ตอนที่ 9 : CLOUDY 8
CLOUDY
8
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วท้องถนนเงียบสงบบริเวณชานเมืองในยามเย็น ความเร็วในการขับเคลื่อนทำให้ดอกหญ้าๆแห้งสีเหลืองอ่อนสองข้างทางปลิวไปตามแรงลมยามที่ขับเคลื่อนผ่าน แสงแดดที่เคยเจิดจ้าค่อยๆถูกเมฆก้อนใหญ่บดบัง ก่อนที่สายลมจะพัดพาไอเย็นเป็นสัญญาณบอกว่าการควบแน่นบนท้องฟ้ากำลังเกิดขึ้น กลิ่นดินหลังผ่านความร้อนมันถูกแผดเผากับต้นหญ้าที่แห้งถูกสายลมพัดเข้ามาในโพรงจมูก พร้อมกับหยดน้ำฝนเม็ดแรงจากท้องฟ้าด้านบนร่วงหล่นบนหมวกกันน็อคที่สวมใส่ไว้
หนึ่งหยด
สองหยด
และสามหยด
ทัศนียภาพการมองเห็นมันค่อยๆพร่าเลือนในทุกๆทีหลังสายฝนเริ่มโปรยปราย ในขณะที่ดวงตาคมเข้มยังคงมองเส้นทางข้างหน้าที่ยาวไปอย่างไม่มีจุดหมายท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านกายให้ชุ่มฉ่ำ จากน้ำฝนค่อยเพิ่มมากขึ้นในทุกๆที สองฝ่ามือกับถุงมือหนังสวมใส่ไว้บิดคันเร่งเครื่องยนต์ไปกับความว้าวุ่นใจเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เป็นตัวเน้นย้ำว่าเขาควรจะไปให้ไกล และให้ไกลมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะสัมผัสถึงไออุ่นจากมือสองข้างจับที่เอวแปรเปลี่ยนเป็นการกระชับจับแน่นขึ้นกว่าเก่า ราวกับว่าบนเส้นทางที่แสนยาวไกลนี้มันไม่ใช่มีแค่เพียงเขา แต่มันเป็นเส้นทางของเราสองคน...
รถ Ducati 848 evo สีขาวค่อยๆลดความเร็วลง สองล้อยางหลังถูกแตะเบรกมันค่อยๆหมุนช้าลง ช้าลงและจอดนิ่งสนิทบนพื้นอิฐสีน้ำตาล พวกเขาจอดหยุดพักที่ motel เล็กๆริมทางทันช่วงเวลาก่อนที่สายฝนบ้าคลั่งตกลงมา สายลมที่เริ่มแรงขึ้นจนแว่วเสียงโยกของแผ่นป้ายเหล็กกับละอองน้ำฝนสาดเข้าจนรองเท้าผ้าใบของพวกเขาเริ่มชุ่มฉ่ำ สองฝ่ามือของเขาค่อยๆถอดหมวดกันน็อคออก และจงอินลงจากรถในขณะที่มองคนแจ็คเก็ทยีนต์สีเข้มกำลังถอดหมวกเช่นเดียวกัน เราอยู่ภายใต้หลังคาเล็กๆที่ไม่ได้กันไอฝนที่สาดเข้ามารวมถึงลมแรงที่พัดเส้นผมของพวกเขาปลิวอย่างน่ารำคาญ คนตัวสูงกว่ารีบวิ่งเข้าไปติดต่อที่พักก่อนที่จะเขาจะกลับมาพร้อมกับแจดอกเล็กๆ และพวกเขาจะรีบวิ่งฝ่าสายฝนพร้อมรถคันใหญ่เข้าไปในที่พัก
มันเป็น motel เล็กๆชั้นเดียวบริเวณที่เงียบสงบและห่างไกลจากเมืองมาหลายไมล์ ป้ายไฟแผ่นใหญ่หลากหลายสีสันฉูดฉาดกำลังทำหน้าที่ของมันท้าสายลมแรงและสายฝน แม้ว่ามันติดๆดับๆบ้างรวมถึงเสียง อี๊ดอ๊าด จากแผ่นป้ายเหล็กของปั้มน้ำมันใกล้ๆบริเวณเดียวกัน จงอินจอดรถให้ชิดอยู่ภายใต้ชายคาหน้าห้องพักแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะดูไม่ได้ช่วยอะไรมากซักเท่าไร ในที่ขณะที่เราต่างเปียกปอนจนเส้นผมแนบลู่กันใบหน้าและยืนอยู่ใต้ชายคาเพื่อรอให้คนดวงตากลมโตที่กำลังไขกุญแจเข้าไปภายในห้อง แว่วเสียงคำรามของท้องฟ้าเกิดขึ้นพร้อมกันเสียงหวีดหวิดของสายลมฟังดูน่าใจหาย ทุกๆอย่างที่เคยดูสดใสดูกลับเปลี่ยนแปลงไปหลังสายฝนพรำ จงอินถือเป้สองใบไว้ในมือกับหมวกสองใบเพื่อรอไม่นานนักหลังบานประตูสีครีมถูกเปิดออก เราต่างรีบแทรกตัวเข้ามาในห้องที่กำลังโดนสายฝนสาดใส่ตามหลัง หลังบานประตูที่ค่อยๆปิดสนิทก็ไม่มีเสียงหวีดหวิวของสายลมรวมถึงสายฝนที่บ้าคลั่งจนพวกเขาเปียกปอน และพวกเขาจะเริ่มสำรวจภายในห้องพักเล็กๆริมข้างทาง
มันเป็นเพียงห้องเล็กๆที่มีโต๊ะไม้ติดกับบานประตูและโซฟา เตียงที่ห่างไปไกลเพียง 5-6 ก้าวจากประตู รวมถึงสีผนังที่ดูอึมครึมพร้อมหน้าตาบานเล็กติดกับเตียง ผ้าม่านเก่าๆมันเปิดออกล็กน้อยทำให้เห็นสายฝนที่กำลังบ้าคลั่งเต็มที่ด้านนอก จงอินเดินไปที่ริมหน้าต่างและปิดมันทั้งหมดพร้อมเร่งฮีตเตอร์ที่อย่างน้อยก็มันมีเพื่อไม่ให้ห้องนี้หนาวเย็น แม้ว่ามันจะดูเก่าไปซะหมดทุกอย่างแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันซักเท่าไร แสงไฟสว่างเพียงเล็กน้อยสองในสามดวงที่ติดหลังทดลองเปิดสวิสต์ แม้จะมีกระพริบติดๆดับแต่สุดท้ายแล้วมันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีพอให้พวกเขาเห็นสภาพของห้องได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม พี่จัดการนำเป้จากมือของเขาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนที่จะถอดแจ็คเก็ตยีนต์ที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เราทำกิจกรรมทุกๆอย่างท่ามกลางความเงียบ จนแทบได้ยินเสียงหวีดหวิวของสายลมด้านนอกและเสียงของสายฝนที่กระทบกับบานหน้าต่าง หรือแม้แต่เสียงของเสื้อผ้าที่เปียกน้ำยามเมื่อพวกเขาถอดมันออกจากร่างกาย เราต่างตกอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเองไม่นานนักก่อนที่สัมผัสนุ่มๆจะโดนที่แขนของเขา และจงอินพบว่าเป็นคนดวงตากลมโตที่หยิบผ้าขนหนูสีขาวยื่นมันมาให้ก่อนที่เขายื่นมาไปรับ พลางจัดการเช็ดเส้นผมที่เปียกไปหมดและเหลือบมองผู้เป็นพี่ที่ทำแบบเดียวกันท่ามกลางความเงียบแบบเดิมนั้นจะก่อตัวขึ้นเช่นเดิม
“ผมของพี่เปียกไปหมดแล้ว” และสุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเอ่ยมันออกไปในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องคนดวงตากลมโตที่เริ่มมีผิวที่ซีดยิ่งกว่าเก่า ในขณะที่ฝ่ามือเล็กๆนั้นก็กำลังเช็คเส้นผมที่เปียกปอนไม่ต่างไปจากเขาซักเท่าไร
“ฉันแข็งแรงกว่าที่นายคิด ถ้าหากนายกลัวว่าฉันจะไม่สบาย” ดวงตากลมโตเหลือบมองเขาเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกวางลงบนโซฟาสองฝ่ามือขาวซีดค่อยๆถอดเสื้อยืดที่เปียกแนบลู่ไปตามลำตัวของคนตัวเล็กที่เริ่มสั่นเทาเพราะความหนาวเย็น มันเหมือนกับว่าฮีตเตอร์ยังคงทำงานได้ไม่ดีเท่าไรนัก จนสุดท้ายแล้วสองเท้าของเขาค่อยๆขยับใกล้ชิดคนผิวขาวซีดมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆจวบจนระดับความสูงที่แตกต่างทำให้เราต่างมีการกระทำที่ต่างไปและเราต่างรู้สึกว่าสำหรับผิวกายที่ใกล้กันมากขึ้นมันอุ่นขึ้นมากกว่าสิ่งใดแม้ไร้การสัมผัส
เมื่อคำตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมา
คนส่วนสูงน้อยกว่าเงยหน้าขึ้นตาม
และพวกเขาต่างสบตากันท่ามกลางความเงียบงันนั้น
“พี่เข้าใจมัน?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิด ฉันก็แค่คิดว่านายเป็นห่วงฉัน”
“….” และมันก็แค่คำถามและคำตอบที่ตรงไปตรงมา จงอินก็แค่คิดว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเถียงเลยแม้แต่น้อยในเมื่อมันเป็นความจริง...ความจริงที่เขารู้สึก
ในขณะที่เราต่างเงียบอยู่อย่างนั้น จงอินคว้าเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่อีกผืนไว้ก่อนที่จะค่อยๆวางลงบนเส้นผมสีน้ำตาลที่ยังคงเปียกชื้นของผู้เป็นพี่ ยามที่ผ้าขนหนูสีครีมผืนใหญ่ตัดกับสีผิวกายที่ขาวซีดและเริ่มสั่นเทาเพราะความหนาวและไหล่เล็กๆที่ลู่ลงราวกับการกอดตัวเองอยู่อย่างนั้น มันทำให้ความรู้สึกภายในหัวใจทั้งสับสนและวุ่นวายกับคำถามมากมายที่เริ่มเกิดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วนั้นก็ไม่มีคำพูดใดออกมาจากริมฝีปากของพวกเขา ได้แต่ปล่อยให้หัวใจอยู่กับความสงบเงียบกับลมหายใจอุ่นๆที่เข้ารินรดกับผิวกายกันและกัน จงอินได้แต่จ้องมองอย่างเงียบๆพร้อมกับเสียงของใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ หนึ่งนาที สองนาที หรือมากกว่านั้น เราต่างยืนเงียบๆตรงหน้ากันและกันอยู่อย่างนั้นจวบจนเส้นผมที่เคยเปียกชื้นค่อยๆแห้ง เพียงแต่สุดท้ายแล้วในความเงียบงันนั้นน้ำเสียงเรียบนิ่งค่อยๆดังขึ้น
“ถ้าหากว่านายกำลังมีคำถามว่าฉันรู้มันได้ยัง มันก็คงมีคำตอบในตอนนี้อยู่แล้ว..เพราะในดวงตาของนาย...มันแทบเป็นคำตอบของทุกๆอย่าง”
“ผมก็หวังว่าพี่จะเห็นอีกข้อหนึ่งบ้าง...”
“ไม่จงอิน...มันยังไม่ใช่ตอนนี้” คนผิวขาวซีดส่ายใบหน้าเพียงเล็กน้อยพลางหลบสายตาจากเขา จวบจนฝ่ามือที่เย็นจากสายฝนค่อยๆประคองใบหน้าของพี่ให้สบตากันอีกครั้ง
“ผมรู้...ผมเข้าใจดี” มันเป็นเพียงเสียงกระซิบที่แผ่วเบากับดวงตาที่เราต่างจ้องมอง กับลมหายใจอุ่นๆที่สัมผัสผิวกาย เพราะสุดท้ายแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขามันแทบจะรวดเร็วและไม่มีอะไรทีดูแน่นอน แต่จงอินก็คงปฏิเสธไมได้เช่นเดียวกัน
สำหรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นรูปร่างราวกับเสาเข็มค่อยๆวางรากฐาน...
ผสมอิฐทีละก้อนก่อร่างสร้างเป็นบ้านหลังเล็กภายในหัวใจ
เวลา 6 โมงเย็นกว่ากับพายุที่ยังคงทำให้ท้องฟ้ามีเพียงสายฝนหน้าจอโทรศัพท์เก่าๆส่งเสียง ซี่ ซี่ น่ารำคาญเพียงเพราะสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดขาด รวมถึงไฟที่กระพริบติดๆดับๆในทุกๆ 5 นาทีจนสุดท้ายแล้วพวกเขาเลือกที่จะรีบหามื้อค่ำหลังอาบน้ำเสร็จ แต่มันคงเป็นเรื่องตลกร้ายเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า เป้สองใบถูกเปิดและเสื้อผ้าภายในนั้นเปียกไปหมดเพราะมันรั่ว เกิดเสียงหัวเราะเพียงเล็กน้อยกับความตลกร้ายแต่บนเรื่องร้ายๆก็ยังคงมีเรื่องดีๆอยู่เสมอเพราะเราต่างเหลือเสื้อผ้าที่แห้งคนละชิ้น จงอินมีบอกเซอร์เก่าๆ 2 ตัวที่ถูกซุกไว้ด้านในสุดของกระเป๋า และคยองซูมีเสื้อยืดเน่าๆเช่นเดียวกัน เราต่างใส่มันคนละชิ้นแม้จะหวิวไปบ้างในความรู้สึกแต่ก็ไม่มีอะไรที่จะเขินอาย เพราะจงอินให้คยองซูได้ใส่บอกเซอร์เก่าๆของเขาอีกตัวเป็นการแต่งตัวที่ครบชุดในวันที่เปียกปอน และในปัจจุบันที่เราต่างนั่งอยู่บนโซฟาจงอินคว้าโทรศัพท์รุ่นโบรานลากสายยาวมาเพื่อที่จะรอสั่งเซอร์วิสจากร้านอาหาร
“ในตู้เย็นมีแค่นี้ น้ำเปล่าและเบียร์ไม่กี่กระป๋อง” จงอินสำรวจของในตู้เย็นอย่าถี่ก้วนอีกครั้งแต่พบว่ามันแทบจะไม่มีอะไรนอกจากเบียร์ 4 กระป๋องและน้ำเปล่า 2 ขวด
“....” รวมถึงไม่มีคำตอบกลับใดของผู้อยู่อาศัยร่วมห้องในตอนนี้
“พี่อยากได้อะไรไหม?” จนสุดท้ายก็เป็นคนร่างสูงที่เอ่ยปาก พลางปิดประตูตู้เย็นที่เริ่มส่งเสียงกลไกลการทำความเย็นจนน่ารำคาญ ในขณะที่ดวงตาคมเข้มจ้องมองไปที่คนผิวขาวซีดกำลังนั่งห่อไหล่ซึ่งจากไหล่ที่ดูเล็กอยู่แล้วก็ยิ่งเล็กเข้าไปอีกตรงโซฟา ดวงตากลมโตจับจ้องค่าเพียงโทรศัพท์เครื่องเก่าตรงหน้าพลางขมฃบกัดริมฝีปากบ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิด จงอินไม่เอื้อนเอ่ยคำไหนนอกจากค่อยๆเดินไปนั่งบนโซฟาด้านข้างอีกตัวและมันกินเวลาไปเกือบหนึ่งนาทีสำหรับความเงียบที่จงอินรอผู้เป็นพี่ตอบกลับ
“นายคิดว่าโทรศัพท์งี่เง่านั้นมันโทรติดหรอ?” และในสุดท้ายท้ายแล้วคนดวงตาก็เอ่ยถามพลางขบกัดริมฝีปากรวมถึงมองหน้าของเขาราวกับต้องการคำตอบ
“ถ้าไม่ติด ผมเดินฝ่าฝนบ้าๆนี้ไปสั่งมันให้พี่ก็ยังได้” จงอินเท้าคางลงกับโต๊ะเตี้ยๆที่มีโทรศัพท์วางอยู่ รวมถึงขยับเครื่องมือสื่อสารนั้นราวกับสำรวจว่ามันไม่ได้แตกหักตรงไหน
“มันเป็นความคิดที่บ้า”
“ผมบ้าเพราะเสียงท้องร้องของพี่” พวกเขาเริ่มถกเถียงกันเล็กน้อยในขณะที่จงอินใช้ปลายนิ้วชี้หมุนวนไปตามหมายเลข ในขณะที่มืออีกข้างยกหูโทรศัพท์ขึ้นแนบเพื่อฟัง “และเสียใจด้วยโทรศัพท์งี่เง่าที่พี่ว่า...มันโทรติด” ทันใดนั้นก็เกิดเสียงสัญญาณว่ามันกำลังรอปลายสายรับและจงอินยักคิ้วให้กับคนดวงตากลมโตหนึ่งครั้งอย่างกวนประสาทเล่นๆ
มันไม่มีคำคัดค้านใดในเวลานี้ เมนูที่พี่เอ่ยบอกมีแค่อะไรก็ได้ง่ายๆในแบบจำกัดความและจงอินก็ทำตามอย่างไม่อิดออด หลังจากนั้นกับเวลาแห่งการรอคอย 10 นาทีสิ่งที่ต้องการก็มาถึงและเราต่างจัดการรุมทึ้งมันด้วยความหิวพร้อมเสียงของพายุที่ยังคงกระหน่ำลงมาท่ามกลางความมืดที่ค่อยๆโรยตัวรอบๆพื้นที่ แสงไฟสีส้มภายในห้องอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาได้มองเห็น กับเสียงของเม็ดฝนที่เหมือนจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมยามเมื่อมันกระทบเข้ากับกระจกของหน้าต่าง ภายในห้องที่มีเพียงแสงริบหรี่ของดวงไฟมันค่อยๆกระพริบติดๆดับๆรวมถึงท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยสีดำ ในขณะที่จงอินและคยองซูนำสิ่งของมาวางไว้บนเตียงเพื่อนึกถึงแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้แต่ทันใดนั้นแสงสว่างบนท้องฟ้าที่กำลังสายฝนก่อนที่เสียง เปรี้ยง!...ดังกระห่ำจนรู้สึกหูอื้อไปหลายวินาที พร้อมกับความมืดปกคลุมทั่วทุกพื้นที่บ่งบอกว่าทุกๆอย่างในตอนนี้หยุดการทำงานลง
ไม่มีไฟสำรองสำหรับ motel ข้างทางราคาถูกรวมถึงฮีตเตอร์ก็ค่อยๆหยุดการทำงาน ไอความเย็นจากอากาศด้านนอกเริ่มแทรกซึมเข้าผ่านช่องว่างระหว่างประตูแปละบานหน้าต่างจากพายุที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ แต่พวกเขาไม่ได้คิดว่าจะเลวร้ายซักเท่าไรเมื่อจงอินพบว่าเบียร์ 4 กระป๋องยังคงอยู่ การแก้ปัญหาความเบื่อเพียงเล็กน้อยถูกหยิบยกมาด้วยการจิบเบียร์บนเตียงนอน พวกเขาใช้หมอนพิงกับหัวเตียงก่อนที่จะเอนตัวและเหยียดขายาวไปบนผ้าห่ม มันทั้งนุ่มและรู้สึกอุ่นขึ้นกว่าเก่าและเสียงเปิดกระป๋องก็ดังขึ้น
ท่ามกลางความมืดมิดของห้องที่มีแสงสว่างเรือนลางจากไฟสำรองด้านน้องฉายตามทางเดินลอดเข้ามาผ่านช่องประตู เราต่างจิบเบียร์ไปเงียบๆและนาฬิกาบ่งบอกว่ามันเป็นเวลา 3 ทุ่มแล้ว กับความเงียบที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสุดท้ายแล้วประโยคโง่ๆก็ถูกเอ่ยออกมาจากเขา
“เบียร์รสชาติดี” และมันฟังดูเป็นประโยคที่ดูเห่ยมากจริงๆ เขาเหลือบมองปฏิกิริยาจากคนข้างๆแต่ก็ดูเหมือนว่าพี่จะไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่ากระดกข้าวโอ๊ตหมักสีเหลืองจรดริมฝีปาก
“...”
“พี่เหนื่อยไหมกับชีวิตผม...มันดูไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย” เราต่างจิบเบียร์ไปอย่างเชื่องช้าซึมซับรสชาติผ่านปลายลิ้นและส่งเข้าลำคอ มีเพียงเสียงของสายฝนที่กระทบกับบานหน้าต่างและเสียงคำรามของท้องฟ้าเป็นระยะราวกับเพลงจากธรรมชาติถูกเปิด และเราต่างพูดคุยกันอย่างนั้นแม้ไร้การสบตา
“ถ้านายจำมันได้ ฉันเคยบอกไปแล้วว่าฉันก็หนีมาทั้งชีวิตเหมือนกัน ”
“ฮึ...คนที่หนีมาทั้งชีวิตสองคนมาเจอกัน?”
“ฟังดูตลกดี” หลังประโยคปิดท้ายถูกเอ่ยออกไป กระป๋องเบียร์กลับถูกเปิดเพิ่มอีกครั้งและมันเป็นกระป๋องสุดท้าย ฝ่ามือที่จับมันเขย่าไปมาราวกับใช้ความคิดพลางมองปลายเตียงที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย
“....”
“คนที่เราเจอ...ที่ฉันเอาปืนจ่อ” เพียงแต่บทสนทนาที่กล่าวถึงใครอีกคน ดวงตาคมเข้มกลับจับจ้องไปที่คนข้างกายและเราต่างมองหน้ากันอย่างไม่มีความหมายใด
“ผมไม่อยากจะพูดถึงเขาเท่าไร” จงอินรู้สึกไม่อยากจะพูดใครอีกคนที่รู้สึกแย่และมันทำให้เขาทำได้แค่บอกปัดไปพลางยกข้าวโอ๊ตหมักดื่มมันอีกครั้ง
“เขาก็แค่ดู...สำคัญกับนาย”
“ไม่..ไม่เลย” จงอินกำลังปฏิเสธทั้งที่ความเป็นจริงยามเมื่อเขาได้สบตากับคนดวงตากลมโตที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง สุดท้ายแล้วเขาก็แค่ทำได้แค่บอกถึงความจริงที่รู้สึกไป “อันที่จริงก็แค่เคย...” จงอินถอนหายใจพลางยกเบียร์ดื่มเป็นอึกสุดท้ายก่อนที่จะขยับกายบนเตียงนอนเพื่อนั่งมองคนข้างกายได้อย่างถนัดพร้อมๆกับเบียร์ในฝ่ามือเล็กๆนั้นค่อยๆวางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะข้างเตียง
“...”
“พี่ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรเลย ว่าที่ผ่านมาผมจะมองว่าใครสำคัญ”
“....”
“เพราะผมบอกไปแล้วว่าถ้าหากพี่เห็นมันในอีกหนึ่งข้อ...ผมคิดว่าพี่รู้คำตอบ” และเราต่างเงียบอยู่อย่างนั้น มันอาจจะมากกว่า หนึ่งนาที สอง หรือสาม จวบจนริมฝีปากที่เจือกลิ่นอายแอลกอฮอล์อ่อนๆโน้มใบหน้าเข้าใกล้กัน
“แล้วถ้าหากว่าในตอนนี้ หรือที่ผ่านมา ฉันกำลังโกหกนายล่ะ” คนดวงตากลมโตเอ่ยบอกกับใบหน้าที่เรียบนิ่ง ในขณะที่จงอินนิ่งเงียบไปพักหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากของเขาจะค่อยๆเกิดขึ้น จงอินไม่รู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ดูจริงจังหรือว่าอย่างใด แต่ในตอนนี้เขาสนแค่คนข้างกายเจือกลิ่นเบียร์อ่อนๆทางลมหายใจ
“ถ้างั้นผมจะขังพี่เอาไว้ไม่ให้ไปไหน…” จงอินก้มลงกระซิบข้างหูของคนตัวเล็ก
“....”
“ด้วยอ้อมกอดของผม” เขาเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับเตียงราวกับการกักของผู้เป็นพี่เอาไว้ไม่ให้ไปไหน เป่าลมหายใจอุ่นๆที่เจือกลิ่นแอลกอฮอล์ใส่ผิวแก้มที่อุ่นขึ้นกว่าเก่าท่ามกลางความมืดที่โรยตัวโดยรอบ
“…”
“ผมจะคาดคั้นความจริงจากพี่...จนกว่าพี่จะพูดมันออกมา” ก่อนที่จะเขาเคลื่อนใบหน้าอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกผ่านผิวก่ายพี่ราวกับการหยอกล้อ
“....”
“ด้วยริมฝีปากของผม” ในขณะที่ไม่มีคำโต้แย้งใดๆจากริมฝีปากของพี่ก่อนที่เขาจะค่อยๆทิ้งลงอย่างเชื่องช้าปล่อยให้ความอบอุ่นผ่านผิวกายได้สัมผัสกันและกัน
“…”
“ผมจะไม่ปล่อยพี่ไปไหน ผมจะซ่อนพี่เอาไว้จากดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนหรือแสงของพระอาทิตย์ในยามเช้า...พี่จะไม่เห็นอะไรนอกจากผม...จนกว่าพี่จะบอกว่าพี่โกหกผมทำไม…แต่สุดท้ายแล้วผมก็คงไม่ทำอย่างที่พูด”
“....”
“เพราะผมไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง” จงอินยังคงกระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของคยองซู มันเป็นไปอย่างเชื่องช้า เน้นย้ำ และตั้งใจถ่ายทอดมันออกมาก่อนที่เขาจะงับใบหูของพี่อย่างหยอกล้ออีกครั้ง คยองซูได้แต่เอียงคอหนี รวมถึงเสียงหัวเราะแผ่วเบาระหว่างพวกเขาค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น จนหกลายเป็นเสียงหัวเราะที่ฟุ้งกระจายภายในห้องพักแคบๆแห่งนี้
“เลิกเล่นได้แล้ว...” จวบจนฝ่ามือเล็กๆนั้นค่อยๆดันใบหน้าของเขาให้ห่างออกห่างเล็กน้อย และมันเป็นนาทีที่เราต่างสบตากันท่ามกลางความมืด พร้อมกับที่เสียงหัวเราะที่ฟุ้งกระจายของพวกเขาค่อยๆเบาลง เบาลง กลับสู่ความเงียบงันและลมหายใจเหนื่อยหอบของเราต่างคลอเคลียไม่ห่าง
“แล้วถ้าผมไม่ได้เล่น”
“…”
“ผมจะเชื่อใจพี่ได้ใช่ไหม...ผมเชื่อใจพี่ได้ใช่ไหมคยองซู”
เสียงกระซิบแผ่วเบาจากริมฝีปากที่จงอินเอ่ยออกมา ในขณะที่ฝ่ามืออุ่นสัมผัสผ่านผิวแก้มที่เริ่มเย็นของผู้เป็นพี่ ใบหน้าของคยองซูเอียงซบกับฝ่ามือจงอิน ดวงตากลมโตที่เขาได้จ้องมองค่อยๆหลับลงราวกับซึมซับความอบอุ่นนั้นราวกับกับการออดอ้อน แม้ว่าจะไม่มีคำตอบใดที่เอื้อนเอ่ยออกมากับเวลาที่ยังคงหมุนไปเรื่อยๆพร้อมเสียงของสายฝนที่โปรยปรายลงมา จงอินไม่ได้คาดหวังถึงคำตอบที่ได้เขาแค่กำลังรู้ว่าแค่อยากถามมันออกไปแม้ว่าจะไม่มีคำตอบเลยก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าแค่นี้มันก็เพียงพอแล้ว มันเพียงพอแล้วจริงๆสำหรับการแสดงออกของคยองซู
จงอินเคยสงสัยว่าหากท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆฝนเราจะเห็นดาวล้านดวงบนท้องฟ้าไกลไหม...
แต่ในวันนี้เขาพบว่า แม้เมฆฝนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าแต่ดวงล้านดวงยังคงอยู่ตรงหน้า
มันถูกบรรจุเอาไว้ภายในดวงตาของคยองซู
#CLOUDYkd
เราหวังว่าจะมีคนติดตาม อาจจะมาช้าไปบ้าง และขอบคุณที่ยังเดินไปเรื่อยๆกับเรานะ ลง 150819 พยายามแก้ไขคำผิด 150820
·
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ปัญหายังไม่ถูกแก้ไขเลย
คยองซูโกหกอะไรน้อง~
แต่ไม่รู้ว่าเราจะทนถึงตอนนั้นได้มั้ยฮ่าาาาา
แค่นี้ตะบะก็จะแตกแล้วฮ่าาาาาาา