ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาศึกพลังแห่งธาตุ

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนพิเศษที่ 2 : สารขอความช่วยเหลือ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 54
      2
      25 ส.ค. 57

    ตอนพิเศษก่อนเปิดเนื้อเรื่องหลัก

    (รอรับสมัครต่างๆ แล้วเสร็จ แล้วที่เนื้อหาออกจะสั้นๆ เพราะอยากให้อ่านเล่นๆ ก่อนเนื้อเรื่องหลักครับ)

     

    ตอนพิเศษที่ 2 : สารขอความช่วยเหลือ

    “ให้ไวเลยครับ คุณชาย ช้านะเราน่ะ” ไนเอ่ยตะโกนขึ้นเมื่อเห็นจอห์นเพื่อนของเขาที่กำลังเดินมา คงเพราะจากความสูงใหญ่จึงเห็นได้จากไกลๆ

    “โห! กว่าฉันจะย่างก้าวได้แต่ละก้าว ลำบากเลยนะเฮ้ย นายมันตัวเล็กใช้พลังงานในการเดินน้อย” จอห์นกล่าวออกมาหลังจากที่ขึ้นมาบนเรือเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับนอนแผ่อย่างเหนื่อยอ่อนลงกลางเรือทันที

             เรือลำดังกล่าวเป็นเรือใบ ขนาดความยาวของเรือราวๆ 10 เมตร กว้างประมาณ 4 เมตร มีใบเรือขนาดใหญ่ผูกติดขึงตึงกับเสาเรือ มีหางเสือให้คอยบังคับที่ท้ายเรือ เรือดังกล่าวเหมาะกับการเดินทางเฉพาะช่วงฤดูที่ไม่มีพายุเท่านั้น เรือลำนี้ต้องใช้กระแสน้ำ หรือลมช่วยในการให้มันเคลื่อนไป ถ้าจะพายมันไปล่ะก็คงจะนานมาก เพราะส่วนใหญ่ลูกเรือจะจำกัดอยู่เพียง สามถึงสี่คนเท่านั้น ถึงจะพายไปก็จะเหนื่อยเปล่านั่นเอง

    “ในเมื่อลูกเรือพร้อมแล้ว งั้นกัปตันไนผู้นี้ก็ขอออกเรือนะครับ” ไนกล่าวออกมาให้จอห์นได้รับรู้

             ไนใช้พลังธาตุลมที่เขามีอยู่บังคับอากาศให้ไหลเวียน จนเกิดเป็นลมที่พัดแรงขึ้น แล้วให้เข้าไปปะทะกับใบเรือ ไม่นานเรือก็แล่นออกจากฝั่ง ฝั่งที่เป็นน้ำแข็งขาวโพนสุดลูกหูลูกตา และจุดหมายปลายทางของพวกเขานั้นคือ นครแห่งแสงเหนือไนตรา ซึ่งเส้นทางยังอีกยาวไกล และสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องเดินทางไปยังชายฝั่งของมหาทวีปไนโอเมียให้เร็วที่สุด นั่นก็คงจะอีกราวๆ 2 วันกว่าๆ คงจะด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอเมื่อมีกระแสลมที่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ แต่ถ้าเป็นการเดินทางปกติที่ต้องอาศัยลมของท้องทะเล ก็คงจะต้องใช้เวลากว่า 4 วัน หรืออาจจะนานกว่านั้นถ้าลมสงบ

             การเดินทางผ่านไปกว่า 7 ชั่วโมงซึ่งตอนนี้ก็มืดแล้ว แสงดาวยามค่ำคืนส่องสว่างทั่วท้องฟ้า พร้อมด้วยแสงนวลผ่องของจันทราที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ไนที่เคยใช้พลังธาตุลมช่วยให้เรือแล่นไป บัดนี้เขาลงไปนอนหลับสนิทอยู่กลางลำเรือเป็นที่เรียบร้อย และก็ปล่อยให้จอห์นเป็นคนบังคับเรือแทน

             จอห์นใช้พลังธาตุน้ำของเขาบังคับน้ำในท้องทะเล เพื่อให้เกิดเป็นกระแสน้ำผ่านใต้ลำเรือ และให้เรือได้แล่นไปตามกระแสน้ำที่เขาสร้างขึ้นนั้น แต่การเดินทางจะช้ากว่าของไนลงไปอีกสามชั่วโมง แต่ก็ยังเร็วกว่าปกติอยู่ดี

             หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางยาวนานเป็นวันสองวัน ทั้งต้องสลับเปลี่ยนกันเป็นคนบังคับเรือ อีกคนก็พักผ่อน จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมายแรก และตอนนี้ก็เป็นเวลาราวๆ บ่ายสอง พวกเขาลงจากเรือที่หาดเล็กๆ ซึ่งพอจะขึ้นฝั่งได้ นอกนั้นจะเป็นโขดหินชันบ้าง หน้าผ้าสูงบ้าง จึงไม่เหมาะจะขึ้นฝั่ง ส่วนพื้นที่ด้านหน้าพวกเขาเป็นเขตภูเขาสูงอันยิ่งใหญ่ขวางกลั้นพวกเขาไว้ แต่เส้นทางที่พวกเขาเลือกกลับต้องเดินผ่านภูเขาสูงพวกนี้ไปเท่านั้น ถ้าเป็นดังที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ การเดินทางก็จะจบลงในเร็ววัน แต่ถ้าผ่านภูเขาเหล่านี้ไปได้ในเร็ววันเท่านั้น เดิมทีถ้าพวกเขาใช้เส้นทางที่เสี่ยงน้อยที่สุด และไวที่สุดสำหรับคนปกติที่เดินทาง จะต้องเดินทางด้วยเรือ โดยจะต้องอ้อมไปยังแม่น้ำที่ตัดเขาสู่แผ่นดินของพื้นทวีป และแล่นเรือผ่านแม่น้ำสายยาวนั้นไปจนถึงตัวเมือง แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาเพิ่มไปอีกหลายสิบวันเลยทีเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเส้นทางที่ต้องจอดเรือไว้ และผ่านเส้นทางอันสูงชันของหุบเขาไป ถ้าผ่านอุปสรรคทุกอย่างได้ด้วยดี พวกเขาจะถึงที่หมายในอีก 9 วันเท่านั้น

    “เอ้า กินข้าวเอาแรงซะหน่อย ไน ต่อไปคงต้องเดินเท้าขึ้นเขาอีก” จอห์นโยนห่อข้าวที่ถูกห่อด้วยใบไม้ใบใหญ่ให้ไน พร้อมกับอธิบายเรื่องการเดินทาง

    “ฉันหวังว่า จะเจอที่แห้งๆ ไม่อับบนนั้นในการพักคืนนี้นะ” ไนพูดกับเพื่อนของเขา พลางหยิบอาหารในมือเข้าปากกิน แต่ทันทีที่จะเอาเข้าปาก กลับมีวัตถุบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งตกลงมายังก้อนอาหารที่อยู่ในมือพอดี

    “เอรี๊ย! เฮ้ยขี่นก! ไอ้บ้าเอ๊ย! มันขี้มาไงวะ! ไนตะโกนโวยวายทันทีเมื่อรู้ว่าวัตถุชิ้นนั้นคืออะไร ทางฝ่ายจอห์นหัวเราะลั่นทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    “เดี๋ยวๆ ถึงจะเป็นขี้นก แต่นี่มัน สารขี้นกนี่นา มันเป็นสารขอความช่วยเหลือรูปแบบหนึ่งน่ะ” ไนลองสังเกตอีกทีจึงรู้ว่ามันเป็นสารข้อความ

             ขี้นกที่ตกลงมาในก้อนอาหารที่ไนกำลังจะเอาเข้าปากนั้น จู่ๆ มันก็เริ่มเคลื่อนที่  และเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากเป็นก้อนน้ำเหลวๆ สีเขียว และขาวขุ่น จนกลายเป็นข้อความที่อ่านได้

    “ช่วยด้วย ที่ไนตรา เกท” ไนอ่านข้อความนั้นออกมาให้จอห์นได้รู้ด้วย

    “หืม! สารจากไอ้เกทนี่นา มันไปทำอะไรกัน” จอห์นเอ่ยขึ้นทันทีหลังรู้เรื่องราว

             สารขี้นก เป็นสารฉุกเฉินหนึ่งในสารข้อความ 3 รูปแบบ โดยสารข้อความชนิดนี้มักจะไม่ค่อยมีผู้ใดรู้ว่ามันเป็นการส่งสารด้วย มีเพียงคนในวงการส่งสารอย่างแท้จริงเท่านั้นที่รู้ ทุกคนมักจะรู้จักแค่ สารเสียง และสารโลหิตเท่านั้น ซึ่งสารเสียงนั้น เป็นสารข้อความที่บอกเสียงผ่านสายลมไปให้คนที่เราจะสื่อสารด้วย ซึ่งเป็นสารที่ใช้กันทั่วไป เพราะง่าย และสะดวก แต่มีข้อเสียตรงที่ว่า ถ้ามีใครคนอื่นอยู่ด้วยตอนได้รับสารก็จะได้ยินไปด้วย ส่วนอีกรูปแบบมันถูกเรียกว่า สารโลหิต หรือสารวิญญาณ เป็นสารข้อความที่ดูจะปลอดภัยที่สุด แต่มีข้อเสียตรงที่ผู้ส่งสารจะต้องเคยทำพันธะสัญญาวิญญาณกับผู้รับสารด้วย และการเปิดอ่านสารจะต้องใช้เลือดสดๆ ในการเปิด แต่ถ้าไม่ใช่คนที่ทำพันธะสัญญาวิญญาณด้วย และพยายามจะเปิดอ่าน สารดังกล่าวก็จะทำลายตัวเองทันที ดังนั้นสารโลหิตจึงปลอดภัยที่สุดนั่นเอง

             การส่งสารฉุกเฉินมักจะใช้คำสั้นๆ ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ช่วงของข้อความ โดยช่วงแรกเป็นข้อความฉุกเฉินที่ต้องการจะบอกกับผู้รับ มักจะใช้กันสองพยางค์ ช่วงที่สองจะบอกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอยู่ที่ใด และช่วงสุดท้ายจะลงชื่อว่าเป็นใครส่งสารมาให้

    “ครั้งที่สามของมันแล้วมั้ง มันไปทำอะไรอีกล่ะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะยังไงมันก็เป็นเมืองที่จะไปพอดี งั้นเราก็เร่งการเดินทางเข้าหน่อยแล้วกัน เอาเป็นว่าต้องข้ามเขาให้เร็วที่สุดแล้วกัน” ไนถอนหายก่อนจะเอ่ยออกมา พร้อมกับเดินไปล้างไม้ล้างมือ แล้วกลับมานั่งกินข้าวต่อไป

    “ว่าไงก็ว่าตามกัน” จอห์นกล่าวสนับสนุนไน แล้วก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังหุบเขาอันยิ่งใหญ่ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า “ก็ได้แต่หวังว่าข้างบนนั้นจะมีลานกว้างล่ะนะ” เขากล่าวออกมาอีกครั้ง พลางก้มหน้าลงไปสนใจห่อข้าวที่กินค้างไว้ต่อ



             แสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องมาอีกครั้ง ภายใต้บรรยากาศของเมืองที่มียอดปราสาทสูงเทียมฟ้า เหล่าผู้คนกำลังเริ่มจับจ่ายใช้สอยกันในตลาดยามเช้า และอากาศที่เย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ก็ทำให้เห็นผู้คนได้ออกมาเดินออกกำลังกายตามสวนสาธารณะที่ต่างๆ ภายในเมืองเต็มไปหมด

    “ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเมืองนี้น่ะ” ไนสูดอากาศเขาไปเต็มปอดก่อนจะเอ่ยออกมา

    “มีความสุขสงบทุกครั้งที่มาจริงๆ” จอห์นก็ทำเช่นเดียวกันกับเพื่อนของเขา

             หลังจากทั้งสองยืนสูดอากาศอยู่สักครู่ จึงพากันเดินไปหาอะไรลองท้องที่ตลาดยามเช้าต่อ ทั้งสองเดินเลือกหาของกินที่เต็มไปหมดในตลาด แต่ไม่นานก็มีบางอย่างมาขัดขวางความสุขกับการเลือกของกินของพวกเขา

    “สวัสดีค่ะ ท่านทั้งสอง ไม่นึกว่าพวกท่านจะมาเยือนที่แห่งนี้ในเวลาแบบนี้ได้ มันคงจะบังเอิญ หรือลิขิตสวรรค์เป็นแน่ แต่ยังไงขอให้ท่านทั้งสองตามข้ามาหน่อยจะได้หรือไม่” หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเกราะขลิบท้องเหมือนกำลังเตรียมออกรบกล่าวถามไน และจอห์น เมื่อทั้งสองได้ฟังเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร พร้อมกับออกเดินตามไปแต่โดยดี

    “นี่ล่ะแม่ของลูกฉันล่ะ ไอ้ไน” จอห์นเบี่ยงหน้าไปกระซิบข้างๆ หูของไน ก่อนที่จะหันกลับไปมองหญิงสาวในชุดเกราะคนนั้น ด้วยสีหน้าท่าทางอันมีความสุข

    “เออ ระดับนางฟ้าเลยล่ะนั่น” ไนกล่าวออกมากว้างๆ จนทำให้หญิงสาวคนดังกล่าวหันมามอง แต่ไนก็ทำหน้าตาย และยิ้มกลับไปหาจอห์นที่กำลังหน้าแดงอยู่

             คนทั้งสามเดินผ่านทางสายหลักของเมือง และเป็นที่เตะตาของเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นด้วย ไม่ว่าจะผ่านไปทางใด ผู้คนมักจะก้มหัวแสดงความเคารพให้กับหญิงในชุดเกราะที่เดินนำหน้าไน กับจอห์นอยู่เสมอ และการมาเยือนที่เมืองนี้อีกครั้งของคนทั้งสองมันต่างไปจากครั้งก่อนๆ เพราะดูเหมือนว่าจอห์นจะมีความสุขมากทีเดียว ก็คงจะเนื่องจากได้เห็นหญิงสาวในชุดเกราะคนนี้ ที่เมื่อแรกเห็นก็หลงรักเข้าให้แล้ว 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×