ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    13 Guardians ตอน Pannamarine เสียงเพลงแห่งการเพรียกหา

    ลำดับตอนที่ #5 : บท 4 เมื่อเสียงเพลงเพรียกหา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 64
      0
      3 ม.ค. 56

     

    บท 4 เมื่อเสียงเพลงเพรียกหา

     

    16 พฤษภาคม ศ.ผ. 6017

    มารีเนสต์ (Marinest) เป็นคำสนธิ มาจากคำว่า มารีน (Marine) บวกกับคำว่า เนสต์ (Nest) แปลว่ารวงรังแห่งห้วงสมุทร เป็นหนึ่งในอาณาจักรทั้งสิบสามของแพนเจีย

    แพนเจียหมายถึงผืนแผ่นดินใหญ่ โลกแพนเจียจึงหมายถึงโลกที่มีแผ่นดินผืนใหญ่แผ่นเดินเดียว โดยเกาะขนาดใหญ่นี้กินพื้นที่ประมาณหนึ่งในเจ็ดของพื้นผิวโลกทั้งหมด มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยวตั้งตามแนวเหนือ – ใต้ ดินแดนที่เรียกขานว่ามารีเนส์ตั้งอยู่ในคุ้งอ่าวจันทร์เสี้ยวนั่นเอง ถ้ายังนึกไม่ออกขอแนะนำให้ไปเสิร์ชคำว่าแพนเจียในกูเกิล มารีเนสต์กินพื้นที่ของมหาสมุทร Paleo – Tethys เป็นรูปครึ่งวงกลมติดกับชายฝั่งยูเรเชียไปจนถึงตอนเหนือของอินเดีย...อันนี้หมายถึงถ้าเทียบกับแผนที่โลกของเราน่ะนะ...

    อาณาจักรมารีเนสต์เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่กลางสมุทร บริเวณชายฝั่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งสร้างที่พักและถนนหนทางไว้เหนือน้ำเป็นส่วนใหญ่ แต่ยิ่งลึกเข้าไปในท้องทะเล อาคารทั้งหลายก็ค่อยๆ ลงไปอยู่ใต้น้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งบริเวณชายขอบด้านที่ลึกที่สุดของอาณาจักรด้วยแล้ว แม้แต่หอคอยที่สูงที่สุดยังพ้นน้ำขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น

    และหอคอยดังกล่าวจะเป็นที่ไหนได้อีกถ้าไม่ใช่ยอดสุดของโอนอลล่าคาสเซิ่ล ที่อยู่ของตระกูลโอนอลล่า ตระกูลที่ปกครองดินแดนแห่งห้วงสมุทรแห่งนี้

    คนตระกูลโอนอลล่าสืบเชื้อสายกันมาช้านานในฐานะเจ้าผู้ครองนคร โดยแบ่งออกเป็นสองฝ่ายซึ่งก็ต่างเป็นเครือญาติกันทั้งสิ้น ทั้งสองฝ่ายนี้จะผลัดกันเป็นฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลกันฝ่ายละสองปีโดยผู้นำของแต่ละฝ่ายนปัจจุบันคือท่านหญิงมารีเน่ โอนอลล่าอยู่ฝ่ายซ้าย และท่านเวรีเวอร์ โอนอลล่าอยู่ฝ่ายขวา ทั้งสองแต่งงานกันและมีลูกด้วยกันสององค์ ซึ่งมีศักดิ์เทียบเท่าเจ้าชายและเจ้าหญิงของดินแดนแห่งนี้

    เอ่อ...อย่างเพิ่งคิดว่าคนตระกูลนี้แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายนะคะ เพราะถึงแม้ตอนกลางวันจะเถียงกัน แต่ตอนเย็นก็ยังทานข้าวด้วยกันทั้งตระกูลอยู่ดี

    เนื่องจากโอนอลลาสคาสเซิลตั้งอยู่ใต้น้ำ ห้องส่วนใหญ่จึงมีแต่น้ำอยู่เต็มจรดเพดาน มีเพียงบางห้องเท่านั้นที่ใช้ระบบประตูสองชั้นและสูบน้ำออกจนแห้งเหมือนอยู่บนบกตลอดเวลา อย่างเช่นห้องครัว ห้องอาหาร (คงไม่สนุกนักถ้าข้าวผัดที่เพิ่งตักขึ้นมาจากจานลอยละล่องไปทั่ว หรือน้ำในแก้วไหลออกมาร่วมกับน้ำในห้อง...ทำนองนั้น)

    ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ดวงดาวพราวระยับจากฟากฟ้าสะท้อนประกายอยู่ในน้ำเหนือมารีเนสต์ที่กำลังหลับไหลอย่างเงียบสงบ แต่องค์หญิงรัชทายาทอันดับที่สองแห่งมารีเนสต์กลับขึ้นมานั่งบนยอดหอคอยสูงที่สุดของปราสาทโอนอลล่าพร้อมกับกีต้าร์โปร่งสีอ่อนตัวหนึ่งวางอยู่บนตัก มือเล็กเกาสายอย่างแผ่วเบาก่อเกิดเสียงใสไล่เรียงกันออกมาเป็นท่วงทำนอง

    ที่ข้างกายองค์หญิงนั่งไว้ด้วยเด็กสาวอีกคนหนึ่ง ผิวขาวของเธอตัดกับเส้นผมยาวถึงสะโพกสีดำสนิททำให้เธอดูซีดไปถนัด ดวงตาสีดำสนิทมองมือเล็กของคนที่กำลังเล่นกีต้าร์ด้วยท่าทางสบายๆ ไร้มารยาทราวกับนั่งอยู่ข้างๆ คนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีศักดิ์สูงกว่าเธอ พร้อมกับร้องเพลงคลอกับเสียงกีต้าร์...ด้วยภาษาที่ไม่น่าจะมีใครในแพนเจียพูดได้

    Bitter sweet memories, that’s all I'm taking with me.

    So, goodbye. Please, don't cry.

    We both know I'm not what you, you need...”

    (I will always love you ของ Whitney Houston ค่ะ)

    ไม่ห่างจากเด็กสาวทั้งสอง ร่างระหงอีกร่างกำลังนั่งฮัมเพลงคลอไปพร้อมกับหวีแผงคอให้สิงโตสีแดงตัวมหึมาที่ลอยนิ่งๆ อยู่เหนือน้ำราวกับนอนอยู่บนพื้น เส้นผมยาวสลวยสีเดียวกับขนของสัตว์เลี้ยงดัดปลายเล็กน้อยของเธอแผ่อยู่เต็มหลังของเจ้าสิงโตทำให้ทั้งสองดูกลมกลืนกันอย่างประหลาด

    “...And I will always love you.

    I will always love you.

    I will always love you...”

    เสียงเพลงสะดุดหยุดลงเพราะคนร้องและคนเล่นรู้สึกได้ถึงกระแสลมที่จู่ๆ ก็พัดแรงขึ้นจนหมุนเป็นวงอย่างไร้สาเหตุ ก่อนที่ร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะก้าวออกมาจากวงสายลมนั้นพร้อมๆ กับโบกมือให้สายลมสลายคืนสู่ภาวะปกติ

    เด็กสาวทั้งสองหันไปยิ้มให้ผู้มาใหม่เป็นการทักทาย มีแต่สาวผมแดงเท่านั้นที่ยังคงฮัมเพลงต่อไปคนเดียวสักพักกว่าจะรู้ตัวแล้วจึงหันมาถามเพื่อนอย่างสงสัย

    “ไหงหยุดร้อง....อ้าว ติช มาได้ไง?”

    “มารับเด็กหลงกลับบ้านน่ะสิ” เด็กหนุ่มตอบหลังจากเบ้หน้าให้คำเรียกที่ฟังยังไงก็ไม่เพราะสักนิดของสาวผมแดง

    “เด็กที่ว่าเนี่ย ใครเหรอ?” ทาเรดิเอเฟโอน่าเบิกตาสีดำของตัวเองจนโตขึ้นอีกเล็กน้อย พลางมองไปรอบๆ อย่างมึนๆ เพื่อหาเด็กที่ว่า

    “เด็กที่ไหนไม่รู้ ถูกเชิญให้ไปเปิดงานมารีนสเตลล่าที่สตาร์เบย์เท่านั้นแท้ๆ แต่มืดค่ำป่านนี้ก็ยังไม่กลับบ้าน จนพี่เลี้ยงที่โน่นเขาเป็นห่วงถึงกับส่งสารวายุไปเชิญฉันให้ออกตามหาเนี่ย” เด็กหนุ่มตอบพลางแจกยิ้มกวนๆ ให้สามสาวก่อนจะเดินตรงไปนั่งข้างเด็กสาวผมแดง “ที่ไหนได้ มานั่งเล่นอยู่บนปราสาทโอนอลล่า”

    “มีปัญหาอะไรเล่า เสร็จงานแล้วมาหาเพื่อนแค่นี้ไม่ได้หรือไง” คนโดนว่าท้วงพร้อมกับเอียงคอซบไหล่อีกฝ่ายอย่างอ้อนๆ พร้อมกับแอบหน้าแดงเพราะความเขิน

    “ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่วันหลังจะไปไหนมาไหนหัดบอกคนอื่นซะบ้างสิคร้าบเจ้าหญิง จะได้ไม่ต้องตามหากันอย่างนี้” คนโดนซบบ่นพลางยกมือขยี้หัวแดงๆ ของอีกฝ่ายอย่างมันส์มือ “อย่างคืนนี้มีท่านทูตจากแลนด์ออฟดอร์นมาหาก็ตามตัวไม่เจอเลยเนี่ย”

    “ง่ะ ติชก็บ่นอยู่ได้” กวางหวินหรือสาวผมแดงเบ้ปากงอนๆ เพราะเถียงไม่ออก เด็กหนุ่มเลยก้มลงเอาหน้าผากชนกับหน้าผากมนเบาๆ อย่างปลอบๆ ก่อนจะหันไปหาสาวน้อยทั้งสองที่นั่งมองทั้งคู่สวีตกับอยู่บนหลังคาหอคอย

    “ไปละ เอาเจ้าหญิงจอมซนไปเก็บก่อน”

    “อือ” ทาเรดิเอเฟโอน่ารับคำพลางเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้ ส่วนองค์หญิงรัชทายาท (อันดับที่สอง) พันนามารีนแอบหัวเราะคิกออกมากับท่าทางจะงอนก็ไม่ใช่ จะเขินก็ไม่เชิงของเพื่อนสาวผมแดงที่ถูกดึงให้ยืนขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

    “งั้นไปก่อนนะ พันนี่ ทัดจัง” สาวผมแดงโบกมือลา ก่อนจะก้าวเข้าไปในวงสายลมที่เด็กหนุ่มสร้างขึ้น เจ้าสิงโตสีแดงตัวโตก็เดินตามเจ้านายเข้าไปอย่างรู้งานและติชก็เดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย

    เด็กสาวทั้งสองมองวงสายลมที่จางหายอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงผื่นน้ำว่างเปล่าเงียบงันสุดสายตา ก่อนจะหันมามองหน้ากันยิ้มๆ

    “คนมีคู่ก็ต้องทำใจน่ะนะ มีคนคอยคุมอย่างนี้” ทาเรดิเอเฟโอน่าเปรยกลั้วหัวเราะ

    “แน่ใจเหรอว่าต้องทำใจน่ะ ไม่ใช่ว่าเต็มใจถูกควบคุม” พันนามารีนหัวเราะคิก “ที่ทัดจังเปรยอยู่เนี่ยก็เพราะอิจฉาล่ะสิ อยากมีคนคอยควบคุม”

    “อ่า ก็นิดนึงมั้ง ฮ่าๆ” สาวผมดำยอมรับแล้วแหย่อีกฝ่ายกลับ “ก็ใครจะไปเหมือนเธอล่ะที่มีคนรอจะควบคุมอยู่แล้วน่ะ แค่รอเรียกเท่านั้น”

    “...” พันนามารีนหน้าแดงวูบกับถ้อยนั้นก่อนจะเออออ “อือ นั่นดิ รอมาชักจะนานแล้วนะ สงสัยเกิดมาชาตินี้เขาคงห่วยลงอ่ะ”

    “แค่เดือนเดียวเองเนี่ยนะ?” ทาเรดิเอเฟโอน่าตวัดเสียงสูง

    “หมายความว่าไง?”

    “...” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถามขององค์หญิง เพียงแต่อมยิ้มเล็กๆ พร้อมกับทำท่าให้เงียบและฟัง

    เสียงไวโอลินดังขึ้นจากความมืดรอบๆ เธอทั้งสอง แผ่วเบาราวกับดังมาจากที่แสนไกล ท่วงทำนองเรียงร้อยเป็นบทเพลงแห่งการเพรียกหา

    เสียงเพลงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เนิ่นนานที่ทั้งสองนั่งฟัง ก่อนที่เด็กสาวที่มีตำแหน่งเป็นองค์หญิงแห่งมารีเนสต์จะยิ้มออกมาอย่างโล่งอก โบกมือลาอย่างร่าเริง และจางหายไปต่อหน้าต่อตา

    เมื่อเสียงเพลงแห่งการเพรียกหาดังครบสาม องค์เวทีแห่งสายนํ้าจักตอบรับ

    เมื่อเจ้าของแห่งบทเพลงหวนคืนกลับ จักขับขานท่วงทำนองพันนามารีน” เด็กสาวผมดำพึมพำกับความมืดที่ล้อมรอบตัวเธออยู่ก่อนจะถอนใจออกมา

    สุดท้ายแล้วมันก็คงต้องจบลงแบบนี้อีกครั้ง จบลงด้วยการที่เธอต้องถูกทิ้งโดดเดี่ยวอยู่ในความมืดมิดที่เงียบสงัด แม้ว่าเธอจะได้เลือกแล้ว แม้ว่าเธอเลือกจะยอมปล่อยให้โชคชะตามอบความโดดเดี่ยวนี้ให้กับเธอ และเลือกแล้วว่าจะไม่มีสักวันที่เธอจะหันหน้าหนีโชคชะตา มีแต่ก้าวไปข้างหาเพื่อวันพรุ่งนี้เท่านั้น ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเจ็บปวด

    เด็กสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกรอบกับความคิดนั้น หมวกฮู๊ดสีดำถูกตลบขึ้นมาคลุมศีรษะซ่อนดวงหน้าขาวซีดไว้ในเงามืดจนมิด มือเล็กถูกซ่อนไว้ในเสื้อคลุมสีเดียวกับหมวกฮู๊ด เธอจึงกลายเป็นเพียงเงาร่างสีดำท่ามกลางความมืด เด็กสาวถอนหายใจออกมาอีกรอบก่อนจะออกเดิน เหยียบลงบนฟองคลื่น ก้าวสู่ความมืดของเงาราตรี โดยไม่รู้สึกถึงประกายตาสีม่วงอมทองที่มองตามเธอไปจนลับสายตา...จากพื้นถนนของเมืองเบื้องล่าง...

     

    เมืองหลวงของฮวาซานตั้งอยู่ในหุบเขาลึก ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูงที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล อย่างตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ สีเขียวขจีครอบคลุมตลอดแนวเขา

    ตอนนี้เป็นยามค่ำคืน เสียเขียวละลานทั้งเข้มและอ่อนของป่าก็กลายเป็นเงามืดที่ไล่โทน ทุกอย่างเงียบสงัด เสียงที่พอจะได้ยินบ้างเป็นบางครั้งก็มีแต่เสียงสายลมอ่อนพัดกิ่งไม้เสียดสีกันเบาๆ นานๆ จะได้ยินเสียงกรอบแกรบเมื่อสัตว์หากินกลางคืนทั้งหลายก้าวพลาดไปเหยียบใบไม้แห้ง

    จู่ๆ โดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุ สวยลมอ่อนหลายสายที่ความจริงแยกย้ายกันซอกซอนไปตามแมกไม้กลับพุ่งเข้ารวมตัวกัน ณ ลานโล่งเล็กๆ กลางป่า ก่อนจะหมุนวนอย่างรวดเร็วจนดูคล้ายหลุมดำกลางอากาศ แล้วร่างของสิ่งมีชีวิตสามร่างก็ผลุดออกจากหลุมดำนั้น

    ทั้งสามได้แก่ หนึ่งเด็กหนุ่ม หนึ่งสาวน้อย และหนึ่งสิงโต

    สิงโตนั้นตัวใหญ่กว่าสิงโตทั่วไป วัดความสูงจากปลายหูถึงพื้นดินเท่าความสูงของม้าเลยทีเดียว แต่ที่แปลกกว่านั้น ขนของมันทั้งตัวเป็นสีแดงสว่าง สะท้อนประกายอยู่ในความมืดจนเห็นเป็นเคร้าโครงชัดเจน โดยเฉพาะแผงคอดูจะเป็นประกายเป็นพิเศษ

    ส่วนสาวน้อยคนนั้น เธอไม่ได้สูงชะลูดแต่ก็ไม่เตี้ย รูปร่างได้สัดส่วนค่อนข้างจะมากไปด้วยซ้ำ ยิ่งเธอสวมเสื้อผ้าแนบกับร่างยิ่งเห็นสัดส่วนได้แม้ในความมืด อกเป็นอก เอวเป็นเอว แขน ขา มือ เท้า เรียวบางขาวผ่อง นิยามได้เพียงอย่างเดียวว่าไร้ที่ติ ใบหน้าของเธอก็เช่นกัน ดวงหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยผมสีแดงแบบเดียวกับสีขนของเจ้าสิงโตยาวจรดเอวดัดเป็นลอน ดวงตาคมแวววาวสีแดงหน่ม คิ้วคม จมูกโด่ง ปากสวย คาง โหนกแก้ม ทุกอย่างดูลงตัวอย่างหน้าประหลาด เรียกได้ว่างามพร้อมที่สุด

    และสุดท้ายคือเด็กหนุ่มร่างโปร่ง สูงกว่าเด็กสาวผมแดงประมาณหนึ่งช่วงศีรษะ ผิวคล้ำกลืนกับความมืด และผมกลับเป็นสีขาวแบบหิมะ ใส่ชุดสีขาวแบบหิมะจนกลายเป็นจุดเด่นที่สุดในที่นี้ เขายกมือขึ้นโบก หลุมดำที่เกิดจากสายลมก็กระจายตัวออกกลายเป็นลมอ่อนตามปกติ

    จากนั้น เขาก็เหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้าสิงโต ก่อนจะก้มลงมาดึงร่างของสาวผมแดงขึ้นไปนั่งบนตักพร้อมกับโอบร่างของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ

    “ติชอ้ะ ทำไมไม่พาเค้าไปส่งบ้านล่ะ มาลงกลงป่าแบบนี้ทำไมเนี่ย” เสียงบ่นของเด็กสาวดังขึ้นพร้อมกับตีแขนที่โอบเอวเธออยู่แบบไม่ค่อยจะยั้งมือเท่าไหร่ดังเพี๊ยะ

    “ไม่ชอบหรือไง?” คนถูกตีตอบกลั้วหัวเราะพร้อมกับก้มลงฝังจมูกลงกับแก้มของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แดงพอๆ กับสีผมไปแล้ว

    เงียบ ไม่มีเสียงตอบ เพราะคนถูกถามเขินจนพูดอะไรไม่ออก และเพราะว่าเธอไม่อยากตอบ ก็แหม...ใครจะไม่ชอบเล่า กว่าพวกเธอจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ต้องรอตั้งนาน ก็ขออยู่ด้วยกันนานหน่อยจะเป็นไร

    “เอ้า ถึงชายป่าแล้ว” คนตัวโตบอกพลางปล่อยแขนที่โอบกอดร่างหอมกรุ่นของอีกฝ่ายพร้อมกับกระโดดลงจากหลังสิงโตตัวใหญ่ก่อนจะหันไปตอบสายตางงๆ ของเด็กสาว “เธอก็ไปต่อเองสิคะ มาส่งตั้งขนาดนี้แล้วเนี่ย”

    “ฮะ?” คนถูกทิ้งทำหน้างงก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ ยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเรียกเสือโคร่งตัวโตออกมาจากถุงผ้าข้างกระเป๋า สีหน้าไม่พอใจก็ยิ่งบูดบึ้งกว่าเดิม “อะไรอ่ะติช ไปส่งถึงที่ก็ไม่ได้หรือไง?”

    “ก็มันไม่จำเป็นนี่ จะไปทำไม ไม่ได้อยู่ในงานสังคมอะไรพวกนั้นของเธอซักหน่อยจะได้ต้องทำตัวอย่างกับอัศวินกับเจ้าหญิงแบบนั้น” อีกฝ่ายตอบด้วยสิ่งที่ตัวเองคิดว่า...เป็นเหตุเป็นผลดี

    “อ้าว ไหงพูดเงี้ย? ฉันก็อยากจะมีความรักสวยงามแบบนั้นนี่ ฉันเป็นเจ้าหญิง ติชเป็นอัศวิน คอยดูแลฉัน ไปส่งฉัน” อีกคนท้วง

    “แบบนั้นไม่เห็นแฟร์เลย อัศวินสู้เพื่อเจ้าหญิง แล้วเจ้าหญิงทำอะไรเพื่ออัศวินบ้างนอกจากอยู่เฉยๆ เหมือนคนไม่มีมือไม่มีเท้า” คนคิดว่าตัวเองมีเหตุผลพูดพร้อมกับก้าวขึ้นไปบนหลังเสือโคร่งก่อนจะหันกลับมาปิดบทสนทนา “กลับดีๆ ล่ะ อย่าเถลไถล เดี๋ยวจักรพรรดิเป็นห่วง”

    ร่างบางเจ้าของเรือนผมสีแดงนั่งมองเงาหลังอีกฝ่ายอยู่บนหลังสิงโตของเธออย่างไม่พอใจ ดวงตาสีแดงคมกริบรื้นด้วยน้ำตา ก่อนที่เจ้าตัวจะสะบัดหน้ากลับพร้อมกับสั่งเจ้าสิงโตให้มุ่งหน้ากลับ...บ้าน

    สิงโตตัวใหญ่เดินผ่านถนนที่เงียบงันเพราะกำลังหลับไหลก่อนจะมาหยุดลงด้านหน้าของปราสาทหลังใหญ่บริเวณกลางเมือง เด็กสาวก้าวลงจากหลังพาหนะของเธอก่อนจะวิ่งเข้าไปในปราสาท ตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง

    “จะรีบไปไหนน่ะน้องกวางหวิน” เสียงเข้มของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เป็นเหตุให้เด็กสาวชะงักเท้าก่อนจะรีบหันมายิ้มน่ารักให้เจ้าของเสียงที่เรียกรั้งเธอไว้

    “ไปหาแม่น่ะค่ะท่านพ่อ เห็นว่าท่านเป็นห่วงมาก”

    “ก็น่าอยู่หรอก ก็หนูเล่นหายตัวไปแบบนี้ ไม่น่ารักเลยนะ” คนเป็นพ่อดุลูกสาวเสียงเข้มก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงไล่  “จะไปหาแม่ก็รีบไป พ่อฝากบอกแม่ด้วยว่าคืนนี้พ่อจะไปหาป้านารุโกะ”

    ชายวัยกลางคนร่างสูงสง่าพูดจบก็หันหลังเดินออกไป ปล่อยให้สาวน้อยผมแดงที่ถูกเรียกว่า “น้องกวางหวิน” ย่อตัวลงทำความเคารพเงาหลังของ “ท่านพ่อ” ของเธอด้วยแววตาตัดพ้อ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปอย่างสง่างามตามแบบฉบับเจ้าหญิงทุกกระเบียดนิ้ว...เผื่อว่าอีกฝ่ายจะหันกลับมามอง

    “กวางหวิน ทำไมช้าจังลูก” เสียงถามดังขึ้นทันทีที่เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขกของห้องนอนเธอ

    “โทษทีค่ะแม่” เด็กสาวตอบพร้อมกับกระโจนเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างโต๊ะรับแขกอย่างเป็นกันเองพลางดึงมงกุฏบนหัวออกอย่างแรง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×