คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : Login 54: เกม 'โกง' วันโลกาวินาศ
Login 54: เกม 'โกง'
วันโลกาวินาศ
ขณะเดียวกันที่รูนรูม
"...ผู้ที่ร่วมกันควบคุมกฎระเบียบของทุกสรรพสิ่ง
‘โซลาริส’
และ ‘ลูนาริส’ "
อิงศรที่ได้ฟังคำพูดนั้นของผู้ถูกลืมเลือนยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก
"ควบคุมกฎระเบียบของทุกสิ่ง? หมายความว่าเป็นพระเจ้าเหรอ"
"อยู่ที่เธอจะยอมรับ
ถ้าจะให้พูดก็เป็นคนที่กำหนดว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ"
“…”
อิงศรนิ่งไปครู่หนึ่ง
'โลกกลายเป็นเกมเพราะตัวตนที่เหมือนกับพระเจ้า'
คำพูดของผู้ถูกลืมเลือนสรุปได้เป็นแบบนั้นเรื่องราวมันชักจะบานปลายใหญ่โตเกินความเข้าใจไปแล้ว
"เดี๋ยวก่อนนะคนที่ทำให้โลกกลายเป็นเกมเนี่ยก็คือพวกเอเลี่ยนไม่ใช่รึไง"
"เหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่หนึ่งน่ะเหรอ
พวกเขาแค่ช่วยผมด้วยสิ่งที่เรียกว่าเน็ตเวิร์คเทคโนโลยีในการลงทะเบียนให้กับมนุษย์ซึ่งเป็นผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองนี้และยังไม่มีพลังพอที่จะต่อต้านการลงทัณฑ์ซึ่งเป็นหนึ่งในบททดสอบ
ไม่อย่างนั้นพวกเธอได้ตายเพราะน้ำอมฤตไปหมดแล้วล่ะ"
"ลงทะเบียน?"
"หมายถึงแบบนี้ไงล่ะ"
จากนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็ดีดนิ้วดังเปาะ
มีเสียงดังขึ้นมา
เป็นเสียงที่คุ้นเคย
'ชอบเล่นเกมไหม'
มันคือเสียงที่ดังในหัวตอนวันสิ้นโลก
จากนั้นอิงศรก็นึกถึงคำพูดของมีนาที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้
'ตอนโลกล่มสลายคุณอิงศรก็ตอบไปว่าชอบเล่นเกมสินะคะ'
'ก็ดูเหมือนว่าคนที่อยู่รอบตัวเราไม่สิทุกคนที่รอดชีวิตมาจากไวรัสน่ะจะตอบว่าชอบเล่น
หรือไม่ก็อยากเล่นกันหมดเลยฉันยังไม่เคยเจอคนที่ตอบว่าไม่เล่นเลยซักคนนะคะก็เลยสนใจขึ้นมาว่าคุณอิงศรตอนนั้นตอบไปว่าอะไร'
แน่นอนเขาเองก็ตอบไปว่า 'ชอบ'
แต่เพราะแบบนั้นก็เลยรอดชีวิตมาได้อย่างนั้นหรือ?
ถ้าตัดสินชีวิตคนด้วยเรื่องแค่นั้นมันไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ?
"ใช้เหตุผลแค่นั้นเพื่อทำเรื่องพรรค์นี้น่ะเหรอบ้ารึเปล่า!
ด้วยเหตุผลแค่นั้นก็ทำลายมนุษย์เหมือนกับเป็นของเล่นแบบนี้น่ะเหรอ"
อิงศรคำราม
แต่ผู้ถูกลืมเลือนปฏิเสธคำกล่าวหานั้น
"นั่นเป็นเพียงการลงทะเบียนที่จะทดสอบว่าใครมีความตั้งใจในการก้าวเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น
เพราะพวกเขาจะต้องพบกับบททดสอบที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกถ้าพวกเขาอยากจะรอดชีวิตคำตอบที่อยู่ภายในจะแสดงออกมาเอง
คนที่ไม่ได้รอดชีวิตมาก็เพราะว่าคนๆ นั้นเลือกทางตายด้วยตัวเอง
ส่วนมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกก็เลือกที่จะก้าวเดินต่อไปถึงได้มีชีวิตอยู่ไง"
“...”
อิงศรไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
ต่อให้พูดเรื่องมนุษยธรรมกับผู้ถูกลืมเลือนก็คงไม่มีความหมาย
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้ข้อมูลสำคัญจากปากของคนที่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงดังนั้น...
“ถ้างั้นพวกเอเลี่ยนนั่นล่ะ”
อิงศรจึงข่มความรู้สึกของตัวเองแล้วดำเนินคำถามต่อ
“พวกเขาคือผู้ที่อาศัยอยู่ในสวนแห่งแรก”
ผู้ถูกลืมเลือนตอบ
“สวนแห่งแรก...มันคืออะไร”
“คือสถานที่ที่เหมือนกับสวนของพวกเธอก่อนที่จะถูกสวนแห่งแรกตกทับลงมา”
“ตกทับลงมา...พูดเรื่องอะไรของนายเนี่ยไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ในแพทซ์ก็เขียนเอาไว้ไม่ใช่เหรอสวนแห่งแรกได้แปดเปื้อนจึงถูกทิ้งและทับลงบนสวนของพวกเธอ”
ใน ‘แพทซ์’ บางทีคงหมายถึงข่าวสารที่แจ้งรายละเอียดของเกมโลกาวินาศ...
ถ้าเป็นไปตามนั้นอิงศรก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า
‘สวน’
ที่ผู้ถูกลืมเลือนพูดหมายถึงโลก
ถ้าอย่างนั้นสวนแห่งแรกก็คือดาวของพวกมนุษย์ต่างดาวและสวนแห่งที่สองก็คือโลกของพวกเขา
แต่ ‘การตกมาทับ’
คืออะไรกันแน่?
ระหว่างที่อิงศรพยายามทำความเข้าใจ
ผู้ถูกลืมเลือนก็เริ่มกล่าวต่อไปว่า
”มันเป็นเรื่องที่เนิ่นนานมาแล้วหลังจากมนุษย์อย่างพวกเธอถือกำเนิดขึ้นในสวนแห่งแรก
ถูกพบว่ามีความผิดแปลกเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถึงจะสูญเสียความตั้งใจในการก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ก็ยังเจริญรุ่งเรืองต่อไปโดยไม่รู้ตัว
การมีอยู่ของพวกเธอมันขัดกับหลักความเป็นจริงพูดในแบบของพวกเธอก็คือ ’ผิดธรรมชาติ’
ต่อมาก็พบว่าความผิดพลาดนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบชะตากรรมในหมู่มนุษย์การตรวจสอบย้อนรอยไปถึงการละเมิดรับประทานผลของต้นแห่งปัญญาเพื่อป้องกันการแปดเปื้อนและธำรงไว้ซึ่งกฎระเบียบจึงได้ทำลายล้างแล้วขับไล่มนุษย์ลงมายังสวนแห่งที่สองนี้"
หลังจากฟังคำอธิบายที่เหมือนกับหลุดออกมาจาก
‘ไบเบิล’
ถ้าเชื่อตามนี้จริงๆ
อิงศรก็คิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้ว แต่ในคำพูดที่ชวนให้เป็นคนบ้านั่นก็พอจะเข้าใจคำพูดหนึ่งจากในนั้น
เข้าใจว่า 'ความตั้งใจในการก้าวเดินไปข้างหน้า'
คืออะไร
ที่ผ่านมาเขาเผชิญหน้ากับมันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ตั้งแต่ตอนที่โลกยังไม่ล่มสลายเลยด้วยซ้ำ
เขาอยากจะทำให้มิ่งขวัญเลิกเอาแต่ใจ
ทว่าสุดท้ายของสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้แล้วปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งโลกพินาศลง
แล้วต่อมาก็หลังจากที่สูญเสียมิ่งขวัญไปแม้จะรู้ตัวเสมอว่าไม่ควรหยุดอยู่กับที่แต่ก็ยอมแพ้เรื่อยมาจนกระทั่งได้เจอกับกวินทร์ถึงคิดที่จะก้าวเดินต่อไป
“ถ้าไม่มีความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ”
อิงศรพูด
“ถ้าเธอจะยอมรับแบบนั้นมันก็คงใช่”
ช่างเป็นคำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี
"
แต่ว่านะมนุษย์น่ะ ไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ต้องมีช่วงเวลาที่หยุดก้าวเดินเพื่อค้นหาเหตุผล
ค้นหาตัวเองด้วยถึงจะก้าวเดินต่อไปได้แล้วจะใช้เรื่องแค่นั้นมาตัดสินเนี่ยแบบนั้นมันคิดเอาเองอยู่ฝ่ายเดียวเลยไม่ใช่รึไง"
ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
"อื้ม ก็นั่นน่ะสิการถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวมันไม่แฟร์ผมเองก็คิดอย่างนั้น
ทั้งที่มนุษย์เองก็มีสิทธิ์ที่จะได้แสดงความเห็นเหมือนกัน บังเอิญว่าลูนาริสเองก็ยังเคลือบแคลงต่อความคิดของโซราลิสจึงให้ผมมาเฝ้าจับตาดูพวกเธอไว้"
“หมายความว่าพระเจ้าขัดแย้งกันเองเหรอ”
“ไม่หรอกนี่คือระบบอย่างที่ควรจะเป็นต่างหาก
การจะพิพากษาสิ่งใดจำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดดังนั้นโซลาริสจึงเป็นความเข้มงวดที่จะธำรงไว้ซึ่งกฎส่วนลูนาริสก็จะเป็นความยั้งคิดที่จะตรวจสอบว่ากฎได้ใช้งานอย่างถูกต้องที่สุด”
เพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผู้ถูกลืมเลือนเล่ามา
อิงศรต้องพยายามเป็นอย่างมากในการทำความเข้าใจ
แต่ยิ่งถลำลึกเท่าไหร่กลับยิ่งมีแต่ปมปริศนาเท่านั้น
ทันทีที่ได้ยินว่ามีตัวตนที่เฝ้าทดสอบมนุษย์อยู่ก็รู้สึกว่าการรับรู้ของตนเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ถูกลืมเลือนคงจะรู้อยู่แต่แรกจึงไม่ได้บอกเสียแต่เนิ่น เพราะถ้ายังไม่เห็นพลังของดีเซมแมร์ก็คงจะเชื่อเรื่องตัวตนของพระเจ้าไม่ลง
เพราะอย่างนั้นถึงรอจนกระทั่งเขามีความพร้อมที่จะเชื่อในความจริงอันน่าตกใจนี้
ดังนั้นอิงศรที่ทำความเข้าใจอย่างเต็มที่ก็เลยพูดสรุปออกมา
"ถ้างั้นที่โลกกลายเป็นเกมก็ไม่ใช่เพราะพวกเอเลี่ยนอยากจะรุกรานแต่เป็นเพราะการพิพากษาของพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ"
“ยังไม่ได้พิพากษาหรอกนะตอนนี้เป็นแค่ขั้นตอนทดสอบต่างหาก"
"ทดสอบ?"
"ทดสอบว่ามนุษย์จะสามารถผ่านพ้นการล่มสลายนี้ไปได้หรือไม่
เป็นระบบที่จะตรวจสอบความตั้งใจของเผ่าพันธุ์เพราะงั้นถึงได้มีแต่มนุษย์ที่ถูกทดสอบ”
หรือก็คือตั้งใจจะบอกว่านั่นเป็นสาเหตุที่สิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์กลายเป็น
‘สัตว์เทวะ’
แล้วออกไล่ล่ามนุษย์อย่างนั้นเองสินะ
“มนุษย์อ่อนแอเกินไปไม่มีทางที่จะผ่านบททดสอบที่โหดร้ายเช่นนี้ได้หรอกเพื่อให้พวกเธอสามารถฟันฝ่าไปได้
เพื่อให้ไปแสดงความตั้งใจกับโซลาริสและลูนาริส ถึงอยากให้มันเป็นอะไรที่พวกเธอจะเข้าใจได้ง่ายและมีพลังที่จะต่อต้านการลงทัณฑ์ซึ่งเป็นหนึ่งในบททดสอบ
รู้สึกว่าพวกเธอจะเรียกมันว่า ‘เกม’
สินะ”
สรุปก็คือ
ที่โลกถูกทำให้กลายเป็นเกมต่อสู้จะทำให้มนุษย์ทำความเข้าใจการทดสอบได้ง่ายกว่าการมานั่งอธิบายและยังสามารถชี้นำกับมอบพลังให้มนุษย์ได้อีกด้วย
ช่างเป็นความคิดที่ไม่รู้ว่าจะชื่นชมหรือดูแคลนดีจริงๆ
จากนั้นอิงศรก็พูดว่า...
"ถ้างั้นเกมโลกาวินาศนี่นายก็เป็นคนมอบให้เพื่อเป็นอาวุธสำหรับต่อสู้...”
แต่ผู้ถูกลืมเลือนก็พูดขัด
“มอบทางเลือกให้ต่างหาก ถ้ามนุษย์อยากมีชีวิตต่อไปก็ต้องแสดงความตั้งใจแล้วเลือกหนทางเอาเอง”
สรุปก็คือ ‘เกมวันโลกาวินาศ’
ไม่ใช่เกมที่ทำให้โลกมุ่งไปสู่จุดจบ
แต่เป็นเกมที่มีไว้เพื่อโกงไม่ให้โลกไปถึงจุดจบเป็น ‘เกมโกงวันโลกาวินาศ’
ความเข้าใจนี้น่าจะถูกต้องที่สุด
แต่ทว่า...
ทั้งที่เข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...”
อิงศรพูด
รู้สึกได้ว่าความโกรธภายในตัวมันสลายหายไปหมด
เพราะตัวการที่ควรจะโกรธใส่ไม่ได้อยู่ที่นี่
บนโลกใบนี้มีแต่ผู้เสียหายจากการรักษากฎระเบียบที่พวกเขาไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย
“คงจะสับสนสินะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
ผู้ถูกลืมเลือนพูด
“ก็แหงสิเรื่องพรรค์นี้จะให้ทำความเข้าใจได้ยังไงเล่า”
“นั่นสิผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”
“…”
“ตัวผมถูกสั่งให้จับตาดูมนุษย์
แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้าผมก็เริ่มเห็นใจเริ่มมีความรู้สึกเข้าข้างพวกเธอมันเพราะอะไรกันนะช่วยทำความเข้าใจหน่อยสิมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
“…”
ช่วงเวลาแห่งการนิ่งเงียบดำเนินไปพักใหญ่
อิงศรไม่รู้ว่าควรจะยอมรับเรื่องที่ได้ยินอย่างไร
ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี
อย่างไรก็ตามยังมีอีกประเด็นที่ยังไม่กระจ่าง
อิงศรจึงลองถามดู
“แล้วตกลงว่าม้า..ไอ้เจ้าตัวที่นายเรียกว่าเครื่องทำสวนน่ะมันคืออะไรกันแน่...”
อิงศรหยุดคำพูดลงแล้วเอื้อมมือไปแตะที่หลัง
บริเวณที่ฟันเฟืองเคยงอกออกมาแต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย
“แล้วก็เรื่องของเฟืองด้วยเกี่ยวอะไรกับที่นายชอบเรียกฉันว่าผู้ถูกฟันเฟืองเลือกรึเปล่า“
“เครื่องทำสวนก็คือเครื่องมือเพื่อการรักษากฎระเบียบที่โซลาริสกับลูนาริสคิดขึ้นมา"
ผู้ถูกลืมเลือนพูดพลางเปิดหน้าจอระบบที่มีรายละเอียดของแพทซ์เกมล่าสุดให้ดู
“คิดว่าเธอคงจะอ่านมันไปบ้างแล้วจดหมายที่ผมเขียนถึงเหล่ามนุษย์ผู้ถูกทดสอบ”
“นายเป็นคนเขียนแพทซ์พวกนี้เหรอ?”
ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้ารับ
“เพื่อที่จะเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเธอเข้าใจโดยที่ไม่รู้ไปถึงโซลาริสและลูนาริสผมจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์แล้วก็พบว่ามีการบันทึกเรื่องราวในอดีตที่คล้ายคลึงกันในรูปแบบที่พวกเธอเรียกกันว่า
‘คำทำนาย’
ดังนั้นผมจึงขอยืมมันมาใช้น่ะแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจ”
สรุปว่าที่เนื้อหาของเรื่องราวเหมือนจะเป็นเรื่องแต่งก็เพราะเหตุนี้สินะ
ดวงตาของอิงศรเหม่อมองผู้ถูกลืมเลือนด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ไปเขียนแบบนั้นใครมันจะเข้าใจเล่า”
“เอ๋ แต่ผมว่าเขียนได้ดีแล้วนะนี่ไงก็มีบอกไว้หมดทั้งเรื่องที่ฟันเฟืองซึ่งจะขับเคลื่อนเครื่องทำสวนทั้งสิบสองตกลงมาที่สวนแห่งนี้น่ะ...”
ผู้ถูกลืมเลือนชะงักคำพูดตัวเองไปเพราะเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าจอ
“อืม…แต่ว่าพอโดนทักแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าท่อนอื่นๆ
มันเข้าใจยากจริงๆ นั่นแหละ”
อิงศรหรี่ตามองด้วยความเอือมระอา
“นี่นายหรือว่า...”
พลางคิดไปว่า ‘หรือคนๆ นี้จะเข้าใจความเป็นมนุษย์ผิดไปหลายขุม’
“หืม?”
ผู้ถูกลืมเลือนหันมา พลางทำหน้าซื่อ
อิงศรจึงยิ่งมั่นใจในความคิดนั้น
“ช่างเหอะไม่มีอะไร
ว่าแต่เห็นบอกมีสิบสองเครื่องเนี่ยแปลว่านอกจากม้านั่นแล้วยังมีตัวอื่นๆ อีกเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ
มีสิบสองเครื่องที่ได้รับหน้าที่ให้รักษากฎ ส่วนเรื่องฟันเฟืองก็...”
ผู้ถูกลืมเลือนพูดแล้วดีดนิ้วดังเปาะ
จากนั้นภาพบนหน้าจอที่เปิดรายละเอียดของแพทซ์เกมก็เปลี่ยนเป็นรูปภาพ
รูปภาพที่อิงศรต้องตกตะลึง
เพราะมันคือภาพของเขากับมิ่งขวัญในวันที่โลกล่มสลาย
ในภาพคือตอนที่พวกเขาอยู่บนชั้นสองของห้างสรรพสินค้ากำลังวิ่งหนีเศษกระจกหน้าต่างที่แตกเข้ามาเพราะสัตว์เทวะถูกพวกมนุษย์ต่างดาวโค่นลง
นั่นคือความเข้าใจในตอนนั้น
แต่แท้จริงแล้วที่กระจกหน้าต่างแตกเป็นเพราะมีสิ่งที่เหมือนกับเสี้ยวหนึ่งของฟันเฟืองจำนวนสองอันพุ่งชนเข้ามาต่างหาก
ดูจากทิศทางฟันเฟืองจะต้องชนเข้ากับหลังของพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่ตอนนั้นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ...
“นี่จะบอกว่าเฟืองมันฝังเข้ามาในตัวฉันกับน้องตั้งแต่ตอนนั้น...”
อิงศรชะงักคำพูดเพราะนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้จากที่ตัวเองพูดไป
“เดี๋ยวก่อนนะ
หมายความว่าขวัญก็ด้วย...”
จากนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็...
“อืม
เคยเจอกับมิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือกมาแล้วเจอก่อนเธอมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกด้วยนะ
น่าจะซักสามปีที่แล้ว”
ตอบคำถามโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน
แต่อิงศรไม่สนใจ
ที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้ก็คือช่วงเวลาที่มิ่งขวัญน่าจะได้พบกับผู้ถูกลืมเลือนตามที่บอกมามันเป็นช่วงเดียวกับที่เขาสูญเสียมิ่งขวัญไป
‘แต่ฟันเฟืองไม่ยอมให้เธอตาย’
แล้วคำพูดที่ผู้ถูกลืมเลือนพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้นึกไปอีกว่าบางทีมิ่งขวัญที่เจออีกครั้งในสนามรบเมื่อตอนนั้นอาจจะเป็นมิ่งขวัญที่รอดตายมาได้เพราะฟันเฟือง
“ถ้างั้นขวัญก็...”
อย่างไรก็ดีเรื่องสำคัญซึ่งลืมไปเสียสนิทก็นึกมันออกแล้ว
น้องชายยังไม่ตายจริงๆ ยังมีชีวิตอยู่
แต่ก็นึกออกได้อีกว่ามิ่งขวัญกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้วเหมือนกัน
ความเบิกบาน ความเศร้า ความสับสน
ตีกันกระเจิงอยู่ข้างในตัวเด็กหนุ่มชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่เมื่อคิดถึงผลลัพธ์แล้วก็เท่ากับว่ามิ่งขวัญยังมีชีวิตอยู่แค่นั้นก็น่าดีใจเกินพอ
ดังนั้นความยินดีจึงไหลรินจากดวงตา
แล้วอยู่ๆ
ผู้ถูกลืมเลือนก็โพล่งใส่ว่า
“เป็นอะไรไปเหรอมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก”
เขาตกใจที่เห็นอิงศรร้องไห้
“เปล่า ไม่มีอะไรนี่”
อิงศรบอกปัดแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาออก
“เอาเป็นว่าพอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะแต่ว่าพอจะบอกรายละเอียดของการทดสอบได้รึเปล่าว่ามันเป็นการทดสอบแบบไหนกันจะให้มนุษย์ต่อสู้กับสัตว์เทวะหรือต่อสู้กับเอเลี่ยนกันแน่”
“ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้แหละนะแต่ไม่ใช่ให้ทำลายล้าง
เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของเครื่องทำสวน
หน้าที่ของมนุษย์คือการแสดงความตั้งใจเพื่อที่จะรอดชีวิตจากการทำลายล้างของเครื่องทำสวนเพียงแต่...”
“แต่อะไร?”
อิงศรเอียงคอเล็กน้อย
“มันยังมีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอยู่น่ะ
ทำไมฟันเฟืองถึงได้เลือกมนุษย์แทนที่จะไปขับเคลื่อนเครื่องทำสวน
นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการทดสอบ”
แล้วผู้ถูกลืมเลือนก็ชี้มาที่ไพ่อาคานาร์ในมือของอิงศร
“รวมถึงพลังในการควบคุมอาคานาร์ของเธอก็ด้วยทำไมมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกถึงได้ใช้พลังนี้ได้ทั้งที่มนุษย์ซึ่งถูกฟันเฟืองเลือกคนอื่นก็ไม่สามารถทำแบบเธอได้”
“โทษทีนะ
แต่ฟังมานานก็ชักจะเริ่มรำคาญแล้วสิเรียกแต่มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกอยู่ได้ฉันมีชื่อนะเรียกชื่อเถอะ”
“ชื่อเหรอ...”
ผู้ถูกลืมเลือนทำหน้างง
“ใช่อิงศรไงทีนายยังเรียกขวัญว่า
มิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเลยนี่”
“ถ้างั้นก็อิงศรผู้ถูก...”
แต่อิงศรก็พูดขัดในทันที
“ยาวไป เรียก อิงศร ก็พอหรือจะเรียกแค่
ศร ก็ได้”
“...”
ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้าแล้วเรียกหน้าจอขึ้นมา
เป็นหน้าจอที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรเพราะมีแค่หน้าเปล่าๆ
“ถ้าอย่างนั้นศรก็เรียกผมว่าซีลอร์ดก็แล้วกันนั่นเป็นชื่อของผม”
ผู้ถูกลืมเลือนเขียนนิ้วลงไปบนหน้าจอที่ว่างเปล่านั่น
ตัวหนังสือบนหน้าจอเขียนเอาไว้แบบนี้
‘Z-Lord’
ตกลงว่าหมอนี่ไม่ได้ชื่อ ‘ผู้ถูกลืมเลือน’
อย่างนั้นหรือ...อิงศรคิด
“แล้วตอนที่ฉันถามว่านายเป็นใครทำไมไม่บอกว่าชื่อซีลอร์ดล่ะ”
“ก็ตอนนั้นเธอถามว่าผมเป็นใครไม่ได้ถามชื่อผมนี่
ผมคือผู้ที่ถูกลืมตัวตนไปก็ตอบถูกคำถามแล้วไม่ใช่เหรอ”
คำตอบพาซื่อนั่นช่างชวนให้รู้สึกหงุดหงิด
“ทั้งที่ก่อนหน้านี้เวลานายบังคับให้ฉันถามก็เอาแต่ตอบนอกเรื่องไปนั่งอธิบายระบบของเกมเนี่ยนะ
คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้นเฟ้ย”
“...”
ผู้ถูกลืมเลือนไม่ตอบแต่กลับเขม็งตาจ้องมองอย่างจริงจัง
“ท...ทำไมจ้องอย่างนั้นเล่าชั้นพูดอะไรผิดรึไง”
"..."
"เฮ้ !"
"..."
แต่ซีลอร์ดก็ยังนิ่งเงียบและเอาแต่จ้องมอง
จนกระทั่งอิงศรรู้สึกได้ว่าสายตานั้นที่จริงแล้วไม่ได้กำลังมองตัวเองแต่กำลังมองข้ามไปข้างหลังต่างหาก
ดังนั้นอิงศรจึงหันตามไปในทิศทางเดียวกัน
สิ่งที่มองเห็นนั้นมีแต่ขอบฟ้ายามค่ำคืนที่ว่างเปล่ากับซากเมืองไกลสุดลูกหูลูกตา
เป็นทิวทัศน์ที่ปกติของรูนรูม เพียงแต่...
มันกว้างขึ้นกว่าเดิมความรู้สึกบอกมาอย่างนั้น
และแล้ว...
ซากเมืองที่เหมือนกับจะแผ่ขยายออกไปก็เริ่มโผล่ให้เห็นสิ่งแปลกประหลาดที่เคลื่อนไหวคล้ายกับคลื่น
แล้วพอพื้นที่ขยับได้นั้นขยายกว้างออกไปอีกก็เริ่มมองเห็นเรือ...
ซากของเรือมากมาย จะว่าเป็นแม่น้ำก็ดูจะกว้างเกินไปถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นทะเล
สภาพของพื้นที่ซึ่งปรากฏให้เห็นทีละน้อยๆ
เหมือนกับเป็นอ่าวที่ไหนซักแห่ง
อิงศรยังคงจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทั่งมองเห็นของสิ่งหนึ่งลอยอยู่บนผืนน้ำที่น่าจะเป็นทะเล
ถ้าสิ่งที่มองเห็นนั้นเป็นอย่างที่เขาคิดล่ะก็ผืนน้ำนั่นก็คือ...
อิงศรพึมพำชื่อของสิ่งที่ลอยอยู่เหนือน้ำ
"รูปปั้นเทพีเสรีภาพ"
อนุสาวรีย์รูปมนุษย์ถือคบเพลิงที่ตั้งอยู่บนเกาะลิเบอร์ตี้ในอ่าวของนิวยอร์กที่สหรัฐอเมริกา
หมายความว่าที่นี่คือสถานที่บนโลกไม่ใช่สถานที่ในความฝันอย่างนั้นหรือ?
รูปปั้นเทพีเสรีภาพเขาก็เคยเห็นแค่ในสมุดภาพเท่านั้นแต่ของที่กำลังมองอยู่นี่กลับสมจริงจนไม่น่าเชื่อรายละเอียดชัดเจนถึงขนาดนั้น
จากนั้นซีลอร์ดก็พูดเหมือนกับจะเดาใจเขาได้
"เพราะว่ารากของอาคาชิกเรคคอร์ดได้แผ่ขยายออกไป"
"..."
"ทั้งท้องฟ้า ทั้งอาคารและซากปรักเหล่านี้คือรากของอาคาชิกเรคคอร์ดที่ถูกลบข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ออกไปแล้ว
สวนแห่งที่สองกำลังทยอยเป็นเช่นนี้”
ซีลอร์ดดีดนิ้วแล้วจอภาพใหม่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า
บนหน้าจอนั้นฉายภาพของเมืองที่ไหนซักแห่ง
เป็นเมืองที่ติดกับทะเลและตรงใจกลางของเมืองนั้นก็มีหลุมสีดำขนาดใหญ่แผ่ขยายออกมา
หลุมสีดำกำลังกลืนกินเมือง
กลืนกินทะเล กลืนกินกระทั่งท้องฟ้า
มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ป้ายหนึ่งกำลังจะถูกกลืนเข้าไปในความมืดนั้นข้อความบนป้ายเขียนชื่อของเมืองนี้เอาไว้ด้วย
‘New
York’ สรุปว่าเมืองที่กำลังจะหายไปก็คือนิวยอร์กและอีกฟากของหลุมสีดำนั่นก็คือมิติที่เรียกว่ารูนรูมแห่งนี้
แต่ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อิงศรก็พอจะเดาคำตอบได้
“หรือว่านี่ก็เป็นบททดสอบ”
“ใช่ หากมนุษย์ไม่แสดงความตั้งใจก็จะถูกลบออกไปพร้อมกับสวนแห่งนี้
รากจะแผ่ขยายออกไป การกำจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้เพื่อทวงคืนพื้นที่เก็บรักษาจะดำเนินไปจนกว่าทุกอย่างจะถูกอันอินสตอล(Uninstall) ออกจากระบบ ทั้งประวัติศาสตร์
ทั้งช่วงเวลาและการมีตัวตนอยู่ของมนุษย์จะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า"
“…”
อิงศรพูดไม่ออกได้แต่จ้องมองภาพของเมืองกำลังถูกลบหายไป
โลกกำลังจะหายไป
"มันน่าเศร้าเหลือเกิน...แต่ทุกอย่างจะหายไป...ผมเองก็คงช่วยอะไรพวกเธอมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
คำพูดสิ้นหวังที่พูดด้วยใบหน้าเศร้าๆ
ของซีลอร์ดจะเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าหมอนี่อยู่ข้างมนุษย์หรือเป็นแค่การแกล้งทำกันแน่
อิงศรได้แต่ครุ่นคิด แล้วก็คิดต่อไปอีกว่าตนเองที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ควรจะเคลื่อนไหวต่อไปยังไง
เรื่องของมิ่งขวัญที่กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว
เรื่องที่ตัวเองเป็นฟันเฟืองสำหรับขับเคลื่อนเครื่องทำสวนที่จะทำลายล้างโลก
เรื่องบททดสอบที่มนุษย์จะต้องฟันฝ่า
ทั้งหมดนี้ออกจะวุ่นวายเกินไปหน่อยสำหรับเด็กอายุ
17 ที่ไม่ได้มีอำนาจมากมาย
ทำไมผู้ถูกเลือกจะต้องเป็นตัวเองด้วย...
อิงศรได้แต่กล่าวโทษในโชคชะตา
“แล้วอีกนานแค่ไหนโลกถึงจะโดนลบทั้งหมด”
อิงศรถาม
“ก็น่าจะอีกหกเดือนได้”
หมายความว่ามีเวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น
เทียบกับแต่ละปัญหาในตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก
“แล้วถ้ามีคนโดนลบหายไปเขาจะมาอยู่ที่นี่รึเปล่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าโลกถูกลบจนหมด”
“การที่เธอมาอยู่ที่นี่ได้เป็นเพราะผมเรียกเธอมาแล้วก็พลังของฟันเฟืองด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ถ้าหากถูกลบตอนที่อยู่ข้างนอกตัวตนของเธอก็จะถือว่าไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรก
ถูกลบโดยสมบูรณ์แบบเลยล่ะแน่นอนว่าถ้าสวนแห่งนี้ถูกลบไปทั้งหมดแล้วมนุษย์ก็ถือว่าสอบตกแล้วยุคใหม่ก็จะเริ่มขึ้นแทนที่ยุคสมัยของมนุษย์เหมือนอย่างที่เคยเกิดกับสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านี้หรือที่พวกเธอเรียกกันว่า
‘การสูญพันธุ์’
”
เท่านี้ก็พอจะเข้าใจแนวทางของการทดสอบแล้วแต่ยังขาดสมการสำหรับแก้ปัญหา
“แล้วต้องแสดงความตั้งใจแบบไหนล่ะ”
อิงศรเสี่ยงถามออกไปโดยไม่คาดหวังมากนักว่าจะได้คำตอบ
อย่างไรซะอีกฝ่ายคงไม่ยอมบอกออกมาง่ายๆ อยู่แล้ว
ซีลอร์ดตอบคำถามนั้น
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นเป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องไปคิดเอาเอง”
“พับผ่าสิ ถ้าอยากช่วยก็ทำให้มันถึงที่สุดหน่อย”
“นี่ก็เต็มที่สำหรับผมแล้วยังไงซะผมก็ขัดขืนโซลาริสกับลูนาริสโดยตรงไม่ได้”
คำพูดนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของบทสนทนา
ไม่ใช่แค่อิงศรแต่กระทั่งคนตรงหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดก็ยังไม่มีอำนาจ
แล้วคนไร้อำนาจสองคนก็มานั่งถกเรื่องที่จะกอบกู้โลกอย่างกับเป็นคนบ้า
ตอนนั้นเองก็หมอกก็เริ่มปกคลุมห้อง
สัมผัสต่อสถานที่แห่งนี้เริ่มเลือนราง
“นี่มัน หรือว่าตัวฉันกำลังจะตื่น...”
“เธอสลบไปตั้งสิบสองวันแล้วนี่
ดูเหมือนว่าข้างนอกเองก็อยากจะรีบให้ตื่นเหมือนกัน”
แล้วซีลอร์ดก็หัวเราะ
”นึกว่าจะต้องกล่าวคำอำลากับที่แห่งนี้แล้วซะอีกแต่แบบนี้บทละครเล่มต่อไปคงใกล้เปิดออกเต็มทีแล้วเอาไว้คราวหน้าผมจะรออยู่ที่นี่นะมนุษย์ผู้...”
เขาชะงักคำพูดไปก่อนจะกล่าวต่อว่า
”ตอนนี้ต้องเรียกเธอว่า ‘ศร’
แล้วนี่นะ”
“เดี๋ยว!”
อิงศรพูดได้แค่นั้นแล้วตัวตนของเขาก็หายไปจากรูนรูม
ความคิดเห็น