ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาศึกพลังแห่งธาตุ

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนพิเศษที่ 3 : ผจญอสูรค้างคาว

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 57


    ตอนพิเศษก่อนเปิดเนื้อเรื่องหลัก

    (เพื่อรอรับสมัครต่างๆ แล้วเสร็จ แล้วที่เนื้อหาออกจะสั้นๆ เพราะอยากให้อ่านเล่นๆ ก่อนเนื้อเรื่องหลักครับ)

     


    ตอนพิเศษที่ 3 : ผจญอสูรค้างคาว

             แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ แปลเปลี่ยนเป็นแสงยามสายที่สว่าง และสดใสมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่บุคคลทั้งสามได้เดินมาระยะหนึ่งก็ถึงที่หมาย พวกเขาหยุดอยู่ด้านหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ ที่สลักด้วยลวดลายรูปเทพธิดาที่อยู่ในชุดกระโปรงคุมยาว แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนแผ่นดิน และอยู่เหนือยอดของปราสาทหลังหนึ่ง ในมือของนางถือลูกแก้วบางอย่างที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ส่วนที่ด้านล่างของภาพ ก็มีภาษาโบราณสลักไว้สี่ห้าตัวอักษร

    “เอ่อ ... คุณนักรบหญิงครับ ว่าแต่ข้อความด้านล่างภาพมันแปลว่ายังไงกันครับ”  จอห์นเอ่ยถามนักรบหญิงในชุดเกราะขลิบทองที่อยู่ด้านหน้า อันที่จริงแล้วเขารู้ความหมายของคำที่เขียนแล้ว หากแต่เขาอยากจะหาเรื่องพูดคุยกับหญิงสาวเท่านั้น
     

    “ความชั่วจงสูญสลาย ความดีงามจักคงอยู่ค่ะ แล้วฉันขอเพิ่มเติมรายละเอียดสักหน่อย คำสลักดังกล่าวนี้เป็นของท่านราชารุ่นแรกที่สร้างเมืองนี้ขึ้นมา ว่ากันว่าท่านได้รับผลึกแก้วประหลาดที่ส่องแสงเจิดจ้ามาจากเทพธิดาไนตรา ซึ่งเป็นเทพที่เราเคารพบูชา และตอนนี้ถูกเอาไว้อยู่บนยอดปราสาทอย่างที่เห็น และอีกอย่างผลึกแสงดังกล่าวก็สกัดกลั้นไม่ให้ภูติผีวิญญาณ หรือพวกธาตุมืด และก็รวมไปถึงพวกแวมไพร์ก็ด้วย โดยสกัดกลั้นไม่ให้สามารถเข้ามาในเมืองนี้ได้โดยเด็ดขาด”  เธอหยุดเดินแล้วหันมาอธิบายในสิ่งที่จอห์นเอ่ยถาม


             จอห์นไม่ได้สนใจเรื่องที่หญิงคนดังกล่าวพูดเลย เขาสนใจเพียงท่าทาง หรือท่วงวาจาที่เธอเอื้อยเอ่ยเท่านั้น เขามองใบหน้าของหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอพูดจบไปแล้ว และกำลังสงสัยว่าเธอทำอะไรผิดถึงได้จ้องเธอขนาดนั้น

             เมื่อไนเห็นดังนั้น ก็รีบสะกิดจอห์นให้ตื่นจากภวังค์ทันที จอห์นทำตัวไม่ถูกเมื่อรู้ว่าตัวเองทำเรื่องขายหน้าออกไปเสียแล้ว แต่ยังดีที่ไนแก้สถานการณ์ด้วยการบอกให้หญิงสาวเดินนำต่อไป


    “เกือบไปแล้วไง ไอ้จอห์น”  ไนกระซิบไปยังจอห์น


    “ก็จริงว่ะ ตายๆ แน่ ฉัน ฉันไม่อาจจะละสายตาไปจากเธอได้เลยจริงๆ”  จอห์นกระซิบตอบกลับ


    “เฮ้อ! ไอ้พวกตัวสูงๆ นี่มันจะปิ๊งใครก็ได้เนอะ แต่ไอ้พวกตัวเตี้ยๆ อย่างเรา มันก็ต้องหาผู้หญิงที่เหมาะกับเรา ที่สำคัญไม่สูงเกินไป ฉันเห็นสาวคนนี้ฉันก็ชอบนะแต่ดูความสูงของเธอ น่าจะ 170 มั้งนั่น ฉันเลยไม่แข่งกับนายไง”  ไนถอนหายใจ ก่อนจะกระชิบกลับไปอีกครั้ง


    “ดีแล้ว ที่นายไม่แข่ง ไม่งั้นฉันแพ้หลุดลุ่ยแน่ๆ แค่นายดูหล่อเข้มก็พอแรงแล้ว แต่นี้เล่นฝึกได้สองธาตุอีก สาวๆ ที่ไหนจะไม่สนใจกันวะ”  จอห์นกระซิบไปหาไนอีกครั้ง พร้อมกับรีบเดินตามหญิงสาวไปอย่างกระตือรือร้น ส่วนไนก็ยิ้มให้กับท่าทีของจอห์นแล้วออกเดินตามไป


             ทั้งสามเดินผ่านอาคารหลังใหญ่หลายหลังที่มีความสูงตระหง่าน โดยที่แต่ละอาคารก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน ซึ่งอาคารเหล่านั้นคือ ที่ทำการของหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นหน่วยงานด้านปกครองที่ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข และครั้งนี้ต่างไปจากที่เดินในเมืองที่ผู้คนจะก้มโค้งคำนับทำความเคารพหญิงสาว แต่กลายเป็นหญิงสาวต้องก้มหัวเคารพแทน แต่ก็เป็นบางบุคคลเท่านั้น นั่นก็คงจะแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้นต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าเธอ

             เมื่อมาถึงหน้าตัวปราสาทหลังใหญ่ที่มียอดสูงเทียมฟ้า ท่าทีของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นชายตรงหน้าที่ยืนรอรับคนทั้งสามอยู่ เขาแต่งตัวดูมีภูมิฐาน อยู่ในชุดเหมือนเครื่องแบบอะไรสักอย่างที่มีเครื่องหมายเหรียญตราต่างๆ ติดอยู่เต็มไปหมด


    “พระองค์ไม่น่าจะออกมาเช่นนี้นะคะ”  หญิงสาวในชุดเกราะขลิบทองเอ่ยออกไป หลังจากที่เธอคุกเข่าลง แต่ยังชันเข่าข้างขวาไว้ พร้อมด้วยการก้มหัวลงเพื่อเป็นการเคารพ


             เมื่อชายทั้งสองได้เห็นการทำความเคารพของหญิงสาว ประกอบกับการพูดจาต่อชายคนดังกล่าวนั้น ก็ทำให้รู้ทันทีว่าชายคนดังกล่าวเป็นคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตที่สุดในเมืองนี้ และทุกคนต้องให้การเคารพ แต่กลับกลายเป็นว่าชายคนดังกล่าวเดินเข้ามาใกล้พวกเขา แล้วก้มหัวให้เล็กน้อย


    “ทะ ท่านไม่ต้อง ... เป็นผมมากกว่าที่ต้องทำความเคารพ” ไนตกใจเมื่อเห็นชายคนดังกล่าวแสดงความเคารพเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำความเคารพตอบกลับ โดยแสดงท่าทางเหมือนกับหญิงสาวในชุดเกราะ ส่วนทางจอห์นก็ทำเช่นกัน


    “ลุกขึ้นเถิดท่านทั้งสอง ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเป็นราชาของเมืองนี้ แต่ท่านคือคนที่สามารถใช้ธาตุได้สองธาตุแล้วนั้น มนุษย์อย่างเราก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับท่านได้แล้วล่ะ เจ้าก็ลุกขึ้นได้แล้วมินาล่า”  พระราชาแห่งเมืองบอกกล่าวแก่คนทั้งสามที่กำลังแสดงความเคารพต่อเขา


    “หา! นี่หรือคะ ท่านผู้ใช้ได้สองธาตุ”  มินาล่ารีบแสดงความเคารพต่อไนทันที เมื่อเธอรู้ว่าคนที่เธอคุยด้วยมาตลอดเป็นคนที่สูงส่งมากเพียงใด


    “ข้าน้อยขออภัยท่านทั้งสองที่ล่วงเกิน  โดยไม่ได้แสดงความเคารพ โดยเฉพาะท่านไน”  มินาล่ากล่าวอีกครั้ง พร้อมลุกขึ้นมาจากท่าแสดงความเคารพ แล้วอยู่ในอาการสำรวม


             พระราชาแห่งไนตราถึงกับเผยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข เมื่อเห็นท่าทีของมินาล่า จากนั้นพระองค์ก็เชื้อเชิญให้หนุ่มๆ ผู้มีพลังธาตุเข้าไปด้านในตัวพระราชวัง หรือตัวปราสาทอันสูงตระง่านที่อยู่เบื้องหน้า และไม่ว่าพวกเขาเดินไปทิศทางใดก็จะมีคนคอยให้ความเคารพอยู่เสมอ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรูปของราชาองค์ปัจจุบันแขวนอยู่ตรงด้านในสุด

             ภายในห้องดังกล่าวกว้างใหญ่โอ้อ่า ที่ใจกลางของห้องมีโต๊ะรูปวงรีวางอยู่ พร้อมด้วยเก้าอี้อีกนับสิบที่วางชิดขอบโต๊ะไว้ ที่ปลายด้านหนึ่งของวงรีใกล้ๆ กับรูปราชาองค์ปัจจุบัน จะเป็นเก้าอี้ตัวที่ดูวิจิตรงดงามมากกว่าเก้าอี้ตัวอื่นๆ วางอยู่ นั่นก็คงจะเดาไม่ยากว่าเป็นของใคร


    “ท่านทั้งสองเชิญนั่ง”  หลังจากที่องค์ราชานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่วิจิตรงดงามแล้วนั้น ก็เอ่ยปากขึ้น


             ไน และจอห์นก้มหัวทำความเคารพเล็กน้อยก่อนนั่งลง ส่วนทางด้านของมินาล่า หลังจากที่เธอมาส่งพวกเขาให้มาถึงตัวองค์ราชาแล้ว เธอก็ขอตัวออกไปจัดการธุระบางอย่างตามที่องค์ราชาสั่ง


    “ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าจะมีคนพิเศษอย่างท่านทั้งสองมาที่นี่เวลานี้ เหมือนกับเป็นลิขิตแห่งเทพจริงๆ”  ราชาวัยกลางคนกล่าว


    “ว่าแต่พระองค์รู้ได้อย่างไร ว่าพวกเราเข้ามาในเมือง”  จอห์นเอ่ยถามข้อสงสัยของเขา


    “ก็อัญมณีแห่งแสงยังไงล่ะ มันบอกว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่เข้ามาในตัวเมือง ข้าจึงส่งมินาล่าไปตามหาพวกท่าน แล้วให้พามาหาข้า”  พระราชาเอ่ยตอบ


    “แล้วที่ให้ไปตามพวกเรามาเข้าเฝ้ามีเรื่องอะไรกันครับ”  จอห์นถามองค์ราชาอีกครั้ง


    “ก็ไม่เชิงหรอกนะท่านทั้งสอง แต่เอาเรื่องของท่านก่อนเถอะ ท่านทั้งสองคงไม่ได้จะมาที่นี่เพียงเพื่อจะมาเที่ยวเล่นเป็นแน่”  พระราชาตอบคำถาม พร้อมกับยิงคำถามกลับไปหาหนุ่มทั้งสอง แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตอบกลับ จู่ๆ ก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมกับรายงานเรื่องอันน่าตกใจให้พระราชาฟัง

     


             ความโกลาหลเกิดขึ้นที่ด้านหน้าตัวเมือง ผู้คนมากมายต่างพากันทำลายข้าวของอย่างบ้าคลั่ง บางคนก็บุกเข้าไปยื้อแย่งอาวุธจากทหาร แม้กระทั่งเข่นฆ่าเพื่อให้ได้อาวุธมาก็มี


    “พวกมนุษย์นี่อ่อนแอกันเสียจริงๆ เพียงแค่โดนคลื่นพลังเสียงเข้าไป ก็ถูกควบคุมจิตใจซะแล้ว”  ชายร่างสูงใหญ่กล่าวออกมา พลางยืนมองความโกลาหลในตัวเมือง


    “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่รึ งั้นข้าขอตัวไปจัดการส่วนของข้าก่อนแล้วกัน”  ชายอีกคนใบหน้าขาวซีด ดวงตาสีแดงสดกล่าว พร้อมกับแยกตัวออกไป


             ชายร่างสูงใหญ่มองตามชายใบหน้าขาวซีดที่หายไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แล้วจึงหันกลับไปสนใจที่ความโกลาหลต่อ แต่จู่ๆ เขาก็ต้องกระโจนถอยหลังมาสองสามก้าว เพื่อหลบเปลวไฟที่พุ่งมาจากด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว เขาหันกลับไปมองต้นตอที่เกิดลูกไฟนั้นทันที

    “ยังไม่ตายอีกเหรอเนี่ย อึดจริงๆ งั้นคราวนี้คงต้องจัดการครั้งเดียวจบ”  เขากล่าวออกไปเมื่อเห็นชายคนหนึ่งที่โจมตีด้วยเปลวไฟมาที่เขา


             หลังจากที่ชายร่างสูงใหญ่กล่าว เขาก็เริ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างถี่ๆ เสื้อผ้าเริ่มฉีกขาดทีละส่วน ผิวหนังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผิวหนังมันวาวสีดำขลับ แขนทั้งสองก็กลับกลายไปเป็นปีกหนังขนาดใหญ่ แล้วค่อยๆ บินขึ้นบนท้องฟ้า

             บัดนี้ชายร่างสูงใหญ่กลายร่างกลับไปเป็นร่างที่แท้จริงของสัตว์อสูรค้างคาวขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าเทียบกับชายตรงหน้าก็คงจะต่างกันราว 5 เท่า แต่ชายผู้ใช้ไฟก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ ทั้งนั้น เขายืนรวบรวมสมาธิเพื่อทำอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ปรากฏให้เห็นเป็นเปลวไฟบนฝ่ามือทั้งสองของเขา แล้วเขาก็จัดร่างกายในท่าเตรียมรับมือกับอสูรค้างคาวที่อยู่ตรงหน้า

    "พรึบ!"

             เสียงขยับปีกของอสูรค้างคาวดังขึ้นข้างๆ หูของผู้ใช้ไฟ ซึ่งพร้อมๆ กับที่เปลวไฟในมือของเขามอดดับลงทันทีอย่างไม่ทราบสาเหตุ


    “มันจบเร็วกว่าที่คิด”  คำสบถของอสูรค้างคาวกล่าวออกมา หลังจากที่จัดการกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าสำเร็จ พร้อมกับบินวกกลับไปสังเกตการณ์ที่หน้าตัวเมืองต่อไป โดยไม่แม้แต่จะหันไปเหลียวมองร่างอันไร้วิญญาณของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×