ตอนที่ 6 : ตอนที่ 5 : บิงซูที่ไม่ได้แปลว่าน้ำแข็งไส (Re-write)
ตอนที่ 5
บิงซูที่ไม่ได้แปลว่าน้ำแข็งไส
“ฮือ เก่งมากเลยน้อง ๆ จบงานนี้เดี๋ยวพี่ปั๋งเลี้ยงทุกคนเองน้า”
“อ้าวกิ่ง เกี่ยวอะไรกับพี่”
“แหม อย่ามาเนียนสิคะพี่เป็นรองแกนบ้านปีสามนะคะ”
“จ้า ๆ เอาตามที่น้องสบายใจเลยจ้า” รองแกนบ้านปีสามของบ้านจุลภาคส่ายหน้าอย่างหน่ายใจให้กับรุ่นน้องของเขา เพิ่งเข้าใจถึงความรู้สึกของรุ่นพี่ที่ต้องมาเลี้ยงเขาสมัยปีหนึ่งเลย เฮ้อ
“ไปนั่งก่อนนะคะน้อง ๆ นี่ ๆ พวกแกอย่าเพิ่งกวนน้อง ให้น้องไปนั่งดูการแสดงบ้านอื่นก่อน” กิ่งเดินเข้ามาช่วยรุ่นน้องตัวเล็กของเธอที่หลังจากเดินลงจากเวทีก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยกลุ่มของรุ่นพี่ทั้งชายและหญิง จนเจ้าตัวเล็กทำได้เพียงแค่เกาหัวแกรก ๆ อย่างงง ๆ ยอมให้รุ่นพี่เข้ามาถ่ายรูปด้วยโดยไม่ห้ามแม้แต่น้อย
“ขอบคุณนะครับพี่กิ่ง” น้ำตาลพูดกับผู้มีพระคุณที่ช่วยแยกตนเองออกมาจากการรุมขอถ่ายรูปของกลุ่มของรุ่นพี่
“พี่ว่าต่อไปนี้คงต้องเหนื่อยกันหน่อยแล้วล่ะ บ้านเราคงอยากจะมีคนมาเกี่ยวดองอีกเยอะ ว่าไหมไอ้มังกร”
“ทำไมวะ…ครับ?” คำลงท้ายที่ถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหัน มังกรแอบเห็นว่ารุ่นน้องตัวเล็กแอบมองเขาด้วยหางตาเป็นการเตือนเขาเสียแล้วว่าอย่าพูดคำหยาบต่อหน้าตนเอง ปกติมังกรก็ไม่ได้ยอมลงให้ใครขนาดนี้นะ…แต่วันนี้น่ารักเป็นพิเศษยอมให้สักวันก็ได้ (กูเห็นมึงยอมน้องตลอดอะ - เสียงแว่ว ๆ ของใครสักคน)
“งั้นหนูให้น้องเข้าไปนั่งในห้องประชุมก่อนนะคะ อีกเดี๋ยวจะเฉลยพี่เลี้ยงแล้ว” มังกรและปั๋งพยักหน้าให้กับกิ่ง แม้จะเสียดายที่ยังไม่ได้ชมเจ้าตัวเล็ก แต่มังกรก็คิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะที่เขาจะได้พูดกับน้อง
“เห็นเสียงคนดูไหมแก ดีใจจัง”
“จริง หายเหนื่อยไปเลยแก เอาจริงนี่ถ้าไม่มีการแสดงเซอร์ไพรส์ตอนจบนะ การแสดงของบ้านของเราคงกร่อยแน่ ความคิดแกเลิศมากโอปอ ฉันขอซูฮก”
“แน่นอน ในเมื่อเต้นได้ไม่ดี งานตลกก็ต้องมา” โอปอพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ยอมรับเลยว่าโล่งมากที่คนดูสนุกไปกับการแสดงของบ้านพวกเขา
“แต่ต้องขอบคุณน้ำตาลมากที่สุดนะ งานนี้แฟนคลับน้ำตาลตรึมแน่นอน”
“แหะ ๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก” คนตัวเล็กตอบ
“ไม่ขนาดนั้นได้ไง นี่ถ้าน้ำตาลไม่ยอมเป็นเซนเตอร์คงแย่” น้ำตาลส่งยิ้มกว้างให้กับแกนบ้านของตัวเอง หลังจากจบการแสดงน้ำตาลรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ยกภูเขาที่หนักอึ้งออกจากอกเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นเหตุให้คนตัวเล็กยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แจกยิ้มหวานให้กับทุกคนที่พบเจอด้วยความอารมณ์ดี
“เก่งมากครับน้องพี่”
“งือ พี่น้ำแข็งน้องเต้นเก่งไหม”
“เก่งมากครับ มาให้พี่หอมที” น้ำตาลทำแก้มป่องให้พี่ชายแท้ ๆ ได้หอมแก้มทำให้เพื่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแทบอยากจะส่งเสียงกรี๊ดในความน่ารักของพี่น้องคู่นี้ หากไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นพี่น้องแท้ ๆ พวกเธอต้องคิดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันอย่างแน่นอน
“หนูขอตัวเพื่อนไปก่อนนะคะพี่น้ำแข็งเดี๋ยวใกล้จะเฉลยพี่เลี้ยงกันแล้ว”
“ครับฝากโอปอดูน้ำตาลด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะไม่ยอมให้แม้แต่มดสักตัวมาไต่เลยค่า”
“ขอบคุณครับ งั้นเอาไว้เจอกันตอนเลิกนะน้ำตาล”
“ครับ เจอกันนะครับ” น้ำตาลบอกลาผู้เป็นพี่ชายที่ต้องแยกตัวเพื่อไปเตรียมการในช่วงเฉลยพี่เลี้ยงเพราะน้ำแข็งเองก็มีน้องเทกที่เขาต้องดูแลเช่นเดียวกัน
“น้ำตาลกับเดียร์จะแยกไปนั่งกับเพื่อนในกลุ่มไหมเราจะได้เดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากับน้ำตาลเดินไปเองก็ได้ โอปอกลับไปหากลุ่มของตัวเองได้เลย”
“โอเคจ้า ไว้เจอกันน้า พวกแกทั้งสองคนสุดยอดมากเลยวันนี้”
หลังโอปอขอตัวแยกออกไป คนที่ขนาดตัวใกล้เคียงก็เดินกลับเข้ามาในหอประชุมของคณะซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน พวกเขาเดินไปนั่งยังที่นั่งริมทางเดินที่หมวยส่งไลน์มาบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าจองที่เอาไว้ให้ แต่เมื่อทั้งสองคนมาถึงก็พบแต่เพียงที่นั่งว่างเปล่าจำนวนห้าที่นั่งเนื่องจากคนที่เหลือกำลังเตรียมตัวจะทำการแสดงต่อไป
“เป็นไงบ้างหายตื่นเต้นยังน้ำตาล” หลังจากได้ที่นั่งแล้วเดียร์ก็เอ่ยปากชวนเพื่อนตัวเล็กกว่าตนเองคุย เขาจำได้ว่าเพื่อนของตัวเองตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมดก่อนที่ขึ้นแสดง ด้วยความเป็นห่วงจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาเพื่อความแน่ใจ
“ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้เรารู้สึกโล่งมาก แถมยังสนุกอีกต่างหาก” คนตัวเล็กตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี
“งั้นก็ดีแล้ว หลังจากลงจากเวทีมีแต่รุ่นพี่สนใจน้ำตาล วันนี้น้ำตาลน่ารักมากจริง ๆ อย่างที่โอปอบอกเลยถ้าไม่มีน้ำตาลคนคงไม่ชอบการแสดงของเราขนาดนี้”
“ไม่หรอก เพราะเราแต่งชุดนี้อยู่ต่างหากพี่ ๆ ถึงอยากมาถ่ายรูปกับเรา เดียร์ก็แต่งแล้วน่ารักนะ” คนตัวเล็กในชุดมาสคอตพี่หมีตอบ คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กในวัยกำลังโตจะมีความคิดแบบนี้ เจ้าตัวคิดแค่เพียงว่ารุ่นพี่ต้องชอบชุดหมีที่เขาใส่แน่ ๆ เพราะขนาดน้ำตาลยังชอบเลยชุดพี่หมีมันน่ารักมาก
“ถ้าน้ำตาลว่าอย่างนั้นเราก็โล่งใจ เราไม่ค่อยมั่นใจเลยที่ต้องแต่งตัวแบบนี้”
“เดียร์น่ารักจะตาย เชื่อน้ำตาลนะ” ในเมื่อเพื่อนว่ามาแบบนั้นเดียร์จะยอมเชื่อก็ได้
บทสนทนาของทั้งสองจบลงเมื่อการแสดงของบ้านอาร์เอ็มเอฟซึ่งเป็นการแสดงสุดท้ายของวันนี้เริ่มต้นขึ้น ทั้งสองจับจ้องไปที่บนเวทีด้วยความสนอกสนใจเพราะบนเวทีมีเพื่อน ๆ ในกลุ่มของทั้งสองแสดงอยู่ด้วย
การแสดงสุดท้ายมาในธีมละครเวทีที่ทำเลียนแบบการแสดงชื่อดังของละครบรอดเวย์ แต่ดูเหมือนว่าคนที่คิดจะลืมไปว่าพวกเขาเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารทางธุรกิจ ไม่ใช่การแสดง แน่นอนว่าผลที่ออกมาละครเวทีของบ้านอาร์เอ็มเอฟจึงกลายเป็นละครตลกและสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมไม่ต่างจากบ้านอื่น ๆ ทั้งลืมบทบ้างล่ะ เปิดเพลงผิดฉากก็มา
“จบลงไปแล้วนะครับสำหรับการแสดงในชุดเดอะซาวนด์ออฟมิวสิค จากทางบ้านอาร์เอ็มเอฟขอเสียงปรบมือให้กับทางบ้านอาร์เอ็มเอฟด้วยนะครับ”
“ค่ะ เป็นละครที่สนุกมาก ๆ เลยนะคะ ตอนนี้ขอเชิญน้อง ๆ ลงไปพักกันก่อนได้เลย เพราะอีกสักครู่จะเป็นกิจกรรมการเฉลยพี่เลี้ยงที่ทุกคนรอคอยนั่นเองค่า”
สิ้นเสียงพิธีกร น้ำตาลก็กลับมาคิดถึงเรื่องคำใบ้ที่ตนเองได้รับมาตั้งแต่ในวันเปิดเรียน ‘ไม่กินหวาน’ คำใบ้ซึ่งเป็นสิ่งเดียวในการระบุตัวตนของพี่เลี้ยงของเขา ในตอนแรกน้ำตาลไม่เข้าใจความหมายของคำใบ้ที่ตัวเองได้มาเลยสักนิด แต่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาคนตัวเล็กได้เรียนรู้อะไรมากมาย อีกทั้งยังได้พูดคุยกับรุ่นพี่ในบ้านของตนเองอยู่บ่อย ๆ คนตัวเล็กจึงมั่นใจว่าเขาพอจะรู้แล้วว่าเจ้าของคำใบ้ ไม่กินหวาน คนนี้คือใคร และกฎของกิจกรรมการเฉลยพี่เลี้ยงที่ว่า หากรุ่นน้องสามารถตามหาพี่เลี้ยงได้จนเจอ พี่เลี้ยงคนนั้นจะต้องมอบของรางวัลให้กับน้องเทกอย่างหนึ่ง ซึ่งน้ำตาลก็ได้นั่งคิดนอนคิดถึงของรางวัลที่ตัวเองต้องการเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าพี่เลี้ยงของน้ำตาลจะต้องหมดตัวแน่นอน
“คิ ๆ” นึกแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ทุกที คนตัวเล็กแอบยิ้มมุมปากอย่างที่ตัวร้ายในการ์ตูนที่เจ้าตัวเคยดูทำมันบ่อย ๆ รอยยิ้มมุมปากที่น้ำตาลคิดว่าดูเจ้าเล่ห์แต่เมื่อมาปรากฏอยู่บนใบหน้าของน้ำตาล มันกลับไม่เป็นไปตามที่เจ้าตัวคิดแม้แต่น้อยเลย
“หัวเราะอะไรอะน่ะน้ำตาล” เดือนหมาด ๆ ของเอกเอ่ยทักเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แถมยังแอบหัวเราะคิกคักคนเดียว
“ฮะ อะ... อ๋อ เปล่า ๆ เราแค่คิดอะไรเพลิน ๆ อะ” เจ้าตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเพื่อนที่เพิ่งกลับมานั่งที่เอ่ยทัก มินส่ายหัวให้กับความน่ารักของเพื่อนตัวเองเล็กน้อยในเมื่อเพื่อนบอกว่าไม่มีอะไรเขาจึงไม่ได้สนใจต่อ
“ถ้างั้นเรามาเข้าสู่ช่วงการเฉลยพี่เลี้ยงกันเลยดีกว่าค่ะ รบกวนพี่ ๆ ช่วยเก็บเก้าอี้ของน้อง ๆ ออกด้วยนะคะ” สิ้นเสียงพิธีกร บรรดารุ่นพี่ปีสองที่รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยก็เข้ามาเก็บเก้าอี้ของน้อง ๆ ออกไปวางไว้ข้างหอประชุมเพื่อความสะดวกในการทำกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ส่วนน้องปีหนึ่ง เดี๋ยวจะมีพี่ ๆ เอากระดาษมาให้น้อง ๆ เขียนชื่อพี่เลี้ยงจากคำใบ้ที่น้องคิดว่าใช่ลงไปนะครับ เสร็จแล้วส่งให้พี่ ๆ เพื่อรับผ้าปิดตานะครับ หลังจากปิดตาแล้วก็ขอให้ทำตามคำสั่งของพี่ ๆ นะครับ” หลังจากเขียนชื่อของคนที่คิดว่าน่าจะเป็นพี่เลี้ยงลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้ำตาลส่งกระดาษใบนั้นพร้อมได้รับผ้าปิดตาสีดำสนิทมาผืนหนึ่งก่อนที่รุ่นพี่จะเข้ามาช่วยเขาผูกผ้าปิดตาผืนนั้น
“เดินตามพี่มานะคะ ค่อย ๆ ไม่ต้องรีบ” หลังจากที่น้ำตาลถูกปิดตา ประสาทการมองเห็นจึงหยุดทำงานชั่วคราว มีเพียงความมืดมิดและเสียงคุยของผู้คนในห้องประชุมดังลอดเข้ามาเท่านั้น
คนตัวเล็กจับมือรุ่นพี่ แล้วจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินตามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ราวกับว่าความเชื่อมั่นทั้งหมดถูกมอบให้กับคนนำทางที่กำลังกุมมือของน้ำตาลเอาไว้เท่านั้น จนเมื่อรุ่นพี่เอ่ยปากให้น้ำตาลนั่งลงกับพื้นความกังวลของคนตัวเล็กจึงจบลง รุ่นพี่ค่อย ๆ ช่วยประคองให้น้ำตาลนั่งลงอย่างช้า ๆ ไม่เร่งรีบและเมื่อนั่งลงแล้วจึงเอ่ยปากกระซิบที่ข้างหูของเขาเบา ๆ
“อย่าเพิ่งเปิดตาจนกว่าจะได้รับคำสั่งนะคะ”
“ครับ” เจ้าตัวเล็กตอบรับอย่างแข็งขัน
ภายในโลกแห่งความมืดมิดจึงทำให้ประสาทการได้ยินและประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของน้ำตาลทำงานได้ดีกว่าปกติ คนตัวเล็กได้ยินเสียงรุ่นพี่พูดประโยคที่คล้าย ๆ กันอยู่หลายครั้งจนเมื่อประโยคเหล่านั้นจบลง เขารู้สึกถึงปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตที่ค่อย ๆ ย่างกรายมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ไออุ่นที่แผ่ออกมาจากบริเวณตรงหน้าของเขา ทำให้น้ำตาลรับรู้ว่ามีใครสักคนมานั่งอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วและถ้าให้เดาก็คงจะเป็นพี่เลี้ยงที่เขามั่นใจว่ารู้ตัวอยู่แล้วอย่างแน่นอน
“โอเคค่ะ ตอนนี้ขอให้น้อง ๆ ถอดผ้าปิดตาออกได้เลยค่ะ ตรงหน้าของน้อง ๆ นั่นคือพี่เลี้ยงของน้อง ๆ เจ้าของคำใบ้ที่ได้ไปนั่นเองค่ะ” น้ำตาลค่อย ๆ แกะผ้าปิดตาออกอย่างช้า ๆ ตามคำสั่งที่ได้รับ สิ่งแรกที่น้ำตาลเห็นยังคงเป็นภาพความมืดมิด แต่แตกต่างกันตรงที่ในครั้งนี้มีแสงสว่างจากเทียนที่ถูกจุดแซมขึ้นมาพอให้เห็นบรรยากาศสลัว ๆ น้ำตาลเงยหน้าขึ้นมา กะพริบตาสองถึงสามหนเพื่อปรับโฟกัสก่อนที่ภาพตรงหน้าจะปรากฏเป็นภาพผู้ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มกำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขาในแบบที่น้ำตาลไม่เคยเห็นมาก่อน…‘พี่มังกร’
“…”
“ไม่แปลกใจหน่อยหรือครับ” ในขณะที่ทั่วทั้งหอประชุมดังก้องไปด้วยเสียงของเพื่อนร่วมคณะพูดคุยกับพี่เลี้ยงของตนเอง บ้างก็ทำท่าทางจนโอเวอร์แอ็กติงเมื่อได้เจอหน้าพี่เลี้ยงของตน แต่นั่นไม่ใช่สำหรับน้ำตาล
“น้ำตาลรู้อยู่แล้วว่าเป็นพี่ น้ำตาลเก่ง” เจ้าตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์แถมยังยักคิ้วจึก ๆ ให้คนตรงหน้าอย่างกวนโอ๊ยแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของตัวเอง คำใบ้เด็ก ๆ ‘ไม่กินหวาน’ ช่างเหมาะกับคนตรงหน้าเขาเสียจริงนะ เล่นกินแต่กาแฟขมปี๋ทุกวัน น้ำตาลเก่ง น้ำตาลรู้ดี
“ครับ เก่งจริง ๆ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สายของพี่นะ” มังกรส่ายหน้าเล็กน้อย เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังตัวตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนน้องเทกของเขาจับได้ตั้งแต่ต้น
“แล้วพี่ปีสองอ่า” น้ำตาลถาม เพราะจริง ๆ แล้วคนที่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้ควรเป็นพี่ปีสองแต่ว่าพี่มังกรเรียนอยู่ปีสามน้ำตาลจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ไม่มีครับ ซิ่วไปแล้ว สายนี้มีแค่พี่กับพี่ปีสี่อีกคน”
“อ๋อ” คนตัวเล็กพยักหน้าหงึก ๆ อย่างน่าเอ็นดู
“อยากได้อะไรเป็นรางวัลครับตัวเล็ก” มังกรลูบหัวทุยของคนน่ารักด้วยความมันเขี้ยวอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยถามน้องเทกของตัวเอง
“ทำไมชอบเรียกหนูว่าตัวเล็กจังพี่กาแฟ หนูไม่ได้ตัวเล็กซะหน่อย หนูอยู่ในวัยกำลังโตต่างหาก ถ้าเรียกตัวเล็กอีกรอบหนูจะลาออกจากการเป็นน้องเทกของพี่ จะให้พี่กิ่งเป็นพี่เลี้ยงแทนจริง ๆ ด้วย” เป็นอีกครั้งที่มังกรต้องขำกับท่าทีของคนตัวเล็กเวลามีคนมาล้อเรื่องขนาดตัวของตนเอง น้ำตาลอาจจะไม่รู้ว่าของแบบนี้มันลาออกกันได้เสียที่ไหน อย่างไรน้ำตาลก็ต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน
“ครับพี่ไม่เรียกแล้วก็ได้ น้องน้ำตาล แบบนี้พอใจไหมครับ ถ้ายังไม่หายโกรธจะให้พี่ยอมทำอะไรก็ได้พี่ยอมทุกอย่างเลย” ถ้าเป็นปกติมังกรคงจะซื้อโกโก้มาง้อคนตัวเล็กที่ชอบทำแก้มป่องเวลาโดนเขาหยอกเป็นประจำ แต่วันนี้ในฐานะที่สามารถเปิดเผยตัวตนว่าเป็นพี่เลี้ยงของเจ้าเด็กดื้อได้จริง ๆ แล้ว แถมวันนี้คนตัวเล็กยังน่ารักเป็นพิเศษ เฮียมังกรเลยยอมใจป้ำหนึ่งวันยอมตามใจคนตรงหน้าที่ทำท่าทางฮึดฮัดอยู่สักวันก็ได้
“หายโกรธก็ได้ แต่ต้องพาน้ำตาลไปกินบิงซูนะ เอาสิบถ้วยเลยไม่งั้นไม่หายโกรธจริง ๆ นะ”
“ครับ ๆ จะกี่ร้อยถ้วยก็เลี้ยงได้ แต่ก่อนอื่นขอมือหน่อยครับ” ตัวแค่นี้จะกินเยอะสักแค่ไหนเชียว
“น้ำตาลไม่ใช่หมานะ ไม่ต้องมาแกล้งขอมือน้ำตาลเลย!” เนี่ยนอกจากชอบมาว่าน้ำตาลว่าเตี้ยแล้วยังมาหาว่าน้ำตาลเป็นหมาอีก น้ำตาลรู้ทันหรอกนะเพราะน้ำตาลชอบขอมือของเจ้ากีกี้หมาที่อยู่ข้างบ้านอยู่บ่อย ๆ
“ไม่ใช่ครับ โถ่ตัวแค่นี้แต่ทำไมงอนบ่อยจัง ใช้คำว่ายื่นมือออกมาหน่อยละกันพี่จะผูกข้อมือให้” น้ำตาลหันซ้ายหันขวามองตรงโน้นทีตรงนี้ทีจึงเห็นว่าเพื่อน ๆ รอบตัวของน้ำตาลกำลังให้พี่เลี้ยงของแต่ละคนผูกข้อมือให้อยู่ เห็นแบบนั้นเจ้าตัวเล็กเลยยอมที่จะยื่นมือออกไปให้พี่เลี้ยงหมาด ๆ ช่วยผูกข้อมือให้
“ตั้งใจเรียนนะรู้ไหม ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจถามพี่ได้ตลอดเลยนะ”
“ขอบคุณครับ…พี่มังกร” อาจเป็นประโยคระหว่างมังกรและน้ำตาลที่ฟังดูรื่นหูที่สุดก็เป็นได้ แม้ว่าน้ำตาลจะชอบดื้อกับเขาอยู่บ่อย ๆ แต่เขาก็มีวิธีที่จะคอยกำราบเด็กดื้อให้อยู่หมัดอยู่อีกเพียบ ไม่ว่าจะมาไม้ไหนบอกเลยเฮียมังกรก็ไม่หวั่น!
เป็นไปตามคาดสำหรับรางวัลการแสดงดีเด่นที่ตกเป็นของบ้านจุลภาคอย่างไม่ค้านสายตาของผู้ชม รางวัลแพ็กเกจท่องเที่ยวอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี จึงตกเป็นของน้ำตาลและผองเพื่อนในฐานะของผู้ชนะ ซึ่งทริปนี้จะเกิดขึ้นในช่วงกลางเทอมหลังการลงภาคสนามของวิชาหนึ่งที่มีทริปศึกษานอกสถานที่ ณ จังหวัดราชบุรีพอดีดังนั้นทริปสวนผึ้งในครั้งนี้จึงจะเกิดขึ้นในช่วงนั้นเพื่อจะได้ไม่รบกวนเวลาเรียนของน้อง ๆ
หลังจากจบกิจกรรมทั้งหมด ในช่วงท้ายของงานจึงเป็นงานปาร์ตี้ที่เหล่ารุ่นพี่ตั้งใจจัดงานนี้ขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับน้อง ๆ ปีหนึ่งที่เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน ภายในงานมีอาหารมากมายหลากหลายชนิดทั้งคาวหวานซึ่งมาจากงบกลางที่รุ่นพี่ช่วยกันลงขันออกค่าใช้จ่ายในการจัดงานนี้ขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีสดของศิษย์เก่าที่คอยสร้างบรรยากาศอยู่ตลอดงาน ราวกับว่าเป็นงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องนั่นเอง แต่สำหรับบางคนก็ขอตัวแยกย้ายกลับที่พักหลังจบกิจกรรมทั้งหมดไปแล้วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินทางลำบากในช่วงมืดค่ำหลังงานเลิกแบบนี้ ส่วนบางคนก็เลือกที่จะอยู่ทานมื้อเย็นในงานรวมถึงน้ำตาลและกลุ่มเพื่อนสนิทที่อยู่ต่อในงานเช่นเดียวกัน
“เดียร์ได้ใครเป็นพี่เลี้ยงหรือ”
“พี่แตงโมน่ะ แล้วน้ำตาลล่ะ” เดียร์หมายถึงรุ่นพี่ผู้หญิงในบ้านคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นหน้าผ่าน ๆ
“เราได้พี่มังกรอะ”
“ดีจังเราก็อยากได้พี่มังกรมาเป็นพี่เลี้ยงเหมือนกัน”
“พี่แตงโมดุเดียร์เหรอ บอกเราได้นะถ้าใครกล้ามาดุเดียร์เดี๋ยวจะให้พี่น้ำแข็งจัดการให้หมดเลย” เดียร์หัวเราะออกมาทันทีเมื่อฟังสิ่งที่เพื่อนตัวเล็กพูดออกมา ปกติคนที่พูดประโยคนี้ออกมาควรจะเป็นคนที่จัดการเองไม่ใช่หรืออย่างไร
“ไม่หรอกพี่แตงโมใจดี แต่พี่มังกรเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของเรา เราเลยรู้สึกว่าน่าจะพูดคุยกับพี่มังกรได้มากกว่าน่ะ”
“อ๋อ จริงสิเดียร์มาจากโรงเรียนเดียวกับพี่มังกรนี่นา ถ้างั้นเรามาแบ่งกันใช้พี่มังกรก็ได้นะ น้ำตาลไม่หวง”
“ฮ่า ๆ ของอย่างนี้มันแบ่งกันได้ที่ไหน ไม่เป็นไรหรอกเราแค่เสียดายเฉย ๆ แต่พี่แตงโมก็ดีเหมือนกัน”
“สองคนนี้คุยอะไรกันน่ะ พวกเราคุยด้วยสิ” พอเห็นว่าเพื่อนตัวเล็กทั้งสองคนพูดคุยส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันอยู่ หมวยและจ๋าจึงขอเข้าร่วมวงสนทนาด้วยเช่นกัน ส่วนมินผู้ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเดือนเอกหลังจากจบกิจกรรมก็โดนรุ่นพี่ดึงตัวไปเพื่อพูดคุยเรื่องการประกวดดาวเดือนระดับมหาวิทยาลัยในทันทีกลุ่มของน้ำตาลจึงเหลืออยู่กันเพียงเท่านี้
“คุยกันเรื่องพี่เลี้ยงน่ะ”
“จริงสิ บ้านพวกแกเพิ่งเฉลยพี่เลี้ยงนี่แล้วเป็นไง ๆ ใครเป็นพี่เลี้ยงของพวกแก”
“ของเราได้พี่แตงโมน่ะ ส่วนน้ำตาลได้พี่มังกร” เดียร์ตอบ
“หูย พี่ตัวใหญ่น้องตัวเล็กก็มาว่ะจ๋า หมวยฟินจังเลย”
“งือ ดีมากจริง ๆ พี่เลี้ยงเป็นพี่มังกรช่างเหมาะสมกับน้ำตาลจริง ๆ” สองสาวส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันอยู่สองคน มันอดที่จะฟินไม่ได้จริง ๆ ก็เพราะพี่มังกรน่ะไทป์ผัวเลยชัด ๆ แถมยังมาได้น้องเทกตัวเล็กน่ารัก ๆ อย่างน้ำตาลอีก จึงไม่แปลกที่สาววายอย่างพวกเธอจะฟินตัวแตกกันขนาดนี้ และแน่นอนว่ามีหนึ่งคนในวงสนทนาที่ไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดอยู่
“ทำไมต้องเหมาะสมอ่า แล้วถ้าไม่เหมาะสมจะเป็นพี่เลี้ยงไม่ได้เหรอ” คนตัวเล็กถาม สงสัยพี่เลี้ยง-น้องเทกจะเลือกจากความเหมาะสมกระมัง
“ไม่มีอะไรหรอกน้ำตาล มันเป็นเรื่องที่สาววายอย่างเรากับจ๋าเข้าใจกันน่ะ”
“เราอยากรู้ด้วยไม่ได้หรือ ถ้าน้ำตาลเป็นสาว ไม่ใช่สิน้ำตาลเป็นผู้ชายก็ต้องเป็นหนุ่มวาย น้ำตาลจะเข้าใจเรื่องที่หมวยกับจ๋าคุยกันไหม” น้ำตาลยังคงอยากที่จะเข้าใจเรื่องที่เพื่อน ๆ พูดคุยกัน สาววายหนุ่มวายนี่มันคืออะไรเหรอน้ำตาลอยากรู้เพราะฟังดูแล้วถ้าเป็นหนุ่มวายจะดูโตเป็นผู้ใหญ่นะ
“ไว้เดี๋ยวอยู่ไปนาน ๆ น้ำตาลก็จะรู้เอง คิ ๆ ใช่ไหมจ๊ะเดียร์”
“อย่าแซวสิ เห็นไหมน้ำตาลงงหมดแล้ว ยังไงก็เป็นพี่น้องกันหมดทุกคนนั่นแหละ”
“จ้า ๆ ไม่แซวแล้วก็ได้ อย่าหงุดหงิดสิจ๊ะ”
“น้ำตาลครับ”
“เรียกน้ำตาลหรือ?” น้ำตาลหันตามไปยังต้นเสียงที่คุ้นเคยของพี่เลี้ยงหมาด ๆ ของตน ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเรียกตัวเองหรือไม่เพราะคำที่ใช้เรียกนั่นน่ะฟังดูแล้วดูพิลึกชอบกล อ๋อ สงสัยคงต้องกลัวน้ำตาลแน่เลยถึงไม่กล้าเรียกน้ำตาลตามปกติ บอกแล้วว่าน้ำตาลน่ะน่ากลัวจะตาย
“ก็เห็นว่าน้องเทกของตัวเองอยากกินบิงซูเลยมาหา หรือว่าไม่อยากกินแล้วครับ?”
“อยากกิน ๆ พี่มังกรพาหนูไปกินหน่อยน้า”
“อะเอ่อ ไปสิ ไปบอกน้ำแข็งซะก่อนนะมันจะได้ไม่เป็นห่วง บอกมันว่าถ้าดึกเดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” คนตัวสูงถึงกับไปไม่ถูกเมื่อโดนน้องเทกของตัวเองพูดออดอ้อนด้วยเป็นครั้งแรก นึกขอบคุณบิงซูที่ทำให้ได้เห็นมุมน่ารัก ๆ ของน้องเทกเป็นครั้งแรก
“รอแป๊บเดียวน้า ขอน้ำตาลไปบอกพี่น้ำแข็งก่อน” คนตัวเล็กรีบวิ่งไปหาพี่ชายด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้เขายืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนของเจ้าตัวเล็กที่สองในสามนั้นส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้เขาไม่หยุดไม่หย่อน
“อยากไปกินบิงซูบ้างจังเลยหมวย”
“เอาไว้เดี๋ยวจ๋าพาไปกินน้า วันนี้จ๋าคิดว่าบิงซูน่าจะหวานเป็นพิเศษเลย” มังกรได้แต่ยิ้มแห้งต่อคำพูดคำจาที่ฟังดูแปลก ๆ ของสองสาวรุ่นน้องไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่เลยขออยู่เงียบ ๆ คงจะดีกว่า
“น้ำตาลไปขอพี่น้ำแข็งแล้ว พี่น้ำแข็งให้ไป แต่เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะไปรับที่ร้านเองครับ”
“ถ้างั้นไปกันเลยนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนครับพี่มังกร…ให้เดียร์ไปด้วยได้ไหม พี่เลี้ยงของเดียร์ดุมากน้ำตาลเลยจะให้เดียร์มาแบ่งกันใช้พี่มังกรกับน้ำตาลด้วย พี่มังกรเลี้ยงเดียร์ด้วยได้ไหม” เจ้าตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงสดใสตามเดิม แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เลยว่าประโยคที่ตัวเองพูดออกมาจะทำให้คนที่ได้ฟังคิดไปไกลต่อไหนถึงไหน
“หะ... หา” ไม่ใช่แค่มังกร แต่สองสาวอย่างหมวยและจ๋าก็ถึงกับอ้าปากค้างเพราะประโยคสองแง่สองง่ามของคนตัวเล็กที่สุด
“น้ำตาลเข้าใจผิดน่ะครับ คิดว่าพี่เลี้ยงของเดียร์ดุเลยจะให้เดียร์มาเป็นน้องเทกของพี่มังกรด้วยครับ” ทั้งสามถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดียร์ช่วยขยายความในสิ่งที่น้ำตาลหมายถึง คงลืมไปว่าเจ้าของประโยคเมื่อตะกี้คือน้ำตาลถึงได้เผลอคิดไปไกลขนาดนั้น
“อ๋อ พี่ดันคิดไปไกลซะได้ ว่าแต่พวกเราจะไปด้วยก็ได้นะ”
“พี่พาน้ำตาลไปเถอะครับ เดียร์ยังอยากอยู่ในงานครับ”
“ใช่ค่ะ หมวยกับจ๋าก็ยังอยากอยู่ในงานเหมือนกันค่ะ…อีกอย่างถ้าพวกเราไปก็ไปเป็น กขค สิคะ” พูดด้วยน้ำเสียงติดสนุกแล้วหันกลับไปหัวเราะกันสองคน
“เฮ้อ ถ้างั้นพี่ขอพาน้ำตาลไปก่อนนะ”
“ตามสบายค่ะ แล้วอย่าลืมป้องกันด้วยนะคะ”
“หมวยแกพูดอะไรน่ะ”
“ก็แหม ต่อมสาววายมันแตก”
แน่นอนว่าประโยคก่อนหน้านี้น่ะ ทั้งสองคนที่เพิ่งจากไปไม่มีทางได้ยินหรอกเพราะสาววายเขาแค่พูดกันเล่น ๆ แต่เซนส์ของสาววายมันแรงตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่อีกหน่อยคงไม่แน่….
“จะไปร้านไหนอ่า”
“…”
“น้ำตาลว่าร้านที่เคยไปกินก็ดีนะร้านนั้นอร่อยมาก”
“อ้ะ แล้วนี่จะขับรถไปไหนอะ ไม่ใช่ทางไปหลังมหา’ลัยไม่ใช่เหรอ”
“ครับ ไม่ได้ไปร้านหลัง ม.” คนตัวสูงตบไฟเลี้ยวเป็นสัญญาณขอทาง รถคันหรูหักเลี้ยวหันไปทางด้านขวาทางคณะเศรษฐศาสตร์ขับตรงไปอีกไม่นานก่อนที่จะมาหยุดตรงบริเวณลานจอดรถใต้ตึกเรียน
“ถึงแล้วครับ”
“ใน ม. เรามีร้านบิงซูด้วยเหรอ น้ำตาลไม่เห็นรู้เลย” คนตัวเล็กพูดในระหว่างเปิดประตูลงรถตามคนขับก่อนจะรีบเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ คนขับรถเพื่อให้ผู้เป็นพี่นำทาง
“มีครับ อร่อยด้วยพี่กินตั้งแต่ตอนเข้าเรียนเลย” สองคนที่ขนาดตัวต่างเกินเดินขนาบข้างกันพร้อมเดินเข้าไปในโรงอาหารกลางของทางมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นช่วงค่ำแต่บริเวณโรงอาหารก็ยังคงเต็มไปด้วยนักศึกษาหลากหลายคณะมากมายกำลังนั่งทานอาหารกัน บ้างก็อาศัยพื้นที่ในละแวกนี้ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์สำหรับการกีฬามหาวิทยาลัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และเป็นเพราะมหาวิทยาลัยของพวกเขามีพื้นที่สำหรับการใช้สอยน้อยมากทำให้เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเหล่าผู้นำเชียร์ของแต่ละคณะออกมาซ้อมในพื้นที่ที่คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้
“จริงหรือ งั้นรีบไปกันเลยน้ำตาลอยากกินจะแย่แล้ว” คนตัวเล็กจับมือมังกรให้เดินตามเขามาแม้จะไม่รู้ทางก็ตาม ภาพทั้งสองคนที่กำลังเดินจับมือกันอยู่สร้างความประหลาดใจให้กับนักศึกษาที่นั่งอยู่กันในบริเวณนั้นเป็นอย่างมากเมื่อเดือนมหาวิทยาลัยปีสามกำลังเดินจับมือกับเด็กผู้ชายตัวเล็กน่ารักคนหนึ่ง แถมคนที่เป็นฝ่ายเดินนำคนพี่ยังเป็นเจ้าเด็กตัวเล็กที่กำลังยิ้มกว้างจนคนที่พบเจออดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่าย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กละความสนใจจากบิงซูของโปรดไปแม้แต่น้อย
“นี่ไงครับสั่งได้เลย คุณป้าครับสั่งขนมหน่อยครับ” เมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขนมหวานของโรงอาหารกลาง เดือนมหาวิทยาลัย จึงตะโกนเรียกคุณป้าเจ้าของร้านที่กำลังง่วนกับการเก็บล้างอยู่หลังร้านให้ออกมารับออร์เดอร์
“อะ... เอ่อ”
“ไม่สั่งหรือครับ เดี๋ยวคุณป้าแกจะเก็บร้านแล้วนะ”
“มันไม่ใช่บิงซู หนูไม่เอา ก็พี่บอกว่าจะพาหนูไปกินบิงซูนี่ นี่มันน้ำแข็งไสต่างหาก!” เดือนมหาวิทยาลัย ยืนงงอยู่สักพัก เขามั่นใจว่าบิงซูกับน้ำแข็งไสมันคือขนมหวานชนิดเดียวกันไม่ใช่หรืออย่างไร แล้วทำไมจู่ ๆ เด็กตัวเล็กถึงมางอนเขาอีกแล้ว
“มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”
“ไม่เหมือนนะ น้ำแข็งไสกับบิงซูไม่เหมือนกัน น้ำแข็งไสมันจะใส่น้ำแดง ใส่นมแถมน้ำแข็งยังก้อนใหญ่กว่า แต่บิงซูมันน้ำแข็งเนื้อเนียนนุ่มแบบละลายในปากทันทีแถมน้ำแข็งที่เอามาทำยังเป็นรสชาติต่าง ๆ อีกด้วย พี่กาแฟไม่เข้าใจเลย!” คนตัวเล็กฮึดฮัดเขาจะไม่ยอมให้ใครมาเหมารวมของหวานที่แสนโปรดปรานของเขาแน่นอน บิงซูก็คือบิงซู น้ำแข็งไสก็คือน้ำแข็งไส มันไม่เหมือนกัน
“เอ่อ พี่ผิดเอง พี่ขอโทษ กินอันนี้ไปก่อนได้ไหมครับ”
“ไม่เอา น้ำตาลจะกินบิงซู”
“เอาอย่างนี้ ถ้าจะกินบิงซูพี่จะซื้อให้แค่ถ้วยเดียว แต่ถ้ากินน้ำแข็งไสตรงนี้พี่จะซื้อให้ทุกวันเลย เราจะเอาแบบไหนก็เลือกเอานะครับ” ในพจนานุกรมของมังกรไม่มีคำว่าเด็กดื้อถูกบัญญัติอยู่ในนั้น…
“กะ... ก็ได้” เมื่อบวกลบคูณหาร หากได้กินน้ำแข็งไสที่เป็นของโปรดอันดับสามทุกวันแถมตอนเย็นพี่น้ำแข็งยังพาไปกินขนมเค้กอีก ก็นับว่าคุ้มค่ากว่าการที่ได้กินบิงซูเพียงถ้วยเดียวแน่ ๆ ดังนั้นคนตัวเล็กจึงยอมรับข้อเสนอแล้วหันไปสั่งออร์เดอร์กับคุณป้าเจ้าของร้านแม้จะยังรู้สึกขาดทุนก็ตาม
“หึ” แต่ถ้ามีเด็กดื้อเกิดขึ้นมา เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับเด็กคนนั้นได้ แบบนี้อย่างไรล่ะ….
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โหคุณพี่คะเล่นงี้เลยเนอะ555555
ไม่ต้องแอบซื้อโกโก้ 1 แถม 1 ให้น้องแล้วนะพี่มังกร ตอนนี้มีสิทธิ์เลี้ยงได้เต็มที่เลย ฮึฮึ
หนูจะน่ารักพร่ำเพรื่อขนาดนี้ไม่ได้นะลูก พี่มังกรโดนแอทแท็คบ่อยๆได้จับกดหนูพอดี อย่าพึ่งรีบนี่ยังไม่กี่ตอนเองลูก