ตอนที่ 18 : เรื่องเสริม ✏ ของขวัญจากพระเจ้า
ลงครั้งแรก 8 ต.ค. 2559
รีไรต์ 21 ต.ค. 2563
ตอนพิเศษ
ของขวัญจากพระเจ้า
( :: คุณพ่อของเจย์เดน :: )
ตอนที่ภรรยาของผมตั้งท้อง เราต่างตื่นเต้นยินดีและลุ้นว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาว เธออยากได้ลูกสาว ส่วนผมอยากได้ลูกชาย
วินาทีแรกที่เห็นใบหน้าเล็กหัวใจของผมบีบตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่คือลูกของผม ลูกของเรา
ผมไม่เคยเป็นพ่อคนแต่ตั้งใจจะทำมันให้ดีที่สุด และเพราะเขาเป็นลูกชายอย่างที่ผมหวัง ภรรยาจึงให้ผมตั้งชื่อ
ผมมองทารกน้อยในอ้อมกอด เขาช่างน่ารักและบอบบาง
“เจย์เดน ให้เขาชื่อเจย์เดน”
เจย์เดน แปลว่าพระเจ้าทรงได้ยิน ราวกับพระเจ้าประทานชีวิตน้อยๆ ให้ผมและครอบครัวของเราเป็นของขวัญ
ผมไม่ค่อยมีเวลามากนักเพราะทำงานยุ่งอยู่เสมอ ทุกครั้งที่กลับบ้านจะเข้าไปกอดและหอมหน้าผากเจย์เดนซึ่งหลับสนิท คิดเพียงแค่ว่าเวลาทุกวินาทีกับความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญมันคุ้มค่า เพียงเพื่อให้ครอบครัวของผมสุขสบาย
ทว่าวันที่แสนสงบสุขได้แปรเปลี่ยนไป เมื่อภรรยากลับมาจากการไปเยี่ยมบ้านเกิดและบอกว่าเจย์เดนเจ็บปวดอย่างมากโดยหาสาเหตุไม่ได้
เราพาเขาไปหาหมอหลายต่อหลายที่ กว่าจะได้รับการวินิจฉัยว่าเขาแพ้แสง
“มันเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ เจย์เดนจะต้องหลบอยู่ใต้หลังคาแบบนี้ไปตลอดชีวิต เราจะทำยังไงดี เขายังเป็นเด็ก เขาควรได้วิ่งเล่น” ภรรยาของผมร้องไห้อย่างหนัก
“ก่อนหน้านี้โรคร้ายมากมายก็เคยรักษาไม่ได้ แต่มันต้องมีสักวัน” ผมกอดเธอ พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้มแข็งและเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว
ทั้งผมและภรรยาต้องศึกษาว่าเสื้อผ้าแบบไหนที่ทำให้เขาปลอดภัย เปลี่ยนผ้าม่านทั้งหมดในบ้าน ปิดหน้าต่าง ด่านสุดท้ายคือการบอกให้เจย์เดนที่ยังเป็นเด็กได้เข้าใจ ว่าอะไรเป็นอันตรายสำหรับเขา
“ทำไมต้องใส่แบบนี้เหรอ” เจย์เดนมองหน้าเราที่ยื่นเสื้อผ้ากันแสงยูวีให้เขา
“มันเป็นเสื้อพิเศษที่จะปกป้องลูกให้ปลอดภัย” ผมลูบหัวเล็ก มองดูรอยยิ้มที่สดใสของเขา ผมไม่รู้เลยว่าจะได้เห็นใบหน้าอย่างนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ความสดใสของเจย์เดนเริ่มหายไป เมื่อเขาต้องใส่หมวก เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวและระมัดระวังไม่ให้อยู่กลางแดดนาน แม้กระทั่งในหน้าร้อนที่เด็กทุกคนถอดเสื้อเล่นน้ำ วิ่งไปมาในกางเกงขาสั้น แต่เจย์เดนทำไม่ได้ รอยยิ้มของเขาจางหายไปจากใบหน้า เขาพูดน้อยลง มีเพื่อนน้อยลง เด็กบางคนไม่เข้าใจและไม่อยากเล่นกับเขา ผมทนเห็นลูกเป็นอย่างนั้นไม่ไหว จึงพยายามหาทางช่วยในแบบของผม
“มันจะเป็นไปได้เหรอคะ” ภรรยาผมถามอย่างไม่แน่ใจ
“มันต้องเป็นไปได้ เชื่อผมนะ” ผมบีบมือเธอ แม้ว่าจะไม่แน่ใจเช่นกัน
ผมทำงานเป็นนักวิจัยกับบริษัทที่ค้นคว้าและผลิตยารักษาโรค เมื่อบอกกับหัวหน้าว่าลูกผมเป็นอะไรพวกเขาก็ยินดีเป็นอย่างมากที่จะช่วยเหลือ ซึ่งนั่นหมายความว่าเจย์เดนจะต้องผ่านการเจาะเลือดและทดสอบกับยานับครั้งไม่ถ้วน
เขาเจ็บและร้องไห้ แต่ผมคอยบอกเขาเสมอว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
ช่วงเวลานั้นเองที่ผมได้เห็นความเจ็บปวดของลูกกับตาเป็นครั้งแรก ตอนที่เขาได้รับยาและลองออกไปยืนที่ระเบียง แสงแดดเพียงเล็กน้อยทำให้เขาผวา ห่อตัวและไหล่ มองหน้าผมด้วยความหวาดกลัว
“พ่ออยู่นี่ ลูกจะไม่เป็นไร”
เพราะผมยืนยันเขาจึงยอมยืนอยู่กับที่ ผ่านไปเกือบสิบนาทีตัวเล็กๆ ก็สั่นไปทั้งตัว เขาวิ่งกลับเข้ามาด้านใน ล้มลงที่พื้นด้วยใบหน้าที่อาบน้ำตา
“เจ็บ ทนไม่ไหวแล้ว ผมเจ็บ พ่อช่วยด้วย” เขาร้องเสียงดัง มือเกาหน้า เกาแขนไปทั่ว กรีดร้องทุรนทุราย พอผมเข้าไปจับเขาก็ยิ่งร้องว่าเจ็บ อย่าแตะเขา
ผมทำได้เพียงยืนมองลูกทรมาน สำรวจดูทั่วตัวไม่พบร่องรอยบาดแผล
อาการบาดเจ็บที่อยู่ภายในร่างกายนั้นเป็นการบาดเจ็บที่ร้ายแรงและรักษาได้ยาก ทีมงานพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหายามาบรรเทาอาการเขา แต่นับวันอาการของเจย์เดนยิ่งแย่ลง แสดงแดดเพียงเล็กน้อยที่ลอดมาจากหน้าต่างก็ทำให้เขาเจ็บ กระทั่งเจย์เดนเริ่มปฏิเสธการรักษา
“ไม่เอาแล้ว ไม่อยากทำแล้ว ฮึก มันเจ็บ อยากหาแม่ ฮือ” เขาร้องไห้และหันหลังหนีผม ไม่ยอมให้ผมหรือใครเข้าใกล้
“ขอโทษ พ่อขอโทษ อดทนอีกนิดได้ไหม คนเก่ง” ผมลูบหัวเขา พยายามจะไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอที่ผมมี
ผมเป็นพ่อของเขาเป็นผู้นำของครอบครัว แม้ว่าจะสิ้นหวังท้อแท้แค่ไหนผมก็แสดงออกไปไม่ได้ เจย์เดนหันหน้ากลับมา เขากอดผมไว้และร้องไห้ ผิวของเขาขาวซีด มีรอยแดงเป็นจุดตามแขน รอยแดงจากเข็มที่ผมเป็นคนทำ ผมจูบหน้าผากเขา พยายามจะเชื่อมั่นในตัวเอง
“คุณกำลังทรมานลูก ฉันขอล่ะหยุดสักที ล้มเลิกมันไปเถอะ บางครั้งโรคที่รักษาไม่ได้ก็คือไม่ได้ เราทำได้แค่ป้องกันเขาออกจากแสงแดดเท่านั้น ชดเชยเขาในส่วนที่เขาไม่มี ทำเท่าที่เราจะทำได้” ภรรยาเองก็เริ่มขอให้ผมหยุด
เราทะเลาะกัน หลายต่อหลายครั้งและมันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความตึงเครียดสะสมระหว่างเราและสุดท้ายมันแตกออก
เธอขอหย่ากับผมและตกลงจะให้ผมเป็นคนดูแลเจย์เดนในข้อแม้ที่ว่าห้ามเอาลูกเข้ารับการรักษาหรือทดลองยาตัวไหนอีก
แต่เจย์เดนไม่ยอม เขาเลือกแม่ เพราะกว่าที่ผมจะรู้ตัวเจย์เดนก็เกลียดผมเสียแล้ว ลูกอดทนและยอมทำตามที่ผมขอร้องอยู่เสมอ ผมดื้อรั้นเกินไปจนวันหนึ่งเขาเริ่มเห็นผมเป็นปีศาจร้าย เป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมาน เขาไม่อยากมองหน้าหรือพูดคุยกับผมอีก ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้มีเพียงความหวาดกลัวในดวงตาและเสียงกระซิบวิงวอนให้ผมหยุด ขอร้องว่าอย่าแตะเขา
ผมไม่อาจบังคับจิตใจลูกได้อีกจึงต้องปล่อยมือ หยุดความพยายามทุกอย่างที่ทำมา ผมต้องยอมรับว่าผมเก่งไม่พอ
ผมเสนอว่าจะส่งค่าเลี้ยงดูให้เจย์เดนทุกเดือน แต่ภรรยากลับปฏิเสธ ขอรับแค่ก้อนใหญ่ครั้งเดียวและหายไปจากชีวิตของผม ไม่แม้แต่จะทิ้งช่องทางการติดต่อ
เพิ่งรู้ตัวว่ามัวแต่ทำงานจนละเลยภรรยา ไม่รู้กระทั่งว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหนในไทย ไม่รู้จักเพื่อนของเธอ ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเธอนานมากแล้ว ยิ่งหลังจากที่เจย์เดนบ่อย ชีวิตของผมมีแต่การค้นคว้าเรื่องยาและการรักษา กลับมาเจอหน้ากันทีไรก็มีแต่เรื่องทะเลาะ ความรักในครอบครัวจางหายไปจนหมด
นอกจากความล้มเหลวในการเป็นนักวิจัย ความล้มเหลวในการเป็นพ่อ ผมยังล้มเหลวในฐานะคนรักอีกด้วย
ผมเคว้งอยู่นาน ได้แต่ทำงานชดใช้ค่าเสียหายจากเจ้าของทุนที่ให้ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและทดลองเกี่ยวกับโรคของเจย์เดน เมื่อพอตั้งตัวได้ผมจึงเปลี่ยนมาทำงานด้านธุรกิจแทน ลำพังถ้าผมเป็นแค่นักวิจัย ไม่มีเงินทุน ผมก็ช่วยอะไรลูกไม่ได้ ดังนั้นผมจึงพยายามหาเงินให้มากที่สุด ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนมีโอกาสได้ทำกับบริษัทที่มีสาขาในไทย ผมยอมรับข้อเสนอมาทำงานที่ไทยด้วยความหวังว่าจะเจอเจย์เดนอีกครั้ง
ผมตกหลุมรักกับสาวชาวไทยในอีกสามปีต่อมา เราแต่งงานกันและมีลูกที่น่ารัก คราวนี้ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่ของพ่อและสามีให้ดีที่สุด ผมมีครอบครัวที่แสนวิเศษ แต่เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของผมกำลังถามหาส่วนที่หายไป
“ขนมปังของพี่วี อร่อยอย่างงี้เลยนะคะ” น้องชะเอมชูนิ้วโป้งขึ้นแล้วยิ้มกว้าง ภรรยาของผมเป็นคนตั้งชื่อให้ลูก มันออกเสียงยากสำหรับผมในช่วงแรก แต่พออยู่เมืองไทยนานเข้าผมก็เริ่มพูดภาษาไทยได้คล่อง
“พี่ชายก็ทำขนมปังเก่งด้วย หม่ำๆ” น้องพลูอวดขนมปังยกใหญ่
พวกเขาเล่าเรื่องของพี่วีคนขายขนมปังทุกวันจนผมชักอยากเห็นหน้า
“น้องวีเหรอ เป็นเด็กน่ารักนะคะ เขาดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดี” ภรรยาของผมเองก็บอกทั้งรอยยิ้ม
ทั้งผมและภรรยาต่างทำงานหนักกว่าจะเลิกงานก็ค่ำ ตั้งแต่ที่รู้ว่าลูกมีที่เล่น มีข้าวเย็นกิน มีคนดูแลพวกเราก็เบาใจ ผมอยากขอบคุณชายหนุ่มเจ้าของร้านขนมปังสักครั้งจึงไปรับลูกกลับบ้านด้วยตัวเอง
แต่ในขณะที่กำลังพูดคุยกับเด็กหนุ่มที่ชื่อวี ผมก็เห็นใครบางคนโผล่หน้าออกมาจากกระโจมมุมร้าน วินาทีที่ดวงตาของเขาประสานกับผม ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ผมก็จำภาพเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนของผมได้
“เจย์เดน” ผมเรียกเขา ความคิดถึงมหาศาลพุ่งเข้าใส่ผม
จากเด็กผู้ชายที่สูงแค่เอวของผม ตอนนี้เขาสูงเท่าผมแล้ว
แต่ทันทีที่ผมเข้าใกล้ เขาก็หลบสายตาและวิ่งหนีไป
“ขอโทษด้วยนะครับ เขาค่อนข้างจะตื่นคน คุณรู้จักกับเขาเหรอ” เจ้าของร้านหันมาขอโทษผมอย่างนอบน้อม ผมยังคงนิ่งอึ้งและหัวใจบีบตัวอย่างอึดอัดเมื่อรู้ว่าเขาไม่อยากเจอหน้าผม แม้ว่าผมจะตามหาเขามาตลอดหลายปี
“ผมเป็นพ่อของเขา” ผมพึมพำราวกับไม่ได้ตั้งใจตอบคำถาม แต่เป็นการย้ำตัวเองให้แน่ใจเสียมากกว่า
“พ่อ?” น้องเอมจับมือผมและเอียงคออย่างไม่เข้าใจ
“เขาเป็นพี่ชายของลูก” ผมบีบมือน้อยของชะเอม
“พี่ชายก็คือพี่ชาย” น้องพลูพยักหน้า แต่ดูเหมือนไม่ได้เข้าใจอย่างถูกต้องนัก ผมจับมือพวกเขาไว้คนละข้างและขอตัวลาออกมา
“ร้องไห้ทำไมคะ งานหนักเหรอ กอดน้องเอมนะ กอดกันแล้วไม่เศร้านะคะ” ลูกสาวตัวน้อยของผมมุดตัวเข้ามาในอ้อมกอด เอียงหัวซบผมเอาไว้เมื่อเห็นว่าผมมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก น้องพลูเองก็เข้ามากอดอีกด้าน เรานั่งกันอยู่เบาะหลังของรถ มองถนนหนทางที่ดำมืดในยามค่ำคืน
“พ่อเป็นพ่อที่แย่ไหม” ผมพูดเสียงเบา
“พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดในโลกเลยค่า! พ่อทำงานหนัก เหนื่อยมากๆ แต่วันนี้ก็มารับน้องเอมกับน้องพลูด้วยล่ะ” เธอยิ้มกว้าง ทำให้น้ำตาผมที่กลั้นเอาไว้หยดออกมาแทน ผมรวบตัวพวกเขาไว้ในอ้อมกอด
“พ่อรักลูกนะ” ผมกระซิบ ได้ยินเสียงตอบรับของเด็กๆ ดังกลับมา
นึกอยากให้เสียงของผม ดังไปถึงเจย์เดนเช่นเดียวกัน
( :: จบพาร์ตของคุณพ่อเจย์เดน :: )
#ใต้ร่มวันฝนซา
☂☂☂☂☂☂☂☂☂☂☂☂☂
เรื่องเสริมเด็กน้อยเจย์เดนในอดีตและคุณพ่อ
มาสั้นๆ ให้เห็นอดีตของเด็กชายชุดดำแสนมัวหมองนะคะ
ขอแทรกคุณพ่อสักนิดหน่อยจะได้รู้ว่าคุณพ่อคิดอะไร
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เข้าใจคุณพ่อแล้ว
คุณพ่อก็น่าเห็นใจอะ
เข้าใจการกระทำของคุณพ่อ
ยังไงก็สู้ๆ นะคะให้เวลาเจย์เดนหน่อย