ตอนที่ 7 : ตอนที่ ๐๗ ส่านอ๋อง
ตอนที่ ๗ ส่านอ๋อง
ส่านอ๋องหันมามองพวกเรา เขายิ้มๆ กวาดตามองเสี่ยวชีรอบหนึ่งก่อนจะหันมาทางข้าแล้วพลันชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น ส่านอ๋องกะพริบตาคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง เขาหันกลับไปมองพวกคุณชายที่เพิ่งวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไป จากนั้นเงยมองไปรอบๆ คล้ายมองหาบางสิ่ง ข้ามองตามอย่างอยากรู้ เขามองอันใดอย่างนั้นหรือ? ส่านอ๋องถอนหายใจเสียงเบา สีหน้าของเขาคล้ายจะปลงตก
“คนพวกนั้นช่างโชคร้ายนัก ยุ่งกับใครไม่ยุ่ง มายุ่งกับคนของพี่สี่ ไม่ตายครานี้จะตายคราไหน เฮ้อ อมิตาพุทธ”
ข้าเลิกคิ้วเมื่อได้ยินส่านอ๋องพึมพำพลางส่ายหน้า ส่วนเสี่ยวชีนั้นมิได้ยินอันใด มัวแต่เคลิบเคลิ้มไปกับความสง่างามน่ามองของส่านอ๋อง ข้าสะกิดเรียกเสี่ยวชีเพื่อให้เอ่ยขอบคุณพร้อมกัน บุรุษชุดลายไผ่เขียวสบายตาไม่ต่างจากบุคลิกโบกมือไปมาแย้มยิ้มอย่างเป็นกันเอง
“มิได้ๆ คนกันเอง พวกเจ้ากำลังกลับวังหย่งเฮ่าใช่หรือไม่?”
“ขอรับ”
“อ่า หากไม่รังเกียจนั่งรถม้าไปพร้อมกันเถิด เราเองก็จะไปรอพบท่านพี่เช่นกัน ป่านนี้คงกลับจากวังแล้วกระมัง” ส่านอ๋องหัวเราะเสียงนุ่มแล้วเอ่ยชวนอย่างหวังดี
“เอ่อ...” ข้าคิดจะปฏิเสธ ขึ้นรถม้ากับส่านอ๋องมิใช่ความคิดที่ดีนัก พวกเราเป็นแค่ข้ารับใช้จะเสนอหน้าไปนั่งร่วมกับเจ้านายได้อย่างไร อีกอย่างหากมีผู้ใดมาพบเห็นจะนำไปนินทาได้ ข้ากำลังตอบปฏิเสธไปแต่เสี่ยวชีกลับชิงตอบรับตัดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เสียงดังชัดเจนกลบเสียงของข้าไปหมด
“ขอรับ ไม่รังเกียจเลยขอรับ!”
“หึๆ ตามมาทางนี้” ส่านอ๋องยิ้มขำ ไม่ใส่ใจเจตนาแอบแฝงอันชัดแจ้งของเสี่ยวชี เขาผายมือเชิญพวกเราไปขึ้นรถม้า ข้ายืนกลอกตาเอือมระอาใส่หลังเสี่ยวชีที่กระตือรือร้นเดินตามส่านอ๋องไป เจ็ดน้อยสักวันเจ้าต้องโดนหนุ่มหล่อหลอกไปขายเป็นแน่ ข้ายืนลังเลใจครู่หนึ่งก่อนจะถูกเสี่ยวชีลากขึ้นรถม้า ข้าขัดขืนไม่ยอมตามไปง่ายๆ เสี่ยวชีก็ถลึงตาใส่พร้อมกับกระซิบข่มขู่
“นี่เป็นโอกาสงามของข้า เจ้าอย่าได้มาขัดขวาง”
ข้ายอมอย่างเสียมิได้ เมื่อขึ้นไปนั่งกันเรียบร้อยรถม้าก็ค่อยๆ ออกตัว การขึ้นมานั่งรถม้านี้มีทั้งดีและไม่ดี ข้อดีทำให้คนในวังเกรงใจพวกข้ามากขึ้น ไม่คิดรังแกมากนัก ส่วนข้อเสีย อาจถูกนินทาว่าอยากตะกายขึ้นเกาะกิ่งไม้สูงก็เป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะถูกพวกหมั่นไส้รังแกมากกว่าเดิมก็เป็นไปได้ ช่างเถิด ในเมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องตามน้ำไป หากมีอะไรเกิดขึ้นค่อยแก้ไขไปตามสถานการณ์ หลังจากครุ่นคิดอยู่นานข้าก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นส่านอ๋องจ้องข้าอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นข้ามองไปเขาก็ยิ้มให้พลางผงกศีรษะ จากนั้นก็หันไปตอบคำถามของเสี่ยวชีไม่มีท่าทางรำคาญใดๆ
ข้ามองส่านอ๋องอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหลุบตาลง
ได้ยินมาว่าส่านอ๋องเป็นพระโอรสที่เกิดจากนางกำนัลชั้นผู้น้อย ตอนถือกำเนิดมารดาของเขาได้สิ้นใจตายไป ส่านอ๋องจึงได้นางสนมชั้นสูงรับไปเลี้ยง และผู้ที่รับเขาไปเลี้ยงก็คือหวงกุ้ยเฟย พระมารดาของฉินอ๋อง ด้วยเหตุว่าต้องการให้พระโอรสของนางมีเพื่อนเล่นในวัยใกล้เคียงกัน องค์ฮ่องเต้ก็อนุญาตเห็นดีเห็นงาม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉินอ๋องกับส่านอ๋องสนิทสนมมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ
ส่านอ๋องมีหน้าตาที่เรียกได้ว่าหล่อเหลา แต่หากเทียบกับฉินอ๋องแล้วนับว่ายังห่างไกลกันนัก แม้จะมิอาจเทียบเหล่าพี่ชายแต่ส่านอ๋องก็มีบุคลิกเย็นตาสบายใจน่าเข้าหา ทำให้เขามิได้ด้อยกว่าเหล่าพี่น้องมากนัก ในอนาคตข้างหน้าส่านอ๋องอภิเษกกับท่านหญิงผู้หนึ่งที่มีนิสัยร้ายกาจ ข้าเห็นเขาทำหน้าอมทุกข์แทบทุกวัน คราวนี้หวังว่าส่านอ๋องจะผ่านพ้นไปได้ เฮ้อ ข้าเองคงช่วยอันใดเขามิได้ นอกเสียจากเป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ
“ถึงแล้ว!” เสี่ยวชีชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่างแล้วหันมาบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง เป็นเสี่ยวชีนี่ดีนัก มิต้องคิดอะไรมากมาย อยากจะทำสิ่งใดก็ทำ จากนี้ไปข้าซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าต้องคอยระวังให้เขาน่าจะดี
รถม้าจอดสนิทที่หน้าประตูวังหย่งเฮ่า ส่านอ๋องลงจากรถม้าเป็นคนแรก เขาคอยช่วยเหลือพวกข้าลงจากรถม้า สมแล้วที่เหล่าสาวหนุ่มจะคลั่งไคล้ท่านอ๋องผู้นี้อย่างหนัก อย่าได้เอ่ยถามเจ้าแมวของข้า รายนั้นไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น ยิ่งต้องมาดูแลทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเช่นส่านอ๋องอย่าได้ฝันว่าฉินอ๋องจะทำ เฮ้อ เจ้าแมวผู้เย็นชา
ส่านอ๋องเดินนำพวกเราเข้าไปยังวังหย่งเฮ่า เหล่าคนรับใช้ที่อยู่บริเวณด้านหน้าต่างพากันมองมาด้วยดวงตาเบิกโต เสี่ยวชีที่เดินตามหลังส่านอ๋องยิ้มกระหยิ่มอย่างภาคภูมิใจ เขาหันมาหัวเราะกับข้าคิกๆ เหมือนเด็กน้อย แล้วหันกลับไปวางมาดยืดตัวเชิดหน้าเดินตามส่านอ๋อง ยังมิทันได้เดินไปถึงไหนส่านอ๋องคนนำขบวนก็ผงะถอยหลังพร้อมร้องเสียงหลง
“เหวออออ พี่สี่!”
“เมื่อคืนก่อนจะหนีกลับวังไปเจ้าสร้างเรื่องดีๆ อันใดไว้งั้นรึ?”
เบื้องหน้าพวกเราปรากฏแมว เอ๊ย พยัคฆ์แสยะเขี้ยวคมอย่างน่ากลัว ร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำปราดเปรียวแผ่รังสีคุกคามพุ่งตรงเข้าใส่ส่านอ๋อง ดวงตาเรียวคมเย็นยะเยือกราวกับจะแช่แข็งผู้คนได้ ฉินอ๋องเอ่ยถามเสียงลอดไรฟันคล้ายไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ส่านอ๋องรีบฉีกยิ้มรับก่อนจะเอ่ยอธิบายเสียงค่อย
“พี่สี่ ข้าเพียงหวังดีต่อท่าน เมื่อวานนี้เห็นท่านมีท่าทางหงอยเหงาจึงได้ให้คนไปรับนักดนตรีมาบรรเลงคลายความเหงาแก่ท่าน โอ๊ย! ใจเย็นๆ พี่สี่!” ส่านอ๋องร้องโอดโอยเมื่อถูกฉินอ๋ององค์โทสะลงตะครุบ เอ๊ย คว้าคอเสื้อไว้แน่น ยิ่งพูดแก้ต่างก็ยิ่งส่งผลให้ใบหน้าคมคายเย็นเยียบยิ่งขึ้น บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนาวสะท้านเหมือนเกิดอาเพศ ข้ากับเสี่ยวชีขยับเข้าหากันตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น มันหนาวจริงๆ มิใช่เพียงเปรียบเปรย
อยู่ดีๆ เหตุใดถึงโชคร้ายเช่นนี้ เรื่องดีๆ ที่ส่านอ๋องทำไว้เมื่อคืนคือเรื่องใดกันแน่ถึงทำให้ฉินอ๋องโมโหจนจะแช่เย็นผู้คนทั้งวังเช่นนี้ เมื่อคืน? นักดนตรี? อ่า! หรือว่าจะหมายถึงชายคณิกาเจียวเพ่ยเจวียนผู้นั้น!? นี่มันเรื่องอันใด มิใช่ฉินอ๋องแต่เป็นส่านอ๋องเรียกมาอย่างนั้นรึ? ข้าคล้ายมีดนตรีรื่นเริงบรรเลงขึ้นมาในใจแต่มันก็วูบดับไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเชิญมาก็ตาม สุดท้ายฉินอ๋องก็หลงใหลได้ปลื้มเจียวเพ่ยเจวียนคนนั้นมิใช่รึ? ถึงได้กลับไปตอนสายโด่งเช่นนั้น หึ!
“ข้าหวังดีต่อท่านจริงๆ โอ๊ย! พี่สี่ อย่าใช้ความรุนแรงต่อหน้าเด็กสิ” ส่านอ๋องที่เกือบโดนแช่แข็งรีบนำพวกเราที่อยู่ด้านหลังเป็นตัวประกัน ข้ากับเสี่ยวชีถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ส่านอ๋องนี่กลัวพี่ชายจนใช้ทุกอย่างมาอ้างจริงๆ แล้วใช้พวกเราที่เป็นเด็กรับใช้ในวังมาอ้างมันจะไปรอดได้อย่างไร
ฉินอ๋องเหลือบตามามองพวกข้าแวบหนึ่งแล้วปล่อยมือจากคอเสื้อน้องชาย ส่านอ๋องทำหน้าโล่งใจวูบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา เขาหันมามองพวกข้าพร้อมกับขยิบตาให้ จากนั้นก็หันไปคุยกับฉินอ๋องที่มองมายังข้านิ่งๆ สีหน้าของเขายังนิ่งสงบเช่นเดิม แต่นัยน์ตาคู่งามกลับมีความไม่พอใจวูบผ่าน ทำไมเล่า? ส่านอ๋องเห็นพี่ชายจ้องมองพวกข้าก็คิดขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากอธิบายเรื่องราว
“ข้าเจอเด็กสองคนนี้กำลังลำบากจึงพามาด้วย จำได้ว่าเป็นเด็กรับใช้ที่วังของท่าน”
“.....” ฉินอ๋องพยักหน้าแข็งๆ รับแล้วพึมพำบางอย่างพร้อมทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ ส่านอ๋องเห็นพี่ชายยังอารมณ์ไม่ดีก็เอ่ยชักชวนไปจิบน้ำชาผ่อนคลายอารมณ์ เล่นหมากกระดานสักตาสองตาด้วยกัน ฉินอ๋องเหลือบมองน้องชายแล้วเอ่ยสั่งอย่างห้วนๆ
“ไปลานประลอง”
พอได้ยินพี่ชายเอ่ยเท่านั้นแหละ ส่านอ๋องแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา ฉินอ๋องทำเสียงหึสะบัดชายแขนเสื้อหมุนตัวเดินออกไปพลางหักข้อมือดังกร้วมๆ ส่านอ๋องที่ได้ยินถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว เขาเอ่ยตัดพ้อตามหลังพี่ชายไป
“ตัวเองได้กินไปแล้วแท้ๆ ได้ยินว่ากินจนสายโด่งยังจะมาทำร้ายข้าอีก”
“หุบปาก! ข้ามิได้กินอะไรทั้งนั้น หากยังพูดพล่อยๆ ให้ผู้คนเข้าใจผิด ข้าจะเพิ่มเวลาประลองเป็นครึ่งชั่วยาม” ฉินอ๋องหันขวับมาตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่สามารถฆ่าผู้คนได้ ส่านอ๋องสะดุ้งเฮือกรีบพยักหน้ารับปากอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่พูดและจะไม่ทำอีกแล้ว พี่สี่ยกโทษให้ข้าด้วยเถิด”
“หนึ่งเค่อ” ฉินอ๋องยอมลดเวลาลงให้แล้วหันตัวเดินต่อไป ส่านอ๋องคอตกค่อยๆ เดินตามพี่ชายเพื่อไปถูกอีกฝ่ายทรมาทรกรรมบนลานประลอง
ข้ามองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่ได้กิน? แปลว่าเขาไม่ได้มีอะไรกับเจียวเพ่ยเจวียนคนนั้นงั้นรึ!? ข้าคล้ายจะยินดีขึ้นมาเล็กน้อย เอ๋ แล้วทำไมเจียวเพ่ยเจวียนผู้นั้นถึงได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้นเล่า หรือว่ายังไม่ถึงเวลากันนะ อาจจะเป็นปีหน้าก็เป็นไปได้ ข้าถอนหายใจ อย่างไรเสียก็แอบดีใจที่เจ้าแมวเหมียวไม่กินปลาย่างหอมๆ ตัวนั้น
ข้ามองตามสองพี่น้องแล้วยิ้มขบขันออกมา ส่านอ๋องพยายามเดินช้าเท่าที่จะช้าได้ พอฉินอ๋องหันมาก็ทำเป็นกระตือรือร้นเดินไปหา พอพี่ชายหันกลับไปส่านอ๋องก็กลับมาก้าวเท้าเนิบๆ อีกครั้ง ข้าเห็นฉากนี้จนชินตา เวลาฉินอ๋องอารมณ์ไม่ดีจะเรียกคนโชคร้ายขึ้นประลองกับตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ ข้าเองก็อยากไปชมการประลองพลังวิเศษของสองอ๋อง อย่างที่เคยบอกไว้ข้าชอบดูคนใช้พลังวิเศษมาก เมื่อครั้งยังเป็นที่โปรดปรานข้ามักไปนั่งดูเหล่าองครักษ์ฝึกซ้อมเป็นประจำ
“กลับกันเถอะ” ข้าหันมาสะกิดบอกเสี่ยวชีที่ยังยืนเหม่อมองส่านอ๋อง หวังแค่ว่าเจ็ดน้อยจะไม่ตกหลุมรักส่านอ๋องคนนั้นจริงๆ เฮ้อ ชีวิตที่ตกหลุมรักคนเป็นอ๋องนั้นไม่จบแบบอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหรอก ตัวข้ารู้ดี และทราบด้วยว่าเสี่ยวชีเจ้าเด็กเพ้อฝันนี่คาดหวังอันใดอยู่ ความสุขของเขาไม่ใช่แบบที่ได้เป็นคนโปรดของอ๋องหรอก เสี่ยวชีหันมายิ้มพร้อมกับพยักหน้า พวกเราสองคนเดินไปยังเรือนนอนเพื่อเก็บของที่ซื้อมา แต่ยังไม่ทันเดินไปไกลก็มีกลุ่มผู้คนวิ่งเข้ามาชี้หน้าข้าพร้อมร้องตะโกนเสียงดัง
“ท่านพ่อบ้านหม่า มันอยู่ที่นี่ จับมันเลย! ไอ้หัวขโมย!”
เอ๊ะ เหตุการณ์นี่คุ้นๆ นะ
ข้ายืนนิ่งเห็นผู้คนพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับตะโกนด่าทอ พอกวาดสายตาไปมองก็พบว่าเป็นพวกคนรับใช้ที่ชอบเอาเปรียบข้านั่นเอง พวกมันดึงพ่อบ้านหม่าที่มีรูปร่างอ้วนกลมมาอย่างยากลำบาก เสี่ยวชีมองคนพวกนั้นที่ต่างถือไม้มาคนละอันอย่างวิตกกังวล แต่ข้านั้นยืนอย่างสงบ อืม เห็นพ่อบ้านหม่ามาด้วย ข้าก็โล่งอกขึ้นมาทันที มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกใส่ร้ายโดยมิได้เอ่ยอธิบายใดๆ อีกเป็นครั้งที่สอง
“หัวขโมย! หัวขโมย! หัวขโมย!”
เสี่ยวชีจับมือข้าแน่นเขามองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่น ข้าเพียงตบไหล่ของเขาเบาๆ แล้วหันไปมองพ่อบ้านหม่าที่กำลังเช็ดเหงื่อหอบแฮกจากการถูกลากให้วิ่งมาที่นี่ ข้าคลี่ยิ้มเบาบางแล้วเอ่ยถามพ่อบ้านหม่าอย่างนอบน้อม
“พ่อบ้านหม่า มีอะไรหรือขอรับ?”
พ่อบ้านหม่ายังคงมีอาการหายใจแรงมองข้าพลางหรี่ตาพิจารณา เห็นข้ามีท่าทีใจเย็นและสงบนิ่งทำให้เขาแปลกใจมาก พ่อบ้านหม่าไม่พูดอันใดพยักหน้าไปมองคนที่ลากเขามา ข้าจำได้ว่ามันเป็นหนึ่งในนกหงส์หยกของเสี่ยวชีนั่นเอง เป็นตัวหัวหน้าที่มักจะใส่เสื้อผ้าสีเหลืองสด มันแสยะยิ้มเยาะเย้ยข้าแล้วล้วงเอาของในเสื้อออกมา เป็นตลับเงินใส่เข็มเย็บผ้าและตลับยาทองคำที่ข้าลืมไว้ที่เรือนนอน
เสี่ยวชีเห็นก็พึมพำว่าเขาเก็บลงไปในหีบใส่ของของข้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกมันคงจะไปค้นหีบของข้าอีกเช่นเคย ไม่นึกเลยว่าวันนี้พวกมันจะมาค้นข้าวของของข้าอีกแล้ว
“หูจิ้งถิง! เจ้าขโมยมันมาใช่หรือไม่? ของราคาแพงเช่นนี้คนอย่างเจ้าไม่มีปัญญาซื้อหรอก!”
“พี่ถังซานท่านไปพบที่ใดรึ? ข้าเก็บมันไว้ในหีบใส่ของส่วนตัวนี่น่า” ข้าเอ่ยถามกลับไปด้วยสีหน้าแปลกใจ ถังซานผู้นั้นชะงักเงียบไปไม่คิดว่าจะถูกย้อนกลับ คนรอบข้างเริ่มเงียบแล้วหันไปมองถังซานที่อึกๆ อักๆ มันคงไม่กล้าบอกว่าตนเองไปค้นจากหีบของข้าแน่น ถ้ามันทำเช่นนั้นย่อมหมายความว่ามันมีเจตนาลักขโมยของเช่นกัน พ่อบ้านหม่าเหลือบตาไปมองด้วยสายตาคมกริบ ถังซานสะดุ้งแล้วตวาดใส่ข้าเสียงดัง
“หุบปาก! ยังไม่ตอบคำถามมาอีก เจ้าขโมยมาใช่หรือไม่!?”
ข้าถอนหายใจแล้วหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านหม่าที่ยืนเงียบ
“พ่อบ้านหม่า นี่คือของของข้า ข้าไม่ได้ลักของผู้ใดมา”
“ผู้ใดจะไปเชื่อคำพูดของเจ้ากัน ของราคาแพงเช่นนี้เจ้าจะมีปัญญาซื้อรึ? นอกเสียจากไปขโมยมันมา!”
“ใช่ๆ! ข้าได้ยินมาว่าตลับเงินใส่เข็มของท่านแม่นมชิวหายไป เป็นเจ้าสินะที่ขโมยมัน!”
“แล้วยังตลับยาทองคำนี่อีก เจ้าคิดว่าคนธรรมดาๆ ที่ไหนจะมีสิ่งนี้กัน!”
พรรคพวกของถังซานเอ่ยสนับสนุนไปในทางเดียวกัน ข้าได้ยินก็อดแปลกใจมิได้ แม่นมชิวงั้นรึ? เฮ้อ ไม่ว่าชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ข้าช่างโชคร้ายนัก การขโมยเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าเจอในอดีตมีแม่นมชิวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนั่นเอง ข้ารู้อยู่แล้วละ คนอื่นๆ ถึงได้ทำเป็นมองไม่เห็นว่าข้าถูกรังแกอย่างไรเล่า
แม่นมชิวมิชอบข้านัก รวมไปถึงพวกนายบำเรอของฉินอ๋องด้วย ข้าเข้าใจนางอยู่บ้าง นางแค่ปรารถนาอยากให้ฉินอ๋องอภิเษกกับสตรีที่มีหน้าตาฐานะเท่าเทียมกัน และเติบโตรุ่งเรืองกลายเป็นผู้อยู่เหนือบัลลังก์มังกรทอง มิใช่หมกมุ่นอยู่กับเหล่านายบำเรอ พอหมดความโปรดปรานนางก็มิได้มายุ่มย่ามกับข้าอีก มีความเป็นไปได้อย่างมากที่นางอาจจะเป็นผู้วางยาพิษคุณชายหมิงแล้ววางแผนโยนความผิดมาใส่หัวข้า
“ข้ามิได้ขโมยมา เป็นท่านองครักษ์หลิวจิ้นเป็นผู้มอบให้” ข้ายังคงยืนยันด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“น่าขำนัก! หูจิ้งถิง เจ้าจะโกหกอันใดก็โกหกให้แนบเนียนกว่านี้หน่อยมิได้รึ? สมแล้วที่เจ้ามันโง่! ของเหล่านี้เกรงว่าเบี้ยเลี้ยงทั้งชาติของหลิวจิ้นก็ไม่มีปัญญาจ่าย!”
ข้ายืนเงียบไม่เถียงอันใด อันที่จริงก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดจิ้นเกอถึงได้มีของราคาแพงเช่นนี้ ข้าไม่ต่อปากต่อคำกับพวกถังซานที่มองมาอย่างสะใจนักหนา หันไปมองพ่อบ้านหม่าที่เม้มปากด้วยสายตาขอความเที่ยงธรรม ในที่สุดพ่อบ้านหม่าก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีสักเท่าไร
“เจ้าบอกว่าได้ของมาจากหลิวจิ้นงั้นรึ?”
“ขอรับ”
“ของเหล่านี้มีราคาแพงมาก โดยเฉพาะยานี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่มีได้...”
ข้าเงียบไม่เอ่ยอันใดออกไป ทำเพียงยืนมองพ่อบ้านหม่าที่เริ่มมองข้าอย่างลำบากใจ ยังไม่ทันที่พ่อบ้านหม่าจะเอ่ยอันใดต่อ พวกถังซานก็ตะโกนเสียงดังให้พวกคนงานจับตัวข้าคุกเข่าลงกับพื้น
“จับหัวขโมยคุกเข่าลง จับมันเร็วเข้า!”
เสี่ยวชีร้องอย่างตกใจแล้วหันไปต่อว่าถังซาน
“ถังซาน! เจ้าไปค้นของของจิ้งถิงนับว่าเป็นความชอบแบบใด!? เจ้าเองก็ขโมยของของจิ้งถิงไปมากมาย แม้แต่เสื้อกับเครื่องประดับที่เจ้าใส่อยู่ก็เป็นของจิ้งถิงทั้งนั้น เจ้าคนน่ารังเกียจ!”
“หุบปากซะเสี่ยวชี เจ้าอยากเดือดร้อนด้วยงั้นรึ?” ถังซานแสยะยิ้มไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งที่เสี่ยวชีต่อว่า เจ้าเจ็ดน้อยถูกพวกมันลากออกไปนอกวง เหลือเพียงข้าที่ถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น
ข้าเหลือบขึ้นไปมองถังซานที่มีสีหน้าเยาะเย้ยถูกอกถูกใจที่เห็นข้าคุกเข่าอยู่เช่นนี้ เฮ้อ ให้ตายเถิด ถังซาน นี่เจ้าไม่เห็นสีหน้าของพ่อบ้านหม่าเลยงั้นรึ? เด็กน้อยเอ๊ย ข้าไม่สนใจถังซานหันไปมองพ่อบ้านหม่าที่มีสีหน้าเขียวคล้ำ แน่ละ ถังซานตะโกนสั่งข้ามหน้าข้ามตาพ่อบ้านหม่าราวกับมีอำนาจเหนือเขา อีกอย่างพ่อบ้านหม่ายังมิได้พูดอันใดก็พูดตัดหน้าอีก
“พวกเจ้า...”
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดพวกเจ้าถึงมารวมตัวกันที่นี่เสียคึกคัก?” ยังไม่ทันที่พ่อบ้านหม่าจะเอ่ยอันใดก็มีเสียงนุ่มๆ สบายหูดังขึ้นเสียก่อน ส่านอ๋องบุรุษหนุ่มชุดเขียวต้นไผ่เดินมาพร้อมกับเจ้านายของวังหย่งเฮ่า
“ถวายบังคมฉินอ๋อง ถวายบังคมส่านอ๋อง”
ผู้คนโดยรอบผวาตกใจรีบก้มตัวทำความเคารพฉินอ๋องที่มีใบหน้านิ่งเรียบคาดเดาอารมณ์ได้ยาก พ่อบ้านหม่าเองก็ตกใจมิใช่น้อยที่เห็นเจ้านายมาปรากฏตัว ข้าเองก็ตกใจที่ทั้งสองเดินกลับมา เฮ้อ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างแล้ว เพราะเหตุการณ์พวกนี้มิเคยเกิดขึ้นในอดีต หรือข้ากลับมายังอดีตจึงทำให้ทุกอย่างบิดเบือนไป
ส่านอ๋องโบกพัดลายใบไผ่ไปมาในมือ เขาเดินยิ้มๆ เข้ามาหยุดยืนตรงที่พ่อบ้านหม่ายืนอยู่แล้วหันมามองข้าที่คุกเข่ากับพื้นอย่างแปลกใจ ส่านอ๋องมองไปโดยรอบแล้วพับพัดในมือชี้ไปยังพ่อบ้านหม่าเพื่อต้องการคำตอบ แต่ก่อนที่พ่อบ้านหม่าจะอธิบายออกไปก็มีบุรุษอีกคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าวิตก ข้าเงยหน้าไปมองเห็นเป็นจิ้นเกอที่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่ผู้ที่วิ่งฝ่าวงล้อมมาที่ข้าเร็วที่สุดกลับเป็นบุรุษที่ข้าต้องมองด้วยสายตาเฉยชา
“นี่อะไรกันรึ? เหตุใดถิงถิงน้องรักถึงได้คุกเข่าบนพื้นแบบนั้นเล่า มาๆ ลุกขึ้นเสีย โธ่ น้องคนงามของพี่เฉิน เหตุใดต้องมาคลุกฝุ่นดินเช่นนี้ได้” รองหัวหน้าองครักษ์เฉินถีบคนที่จับข้าคุกเข่าล้มระเนระนาดแล้วเข้ามากอดข้าไว้พร้อมกับพยุงลุกขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาทรงภูมิเฉกบัณฑิตมองข้าด้วยความเวทนาสงสาร เขาเอ่ยปลอบใจข้าพร้อมกับปัดฝุ่นบนชุดให้ คร่ำครวญเล่นใหญ่จนข้าทำอะไรไม่ถูก
ข้ามองเขาแล้วขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก่อน ข้าไปสนิทสนมกลมเกลียวกับท่านตั้งแต่เมื่อไรรองหัวหน้าองครักษ์เฉิน!? พอเห็นข้ามองเขาอย่างหวาดระแวง รองหัวหน้าองครักษ์เฉินก็ยิ้มกว้างออกมาแล้วหันขวับไปไถ่ถามพ่อบ้านหม่าที่ยืนนิ่งไม่รู้จะทำเช่นใดต่อ
“พ่อบ้านหม่า นี่มันอะไรกันขอรับ!? เหตุใดถิงถิงต้องคุกเข่าเช่นนี้”
พ่อบ้านหม่ากำลังจะอ้าปากอธิบายแต่น่าสงสารถูกคนแย่งชิงไปอีกจนได้
“รองหัวหน้าองครักษ์เฉิน ปล่อยตัวเจ้าหัวขโมยนี่เถิดขอรับ! มันขโมยของมาจะต้องได้รับโทษ!” ถังซานตะโกนตัดหน้าพ่อบ้านหม่าที่ขมวดคิ้วหน้าตึงเรียบร้อยแล้ว สีหน้าถังซานบิดเบี้ยวเหมือนโกรธแค้นข้ามากกว่าเดิม รองหัวหน้าองครักษ์เฉินก้มมองหน้าของข้าแล้วหันไปมองถังซานด้วยสายตาเย็นชา
“หุบปาก! ข้าถามพ่อบ้านหม่า เจ้าเป็นตัวอันใดถึงได้มาสอด ขโมยงั้นรึ? ขโมยสิ่งใดกัน? หน้างามๆ อย่างถิงถิงจะไปเป็นขโมยอันใดได้!”
ถังซานสะอึกไปก่อนจะกัดฟันยื่นของเหล่านั้นมายืนยันสิ่งที่มันพูด
“แต่มันขโมยของพวกนี้มาจริงๆ นะขอรับ!”
รองหัวหน้าองครักษ์เฉินมองไปแล้วแค่นหัวเราะ จิ้นเกอที่ถูกกันอยู่ข้างนอกเมื่อเห็นของที่ว่าเขาก็เอ่ยขึ้นมาทันที
“นั่นเป็นของที่ข้าให้แก่จิ้งถิง!”
“อย่ามาโกหกช่วยมันหลิวจิ้น คำโกหกของเจ้ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ของราคาแพงพวกนี้เจ้าจะมีมันได้อย่างไรกัน” ถังซานเอ่ยเยาะเย้ย จิ้นเกอขมวดคิ้วแล้วเอ่ยต่อว่า
“ท่านอ๋องมอบเป็นรางวัลแก่ข้า”
ถังซานได้ยินก็หน้าซีดเผือด คนอื่นๆ ได้ยินก็ชักสีหน้าเช่นกัน มองไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือถังซานแล้วส่ายหน้าถอนหายใจ พวกเขามองจิ้นเกออย่างผิดหวัง คงคิดว่าจิ้นเกอโกหกเพื่อช่วยข้า แต่ข้านั้นรู้จักจิ้นเกอ เขาเป็นชายที่ซื่อสัตย์จนซื่อบื้อ ไม่มีทางที่จะโกหก นี่ไม่นับว่าโกหกต่อหน้าคนถูกพาดพิงเช่นท่านอ๋องด้วยนะ บางคนอาจจะหลงลืมไปแล้วว่าฉินอ๋องยืนอยู่ที่นี่ด้วย ถังซานที่เสียขวัญไปเล็กน้อยก็แสยะยิ้มออกมาแล้วเอ่ยตอบกลับ
“โธ่ ท่านอ๋องจะมอบตลับเข็มเย็บผ้าให้กับองครักษ์เช่นเจ้าน่ะรึ? แล้วนี่ก็เป็นยาล้ำค่าที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะครอบครองมันได้ เจ้าทำสิ่งใดสำเร็จมากมายงั้นรึถึงได้รางวัลล้ำค่าเช่นนี้?”
จิ้นเกอเงียบไปเหมือนจะงุนงงเช่นกันว่าทำไมฉินอ๋องถึงได้มอบของเหล่านี้ให้แก่เขา คนอื่นๆ มองไปยังจิ้นเกออย่างดูถูกดูแคลน ข้าไม่สงสัยจิ้นเกอเลยสักนิดแต่ทว่าสงสัยฉินอ๋องยิ่งนัก เหตุใดเขาถึงมอบของเหล่านี้ให้กับองครักษ์เช่นจิ้นเกอกันเล่า ข้าเงยหน้ามองไปยังฉินอ๋องที่ยืนนิ่ง พออีกฝ่ายเหลือบมามองข้าก็เก็บสายตากลับอย่างรวดเร็ว
“ข้าเป็นพยานอีกคน ของเหล่านี้เป็นของที่ท่านอ๋องมอบให้หลิวจิ้นจริงๆ ข้าเป็นผู้มอบให้เขาเองกับมือ หากยังมิเชื่อ เชิญถามความจริงจากท่านอ๋องเถิด” รองหัวหน้าองครักษ์เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังเพื่อยืนยันให้แก่จิ้นเกออีกเสียง ว่าแต่เขาจะกอดข้าไปถึงไหน เมื่อไรจะปล่อยเสียที ข้าอึดอัด!
คราวนี้มีทั้งจิ้นเกอ รองหัวหน้าองครักษ์เฉินช่วยกันยืนยันขันแข็งทำให้ผู้คนเริ่มลังเลใจ ถังซานที่เห็นสถานการณ์เริ่มไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ก็หน้าซีดเผือด เขาหันไปมองรอบด้านราวกับกำลังขอความช่วยเหลือจากแรงสนับสนุน แต่ทว่าคนพวกนั้นกลับหันหน้าหนี ถังซานคล้ายถูกทิ้งไว้กลางคัน เขามองไปโดยรอบแล้วหันไปมองพ่อบ้านหม่าที่ทำหน้าบึ้งตึง แม้จะไม่มีผู้ใดเชื่อเจิ้นเกอแต่มิใช่กับรองหัวหน้าองครักษ์เฉินแน่นอน
“ยืนนิ่งอยู่ทำไม วังของเราไม่เลี้ยงพวกอิจฉาริษยา!” ฉินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเกรี้ยวกราดที่ทำให้ทุกคนในที่นั่นสะดุ้งตกใจ พ่อบ้านหม่ายืนเช็ดเหงื่อแล้วก้มศีรษะรับคำสั่งเจ้านาย เขาหันมามองถังซานที่เข่าอ่อนล้มพับไปกับพื้นด้วยสายตาเย็นชา ส่วนคนอื่นๆ ก็หน้าซีดตามๆ กันไป รองหัวหน้าองครักษ์เฉินยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจ จิ้นเกอเองก็ระบายยิ้มอย่างโล่งอก พ่อบ้านหม่าจัดการลงโทษทุกคนที่กล่าวหาข้า และถังซานผู้นั้นเป็นคนที่ถูกลงโทษแรงที่สุด เขาถูกไล่ออกจากวัง
เสี่ยวชีวิ่งไปหยิบตลับเงินและยาในมือถังซานที่ร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา เจ็ดน้อยทำเสียงขึ้นจมูกใส่แล้ววิ่งมาหาข้าที่ยืนอยู่กับรองหัวหน้าองครักษ์เฉิน เสี่ยวชีนำของเหล่านั้นกลับคืนมาให้ข้าแล้วยิ้มกว้าง โชคดีจริงๆ ที่พวกเรานั้นไม่เป็นอะไร หรือว่านี่จะเป็นบุญที่ทำในวันนี้กันนะ รองหัวหน้าองรักษ์เฉินวางมือบนไหล่ของข้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ถิงถิง ไปๆ พวกพี่เฉินมีอะไรจะให้เจ้า เสียเวลาแท้ๆ เชียว” รองหัวหน้าองครักษ์เฉินยิ้มจนตาหยี เขาดันหลังข้าให้เดินออกไป
เป็นอย่างที่เสี่ยวชีพูดไว้จริงๆ นี่ข้าสนิทกับคนพวกนี้งั้นรึ!? ชีวิตที่แล้วไม่นี่น่า! ข้าจำไม่เห็นได้ว่าเคยมีครั้งไหนที่รองหัวหน้าองครักษ์เฉินจะมาพูดกับข้าอย่างสนิทสนมเช่นนี้ เสี่ยวชีมองข้าเดินไปกับรองหัวหน้าองครักษ์เฉินตาละห้อยจนท่านรองอดขำไม่ไหว กวักมือเรียกเขาไปด้วย เสี่ยวชียิ้มร่าวิ่งตามมาด้วยความเบิกบาน ว่าแต่รองหัวหน้าองครักษ์เฉินเมื่อไรจะปล่อยข้าสักที?
“เฉินฮุ่ยเคอ” ระหว่างที่เรากำลังเดินออกไป เสียงเย็นๆ ของฉินอ๋องก็เอ่ยขึ้นชวนผวา รองหัวหน้าองครักษ์ยิ้มแย้มหันไปเอ่ยรับเจ้านายเสียงสดใส ฉินอ๋องที่ยืนอยู่ข้างๆ น้องชายแผ่ลมเย็นกระแทกร่างของรองหัวหน้าองครักษ์เฉินจนปลิวออกจากข้า ข้าแอบตกใจเล็กๆ ร่างสูงโปร่งเจ้าของชุดสีเทาผงะถอยหลังเงยมองเจ้านายอย่างงุนงง จากนั้นเขาก็เบิกตาโตเมื่อเจ้านายเอ่ยสั่งโทนเสียงราบเรียบ
“วิ่งรอบวังสิบรอบ”
รองหัวหน้าองครักษ์เฉินอ้าปากค้าง สั่งจบฉินอ๋องก็หันตัวเดินจากไปอย่างสง่างาม ตามด้วยส่านอ๋องที่มองหนุ่มคนโดนสั่งวิ่งด้วยสายตาแสร้งสงสารแต่ใบหน้ายิ้มกริ่ม ส่านอ๋องส่ายหน้าแล้วเดินตามพี่ชายไป จิ้นเกอรีบเข้ามาหาพวกข้าที่ยืนมองรองหัวหน้าองครักษ์เฉินร้องโอดครวญถามฟ้าเบื้องบนว่าทำไมกันทำไมหนอ จิ้นเกอพาข้ากับเสี่ยวชีเดินออกไปหาเหล่าองครักษ์ที่รออยู่ ไม่มีใครสนใจคนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่เบื้องหลัง
เสี่ยวชีมองจิ้นเกอด้วยสายตาแปลกๆ แวบหนึ่งก่อนจะสะกิดข้าแอบกระซิบกระซาบเบาๆ
“ข้าสงสัยเช่นกัน ไยฉินอ๋องถึงมอบของเหล่านั้นให้เจ้าซื่อบื้อนี่?”
“คงจะมอบเป็นรางวัลกระมัง” ข้าตอบไปเช่นนั้นแต่ในใจก็อดสงสัยมิได้ นั่นสิ เหตุใดฉินอ๋องถึงได้มอบของเหล่านี้ให้แก่จิ้นเกอกัน เสี่ยวชีทำหน้าครุ่นคิดแล้วก็ขมวดคิ้วทำหน้าประหลาดๆ ออกมา ข้าเลิกคิ้วขึ้น คนตัวเล็กเอนตัวมากระซิบอีกครั้ง สิ่งที่เขากระซิบทำเอาข้าเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ท่านอ๋องคงมิได้สนใจเจ้าบื้อนี่หรอกนะ?”
ส่านอ๋อง / อ๋องห้า / เหวินถง
ใจดีค่ะ เลยนำมาให้อ่านกันอีกสักตอน หึๆ
หากท่านผู้อ่านทำตัวน่ารัก ตอนหน้ามีตอนพิเศษแถมให้
ดูสิ ตอนที่แล้วทุกท่านต่างพากันทอดทิ้งฉินอ๋อง ท่านไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ
ด้วยความหวังดีของน้องเกือบซวยโดนเข้าใจผิดไปยกใหญ่
และกำลังจะซวยครั้งใหม่เพราะเสี่ยวชีแปลเจตนาท่านอ๋องอย่างโลดแล่น 5555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เดี๋ยวน้องลูกก ใจเย็นๆ ค่อยๆคิดวิเคราะ 555555555555555555
ตลกน้องง น้องน่ารักมาก อยากหอมหัว
โอ๊ยจิ้นเกอเนื้อคู่เสี่ยวชีใช่มั้ยเนี่ย5555