ตอนที่ 10 : CLOUDY 9
CLOUDY
9
ธันวาคม ปี 2005 , Pennsylvania
ความหนาวเย็นของฤดูกาลหมุนมาบรรจบ เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เคยมีแสงแดดสดใส พลันหายไปเหลือเพียงความมืดครึ้มของอากาศและความเยือกเย็นพัดผ่านผิวกาย เกล็ดของความเย็นค่อยๆรั่วหล่นลงมาจากท้องฟ้า มันเป็นหิมะแรกที่ทุกคนล้วนเฝ้ารอตลอดในช่วงเวลาใกล้สิ้นปี เกล็ดประกายระยิบระยับนั้นมันตกลงมาสองวันก่อนวันขอบคุณพระเจ้า เมื่อความขาวโพลนค่อยๆครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ฟังดูเป็นเรื่องที่ดีและเราต่างรอคอยเพื่อนที่จะได้กลับบ้าน... บ้านที่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายสำหรับวันหยุดยาว แต่มันกลับดูเป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับเขา สำหรับคิมจงอินผู้ไม่เคยคาดหวังสำหรับวันหยุดใดๆ
เขาไม่เคยคาดหวังถึงของขวัญจากกล่องใบใหญ่ในวันคริสมาส
เขาไม่เคยคาดหวังถึงของขวัญในวันเกิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่วันที่แม่ได้จากไป...โลกทั้งใบของเขาเหมือนฤดูหนาวที่ยาวนาน
จงอินพบว่าความสุขเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากขึ้นกว่าเดิม หรืออันที่จริง ความรู้สึกของเขามันค่อยๆลดลง... จากความคาดหวัง กลายเป็นความรู้สึกหลงเหลือเพียงน้อยนิด จนสุดท้ายแล้วมันกลายเป็นความเคยชิน เขาเคยชินกับการเมินเชยสำหรับการกระทำของผู้เป็นพ่อ ไม่มีคำหยอกล้อเหมือนในยามที่เขาเป็นเด็ก น้ำตาไม่ใช่ทางออกสำหรับการเรียกร้องความสนใจ เพราะสุดท้ายแล้วเวลาสำหรับการค้นพบคำตอบนั้นมันมีมากพอ กับความอ้างว้างในโรงเรียนประจำสำหรับสองปีที่ผ่านมาโดยไร้การพบเจอผู้เป็นพ่อ...
18 ธันวาคมที่ผ่านมามันมีบางอย่างที่แปลกประหลาดไป เมื่อการ์ดใบเล็กกับเสื้อโค้ดใหม่เอี่ยมในกล่องใบใหญ่ ผูกสีสันสดใสหนึ่งกล่องถูกยื่นมาให้เขา จากการเรียกพบของมิสแพททิเซียผู้ดูแลประจำหอพัก เธอเป็นคอเคซอย์นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวรวมถึงเส้นผมสีบอนด์สว่าง มิสแพทริเซียมักรอยยิ้มที่แสนใจดีแต่มักที่จะเข้มงวดกับกฎระเบียบ ในห้องของเธอมักที่จะจุดเทียนหอมเอาไว้ รวมถึงของใช้ที่เป็นสีชมพู ดอกกุหลาบ และแผ่นเสียงเพลงคลาสสิค และในวันนี้ก็เช่นกัน...เธอขยับกายท่วงท่าที่สง่างาม และทรงผมฟาร่าของเธอมักจะขยับไปตามการก้าวเดิน ยามที่ส้นสูงของเธอกระทบกับพื้นหินอ่อนดังก้องกังวานภายในห้อง จงอินปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอทั้งดูดี และเต็มเปลี่ยมไปด้วยเสน่ห์ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วห้องของเทียนหอม แรกเริ่มเหมือนจะทำให้ผ่อนคลาย แต่สุดท้ายแล้วหากคิดถึงตอนที่เธอเอาไม้ฟาดก้นเขาเมื่อ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาเพียงเพราะเขาหลับในคาบทำการบ้าน จงอินคิดว่าเขาไม่ควรที่จะทำตัวสบายมากนัก
จงอินในวัย 12 ปีเป็นเพียงเด็กที่กำลังเติบโตเขาพยายามที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกต่างๆมากมายเอาไว้ แม้ว่าในสมองของเขาพรั่งพรูว่า ‘ไม่หรอก เขาไม่ตื่นเต้นกับมันเลยสักนิดกับกล่องของขวัญใบใหญ่ที่ถูกมอบให้’ และแม้ว่าไม่มีการแสดงออกใดๆผ่านสีหน้าที่เรียบเฉยนอกจากคำกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณนะครับมิสแพทริเซีย”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าให้กับเขา หลังจากนั้นจงอินได้แต่ก้มหน้ามองกล่องของขวัญที่อยู่ในมือแม้ว่าเขาจะมีสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ภายในจิตใจของเขานั้นมันเหมือนกับมีความรู้สึกที่เรียกว่า เครื่องบินที่เคยหายไปบนท้องฟ้ามันกลับวนมาอีกครั้ง...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากำลังดีใจ...คิมจงอินในวัน 12 ปี ก็แค่ดีใจ และเขาแสดงความรู้สึกมากมายนั้นผ่านแววตาที่จ้องมองกล่องใบใหญ่ในมือด้วยแววตาที่เป็นประกาย...
“เอ่อ..จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผม เอ่อจะถาม” น้ำเสียงตะกุกตะกักถูกเอ่ยออกไป เขาจ้องมองมิสแพทริเซียด้วยความรู้สึกที่หลากหลายพร้อมกับแววตาที่ออกแนวสับสนและเป็นกังวน ทั้งความอยากรู้หรือแม้แต่ไม่กล้าที่จะถามเธอมากนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ถามมันออกไปอยู่ดี ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใจร้ายนอกจากการตอบรับสำหรับคำถามของเขา พร้อมกับเดินไปรินชาอุ่นๆใส่แก้วจนกลิ่นฟุ้งกระจายและผายมือไปทางโซฟาให้เขาได้นั่ง
“ชาสักหน่อยไหม ดูเหมือนว่าเราน่าจะมีเรื่องคุยกับสักพัก”
“งั้น...รบกวนด้วยนะครับ”
“ไม่เลย การจิบชาพูดคุยกันสำหรับฉัน ไม่ได้คิดว่ามันเป็นการรบกวนเลย”
“ครับ”
“เอาล่ะ ว่ามาเลยคุณคิม” เธอพูดพร้อมกับนั่งลงโซฟาเนื้อดีสีครีมพร้อมแก้วชาหอมกรุนถูกวางสองแก้ว จงอินหย่อนตัวนั่งลงอย่างพยายามรักษามารยาท แม้ว่าในมือของเขายังคงกอดกล่องใบใหญ่เอาไว้
“คือ...มิสแพทริเซียพอจะทราบไหมครับ ว่าใครที่เป็นคนส่งของขวัญให้กับผม”
“อ่า...ฉันคิดว่าอีกไม่นาน นายก็จะพบคำตอบนะพ่อหนุ่มน้อย” เธอพูดพร้อมยกชาอุ่นๆขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะวางมันลง เขาเห็นสีลิปสติคติดที่ขอบแก้วพร้อมควันขาวฟุ้งเอื่อยอ่อนลอยขึ้นไปบนอากาศ
“คือผมไม่รู้จริงๆครับ...”
“รออีกนิดเธอก็จะได้คำตอบ...แต่ดูเหมือนว่าได้เวลาพอดี” เธอพูดพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูทันใดนั้นที่ริมกระจกเขาเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามา “นั่นไงเขามาพอดีเลย”
ไม่แน่ใจนักสำหรับความความประประหลาดใจหรือว่าใดๆว่าใครกันเป็นคนมอบให้ แต่คำตอบถูกเฉลยออกมาในไม่กี่วินาทีต่อมา หลังล้อยางรถค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาภายใต้อาคารเรียนที่ทำจากอิฐ รวมถึงพื้นที่ลานน้ำพุด้านหน้าขาวโพลนไปด้วยหิมะ มิสแพทริเซียเดินนำเขาออกไปจากห้องพักและจงอินเดินตามไปในขณะที่กำลังกอดของขวัญใบใหญ่ด้วยอ้อมกอด ทันทีที่ประตูรถค่อยๆเปิดออกจงอินพบแค่เพียงคนแปลกหน้า กับใบหน้าที่ดูเรียบเฉยเขามีเส้นผมสีดำสนิท กับเสื้อโค้ดสีเดียวกัน ยามที่รองเท้าขัดมันจนเหยียบย่ำลงบนพื้นที่ถูกปุกคลุมไปด้วยหิมะ มันกลับดูดังชัดเจนเหลือเกินภายในความคิดของเขา ทั้งหมดที่ผ่านดวงตาของเขาความคิดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาภายในหัวของจงอิน คงไม่พ้นที่ว่า คนแปลกหน้านั้นดูสมบูรณ์แบบ เป็นความสมบูรณ์แบบพร้อมๆกับคำทักทายที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยถ้อยคำที่ว่า
“ใส่เสื้อโค้ดสิ เราจะได้ไปเล่นสกีด้วยกัน”
“มิสครับ..”
“ช่วงนี้หิมะตกหนักมากดูเหมือนว่าทางโรงเรียนจะอนุญาตให้นักเรียนกลับไปพักผ่อนกับครอบครัวได้ 1 อาทิตย์” เธอตอบพร้อมกับจับมือทักทายกับชายร่างสูงตรงหน้า ดูเหมือนว่ามันกำลังสร้างความประหม่าให้กับเขามากเลยทีเดียว
“...” มีเพียงคำทักทายเพียงเล็กน้อยสำหรับมิสแพทริเซียกับชายแปลกหน้าที่คิมจงอินไม่ได้ใส่ใจมากนักนอกจากคำถามมากมายว่าชายตรงหน้าเป็นใคร รวมถึงไม่มีคำถามใดๆออกมาจากปากของเขา
“ทีนี้ก็อยู่ที่คุณแล้ว ว่าจะไปเล่นสกีกับผมไหม?” ทันใดนั้นคำถามกลับถูกมอบให้กับเขาอีกครั้ง มันเหมือนกฎตายตัวของบทสนทนา การถูกยิงคำถามใส่ทำให้คนที่กำลังก้มหน้ากลับเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับคนที่ถาม ยามที่ดวงตาเรียบนิ่งของคนส่วนสูงน้อยกว่าสบตากับคนตัวสูง ในแววตาคู่นั้นมันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่าง ทุกๆอย่างดูลงตัว ทั้งรอยยิ้มหรือแม้แต่แววตา และคิมจงอินในเวลานั้นกลับไม่มีคำพูดใด
“...” มีเพียงความเงียบที่กินเวลาไปเรื่อยๆ
“ว่าไง ไปเล่นสกีกันไหมครับ?” แต่สุดท้ายแล้วน้ำเสียงทุ้มและนุ่มกลับถูกเอ่ยมาอีกครั้ง เผยให้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองฉายแววความสับสนออกมาพร้อมกับถามคำถามที่อยู่ในใจออกไป
“คุณเป็นใครครับ?”
“ผมชื่อคยองฮุน...ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณคิมจงอิน”
เด็กชายวัน 12 ปีภายใต้ชุดสูทในฤดูหนาวกับรองเท้าขัดมันเตะกับพื้นหินราวกับกำลังครุ่นคิด ดวงตาเรียบนิ่งก้มมองพื้น เขารู้ว่ามันไม่ใช่ท่าทางที่ดีนักหากแต่ดูเหมือนมิสแพทริเซียจะไม่เคร่งครัดกับระเบียบเขามากนักในตอนนี้ ได้แต่ปล่อยให้เด็กชายได้ใช้ความคิดกับการติดสินด้วยตัวเองมันอาจจะกินเวลาไม่มากอาจจะเป็นหนึ่งนาที สอง หรือสามนาทีต่อจากนั้น แต่สำหรับคนที่มีส่วนสูงมากกว่ากลับไม่เร่งรีบสำหรับคำตอบ จวบจนคนดวงตาสีดำสนิทค่อยๆเงยหน้าขึ้น แววตาที่ดูสับสนกลับฉายแววความเด็ดเดี่ยว
“ผมขออนุญาตนะครับ มิสแพทริเซีย” ดูเหมือนว่าคำตอบที่ได้นั้นจะเป็นอะไรที่พึงพอใจสำหรับชายตัวสูง พร้อมกับรอยยิ้มของมิสแพทริเซียถูกมอบให้อีกครั้ง มันอาจจะเป็นคำตอบสั้นๆ เป็นแค่คำตอบสั้นๆที่เหมือนกับว่าแสงแดดที่เคยหายไป มันไม่เคยหายไปไหน แค่หลบไปพักผ่อนเพียงชั่วคราวและกลับมาอีกครั้ง
มันอาจจะเป็นทริปแรกในรอบ 2 ปี ที่กำลังจะเริ่มขึ้น สำหรับการก้าวเดินออกจากสถานที่ที่แปลกไป มันไม่ใช่บ้าน มันไม่ใช่โรงเรียนประจำ คิมจงอินในวัย 12 ปีมีความคิดไม่กี่อย่างในเวลานั้น กับการที่จะมีใครอนุญาตให้เขาออกจากสถานที่แห่งนี้คงไม่พ้นคนในครอบครัว และคงไม่พ้นพ่อ...หากแต่แววตาที่จ้องมองคนตัวสูงภายใต้สูทเนื้อดี พวกเขาสบตากันท่ามกลางความเงียบ มีเพียงรอยยิ้มกับแววตาที่เปล่งประกายกับของขวัญใบใหญ่ในอ้อมกอดของเด็กชายที่สูงเพียงเอวของคนตรงหน้า คิมจงอินก็แค่คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรที่แย่ มันก็แค่การเดินทางกับคนแปลกหน้า...แค่คนแปลกหน้าที่ชื่อคยองฮุน
50 %
มันกินเวลานานพอสมควรสำหรับการนั่งที่เบาะหลัง กับระยะห่างที่ถูกกั้นด้วยที่วางแขน และล้อของรถที่ยังคงเคลื่อนตัวไปไกล เรื่อยๆและเรื่อยๆ ดวงตาง่วงๆของเด็กชายในชุดสูทของโรงเรียนประจำยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่ามันมีสิ่งที่น่าสนใจ ทั้งที่ตลอดเส้นทางนั้นมีเพียงความขาวโพลนของหิมะยังคงตกลงมา ความหนาวเย็นยังคงแผ่ซ่านไปทั่วอณูอากาศยกเว้นภายในของรถคันสีดำที่ถูกเร่งความร้อนเพิ่มเติมไออุ่น พวกเขาดำดิ่งไปในความรู้สึกของตัวเองอย่างเงียบๆ รวมถึงไม่มีบทสนทนาใดๆถูกเอ่ยอกมาจากริมฝีปากตั้งแต่ประตูรถถูกปิดลงเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน
หนึ่งคนเหม่อมองวิวที่ไกลออกไปเป็นเพียงเด็กชายแววตาเศร้าๆ
ในขณะที่อีกหนึ่งคนกลับลอบมองเด็กชายที่นั่งข้างๆ ในทุกๆ 10 นาที
หากใครว่าความเงียบงันเป็นเรื่องน่าอึดอัด
ในวันนี้สำหรับพวกเขามันอาจจะเป็นเรื่องราวน่าแปลกประหลาด
เพราะพวกเขา...ก็แค่ปล่อยให้ความเงียบนั้นเคียงข้างไปกับการจ้องมองโลกที่กว้างไกล
หรือแม้แต่การแอบมองโลกของใครสักคนท่ามกลางความเงียบงัน...
ไม่รู้ว่ามันผ่านมานานสักเท่าไร ล้อของรถหมุนไปพร้อมกับเวลาที่คล้อยบ่ายแม้ไม่เห็นแสงตะวันใดๆนอกจากท้องฟ้าสีอึมครึมกับเกล็ดความเย็นที่ยังคงตกลงมา ทัศนียภาพจากชานเมืองเริ่มเข้าสู่ชนบท รถสองเลนถูกปรับเปลี่ยนเป็นเลนเดียวใช้วิ่งสวนทาง แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับสภาพอากาศที่ดูเหมือนจะเริ่มเลวร้ายลงเพราะสองข้างทางถูกมีกองหิมะที่ถูกดันไปกองสองข้างทางเริ่มสูงขึ้น รวมถึงไม่มีรถสักคันที่วิ่งสวนมาในเวลานี้เลยสักคัน ต้นสนสูงใหญ่และป่าเรดวูดที่เคยจ้องมองในภาพถ่ายมันเคยเขียวชะอุ่มในฤดูฝน หากแต่ในตอนนี้สีเขียวของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดความเย็นสีขาวเช่นเดียวกัน จวบจนเสียงของถุงกระดาษดังขึ้นทำลายความเงียบ มีเพียงดวงตาของเด็กชายวัย 12 ปี เหลือบมองด้วยความสงสัยราวกับการขัดจินตนาการและความคิดที่กำลังนึกถึงวรรณกรรมสักเรื่องที่แม่เคยอ่านให้ฟัง หากแต่ยังไม่ได้ขยับหันมามองต้นทางของเสียงในครั้งแรก แต่เสียง กรอบแกรบ ยังคงดังย้ำอีกครั้งจนดวงตาง่วงๆที่เคยเหม่อมองออกไปไกลต้องหันมามองที่ต้นเสียง เด็กน้อยพบว่ามันเป็นเสียงของถุงกระดาษทำลายความเงียบพร้อมๆกับกลิ่นหอมของเนยละลายกับน้ำตาลก็ฟุ้งไปทั่วอณูอากาศ มันเรียกอะไมเลสภายในโพรงปากของคนดวงตาง่วงๆที่พยายามรักษาท่าทีเอาไว้ แต่ดูเหมือนกลิ่นหอมฟุ้งนั้นเคลื่อนมาใกล้กับปลายจมูก และน้ำเสียงทุ้มๆที่ถูกเอ่ยออกมาจากคนใบหน้าเรียบนิ่ง ราวกับว่ามันข้อเสนอชั้นดี
“butter cake หน่อยไหม?” คยองฮุนยังคงพยายามเรียกร้องความสนใจจากเด็กชายหน้าตาง่วงๆ
“....” มีเพียงความเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบที่ได้รับกลับมา ฝ่ามือหนาของคนตัวสูงส่ายถุงใส่ butter หอมกรุ่นไปมา ราวกับการกระทำตลกๆหลอกล่อไปมาว่าว่ามันอร่อยมาก
“เอาสิผมซื้อให้คุณนะ อีกไกลกว่าจะถึง” และคำบอกกล่าวก็ถูกเอ่ยมาอีกครั้ง พร้อมทั้งสีหน้าที่เริ่มแสดงออกกับคิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อย ทำให้จงอินที่เริ่มขมวดคิ้วและไม่มีทีท่าว่าจะรับ butter หอมๆนั้นเพื่อชิม พวกเขามีเพียงความเงียบระหว่างกัน การจ้องตาอย่างไม่ลดละ ในขณะที่ล้อของรถยังคงเคลื่อนที่ไป มันกินเวลาไปสักพักจวบจนคนตัวโตกว่ายอมแพ้ แววตาที่เคยเรียบนิ่งกลับแสดงออกราวกับการถอดใจจนทำให้คนเด็กกว่าดึงถุง butter อุ่นๆนั้นไปไว้ในมือ และมันเรียกรอยยิ้ม ใช่...มันเป็นรอยยิ้มในแววตาของคนตัวสูงได้ไม่ยากเลย
“คุณทำแบบนี้ต้องการอะไร” เด็กชายในชุดสูทวาง butter ไว้บนตักในขณะที่เขาขยับตัวเบี่ยงจากกระจกหันมามองหน้าคนตัวสูงกว่าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ไม่ ผมไม่ได้ต้องการอะไร” แต่ดูเหมือนสีหน้าที่เริ่มแสดงความยียวนจะทำให้ เด็กน้อยเริ่มหมดความอดทน ใบหน้าง่วงๆเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความร้ายกาจของเด็กผู้ชายตามวัย คิ้วที่เริ่มขมวดขึ้นรวมถึงการกลอกตาที่แม้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับนักเรียนประจำ แต่ใครจะรู้ว่าหลังไฟดับ คิมจงอินและผองเพื่อนมักมีที่ประจำในการทำเรื่องบ้าๆ แต่ช่างมันสำหรับเวลานี้ จงอินในวัย 12 ปีเริ่มประมวลชื่อของคนข้างๆอีกครั้งพร้อมทั้งคำถามถูกเอ่ยออกไป
“เลิกเล่นสงครามประสาทกันดีไหม คุณ...คยองฮุน?”
“?”
“เอางี้นะ ไหนๆที่นี่ก็นอกโรงเรียน ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีอะไรเลย มีแค่พวกเราผมคงไม่ต้องมานั่งรักษามารยาท” ว่าจบเด็กชายวัน 12 ปีก็นั่งขัดสมาธิบนเบาะรถเสียอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีเสียงคัดค้านใดๆสำหรับท่าทางที่ดูไม่เหมาะสม คนตัวสูงกว่ามีเพียงความเงียบและดูเหมือนกำลังสนใจในสิ่งที่คนส่วนสูงน้อยกว่ากำลังเอ่ยมันออกมา
“....”
“ผมพูดตามตรงว่าถ้าหากคุณอยากจะเอาใจพ่อด้วยการมาดูแลผม ผมอยากให้คุณคิดใหม่หลังผมบอกความจริงให้คุณฟังในหนึ่งข้อ หลังจากนั้นคุณจะบอกให้คนขับรถหักพวงมาลัยรถกลับไม่ทันเลยทีเดียว”
“หึ...อะไรที่ทำให้ผมต้องทำขนาดนั้นครับ” ราวกับคำพูดตลกๆที่ได้ฟัง คยองฮุนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขาเท้าแขนกับประตูรถพลางเหลือบมองเด็กน้อยที่กำลังทำท่าทางไม่เข้าใจอย่างหนักผ่านสีหน้า ในบางครั้งมันเหมือนเรื่องแปลกประหลาดที่รวดเร็วกับปฏิกิริยาต่างๆ ที่เขาได้เห็นสีหน้าที่หลากหลายของจงอินในเวลานี้
“ไม่เอาหน่าพวก เห็นใช่ไหมว่าที่คุณก้าวเข้าไป ในที่ๆผมอยู่มันคือโรงเรียนประจำ ยัดพวกห่วยแตกมารวมตัวกันที่นี่ กฎระเบียบที่เข้มงวด บอกผมสิว่ามันไม่ใช่โรงเรียนดัดสันดานในคำจำกัดความของพ่อ” คิมจงอินพูดถึงความจริงที่กำลังทำให้เขาหัวเสีย แต่ดูเหมือนความรู้สึกต่างๆนั้นราวกับว่ามันถูกหยุดหลงด้วยคำพูดทึ่มๆ
“butter กำลังอุ่นๆเลย คุณลองชิมมันสิ” ใช่...มันเป็นคำพูดที่ฟังดูทึ่มๆมากเลยทีเดียวจากคนตัวสูงกว่าพร้อมรอยยิ้มโง่ๆถูกมอบให้
“โอเคได้ ให้ตายเถอะ” แต่ดูเหมือนคิมจงอินในตอนนี้ก็แค่คนโง่คนหนึ่งที่ตัดปัญหาด้วยการสบทอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกัด butter คำโตเข้าปาก ดูเหมือนว่ามันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อมีคำแรก คำที่สอง และคำที่สามก็ตามมา แต่ดูเหมือนมันคงยังไม่จบง่ายๆสำหรับคำถามที่ฟังดูยียวนของคนอายุมากกว่า
“อร่อยใช่ไหมล่ะ” คยองฮุนยิ้มที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเขาได้เห็นท่าทางการกินที่อร่อยของเด็กหน้ามึน
“ก็ไม่เลว” แต่เขาคิดว่ามันคงเพียงพอแล้วสำหรับคำพูดส่งๆกับการยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและเด็กน้อยหน้ามึนยัด butter เนยหอมกรุ่นเข้าปากเป็นคำสุดท้าย
ฝ่ามือเล็กๆเช็ดมือที่เปื้อนเกล็ดน้ำตาลเล็กน้อยกับกางเกงอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก ดวงตากลมโตสอดส่องไปทั่วพื้นที่ราวกับกำลังหาบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีขวดใส่น้ำเปล่ายื่นมาให้ และมันคงไม่พ้นจากคนตัวสูงกว่าที่ยังคงทำหน้านิ่งๆ เขารับมันอย่างไม่รีรอและกระดกเข้าปากจนดัง อึกอึก ไปหลายทีอย่างไม่รักษามารยาท จวบจนการกระทำทุกๆอย่างเสร็จสิ้น ขวดน้ำถูกวางกลิ้งไปมาบนเบาะ และคนสองคนที่ยังไม่มีอะไรพูดกันมากไปกว่านั้น ลมหายใจเข้าออกยังคงวนเวียนไปตามเวลาที่หมุนวนไป จวบจนน้ำเสียงทุ่มๆของคนอายุมากกว่าพูดลอยๆออกมา
“คุณจงอิน”
“...”
“ผมไม่มีคำตอบให้คุณมากนัก แต่ที่ผมจะบอกคุณก็คือผมไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อเอาใจใคร” ดูเหมือนว่าการเอ่ยออกมาอย่างไม่มีการสบตา ไม่มีการมองหน้า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำเสียงที่ดังชัดเจนในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปบนถนนที่ยาวไกลออกไป สองข้างทางปกคลุมไปด้วยความขาวโพลน
“…” คนดวงตาเรียบนิ่งๆค่อยหันมองเด็กชายวัย 12 ปีที่ยังคงเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง แม้ว่ามันจะมีแค่เพียงความเงียบที่ตอบกลับมาแต่เขาก็คงพูดมันออกไปเรื่อยๆ เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของคนดวงตาที่เคยสดใสตอนเถียงกับเขาเริ่มมีแววตาที่อธิบายไม่ได้ราวกับสภาพอากาศด้านนอก
“หากว่าผมต้องการอะไรบางอย่างจากคุณ ผมก็คงแค่อยากเป็นเพื่อน...”
“เพื่อน? ผมไม่ขำด้วยหรอกนะ” น้ำเสียงของเด็กน้อยที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างเอ่ยออกมาเบาๆ สองแขนเล็กๆนั้นกำลังโอบกอดร่างกายขงตัวเองเอาไว้พลางพิงหัวกับบานกระจก ลมหายใจอุ่นๆรินรดกับบานกระจกจนเป็นไอขาวเรื่อยๆและเรื่อยๆตามลมหายใจ
มีเพียงความว่างเปล่าหรือสับสนที่อธิบายไม่ได้ คยองฮุนได้แต่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมภายในรถอีกครั้ง ต่างคนดำดิ่งไปในความคิดของตัวเองจากหนึ่งวินาที เป็นนาที หรือแม้แต่หนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น เมื่อได้เหลือบมองคนข้างๆอีกครั้งเขากลับพบว่าเด็กน้อยที่เคยเถียงเขาไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว หรือแม้แต่เล่นสงครามประสาทกันไปกลับกำลังอยู่ในห้วงของความฝันเอนซบกับเบาะที่นั่งดูไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะกับเปลือกตาที่ยังคงสนิทบ่งบอกว่าเด็กน้อยผิวแทนยังคงหลับอยู่ ฝ่ามือใหญ่ๆค่อยๆประคองคนหลับคอพับให้เอนตัวลงอย่างเชื่องช้าและจัดท่าให้นอนลงบนตักของเขา เสื้อสูทเนื้อดีที่เคยพาดไว้กับเบาะ ในตอนนี้มันกลับทำหน้าที่เป็นผ้าห่มมอบไออุ่นให้กับคนเส้นผมสีดำสนิทที่กำลังอยู่ในห้วงของความฝันได้ซุกไออุ่น บนถนนที่ที่ยังคงไกลออกไป กับความคิดที่ดังก้องภายในใจของคยองฮุนในตอนนี้มันคงแค่เพียงสิ่งเดียวที่เขาคาดหวัง หากว่าคำถามของจงอินได้เอ่ยถาม เขาคงตอบกลับไปได้แค่ว่า
“ผมไม่ได้หวังว่าคุณจะขำในตอนนี้ แต่อยากได้ยินเสียงหัวเราะของคุณในอนาคต่อจากนี้ก็เท่านั้น”
แม้มันอาจจะฟังดูงี่เง่าและเป็นเพียงคำพูดในใจที่ไม่ได้เอ่ยมันออกไปให้จงอินได้หัวเราะเล่น แต่มันกลับเป็นความจริงที่เขาไม่ได้อยากให้จงอินได้รับรู้ เขาไม่ได้ต้องการอะไรอย่างที่เคยเอ่ยบอก พร้อมๆกับฝ่ามือของเขาสัมผัสที่เส้นผมสีดำสนิท และลูบอย่างแผ่วเบาๆราวกับคำปลอบประโลมถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาของคิมจงอิน
ในวันนี้
พรุ่งนี้
หรือวันต่อๆไป คยองฮุนไม่เคยต้องการอะไรจากจงอินเลย...นอกจากการแอบมองคิมจงอินเติบโตและมีรอยยิ้มกลับคืนมาดังเดิม
-CLOUDY-
สัมผัสอุ่นๆกระทบผิวกาย
กดซุกใบหน้าลงกับความอบอุ่นนั้นราวกับออดอ้อน
แว่วเสียงเรียกชื่ออย่างแผ่วเบาที่ข้างหู
ฝ่ามือลูบเส้นผมอย่างเชื่องช้า ยังคงเป็นไปอย่างเรื่อยๆและเรื่อยๆ
ก่อนที่สติที่เคยท่องอยู่ในห้วงของความฝันล่องลอยไกลกลับมา เปลือกตาค่อยๆลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเอ่ยทักจากคนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ
“ตื่นได้แล้ว คิมจงอิน” ราวกับว่าเขายังคงตกอยู่ในห้วงของความฝัน ยามที่แสงแดดยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเก่าๆกระทบผิวกายของคนตัวเล็ก แพขนตาสีน้ำตาลอ่อนขยับขึ้นลงตามการกระพริบตา ผิวแก้มเจือสีเลือดฝาก หรือแม้แต่รอยจูบของเขาที่ประทับมันลงไปที่ต้นคอของผู้เป็นพี่ ไล่ลงมาที่หน้าอก หรือแม้แต่ทุกๆอย่าง...ในคืนที่ผ่านมา จงอินโอบกอดเอวของคยองซูเอาไว้พลางขยับซุกไซร้ตักอย่างเกียจคร้าน เขาไม่ยอมลุกจากเตียงนอนในขณะที่ฝ่ามือของคยองซูยังลูบผมของเขาอยู่อย่างนั้น จงอินก็แค่อยากให้เวลาทั้งหมดมันหยุดไว้แค่เพียงแค่นี้ ฝ่ามือที่ปลอบประโลมเขาในตอนนี้ไม่ใช่ฝ่ามือคู่นั้น...ไม่ใช่คนในอดีตที่ยังคงตอกย้ำความทรงจำเก่าๆของเขา
“พี่คิดไว้หรือยังว่าเราจะไปที่ไหน” น้ำเสียงอู้อี๊ดถูกเอ่ยออกมา จงอินไม่ยอมเงยหน้ามาพูดดีๆในเวลานี้เขายังคงกอดคยองซูเอาไว้พลางกดจูบเบาๆไปที่หน้าท้องขาวๆของพี่ ที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนใหญ่ที่ปกคลุมร่างกายของพวกเขาเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
“จะว่าฉันบ้าก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันอยากมีแผนเต็มหัวไปหมด”
“หึหึ พี่ร้ายกาจเสมอ”
“แต่งตัวเถอะ…และอันเดอร์แวร์ของนายมันแห้งแล้ว ใส่ด้วย”
“ผมก็ถอดมัน...ตอนที่ได้ใช้เวลาไปกับพี่ก็แค่นั้น” ฟังดูเป็นบทสนทนาที่งี่เง่าไม่มีสาระอะไรออกแนวเกี่ยวโยงกับเซ็กส์ที่ผ่านมาเมื่อคืนด้วยซ้ำไป แต่พวกเขาก็ไม่ได้แคร์อะไร ไม่มีความคาดหวังอะไรอยู่แล้วนอกจากดันกันและกันไปมาบนเตียงนอน เกี่ยงเถียงถึงการลุกจากเตียงนอนอุ่นๆไปแต่งตัวเพื่อเดินทาง
สุดท้ายแล้วก็เป็นคยองซูที่ยอมแพ้ ร่างเล็กเปลือยเปล่าของพี่ลุกจากเตียงนอน ดวงตาคมเข้มจ้องมองผิวขาวเนียนเจือรอยจูบตั้งแต่ต้นคอที่มีไฝเล็กๆ ไล่ลงมาที่ไหล่ลาดนั้นที่ถูกเขาประคองลงกับเตียงนอน แผ่นหลังที่มีกล้ามเนื้อเพียงเล็กน้อย รวมถึงการก้าวเดินที่ราวกับเสียงดังก้องทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ สะโพกที่ขยับพร้อมจังหวะการเดินราวกับการประคับประคองการเดินทางในค่ำคืนนั้นของพวกเขาไปยังฝั่งฝัน หากแต่ทุกๆอย่างที่ผ่านมาเป็นเพียงช่วงเวลาในค่ำคืนและเสียงของสายฝน แต่ในเวลานี้กลับสว่างชัด ทุกๆอย่างที่เป็นคยองซูในตอนนี้ ทั้งผิวกายหรืออะไรก็ได้ที่เขาได้กระทำไว้กับพี่ กลับสะท้อนแสงแดดอ่อนๆในยามเช้าราวกับประติมากรรมที่งดงาม สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ไม่ใช่คยองซูตามที่คนตัวเล็กเอ่ยบอก...จงอินพบว่าเป็นเขาต่างหากที่พ่ายแพ้ คิมจงอินพ่ายแพ้ต่อคยองซู
จงอินก้าวลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า จ้องมองคนตัวเล็กกำลังดึงผ้าเช็ดตัวที่ถูกโยนพาดไว้กับเก้าอี้ตรงมุมห้อง มันใกล้มากขึ้นสำหรับระยะห่างของพวกเขาเขา หนึ่งก้าว สองก้าว และสามก้าว จวบจนแผ่นหลังเล็กๆที่ยังคงเปลือยเปล่าสัมผัสแผ่นอก มีเพียงผิวกายที่สัมผัสมอบไออุ่น อ้อมแขนอุ่นๆโอบรัดเอวของคยองซูเอาไว้อย่างเชื่องช้า ลูบไล้ หยอกเอินตามประสา รวมถึงริมฝีปากมอบรอยจูบแผ่วเบาอีกครั้งที่ต้นคอของผู้เป็นพี่
“morning นะครับคยองซู”
“มันจะซึ้งกว่านี้ ถ้านายเอาไอ้นั่นออกไป...” และสุดท้ายเช้าที่จงอินอยากจะให้มันฟังดูโรแมนติคก็ฟังดูเป็นเรื่องงี่เง่าในทันที่ มันไม่ใช่อะไรที่งี่เง่าในด้านลบ เพราะมันจบลงด้วยเสียงหัวเราะของพวกเขาที่เริ่มดังขึ้น และดังขึ้น จนฟุ้งกระจาย พวกเขาหัวเราะจนแสบคอมันเหมือนการเมากัญชาในยามเช้าแต่ฟังดูไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
จวบจนพวกเขาพยายามตั้งสติ พวกเขาพยายามกลั้นขำและไม่มองหน้ากัน คยองซูเลือกที่จะไปแต่งตัวในห้องน้ำ จงอินผละไปใส่อันเดอร์แวร์ที่แห้งแล้วตามคำบอกของพี่ เขานั่งบนเตียงพลางครุ่นคิดถึงแผนการว่าจะไปที่ไหนหรือแม้แต่จะกินอะไรดี ซึ่งสุดท้ายแล้วโทรศัพท์ที่ถูกปิดเครื่องไว้ดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยที่ดี เขาเปิดเครื่องอีกครั้งแต่มันก็เหมือนเรื่องตลกร้ายที่แม้ว่าจะพยายามไม่สนใจ หากปัญหานั้นมันยังคงอยู่เขาก็หนีมันไม่พ้นอยู่ดีกับข้อความที่ถูกส่งมาเมื่อวาน ชีวิตของเขามันไม่เคยมีความมั่นคงอะไรสักอย่าง จงอินคิดว่ามีไม่กี่คนจะไว้ใจได้หากแต่ข้อความที่ส่งมานั้นกลับเป็นชานยอล...
“กูไม่รู้ว่ามึงอยู่ไหน แต่คนห่วยๆแบบมึงอยู่ได้ทุกมุมโลกใช่ไหมล่ะ เอาเถอะกูเคารพการตัดสินใจของมึงเสมอ แต่กูแค่มีคำถามแค่ว่า จะไว้ใจคยองซูได้มากแค่ไหน...”
100%
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราล้วนใช้ชีวิตที่หล่อเลี้ยงด้วยความหวัง เพราะยังหวังจึงยังมีแรงขับเคลื่อนชีวิตไป
#CLOUDYkd
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เราชอบจังง^^
คยองฮุนและคยองซู ถึงเวลาต้องเลือกแล้วล่ะ จงอิน ฮ่าา /แซวอีกครั้ง