อมขีดฆ่ารายชื่อสามชื่อที่เธอพึ่งบอกว่า ผ่าน ออก แล้วจึงไปขีดถูกที่ด้านหลังชื่อของคณาวิทย์ ซึ่งเธอเคยขีดฆ่าไปก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา


    “คงต้องเริ่มจากนายแล้วนะ”  เกรเทลกล่าวกับตัวเอง พลางเก็บสมุดลงกระเป๋า พร้อมวางเงินลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกจากร้านไป


     

     


             บรรยากาศของท่าเรือเมืองเดสคารีโดนกำลังครึกครื้นขึ้น เมื่อเวลาย่างเข้าสู่หนึ่งทุ่มตรง ซึ่งเหลืออีกสองชั่วโมงแสงสุดท้ายของวันจะหมดไป ซึ่งก็ตามแบบฉบับของเมืองที่ค่อนไปทางขั้วโลกนั่นเอง


             ภายใต้บรรยากาศของท่าเทียบเรือต่างๆ เริ่มมีเรือกำลังมาเทียบท่า และบรรดาเหล่าสินค้าก็เริ่มถูกถ่ายโอนจากบนเรือลงสู่พื้นดิน


             ที่ท่าเทียบเรือที่ 17 มีคณาวิทย์ผู้แต่งตัวดูมีภูมิฐานนั่งชะเง้อออกไปทางทะเลเพื่อหาอะไรบางอย่าง พร้อมกันนั้นก็มีชายวัยกลางในชุดสูทสีน้ำตาลเดินมานั่งข้างๆ เขา ซึ่งมีกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมใบใหญ่หิ้วติดมือมาด้วย


    “พ่อหนุ่มเป็นไงรึ ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”  ชายวัยกลางคนเอ่ย ซึ่งเป็นชายที่เคยช่วยคณาวิทย์จัดการเรื่องแผนการเดินทางในเขตคนรวย เขาคอยบอกสถานที่ต่างๆ และแนะนำเรื่องราวต่างๆ ให้คณาวิทย์ได้รู้


    “ครับ เรียบร้อยดีครับ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณคุณลุงด้วยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณลุงวันนี้ผมวิ่งหัวหมุนแน่ๆ”  คณาวิทย์กล่าว


    “แล้ววันนี้คุณลุงจะกลับแล้วเหรอครับ”  คณาวิทย์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง


    “ใช่แล้วล่ะ ฉันหมดธุระทางนี้แล้ว ... โน่นไง ที่ท่าเทือบเรือที่ 19 นั่นไง เป็นเรือเดินสมุทรลำใหญ่ที่เทียบจอดอยู่นั่น พอดีเห็นเจ้าก็เลยแวะมาทักทาย ยังไงก็ขอให้ทำภารกิจสำเร็จนะ ไปก่อนล่ะ”  ชายวัยกลางคนกล่าวลาคณาวิทย์อย่างเอ็นดู


             คณาวิทย์ลุกขึ้นเดินตามไปส่งชายชราสูทน้ำตาลจนถึงที่ตัวเรือลำดังกล่าว ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ และเป็นเรือลำแรกของโลกที่ใช้ระบบเครื่องยนต์ ด้วยการเผาใหม่จากเตาความร้อน ขนาดของมันใหญ่กว่าเรือทั่วไปสามเท่า ซึ่งเป็นเรือไว้สำหรับการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังไงก็มีใบเรือ 5 ใบม้วนเก็บอยู่ เพื่อใช้ยามฉุกเฉินหากเครื่องยนต์ไม่ทำงาน


             คณาวิทย์เดินกลับมาที่ท่าเทือบเรือที่ 17 อีกครั้ง แต่มีบางอย่างเปลี่ยนไปเมื่อมองออกไปในทะเลที่กว้างไกลนั้น และที่ปลายขอบฟ้าคณาวิทย์พบอะไรบางอย่างเข้า โดยสิ่งที่เห็นเป็นจุดเล็กๆ ดำๆ ซึ่งที่แน่ๆ คงเป็นเรือสักลำกำลังแล่นตรงมายังเมืองท่าแห่งนี้ แต่มันอาจจะไม่ใช่เรือที่เขารอคอยอยู่ก็ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหวังว่าให้รีบมาเร็วๆ เพราะอยากเริ่มออกผจญภัยแล้วเสียที


             จากเพียงจุดเล็กๆ ที่ปลายขอบฟ้า บัดนี้กลายเป็นเรือใบลำใหญ่ขนาดทั่วไป ที่ลำเรือยาวราวๆ 70 เมตร และกว้าง 20 เมตร ซึ่งที่ปลายยอดเสากระโดงเรือมีธงประดับไว้ บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นกลุ่มพ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่คณาวิทย์กำลังรอคอยการมาถึงอยู่นานแล้ว


    “สวัสดีครับ ขอต้อนรับสู่เดสคารีโดน”  คณาวิทย์กล่าวต้อนรับชายคนหนึ่งที่เดินลงมาจากเรือ หลังจากเรือเทียบท่าเรียบร้อย


             ชายคนดังกล่าวมีรูปร่างอ้วนกลม ใส่ชุดดูมีภูมิฐาน เสื้อผ้าเป็นผ้าแพรขลิบทองล้วน ที่นิ้วมือเต็มไปด้วยแหวนทองขนาดต่างกันเกือบทั้งสิบนิ้ว แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็เป็นคนอัธยาศัยดีเลยทีเดียว เพราะเขาส่งยิ้มให้คณาวิทย์ และเดินเคียงคู่คุยไปพร้อมๆ กับคณาวิทย์ เพื่อปรึกษากันเรื่องการเดินทางต่างๆ


    “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”  คำพูดสุดท้ายของคณาวิทย์กล่าวออกมา หลังส่งตัวพ่อค้าใหญ่เข้าโรงแรม ในเขตคนรวยของเมือง


             คณาวิทย์รีบวกกลับไปที่ท่าเรือทันที พลางแวะเดินกลับไปล็อคประตูปิดบ้านของเขาให้เรียบร้อย และเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางด้วย จากนั้นเขาก็ตรงไปยังท่าเทียบเรือที่ 17 ทันที


    “เป็นไงบ้างครับ ข้าวของสินค้ามีที่ให้จัดวางพอไหมครับ”  คณาวิทย์เอ่ยถามหัวหน้าพ่อค้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนคุมการเดินทางแทนพ่อค้าใหญ่ที่พักอยู่ที่โรงแรม


    “สบายมาก เหลืออีกตั้งสองรถแน่ะ”  พ่อค้าคนดังกล่าวตอบกลับ


    “งั้นก็ดีครับ เผื่อไว้ดีกว่าขาดจริงไหมครับ”  คณาวิทย์กล่าวออกไป พลางเดินตรวจดูตามรถเทียมม้าที่ใส่สินค้าอยู่ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยให้แน่ใจ


    “เธอเป็นคนแรกเลยนะ ที่เป็นคนควบคุมการเดินทางแล้วใช้เงินที่ให้ไปกับการเดินทางจริงๆ ไม่ได้เม้มเงินไป ฉันเห็นมาเยอะแล้ว แต่เธอเป็นคนแรกจริงๆ มีหวังคราวหน้าพวกเราคงต้องรบกวนเธออีก”  พ่อค้ากล่าว พลางเดินมาตบไหล่คณาวิทย์เบาๆ


             หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง สินค้าต่างๆ ที่กลุ่มการค้ากลุ่มนี้ได้ขนมาก็ถูกจัดลงรถม้าลากเรียบร้อย ซึ่งเป็นรถไม้สี่ล้อ ขนาดความสูงประมาณถึงเอวคนทั่วไป โดยด้านบนของตัวรถเป็นแผ่นไม้กว้างๆ เรียบๆ ไว้สำหรับวางสินค้า และมีทั้งสิ้น 10 คันรถ แต่มีเพียง 2 คันรถที่ไม่ได้บรรทุกอะไร จึงถอดรถลากออก แล้วเอาม้ามาไว้ขี่เดินทางเพิ่มอีก 4 ตัว


    “เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็จัดวางสินค้าเรียบร้อยแล้ว งั้นก็ออกเดินทางไปที่หน้าเมืองกันเลยครับ เดี๋ยวจะมีกลุ่มของผมที่รอรับอยู่ที่นั่นอีกที ไปกันครับ”  คณาวิทย์ที่ขึ้นขี่อยู่บนหลังม้ากล่าว พร้อมบังคับให้ม้าเดินนำออกไป


             ม้าที่เหลืออีกสามตัวกระจายให้ตัวแทนหัวหน้าพ่อค้าตัวหนึ่ง และคนคุมความปลอดภัยของกลุ่มการค้าอีกสองตัว แต่นั่งกันตัวละสองคน นอกนั้นเป็นลูกหาบอีกสิบห้าชีวิต ที่กระจายขึ้นไปนั่งข้างคนบังคับรถม้า


    “ไม่เลวเลยนี่ความคิดความอ่านของนายน่ะ ฉันชักจะสนใจในตัวนายขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ การจัดระบบระเบียบการเดินการไปได้สวย แถมไม่ได้คดโกงเงินที่ได้มาอีก ฉันจะคอยดูตอนเดินทาง”  เกรเทลกล่าว ซึ่งเธอนั่งมองอยู่ที่ม้านั่งของท่าเทียบเรือที่ 18


    “ว่าไงเรียบร้อยดีไหม”  เกรเทลหันไปถามชายที่ยืนด้านหน้าเธอ หลังจากที่เขาพึ่งเดินมาถึงเมื่อชั่วอึดใจที่ผ่านมา


    “เรียบร้อยดีครับนายหญิง”  ชายคนดังกล่าวเอ่ย พลางแบมือยื่นออกมาด้านหน้าของเกรเทล


    “แกมันงกเหมือนเคยเลยน้า!  เกรเทลกล่าว พร้อมโยนถุงเงินไปไว้บนมือที่แบรอรับอยู่ จากนั้นเธอก็เดินหายลับเข้าไปในเขตตัวเมืองต่อไป



     

     

    “เป็นไงคบไหม โรเจอร์”  คำกล่าวของพี่ใหญ่ดังขึ้น


    “คบสิพี่ ระดับผมแล้ว”  โรเจอร์ตอบกลับ ขณะที่ในมือหิ้วถุงข้าวของมากมาย


    “แล้วทางพี่ล่ะ”  โรเจอร์ปล่อยอีกหนึ่งคำถามไปยัง ผู้เป็นพี่ใหญ่


    “ระดับอย่างฉันแล้ว เอามาได้สี่ขวด ... อืม ... ว่าแต่เจ้าเดอลินส์มันยังไม่มาอีกเหรอ”  พี่ใหญ่เอ่ย พลางชูของในมือให้โรเจอร์ดู


             ทั้งสองมองไปมายังที่ต่างๆ ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยห้างร้าน แผงลอยมากมาย พร้อมไฟที่ประดับประดาให้มีสีสันที่สวยงามเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวในยาวค่ำคืนเช่นนี้


             ทั้งสองต่างมองเพื่อหาตัวเดอลินส์พี่น้องร่วมสาบานอีกหนึ่งคนของพวกเขา แต่เมื่อไร้วี่แววจึงพากันเดินแวะไปร้านอาหารร้านประจำของพวกเขาที่ชั้นสาม


    “ช้าจริงๆ ไอ้เจ้าเดอลินส์”  เบนจามินพี่ใหญ่กล่าวอย่างอารมณ์เริ่มคุกรุ่น


    “ไม่ช้าซะหน่อยครับ”  เสียงคนพูดดังลอยมาในอากาศกระทบหูสองพี่น้องที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตัวโปรด แต่ก็ไม่ปรากฏตัวของผู้พูดว่าอยู่ที่ใด


    “ทำเอาตกใจหมด เจ้าลินส์”  พี่ใหญ่ของพี่น้องทั้งสามกล่าว พลางลุกขึ้น


    “เอาล่ะงั้นรีบไปก่อน เดี๋ยวสักหน่อยฉันจะไปทำธุระแล้ว รีบเข้าบ้านกันก่อน”  พี่ใหญ่เอ่ยขึ้นอีกครั้งในท่าทีร้อนรน


    “ตามนั้นครับพี่”  โรเจอร์กล่าวแล้วลุกขึ้น พร้อมหิ้วถุงที่เข้าถือมามากมายติดตัวไปด้วย


    “ไหนล่ะครับที่ว่าไว้”  เดอลินส์กล่าว พลางมองตรงไปยังพี่ใหญ่


    “ฉันวางไว้บนเก้าอี้ เดี๋ยวคนอื่นสงสัย เผื่อตอนถุงมันหายวับไปน่ะ รีบตามมาล่ะ”  พี่ใหญ่กล่าว พลางเดินตามโรเจอร์ไปติดๆ


             เดอลินส์ที่อยู่ในสภาพล่องหนเอื้อมมือไปจับถุงที่วางอยู่ที่เก้าอี้ตามคำบอกของพี่ใหญ่ แล้วเดินตามหลังเขาไป ซึ่งทันทีที่เดอลินส์จับถุงดังกล่าวมันก็อยู่ในสภาพล่องหนเหมือนกันกับเขาทันที และนั่นคือความสามารถอีกอย่างของเขา ที่เมื่อใช้มือจับสิ่งใด สิ่งนั้นจะล่องหนไปด้วย หากสิ่งนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่จนเกินขีดจำกัดของพลังของเขา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าขีดจำกัดนั้นมันใช้ได้เพียงใดกันแน่


             สองพี่น้องเดินเข้าในเขตโบโกต้าอย่างราบรื่น พร้อมด้วยมนุษย์ล่องหนอีกคนที่ถือถุงอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งถุงดังกล่าวอาจจะเป็นสิ่งต้องห้ามที่ห้ามเอาเขาไปในเขตโบโกต้าก็เป็นได้


    “เอาล่ะพวกแกกินกันไปก่อนเลยนะ อีกยี่สิบนาที เดี๋ยวฉันกลับมา ฉันรับงานดูแลขบวนการค้าไว้น่ะ”  เมื่อเบนจามินว่าจบก็เดินหายลับออกไปจากประตูบ้านทันที


             เดอลินส์คลายสภาพล่องหนลง พร้อมวางถุงที่เขาถือ และคลี่มันออกก็พบว่าเป็นขวดแก้วขนาดเท่ากัน 4 ขวด ซึ่งที่ข้างขวดเขียนเอาไว้ว่า เพอโรซ์ กู่ก้อง


    “นี่ล่ะเอ๊ย! โรเจอร์สุดยอดแห่งไวน์ชิ้นเลิศของเมือง ถ้าไม่ได้ลองนะ อย่าพึ่งตายเป็นอันขาด พี่เคยลองตอนเมื่ออายุ 15 มั้งถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นแอบเข้าไปในร้านไวน์เลยไปลองไวน์ที่แพงที่สุดในร้านน่ะ ก็ไอ้เจ้าขวดที่เห็นนี่แหละ อื้อหือ! สุดจะบรรยายน้องเอ๊ย เอาเป็นว่าต้องลองเอาเองนะ”  เดอลินส์อธิบายความ ถึงไวน์สี่ขวดที่เขาแอบเอาเข้ามาในเขต


             เดอลินส์ไม่รอช้าจัดแจงหาแก้วมาสองใบ แล้วเปิดจุกขวดไวน์ออกพร้อมเทมันลงในแก้ว จากนั้นก็เดินถือมันไปให้โรเจอร์ได้ทดลองดู และทันทีที่ไวน์ในแก้วไหลรินเข้าไปในปากของโรเจอร์ เขาก็อุทานคำๆ หนึ่งออกมาทันที


    “โอ้! เพ้อโร๊ซ์!  เสียงกึ่งพูดกึ่งตะโกนถูกส่งมาจากปากของโรเจอร์อย่างไม่รู้ตัว จนเข้าต้องใช้มือปิดปากไว้


    “บอกแล้วว่ามันเจ๋งจริง”  เดอลินส์กล่าว พลางนั่งหัวเราะจนตัวโก้ง


    “นั่นไงเล่า! ว่าแล้วมันต้องมีอะไร ดูท่าวันนี้คงหัวเราะท้องแข็งกันทั้งคืนแน่ อยากเห็นพี่เบนนี่อุทานแบบนี้จัง ... เดี๋ยวผมเอาของพวกนี้ไปลงจานก่อนแล้วกัน”  โรเจอร์กล่าว พร้อมหิ้วข้าวของที่เขาเอามาไปที่ครัว ซึ่งข้าวของดังกล่าวเป็นอาหารของกินต่างๆ เพื่อเตรียมตัวฉลองชีวิตใหม่ และวันเกิดให้เดอลินส์


    “เพ้อโร๊ซ์”  คำอุทานของเดอลินส์ถูกพ่นออกจากปากของเขาทันทีที่ดื่มไวน์เข้าไป


    “ยังเหมือนเดิมเลยนะเจ้าไวน์นี้หนิ ไม่ว่าใครกินก็ต้องอุทานออกมา คงเป็นเวทมนตร์ของมันสินะ แต่อย่างนั้นมันก็สุดๆ เหมือนเดิมเลยนะ นุ่มละมุน หวานฉ่ำจริงๆ”  เดอลินส์บ่นกับตัวเอง พลางรินไวน์เพื่อเริ่มดื่มแก้วใหม่ต่อ



     

     

             ทางเดินด้านหน้าเมืองเดสเปอโรซ์อันถอดยาวออกไปจนสุดสายตา ภายใต้แสงจันทร์ที่กำลังลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ซึ่งเป็นเวลาสองนาฬิกาตรง และก็ภายหลังจากตะวันตกดินไปเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว ซึ่งปรากฎเป็นชายฉกรรจ์หกคนกำลังยืนรอคอยอะไรบางอย่างอยู่บนถนนสายนี้


    “เน่ๆ ลูกเพ่! ไม่ต้องร้อนรนไปหรอก เดี๋ยวก็คงมากันเองแหละน่า!  หนึ่งในชายหกคนกล่าว

    “ฉันไม่ได้สนใจกลุ่มการค้าอะไรนั่นหรอก ... เอ้อ ... ก็แค่อยากรีบกับไปฉลองกับพวกน้องๆ ฉัน”  เบนจามินซึ่งเป็นหัวหน้าของชายอีกห้าคนกล่าวตอบลูกน้องไป


    “แต่ก็จริงนะลูกพี่ ตอนนี้มันก็เลยเวลาไปกว่าชั่วโมงแล้ว”  ลูกน้องอีกคนเสริมขึ้น


    “ดูท่าว่าชักจะเข้าเค้าแล้วล่ะ ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ... อืม ... งั้นพวกเราไปดูกัน เผื่อบางทีอาจเกิดอะไรขึ้น ... รีบไปเอาม้ามาเร็ว!  เบนจามินสั่งการลูกน้อง เมื่อเขานึกอะไรออก


    “ลูกพี่! ดูนั่น”  ลูกน้องคนที่กำลังจะไปเอาม้ากล่าว พร้อมชี้นิ้วไปบนท้องฟ้า


             ซึ่งท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืน ดวงจันทร์ที่คอยส่องแสงนวลสว่าง บัดนี้กลายเป็นพระจันทร์สีเลือดแดงสดส่องแสงแผ่ไปทั่วแผ่นฟ้าแทน


    “นั่นไงเล่า ลางร้ายชัดๆ รีบไปเลย รีบไปเอาม้ามา”  เบนจามินกล่าวกับลูกน้องอย่างร้อนรน

     

     

     

             จันทร์สีเลือดยังคงปรากฏเด่นชัดกลางท้องฟ้า ถึงแม้ว่าจะผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม หากบางคนที่เชื่อในเรื่องโชคลางแล้วล่ะก็ คงจะบอกว่าวันนี้ต้องเกิดการนองเลือดขึ้นสักที่บนผืนโลกแห่งนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ หรือเหล่านักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยต่างๆ ก็คงจะบอกว่านี่คือปรากฏการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไปเท่านั้น ส่วนชายฉกรรจ์ทั้งหกคนที่กำลังควบม้าอยู่นั้น พวกเขาเชื่อว่านี่คือลางบอกเหตุร้าย


             กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าเดินทางมามากกว่าครึ่งชั่วโมงตามทางที่ปูด้วยอิฐ ซึ่งถอดยาวออกไปสู่เมืองท่าแห่งเดสคารีโดน แต่แทนที่พวกเขาควรจะพบเข้ากับกลุ่มการค้าได้แล้ว ซึ่งจนบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของขบวนเลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงควบม้าต่อไป เผื่อว่าบางทีกลุ่มการค้าอาจเกิดเหตุขัดข้องระหว่างทาง แล้วจนทำให้การเดินทางต้องล้าช้าลงไปอีกก็อาจจะเป็นได้


    “ลูกเพ่! ดูนั่น เหมือนมีดวงไฟเล็กๆ ทางด้านหน้า”  หนึ่งในชายฉกรรจ์กล่าว


    “งั้นก็รีบไปกัน”  ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์เอ่ย


             ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้ไม่กี่อึดใจพวกเขาก็มาถึงยังจุดที่แสงไฟตั้งอยู่ ซึ่งมันก็คือแสงไฟจากคบไฟที่จุดนั่นเอง แต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นทำเอาต้องตกตะลึงกันไปเลยทีเดียว


    “แกสองคนรีบกลับไปที่เมือง ไปบอกให้ทางการรู้นะ เร็ว!  เบนจามินหัวหน้าชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้น หลังเห็นภาพอันน่าเวทนาเบื้องหน้า


    “ส่วนที่เหลือตามฉันมา”  เบนจามินกล่าวขึ้นอีกครั้ง พร้อมควบม้ามุ่งไปทางเดสคารีโดนต่อ โดนไม่สนใจสิ่งต่างๆ ที่พึ่งเห็น


    “ลูกเพ่! แล้วเราไม่ตรวจดูหน่อยเหรอ เผื่อมีคนรอดนะ”  เสียงลูกน้องคนหนึ่งเอ่ย ขณะควบมาตามเบนจามินไปติดๆ


    “ไม่มีคนรอดหรอกน่า! และที่สำคัญพวกนี้ไม่ใช่กลุ่มการค้าที่เราต้องคุ้มครองนะ แกไม่ลองแหกตาดูเหร๊อ! ว่านั่นไม่ใช่กลุ่มการค้าที่เรารอน่ะ ป้ายธงที่ปักตามลังสินค้าน่ะ ไม่หัดสังเกตบ้างฮะ!  เบนจามินตะหวาดกลับไป พลางเร่งความเร็วม้าเพิ่มขึ้นอีก


             การเดินทางอีกสิบกิโลเมตรของชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่สี่คนหมดไปอีกด้วยความเสียเปล่า บนถนนที่ราบเรียบ และเงียบสงัด มีเพียงความเวิ้งว้างของสถานที่รอบข้างเท่านั้นที่เป็นเพื่อนพวกเขา หนำซ้ำเมฆยังบดบังแสงจันทร์เอาไว้ ซึ่งทำให้การเดินทางดูจะอยากลำบากไปอีก


             จนกระทั่งกลุ่มเมฆเคลื่อนตัวออกจากการบดบังแสงจันทร์ และดวงจันทร์ขณะนั้นก็กลับมาส่องแสงสว่างใสดังเดิมแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายฉกรรจ์บนหลังม้าทั้งสี่ตกหยุดม้าอย่างกะทันหัน แล้วจ้องมองเห็นภาพบรรยากาศเบื้องหน้าอันน่าเวทนา เบนจามินชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มลงจากหลังม้าช้าๆ แล้วตรงไปยังสถานที่ด้านหน้าเขา พร้อมกันนั้นคนอีกสามคนก็ตามมาติดๆ


    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!  เสียงหนึ่งในชายสี่คนเอ่ยขึ้น


    “ฉันว่าต้องเป็นการดักปล้นสินค้าแน่ๆ”  เบนจามินสันนิษฐาน


    “ลูกเพ่! ผมว่าไม่ใช่นะ สินค้าเหมือนจะยังอยู่ครบ”  เสียงลูกน้องอีกคนที่อยู่ไกลออกไปเอ่ย ขณะเขาไปเจอเข้ากับรถม้าที่ใช้ขนสินค้าเข้า


    “และที่สำคัญนะครับ นี่เป็นกลุ่มการค้าที่เราต้องต้อนรับที่เมืองครับ”  ลูกน้องคนเดิมกล่าว เมื่อเขาเห็นธงสัญลักษณ์รูปดาษสามเล่มไขว้กันอยู่ จึงทำให้รู้ว่าเป็นกลุ่มการค้าที่พวกเขาต้องต้อนรับ เมื่อขบวนการค้านี้ไปถึงเมือง


             หลังจากเบนจามินได้ฟังดังนั้นก็ทำให้แววตาของเขาเศร้าหมองลงทันที พลางมองไปทางที่ลูกน้องคนดังกล่าวยืนอยู่ เขาเดินไปหาลูกน้องคนนั้น พร้อมตรวจดูสินค้าบนรถม้าว่าอยู่ครบดีหรือไม่ ซึ่งก็ตามที่เขาเคยได้รับการแจ้งรายละเอียดต่างๆ จากตัวแทนของกลุ่มการค้าที่เดินทางมาบอกเขาล่วงหน้าเมื่อ 6 ชั่วโมงก่อน เพื่อให้เขาคอยต้อนรับนั่นเอง


    “แกสองคนรีบไปเดสคารีโดนไปแจ้งทางการที่นั่นด้วย ว่าตอนนี้เกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว รีบไปอย่าเหลียวหลัง ถ้าเจออะไรข้างหน้าอย่าหยุด รีบไปเร็ว”  เบนจามินหันขวับกลับไปสั่งลูกน้องอีกสองคนที่กำลังตรวจดูพื้นที่ต่างๆ โดนรอบ


    “ของทุกอย่างอยู่ครบดี”  เบนจามินบอกให้ลูกน้องของเขาที่เหลืออยู่หนึ่งคนได้รับรู้เอาไว้ หลังจากพวกเขาเหลือกันอยู่สองคน


    “ลูกเพ่! ว่าแต่ทำไมไอ้โจรพวกนี้มันโหดอย่างนี้”  ลูกน้องเอ่ยขึ้นถามด้วยความสงสัย


    “มันไม่ใช่โจรหรอก ที่สำคัญมันคนนี้จัดการทั้งหมดนี่แค่คนเดียวด้วย”  เบนจามินตอบกลับ


    “หา! ผมไม่เชื่อหรอกนะ”  ลูกน้องเอ่ยขึ้นขัด


    “งั้นแกลองดูศพแต่ล่ะศพให้ดีนะ แล้วลองคิดถึงเจ้านั่น ไอ้เจ้าคนที่ทุกคนต่างหวาดกลัวมัน”  เบนจามินกล่าว ขณะกำลังเดินตรวจดูตามศพแต่ละศพอยู่


             เมื่อลูกน้องของเบนจามินได้ลองเดินตรวจดูตามศพต่างๆ ตามหัวหน้าของเขา ก็ทำให้ถึงกับต้องตกใจ ซึ่งสภาพศพแต่ละรายนั้นมีสภาพที่ผิวหนังเหี่ยวย่นจนติดกระดูกราวกับว่าถูกสูบเลือดออกไปจนหมดตัว ไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีสภาพแบบนั้น แม้กระทั่งม้าที่เป็นพาหนะยังมีสภาพเดียวกัน และเมื่อเขาลองมองดูให้ละเอียดอีกทีก็พบเข้ากับรอยเหมือนทางน้ำไหลออกจากตัวศพแต่ละศพ จนพอตามไปก็ไปเจอกับสิ่งที่น่าขนลุกขนชันทันที


    “ลูกเพ่! มาดูนี่สิ”  ผู้เป็นลูกน้องตะโกนเพื่อส่งสัญญาณบอกให้ผู้เป็นหัวหน้าได้รับรู้


             เบนจามินวิ่งตามเสียงของลูกน้องไปไม่ไกลจากขบวนการค้ามากนัก เขาก็ได้ไปเห็นในสิ่งเดียวกันกับที่ตาของลูกน้องเห็น ภาพที่ปรากฏเป็นเหมือนแอ่งน้ำขนาดย่อมๆ แต่เมื่อได้สูดกลิ่นไอจากแหล่งน้ำนั้นจึงทำให้รู้ได้ในทันทีว่าน้ำในนั้นคือเลือดสดๆ


             เบนจามินทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แอ่งเลือดดังกล่าวนี้ พลางมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอย่างเหม่อลอย ส่วนทางลูกน้องก็มีอาการไม่แตกต่างเท่าไรนัก


    “ลูกเพ่! ว่าแต่เจ้าหมอนั่นจะย้อนกลับมาอีกไหม”  ลูกน้องเอ่ยขึ้น


    “ฉันว่ามันคงไม่มาแล้วล่ะ ตอนนี้มันคงได้ในสิ่งที่มันต้องการไปแล้ว”  เบนจามินตอบกลับลูกน้องไป


             หลังจากสิ้นการพูดคุยกันของหัวหน้า และลูกน้อง บรรยากาศโดยรอบก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้งนานนับสิบนาที จนกระทั่งลูกน้องได้ยินเสียงหนึ่งเข้า


    “ลูกเพ่! ได้ยินไหมครับ เสียงเหมือนเสียงคนกำลังขอความช่วยเหลือ แต่เสียงเบามาก”  ลูกน้องสะดุ้งจากอาการเหม่อลอย พร้อมกล่าวถามหัวหน้า


    “ไหนๆ ฉันไม่เห็นจะได้ยินอะไรเลย”  คนเป็นลูกพี่กล่าว


             แต่ถึงเบนจามินผู้เป็นลูกพี่จะไม่ได้ยิน เขาก็ลองพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งรอบข้าง ซึ่งทั้งสองคนต่างก็เงียบ และพยายามฟังทุกอย่างที่ผ่านเข้ามายังโสตประสาทของพวกเขา


    “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วยครับ!  เสียงทุ้มต่ำแต่แผ่วเบาส่งลอยมาตามกระแสลม


             ทันทีที่ทั้งสองได้ยินเสียงคนกำลังร้องเรียกให้ช่วย พวกเขาต่างก็พากันวิ่งไปหาต้นตอของเสียงนั้น จนไปพบเข้ากับชายในชุดเสื้อหนังที่นอนคว่ำหน้าอยู่ โดยทั้งเนื้อทั้งตัวเขาชุ่มไปด้วยเลือด และสติของชายคนดังกล่าวก็หมดลงเมื่อเขาเห็นมีคนวิ่งมาหาเขา


             เบนจามิน และลูกน้องช่วยพากันหามร่างชายที่หมดสติมาไว้ที่บนถนนข้างๆ กองขบวนการค้า พร้อมกันนั้นก็จัดการขนสินค้าลงจากรถม้าคันหนึ่งจนหมด แล้วพวกเขาจึงนำร่างของชายไร้สติขึ้นไปนอนบนรถไม้แทน จากนั้นก็ใช้ม้าของพวกเขาที่เหลืออยู่สองตัวมาเทียมรถไม้แทนม้าเดิมที่ตายติดอยู่กับรถ


    “แกรีบพาคนเจ็บไปที่เมืองนะ รีบไป”  เบนจามินสั่งลูกน้อง


    “แล้วลูกเพ่ล่ะ”  ลูกน้องถามกลับ


    “เออๆ แกไม่ต้องมาเล่นบทห่วงอะไรตอนนี้ ฉันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก รีบไปเถอะ”  เบนจามินพูดขึ้นแกมตวาด


             เบนจามินยืนมองรถม้าของลูกน้องที่แล่นออกไปจนลับตา จากนั้นเขาจึงหันกลับมามองภาพของศพที่เกลื้อนกลาดอยู่เต็มพื้นถนน ไม่ว่าจะเป็นศพคน หรือศพของม้าก็ตาม


             เบนจามินมองสิ่งเหล่านั้นด้วยความเวทนา พร้อมกันนั้นเขาก็เริ่มจัดการกับศพเหล่านั้น โดยการจัดแจงย้ายศพแต่ละศพมานอนไว้จุดๆ เดียว เพื่อง่ายต่อการขนย้ายเมื่อเจ้าหน้าที่ของทางการมาถึง

     

     

     

             รุ่งเช้าที่สดใสภายในโรงแรมหรูกลางใจเมืองเดสคารีโดน เสียงเอะอะโครมครามจากห้องข้างๆ ทำให้หญิงสาววัย 16 ปีตื่นขึ้น พร้อมกันนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นนกส่งสารยืนเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง


    “หืม! ไม่นึกว่าหมอนั่นจะโชคร้ายขนาดนี้นะเนี่ย”  เกรเทล หญิงที่พึ่งตื่นนอนอุทานออกมา หลังได้อ่านข้อความจากสารที่นกได้ส่งมาให้


             เกรเทลเดินไปหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วเขียนข้อความลงไป จากนั้นเธอจึงม้วนกระดาษแล้วยัดมันลงในกระบอกเหล็กกลวงๆ เล็กๆ ซึ่งติดอยู่บริเวณขาของนกส่งสาร ถัดมาเธอก็โยนนกออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อให้มันบินกลับไปหาคนที่ส่งสารมาให้เธอ


    “คณาวิทย์นายนี่มันเริ่มชักน่าสนใจเข้าไปอีกนะ รอดจากเงื้อมมือพญามัจจุราชอย่างนักล่าฆ่าหัวอย่างหมอนั่นได้ ไม่เลวเลยนะนาย ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องพลังธาตุแท้ๆ เอาเถอะไม่ต้องห่วง ฉันต้องฝึกให้นายแกร่งขึ้นได้แน่ๆ”  เกรเทลพูดลอยๆ ออกมา พลางถอดสายตาออกไปบนท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างที่เปิดอยู่


             เกรเทลหายลับเข้าไปในห้องน้ำนานหลายสิบนาที ก่อนจะออกมาในชุดเตรียมพร้อมเดินทางไกล จากนั้นเธอจึงไปจ่ายค่าโรงแรมแล้วออกเดินทางสู่เดสเปอโรซ์อีกครั้ง เพื่อไปหาสมาชิกคนแรกสำหรับกลุ่มของเธอที่กำลังจะสร้างขึ้นนั่นเอง แต่สำหรับจุดประสงค์ที่จะตั้งกลุ่มนั้นไม่มีใครรู้ หากมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้


             เกรเทลเดินไปตามทางเดินสายหลักของเมืองออกสู่ถนนที่ถอดยาวไปเดสเปอโรซ์ พร้อมกันนั้นเธอก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับคณาวิทย์ว่าจะทำอย่างไรให้เขายอมมาเป็นพวก จนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และเมื่อเป็นดังนั้นมันจึงทำให้เธอเดินไปชนเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งเข้า


    “ขอโทษค่ะ”  เกรเทลกล่าวออกไปอย่างสุภาพ


    “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ พอดีฉันเดินไม่ระวัง ยังไงก็ขอโทษอีกทีแล้วกันนะคะ”  เสียงอันไพเราะจับใจของเกรเทลถูกส่งไปยังชายหนุ่มที่ถูกเธอชนอีกครั้ง


             ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองตามเกรเทลที่เดินลับหายไปในฝูงชน เพราะเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของน้ำเสียง และความน่ารักสดใสของเธอ จนเมื่อเขาตั้งสติได้อีกทีเกรเทลก็คาดสายตาเขาไปโดยที่เขายังไม่ทันจะได้แม้กล่าวอะไรกับเกรเทลเลย


    “เธอเป็นใครกันน่า! ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน”  ชายหนุ่มคิดในใจ พลางเดินไปยังท่าเรือของเมืองต่อไป


             ชายหนุ่มคนดังกล่าวมีอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นคนผิวขาวออกซีดแต่ไม่มากนัก เขามีใบหน้ายาวเรียวติดสวย มีผมสีแดงเพลิงซอยสั้นระคอ ดวงตาของเขาเรียวคม ส่วนนัยน์ตาสีเฉกเช่นกับสีเส้นผม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากออกแดงระเรื่อ ซึ่งรวมไปจนถึงเขาเป็นคนมีกล้ามเนื้อสมส่วนดี และถึงแม้ไม่ได้รูปร่างใหญ่โตแต่ก็สูงโปร่ง โดยมีความสูงกว่า 178 เซนติเมตร


             ชายหนุ่มคนดังกล่าวนั้นมีนามว่า เอเมซ ไลซานดรา เขาเป็นชาวเมืองแห่งแสงเหนือไนตรา ซึ่งตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินทวีปเดียวกันกับเมืองแห่งนี้ หากแต่เมืองไนตรานั้นอยู่ทางซีกโลกเหนือเท่านั้น


             สำหรับเอเมซแล้วก็เหมือนกับใครหลายๆ คน ที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการได้ออกผจญภัยไปในโลกกว้าง และวันนี้เขาก็ได้ทำสำเร็จไปแล้วก้าวหนึ่ง โดยการเดินทางกว่านับสัปดาห์ที่จากบ้านมาไกลแสนไกล วันนี้นั้นเขาทำสำเร็จจนสามารถเหยียบแผ่นดินเดสคารีโดน ซึ่งอยู่ใต้สุดแห่งดินแดนมหาทวีปไนโอเมียแห่งนี้ และก้าวต่อไปของเขาคือการมุ่งสู่ดินแดนแห่งอื่นๆ บนผืนโลกต่อไป

     

     

     

             เวลาบ่ายคล้อยที่เมืองท่าเดสคารีโดน เจ้าหน้าที่ของเมืองพี่น้องทั้งสองระหว่างเดสคารีโดน และเดสเปอโรซ์ต่างก็จับจ้องที่ศพนับสิบที่ถูกห่อผ้าขาวไว้อย่างดี ซึ่งหลังจากที่ขนศพมารวมไว้ที่เขตชนบททางเหนือของเมืองท่าแล้ว


    “ท่านครับ มันเอาอีกแล้วนะครับ”  เสียงเจ้าหน้าที่ยศสูงคนหนึ่งของเมืองท่าเอ่ยขึ้นกับเจ้าเมืองของตัวเอง


    “ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นแหละนะ”  เจ้าเมืองในวัยชราตอบกลับไป


    “คงเป็นใครไปไม่ได้แล้วล่ะครับ ฆาตกรโหดที่มีสมยานามว่า นักล่าฆ่าหัวจันทร์โลหิต”  เจ้าเมืองของเดสเปอโรซ์วัย 27 ปีกล่าวขึ้นเสริมเจ้าเมืองวัยชราแห่งเมืองท่า


    “ข้าว่าต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียแล้วล่ะ ท่านเจ้าเมืองเดสเปอโรซ์เห็นเป็นประการใด”  เจ้าเมืองวัยชราเอ่ยขึ้นถามผู้เป็นเจ้าเมืองอีกคน


    “ผมก็เห็นเหมือนดังท่านเจ้าเมืองว่า คงต้องจัดการมันซะแล้วล่ะครับ ขืนปล่อยไว้การค้าแถบนี้คงย่ำแย่แน่ๆ”  เจ้าเมืองหนุ่มเห็นพ้องต้องกันกับเจ้าเมืองวัยชรา


    “แล้วท่านคิดว่าควรจะทำอย่างไร ท่านเจ้าเมืองหนุ่ม”  เจ้าเมืองวัยชราเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง


    “ในความคิดผมนะ ผมว่าเราควรจัดกำลังพลตรวจตราตามถนนระหว่างเมืองของเราด้วยจะดีไหมครับ”  เจ้าเมืองหนุ่มตอบ


    “ข้าก็เห็นด้วยกับท่าน งั้นก็จัดกองกำลังอีกส่วนออกไล่ล่า และตามหามันด้วย”  เจ้าเมืองวัยชราเสริมขึ้น


    “ผมว่าตามท่านครับ งั้นกองกำลังดังกล่าวที่ว่านี้ ผมว่าควรจะเป็นกองกำลังพิเศษที่จัดตั้งขึ้น โดยความร่วมมือของทั้งสองเมือง ท่านเจ้าเมืองเห็นว่าอย่างไรครับ”  เจ้าเมืองหนุ่มแนะขึ้น


    “ข้าก็ว่าสิ่งที่ท่านคิดมันก็ดีเหมือนกัน เมืองทั้งสองไม่เคยทำอะไรร่วมกันมานานแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านเจ้าเมืองเชิญเข้าเมืองก่อนเถอะ แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องนี้จริงจังอีกที”  ฝ่ายเจ้าเมืองแห่งเดสคารีโดนกล่าวเชื้อเชิญ


             คณะกลุ่มคนของเมืองเดสเปอโรซ์เดินตามเจ้าเมืองของตนเข้าไปยังเขตตัวเมืองท่า ซึ่งต่างก็มีชาวเมืองในระหว่างทางที่ให้ความสนใจ และทำความเคารพไม่ต่างจากเจ้าเมืองของตัวเอง ส่วนเรื่องศพต่างๆ นั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิเศษของทั้งสองเมืองที่เหลือเอาไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้ตรวจสอบต่อไป

     

     

     

    “กลับมาแล้วพวก”  เสียงตะโกนออกไปของเบนจามิน หลังจากเปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังที่พวกเขาสามพี่น้องใช้เป็นที่อาศัย


             มีเพียงความเงียบ และสงบถูกส่งกลับมา ทำให้เบนจามินต้องเดินตามหาน้องชายของเขาเอง เขาเดินผ่านห้องรับแขกส่วนหน้าบ้าน หรือเป็นห้องนั่งเล่นใหญ่ไปยังอีกส่วนของบ้านทันที แล้วจึงตรงไปที่ห้องผักผ่อนที่อยู่ทางซ้าย และภาพที่เมื่อเปิดเข้าไปเห็นก็ทำให้เขาถึงกับต้องยิ้มเลยทีเดียว


             ภาพบรรยากาศภายในห้องเต็มเป็นด้วยเศษถุงจำนวนมาก ส่วนที่บนโต๊ะกลางห้องมีจานชามที่ใส่อาหารวางอยู่จนเต็มโต๊ะ ตามบริเวณใกล้ๆ กับที่สองชายหนุ่มน้องชายของเบนจามินนอนอยู่ก็เต็มไปด้วยขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำหวาน และรวมไปจนถึงขวดไวน์ที่วางระเกะระกะกระจายอยู่รอบๆ ห้อง


             เบนจามินมองภาพเบื้องหน้าอย่างเป็นสุข พลางเดินไปจัดท่านอนของทั้งสองให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น จากที่โรเจอร์ที่นอนห้อยหัวขาชี้ฟ้าอยู่บนโซฟา พร้อมกันนั้นร่างกายของเขาก็เปลี่ยนสีไปมาราวกับว่าเป็นกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับสิ่งรอบข้าง


             ส่วนเดอลินส์แทบจะไม่ต่างจากผู้เป็นน้องชาย แต่ต่างออกไปตรงที่เขากำขวดไวน์เพอโรซ์กู่ก้องไว้แน่น และก็พร้อมๆ กับร่างกายของเขาที่หายๆ โผล่ๆ อย่างเป็นจังหวะ ราวกับว่าความสามารถพิเศษของเขาก็โดนฤทธิ์น้ำเมาไปด้วย


             ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงเบนจามินจัดการกับข้าวของที่เกลื่อนกลาดตามจุดต่างๆ จนแล้วเสร็จ จากนั้นเขาก็จัดการกับอาหารที่เย็นชืดตรงหน้าด้วยความหิวโหย ซึ่งเพราะเขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืน ดังนั้นไม่ว่าอาหารอะไรตอนนี้เขาก็จัดการได้หมด และเมื่อเขาเริ่มรู้สึกอิ่ม อาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อนก็เกิดขึ้นกับเบนจามิน จนในที่สุดเขาก็พร่อยหลับไป

     

     

     

    “อาการเขาเป็นยังไงบ้างครับ”  ชายกลางคนผู้เป็นหัวหน้าผู้คุมกฎแห่งเดสเปอโรซ์เอ่ยขึ้น


    “อาการทรงตัวนะ ไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่ลดลง เพราะเขาเสียเลือดไปมาก แต่ร่างกายเขาไม่ธรรมดา ดังนั้นเลยยังทรงตัวอยู่ได้ ยังไงหมอจะดูแลให้เต็มที่”  ผู้เป็นหมอวัยชราตอบคำถาม พลางเดินลับออกไปจากห้องไม้เล็กๆ ที่เป็นห้องพิเศษสำหรับคนไข้รายหนึ่ง


             ภายในห้องเป็นห้องเล็กๆ ในอาคารไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปากทางเข้าเมืองนัก อาคารดังกล่าวนี้เป็นอาคารเกี่ยวกับการเยียวยารักษาคนเจ็บป่วยต่างๆ ของเมือง ซึ่งทุกคนเรียกมันว่า “โรงหมอ”


    “ไปพักเถอะครับ ผมรับช่วงต่อเอง”  เบนจามินที่เดินเข้ามาในห้องกล่าวกับหัวหน้าผู้คุมกฎของเมือง ซึ่งกำลังนั่งข้างๆ คนป่วยที่นอนอยู่


    “งั้นลุงฝากด้วยแล้วกันนะ เบน ... เออ แล้วว่าแต่ เจ้าลูกชายตัวดี มันไปอยู่บ้าน เศรษฐีใหม่เป็นไงบ้าง มันทำตัวดีไหม”  ผู้คุมกฎเอ่ย


    “ไม่ต้องห่วงครับ โรเจอร์ ก็เป็นเพื่อนกับท่านเดอลินส์ เขาไม่ว่าอะไรกันครับ”  เบนจามินตอบกลับ


             ชายผู้คุมกฎของเมืองเดินหายลับออกไปหลังได้ฟังคำตอบ และตอนนี้ก็เหลือไว้เพียงคนป่วยกับเบนจามินสองคนเท่านั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบอีกครั้ง ซึ่งถึงแม้ว่าโรงหมอแห่งนี้จะตั้งอยู่ปากทางเข้าสู่เขตบาจาร่า อันเป็นเขตที่ผู้คนอยู่มากมาย และเวลาช่วงเย็นๆ แบบนี้แล้วคนมักจะพลุกพล่าน แต่ที่โรงหมอแห่งนี้กลับไม่ได้ยินเสียงเอะอะต่างๆ จากภายนอกเลยแม้แต่น้อย


    “แกนี่ดูเหมือนจะเป็นคนเก่งนะ รอดพ้นจากเจ้านักล่าฆ่าหัวจันทร์โลหิตได้น่ะ แต่อย่างน้อยก็รีบๆ ฟื้นขึ้นมาล่ะ”  เบนจามินกล่าวกับชายหนุ่มที่ไร้สติอยู่ด้านหน้าของเขา


             เบนจามินอยู่อย่างเงียบๆ ข้างชายหนุ่มที่นอนบนเตียง บางครั้งเขาก็เดินไปมาในห้องเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งเขาเตรียมมาไว้อ่านขั้นเวลา ก่อนที่จะมีคนอื่นๆ มาเปลี่ยนกะเฝ้าชายคนที่นอนป่วยอยู่แทน


    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!


    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เบนจามินที่เกือบจะนั่งหลับสะดุ้งขึ้น พร้อมๆ กับมือข้างขวาของเขากระชับที่มีดสั้นหนับเอวอยู่ทันที เพราะเวลาแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาเอาดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้


    *เพิ่มเติม
    - ที่สัญญาไว้ว่าจะลงสองตอนในเดือนนี้คงต้องผิดสัญญาจริงๆ ครับไม่ว่างเลยจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ได้หนึ่งตอนครับ
    - สำหรับตอนต่อไปคงต้องเจอกันอีกทีปีหน้าเลยแล้วกันครับ ช่วงปีใหม่นี้ยุ่งมากแน่ๆ ครับ
    - ยังไงก็ขออวยพรปีใหม่ล่วงหน้าครับ ก็ขอให้มีความสุขสมหวัง ร่ำรวยเงินทองนะครับทุกคน สวัสดีปีใหม่ 2558 ล่วงหน้านะครับทุกคน

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×