ตอนที่ 2 : ONE
1
“ เอาล่ะ นักศึกษาลองไปดูเรื่องเด็กพิเศษเพิ่มเติมมานะ คาบหน้าเราค่อยมาอภิปรายกันต่อ “
เสียงแหบห้าวของอาจารย์ผู้ชายร่างเล็กเจ้าของวิชา การศึกษาเด็กพิเศษ ที่กล่าวปิดท้ายการบรรยายของคาบเรียนบ่ายนี้ “ วันนี้เราพอแค่นี้แหละ สวัสดีครับนักศึกษา “ พอพูดจบ แกก็รับไหว้ด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนจะรวมกระเป๋ากับเอกสารแล้วเดินออกจากห้องไป
“ โอ้ยยยยยย มึน “ อาจารย์ออกไปยังไม่ถึงนาที ก็มีเสียงบ่นงุ้งงิ้งๆดังมาจากคนที่นั่งข้างๆเขาซะแล้ว คยองซูมองไปที่คนข้างๆที่กำลังทำตัวเหมือนตัวเองเป็นสสารของเหลว ปล่อยตัวให้ไหลไปตามแนวราบของโต๊ะ พยอนแบคฮยอน เพื่อนสนิทของเขาเอง
“ กูก็เห็นมึงมึนทุกวิชาอ่ะไอ้หมา “ พูดจิกกัดไปด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเอามือไปยีผมสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มยาวจนหน้าม้าจะบังตาไปหมดแล้วบนหัวมันที่ฟูอยู่แล้วให้ฟูขึ้นไปอีก
ไอ้หมาเองก็ไม่ได้ขัดขืนเขา ไม่รู้ว่ามันเหนื่อยจริง หรือรู้ว่าสู้แรงเขาไม่ได้เลยขี้เกียจขัดก็ไม่รู้
“ ใช่สิ กูไม่ได้ชอบจดชอบจำเหมือนมึงนี่หว่า “ แบคฮยอนได้แต่ประชดประชันไอ้เพื่อนตัวเปี๊ยกของเขากลับไปเบาๆ ไม่ใช่อะไรหรอก ไอ้นี่มันมือหนัก แรงยังกะควาย เล่นหนักมากไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะเจ็บตัวเอา
“ เชี้ยแบค แล้วมึงมาเรียนคณะนี้ทำไม กูบอกให้ซิ่วไปตั้งแต่ปีหนึ่งละนี่ “ เห็นสภาพมันแล้วก็สงสาร จริงๆ คยองซูก็รู้ดีว่าแบคฮยอนมันไม่ค่อยชอบเรียนไอ้ทฤษฎีที่น่าปวดหัวแบบนี้เท่าไหร่
แต่นี่มันดันตามมาเรียนครูกับเขาซะงั้น ทั้งๆที่ก็รู้ว่าจะต้องเจอวิชาชีพโหดๆแบบนี้เยอะแยะ ไม่รู้มันจะตามเขามาทำไมกัน
เขากับแบคฮยอนเรียนคณะศึกษาศาสตร์ เอกศิลปศึกษา ด้วยความชอบและมีพรสวรรค์เรื่องศิลปะมาบ้าง เลยตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะเข้ามาเรียน
คยองซูน่ะ สนใจทั้งศาสตร์ด้านศิลปะและศาสตร์ด้านการสอน มันเป็นความฝันของเขา แต่กับไอ้หมาแบคเนี่ย มันไม่เคยคิดจะเป็นครูด้วยซ้ำ พอถามเค้นหนักๆว่าจะมาเรียนกับเขาทำไม มันก็ตอบมาแค่ว่า จะเรียน แค่นั้นเลย เขาเลยไม่รู้จะถามอะไรมันต่อ ให้ตายเถอะ
“ ไม่เอา อยากเรียนกับมึง “ ไอ้หมาไม่พูดเปล่าๆ ยังเอียงหน้าที่เคยแนบไปกับโต๊ะมาถูกับต้นแขนข้างซ้ายของเขา เพราะงี้ไง เขาถึงเรียกมันว่าไอ้หมาเนี่ย ขี้อ้อนเหมือนไอ้ฮูซู หมาตัวเล็กๆที่บ้านเขาไม่มีผิด
ใครๆเห็นน่าจะเข้าใจผิดได้เลยว่าพวกเขาสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันยิ่งกว่าผัวเมียซะอีก จริงๆเพื่อนร่วม sec. แม่งก็เรียกเขาว่าคู่ผัวเมียนะ ขี้เกียจเถียงเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ใครอยากเรียกอะไรก็ตามใจ
จะว่าไป ถ้ามองขำๆ ไอ้แบคมันก็ชอบทำตัวเหมือนเมียเขาจริงๆนั่นแหละ ทั้งตามติด ตามบ่น ไหนจะหวงเขากับเพื่อน นี่คงได้นั่งข้างมันจนจบไปด้วยกันล่ะมั้ง เคยแอบสลับไปนั่งกับเพื่อนอีกคนบ้าง โดนงอนไปหลายวันเลย โถถถถถ
ไหนจะปีที่แล้ว ที่พี่โย่งมันมาจีบๆเขา ไอ้แบคนี่แทบจะกระโดดกัดหู แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าแอบไปญาติดีกันลับหลังเขาตอนไหน
ปีนึงแล้วสินะ
ปีนึง ที่เขาไม่เห็นปาร์คชานยอลอีกเลย ตั้งแต่วันนั้น
มือเล็กที่กำลังจัดกระเป๋าก็หยุดลงดื้อๆ อ่า นี่เขาเผลอนึกถึงคนๆนั้นอีกแล้ว
สะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านในหัวก่อนที่มันจะเตลิดไปมากกว่านี้ คิดเอาเองว่าดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ก็ .... ไม่
โดคยองซูน่ะ ยังสลัดปาร์คชานยอลออกจากหัวไม่ได้หรอก
ท่าทางเหล่านั้นอยู่ในสายตาของพยอนแบคฮยอนตลอด เขาเห็นนะ ว่าไอ้เปี๊ยกแอบทำหน้าบูด ตาโตๆของมันหลุกหลิกไปมา หัวคิ้วนี่ขมวดจนแทบจะชนกัน แบบที่มันจะเป็นถ้ากำลังคิดมากกับเรื่องอะไรสักเรื่อง เรื่องที่เขารู้ดีว่าเพื่อนเขาคิดเรื่องอะไร
“ ไอ้หมา จะไปไหมกินข้าวอ่ะ ยังไม่รีบเก็บของอีก “ นอนมองมันเพลินๆก็ต้องสะดุ้งเพราะมันเล่นหันมาพูดเร่งเขาปุบปับ หึ โดคยองซูคนที่ชอบโมโหกลบเกลื่อนไง เป็นแบบนี้อีกแล้ว
ในเมื่อเพื่อนไม่อยากแสดงออก เขาก็จะเป็นเพื่อนที่ดี เล่นละครทำเป็นไม่รู้เรื่องไปตามมันก็แล้วกัน แบคฮยอนรู้ดีไง ว่าเปี๊ยกมันหัวแข็งแค่ไหน อย่าไปกดดันจะดีที่สุด - ^ -
“ เออๆ แปปดิ “ แบคฮยอนบ่นงุ้งงิ้งๆตามประสาไปก่อนจะรวบของทุกอย่างลงกระเป๋า เพื่อเตรียมตัวไปหาอะไรยัดท้องที่ร้องจ๊อกๆของไอ้เปี๊ยก สงสัยมันใกล้จะโมโหหิวเพิ่มละ
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ จุดหมายในใจคือโรงอาหารใต้ตึก ที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยและสะดวกที่สุด เพราะไม่ต้องเดินไกลของเหล่านักศึกษาว่าที่ครู ที่ฝากท้องกันที่นี่แทบทุกราย คนเลยจอแจๆกันเต็มไปหมด
โชคยังดีที่ยังพอมีที่ว่างให้ สองเพื่อนซี้เลยรีบเดินไปนั่งโต๊ะตัวริมที่ค่อนข้างไกลจากร้านข้าวอยู่พอสมควร จัดการซื้อข้าวมากินกันด้วยความหิวโหย
จนไอ้หมาแบคลุกไปซื้อน้ำอัดลมมาส่งให้ถึงมือคยองซูอย่างรู้หน้าที่ แหม แบคฮยอนนี่ดูแลคยองซูดียิ่งกว่าเมียในอนาคตอ่ะ บอกเลย
ไม่ใช่ว่าห่วงเพื่อนเกินเหตุหรอกนะ แบคฮยอนไม่ได้รักมันมากถึงกับจะต้องโอ๋กันขนาดนั้น เพื่อนเขามันก็มีมือมีตีน เมื่อก่อนน่ะ มันตัดรำคาญความอืดอาดของเขาด้วยการไปซื้อมาให้เองด้วยซ้ำ
แต่ ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปนิดหน่อย
ไม่เคยอยากจะนึกถึงวันนั้นเลยให้ตาย วันที่เขาเห็นเพื่อนของเขานั่งร้องไห้กับตา พอถามจนรู้เรื่อง เขานี่แทบจะพุ่งไปขอเตะปากไอ้รุ่นพี่นั่นซะหน่อย แต่คยองซูดันห้าม
มันพูดความในใจออกมาล้านแปด พูดไปร้องไปจนเขาฟังเกือบไม่รู้เรื่อง แต่ก็จับใจความได้ว่า
ให้มันจบเหอะมึง อย่าให้ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกเลยว่ะ
คยองซูมันเป็นคนนิ่ง เขารู้ มันใจเย็น มีเหตุผลเสมอ ไม่ชอบความวุ่นวาย ตอนแรกที่มันห้ามเขา เขายังเกือบจะด่ามันแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มันควรจะใจเย็นหรือใจดีกับคนแบบนั้นเลย
แต่พอมันพูดออกมาแบบนั้น เขาถึงเข้าใจ
เพื่อนเขามันกำลังเหนื่อย เสียใจมาก จนไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องวุ่นวายที่ทำให้มันเสียใจอีกแล้ว และเขารู้ว่ามันทำได้แน่
เมื่อเพื่อนเลือกอย่างนั้น เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งกับคนพวกนั้นอีก
พยอนแบคฮยอนในวันนั้น เลยมีหน้าที่แค่นั่งเฝ้ามันร้องไห้อยู่ริมสระ ก่อนจะพากันเดินกลับหอที่พักด้วยกันในตอนที่ฟ้ามืดไปแล้ว
เขารู้ว่าคยองซูคาดหวังในแง่ดีว่าเรื่องมันจะจบแค่นั้น แต่มันก็ไม่จบ
ควรจะโทษความหล่อของไอ้แก๊งรุ่นพี่นิเทศพวกนั้นหรือเปล่า ที่ทำให้มีแต่คนชื่นชอบ ตอนแรกๆที่เข้ามาจีบเพื่อนเขาแบบเปิดเผย ไอ้เปี๊ยกก็จะโดนแอบเบ้ปาก หรือมองด้วยความหมั่นไส้ลับหลังนิดๆหน่อย ๆเท่าที่เขาเห็น
แต่พอข่าวลือกันไปทั่วว่า ปาร์คชานยอลไม่ได้ชอบคยองซูจริงๆจังๆสักนิด คนที่เคยอยู่ในเงามืดเหล่านั้นก็เริ่มโผล่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้ไอ้เปี๊ยก เยอะขึ้นเรื่อยๆ
นานๆเข้ามันก็เริ่มหนัก ทั้งพูดจาถากถาง ไหนจะแกล้งกันเล็กๆน้อยๆ แต่บ่อยจนเขารำคาญแทนจะแย่
แต่เจ้าตัวก็ยังนิ่ง
มึงอย่าไปใส่ใจพวกเขาเลยน่า เดี๋ยวก็หายกันไปเองและ กูขี้เกียจวุ่นวายมึงก็รู้
นั่นแหละ พอเขาจะไปเอาเรื่องกับทั้งคนทำ ทั้งต้นเหตุ คยองซูมันก็เบรกเขาด้วยคำพูดเดิมๆ
คำพูดที่เขาเถียงไม่ได้ พยอนแบคฮยอน เลยกลายเป็นองครักษ์พิทักษ์คยองซู โดยหน้าที่หลักคือไปซื้อข้าวซื้อน้ำ เพื่อกันไม่ให้มันโดนแกล้งแทน แล้วท่องในใจไปแก้หงุดหงิด ว่าเพื่อนเขามันไม่ชอบความวุ่นวาย มันไม่อยากวุ่นวาย แต่กูเนี่ย คันตีน อยากวุ่นวายมากบอกเลย
……….
ดูเหมือนลมปากแบคฮยอนก็น่าจะศักดิ์สิทธิ์อยู่ระดับนึงนะ ระดับที่ว่า เขาดันโดนตามตัวจากรุ่นพี่ปีสี่ต่างคณะที่สนิทกันอย่างกะทันหัน ให้ออกมาเจอหน่อย หลังจากที่เพิ่งตั้งกระแสจิตขอความวุ่นวายไปหลังกินข้าวเมื่อกี้นี่
รวดเร็วแบบที่ข้าวที่เขาเพิ่งกินไปน่าจะยังไปไม่ถึงกระเพาะแน่ๆ แบคฮยอนสัมผัสได้
สองเพื่อนซี้ได้แต่ปลงตก รับรู้ได้โดยไม่ต้องพูดกันด้วยซ้ำว่าพวกเขาน่ะเตรียมตัวรับงานที่กำลังจะเข้ามาได้เลย เพราะทุกครั้ง ที่พี่จุนมยอน รุ่นพี่ตัวขาว ประธานรุ่นคนดังของปีสี่ คณะนิเทศศาสตร์ติดต่อมา นั่นแปลว่า มีงานให้ช่วยทำชัวร์
แต่ถ้าถามว่าทำไมพวกเขาถึงยอมช่วยและมาสนิทกับพี่จุนมยอนคนนี้ได้ล่ะก็ เหตุผลง่ายๆเลย คือคยองซูกับเขาเนี่ย ดันมีสกิล วาดรูปสวยถูกจริตพี่จุนมยอนมากกกก
ส่วนพี่จุนมยอน ก็ป๋าเปย์ตังค์ถึง ถูกจริตพวกเขาสุดๆ ดีลลลล
เดินกันมาเรื่อยๆจนถึงเกือบจะถึงที่ๆนัดไว้ คยองซูก็สะดุดตากับตึกเรียนที่อยู่ตรงหน้าจนเกือบเสียจังหวะเล็กน้อย
ตึกคณะนิเทศศาสตร์
เห้อ อุตส่าห์ ขอพี่จุนมยอนไว้ว่าไม่เข้าตึกนะ แต่ก็ดันต่อรองได้แค่ย้ายมา สวนหย่อม ข้างตึก ที่ม้านั่งมากมายใต้ร่มไม้ให้นักศึกษาได้นั่งกันตามอัธยาศัย
ได้แต่หวังล่ะ ว่าดวงเขาคงไม่ซวยถึงขนาดที่ครั้งแรกในรอบปีที่เฉียดมาแถวนี้ จะได้ป๊ะหน้ากับพี่ชานยอลเลยหรอกนะ เขาก็ทำบุญตักบาตรมาเยอะอยู่ ขอบนในใจเลยเถอะ สาธุ
นึกถึงคนเคยสนิทแล้วก็เริ่มระแวงในใจ เผลอมองไปรอบๆ เพื่อกวาดสายตาให้มั่นใจว่าไม่มีมนุษย์คนไหนที่ลักษณะคล้ายปาร์คชานยอลอยู่แถวนี้
ไอ้หมาแบคมันคงสังเกตได้ ถึงได้ยื่นมือยาวๆของมันมาลากเขาให้จ้ำเดินไปให้เร็ว จุดหมายคือโต๊ะตัวริมที่เห็นออร่าความขาวที่คุ้นเคย
“ อ้าว มาพอดีเลย “ รุ่นพี่จุนมยอนเอ่ยทักทายพวกเขา “ นั่งๆเร็ว “ ว่าพลางตบโต๊ะข้างตัวแป๊ะๆ แต่ทั้งเขาและแบคฮยอนกลับเดินมานั่งที่โต๊ะที่เหลืออยู่คนละตัว
“ ไงป๋า คราวนี้จะเลี้ยงอะไรพวกผมครับ “ พยอนแบคฮยอนเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มจนตาหยีส่งไปให้ ด้วยความคาดหวังอย่างแรงกล้า ว่าต้องได้อะไรดีๆบ้างล่ะ
“ มึงช่วยฟังงานที่กูอยากให้ช่วยก่อนขอหน่อยดิ “ พี่จุนเอากระดาษม้วนแล้วเคาะหัวลูกหมาเจ้าเล่ห์ไปทีนึง คยองซูหัวเราะด้วยความสมน้ำหน้าเพื่อน ส่วนแบคฮยอนก็ลูบหัวปอยๆแล้วบ่นงุบงิบๆคนเดียวของมันไป
“ ว่ามาเลยพี่ มีไรให้ช่วยอ่ะ “ เขาเปิดประเด็นถามไป จะได้รีบๆคุย รีบๆรู้เรื่อง คือก็ไม่ค่อยอยากจะอยู่ตรงนี้นานๆเท่าไหร่
“ เออ มึงเนี่ยค่อยน่าคบหน่อย คยองซู น้องรัก “ พี่จุนดูจะดีใจที่เขาถามถึงธุระของพี่แก ถึงเอามือมาลูบหัวเขาเสียยกใหญ่ อยากจะสะบัดใส่มาก แต่นึกถึงเครดิตการ์ดของพี่เขาแล้ว อยู่นิ่งๆก็ได้วะ
“ เอ้อออ ลูบมันเข้าไป ลูบให้ได้หวยเลยนะ รักกันเหลือเกิ้นนนน “ เสียงแบคฮยอนบ่นมาอีกรอบ แต่ดูเหมือนทั้งเขาและพี่จุนจะขี้เกียจสนใจมันแล้ว ดีแล้วพี่ เริ่มๆพูดเร็วๆเลยเหอะ
“ รู้เรื่องละครเวทีการกุศลของคณะพี่ยังอ่ะ “ จุนมยอนว่าพลางมองหน้ารุ่นน้องทั้งสอง ได้รับการพยักหน้าแทนคำตอบแล้ว เขาก็เบาใจ ที่ได้ลดเรื่องที่ต้องอธิบายไปได้อีก
“ พี่อยากให้พวกเรามาช่วยวาดฉากหลังให้หน่อย เอาเฉพาะส่วนปราสาทอ่ะ “
“ โห งานใหญ่เลยนะเนี่ย พวกจิตรกรรมไม่ว่างอ่อพี่ พวกผมสองคนจะทำไม่ทันเอาได้นะ “ แบคฮยอนออกความเห็นไป แต่สีหน้าของพี่จุนมยอนกลับหงิกลงซะงั้น
“ ยากว่ะ หาคนมาช่วยยาก มันไม่ใช่งานคณะเขานี่ “ ไม่ใช่ว่าจุนมยอนไม่ลองติดต่อไป แต่ทุกคนที่เขาคิดว่าพอจะช่วยได้ก็ไม่รับปากสักคน “ มีแต่พวกเราอ่ะ ที่ไม่ใจจืดใจดำกับพี่ จริงไหม ?” อันนี้คือไม่ได้พูดเว่อเกินเบอร์อะไรเลย ความหวังสุดท้ายของเขาคือไอ้เด็กสองคนตรงหน้าจริงๆที่เขาพอจะไว้ใจ
จะไปจ้างข้างนอก ก็แพงเกินงบ ถ้าทำแบบนั้น คงไม่เหลือตังไว้บริจาคให้ใครหน้าไหนแล้วล่ะ
“ มันมีเวลาสองเดือนอ่ะ ทีมฉากพี่ก็มีลูกมือให้ช่วย น่าจะทันนะ “
สองเพื่อนซี้ได้แต่มองหน้ากัน จริงๆเขาก็น่าจะช่วยได้แหละ ตอนนี้เพิ่งเปิดเทอม ไม่ได้มีเทศกาลสอบอะไร แล้วชีวิตปีสามของเขาก็ยังไม่ได้ต้องมีกิจกรรมอะไรมากในเทอมแรกแบบนี้
คยองซูเลยพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาตกลง เหลือแค่ให้ไอ้หมาแบคมันตัดสินใจ
“ ไม่มีปัญหาเลยครับป๋า พวกผมช่วยเอง ฮิ “ ไม่มีเหตุผลที่แบคฮยอนต้องปฏิเสธในเมื่อคยองซูตกลงไปแล้ว
“ เยสสส น้องรัก ขอบใจมากกก “ จุนมยอนดีใจที่ได้รับคำตอบที่ต้องการสักที “ ห้ามเปลี่ยนใจแล้วนะเว้ย “ ว่าพลางยิ้มแป้นไม่หยุด น้องรักของเขานี่ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆด้วย
ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาไอ้คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเฮดทีมฉาก ให้มันรู้ว่าเขาหาจิตรเอกให้ได้แล้ว รายงานไปด้วยความดีใจ พร้อมโม้สรรพคุณคนที่หามาได้อย่างเต็มที่ ว่าพวกมันไม่ต้องห่วง งานนี้จะต้องออกมาดีแน่นอน เอาซะคนปลายสายอยากจะมาเจอทีมงานคนใหม่ด้วยตัวเองเลยทีเดียว
“ ยังไม่รีบไปไหนใช่ป่ะ เพื่อนพี่มันอยากเจออ่ะ เผื่อจะได้นัดคุยงานกันง่ายๆ “ จุนมยอนถามรุ่นน้องทั้งสอง
“ นานไหมอ่ะพี่ “ คยองซูที่อุตส่าห์ดีใจว่าจะไปจากตรงนี้ได้อยู่แล้วเชียว พอโดนรั้งให้อยู่ต่อก็อดเซ็งไม่ได้
“ เอ้ย แปปเดียวๆ มันอยู่ในตึกนี่เอง ขามันยาว เดี๋ยวก็มาและ “
คนขายาวหรอ เห้ย คงไม่ใช่หรอกมั้ง ใน ม นี้คนสูงมีเยอะแยะ
“ อ้าว นั่นไง มันมาละ “ พี่จุนมองเลยไปด้านหลังของเขา ก่อนจะลุกขึ้นโบกไม้โบกมือให้เพื่อนเขา ที่คงกำลังวิ่งมาทางด้านหลังเขาตอนนี้ คยองซูกำลังจะหันหน้าไปมองผู้มาใหม่
“ ไหนว่ะ น้องมึงอ่ะ มีสองคนเองหรอ ? “
เขาชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงพูดนั่น เสียงทุ้มแหบๆแบบนี้ มันคล้าย คล้ายมาก
เหลียวมองไอ้แบคที่นั่งฝั่งซ้ายของเขาแล้วก็ยิ่งต้องกลุ้มใจ แบคมันแค่หันหน้ามาทางเขาแต่สายตาที่มองเลยไป ทางคนที่น่าจะยืนอยู่ข้างหลังของไอ้แบคนี่มัน เหมือนมันกำลังตกใจ
คงไม่ใช่หรอกมั้ง
แบคฮยอนกลับมาสบตาเขาด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่าง อารมณ์ประมาณว่า
ชิปหายแล้วคยองซู
เขาทำใจกล้าหันกลับไป มองผู้ชายตัวสูง ที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยใจที่เต้นระทึก ความหวังริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเจอหน้าคมกับตาโตๆที่ไม่เคยหายไปจากความคิด เขาก็ยิ่งรู้แล้วล่ะ
ปาร์คชานยอล
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นปาร์คชานยอลจริงๆ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ โดคยองซูคนนี้ทำบุญให้น้อยไปหรือไง ทำไมถึงไม่ฟังคำขอของเขาบ้าง - -*
...........
ตอนที่สองมาแว้ววววววว เป็นยังไงกันบ้างคะ 555555555
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และเมนท์เป็นกำลังใจให้เรานะคะ ไม่รู้ว่าจะสั้นไปไหม ยังไงก็ติชมหรือให้คำแนะนำได้นะคะ เรายินดีอ่านมากๆเลย
Enjoy Reading นะคะ
ติดแท็กในทวิตเป็นเพื่อนดราได้น้า ที่ #ฟิคจะรักหรือจะหลอก
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่าาาาาาา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ห่างหายกันไปตั้งหลายปีพอกลับมาเจอกันอีกทีคยองซูจะทำยังไงนะในเมื่อยังตัดชานยอลจากความคิดไม่ได้เลย