ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #56 : Login 54: เกม 'โกง' วันโลกาวินาศ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 881
      47
      28 ม.ค. 60

    Login 54: เกม 'โกง' วันโลกาวินาศ

     

                ขณะเดียวกันที่รูนรูม

                "...ผู้ที่ร่วมกันควบคุมกฎระเบียบของทุกสรรพสิ่ง โซลาริสและ ลูนาริส’ "

                อิงศรที่ได้ฟังคำพูดนั้นของผู้ถูกลืมเลือนยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก

                "ควบคุมกฎระเบียบของทุกสิ่ง? หมายความว่าเป็นพระเจ้าเหรอ"

                "อยู่ที่เธอจะยอมรับ ถ้าจะให้พูดก็เป็นคนที่กำหนดว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ"

                “…”

                อิงศรนิ่งไปครู่หนึ่ง

                'โลกกลายเป็นเกมเพราะตัวตนที่เหมือนกับพระเจ้า'

                คำพูดของผู้ถูกลืมเลือนสรุปได้เป็นแบบนั้นเรื่องราวมันชักจะบานปลายใหญ่โตเกินความเข้าใจไปแล้ว

                "เดี๋ยวก่อนนะคนที่ทำให้โลกกลายเป็นเกมเนี่ยก็คือพวกเอเลี่ยนไม่ใช่รึไง"

                "เหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่หนึ่งน่ะเหรอ พวกเขาแค่ช่วยผมด้วยสิ่งที่เรียกว่าเน็ตเวิร์คเทคโนโลยีในการลงทะเบียนให้กับมนุษย์ซึ่งเป็นผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองนี้และยังไม่มีพลังพอที่จะต่อต้านการลงทัณฑ์ซึ่งเป็นหนึ่งในบททดสอบ ไม่อย่างนั้นพวกเธอได้ตายเพราะน้ำอมฤตไปหมดแล้วล่ะ"

                "ลงทะเบียน?"

                "หมายถึงแบบนี้ไงล่ะ"

                จากนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็ดีดนิ้วดังเปาะ

                มีเสียงดังขึ้นมา เป็นเสียงที่คุ้นเคย

                'ชอบเล่นเกมไหม'

                มันคือเสียงที่ดังในหัวตอนวันสิ้นโลก จากนั้นอิงศรก็นึกถึงคำพูดของมีนาที่เคยคุยกันก่อนหน้านี้

                'ตอนโลกล่มสลายคุณอิงศรก็ตอบไปว่าชอบเล่นเกมสินะคะ'

                'ก็ดูเหมือนว่าคนที่อยู่รอบตัวเราไม่สิทุกคนที่รอดชีวิตมาจากไวรัสน่ะจะตอบว่าชอบเล่น หรือไม่ก็อยากเล่นกันหมดเลยฉันยังไม่เคยเจอคนที่ตอบว่าไม่เล่นเลยซักคนนะคะก็เลยสนใจขึ้นมาว่าคุณอิงศรตอนนั้นตอบไปว่าอะไร'

                แน่นอนเขาเองก็ตอบไปว่า 'ชอบ' แต่เพราะแบบนั้นก็เลยรอดชีวิตมาได้อย่างนั้นหรือ?

                ถ้าตัดสินชีวิตคนด้วยเรื่องแค่นั้นมันไม่ไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ?

                "ใช้เหตุผลแค่นั้นเพื่อทำเรื่องพรรค์นี้น่ะเหรอบ้ารึเปล่า! ด้วยเหตุผลแค่นั้นก็ทำลายมนุษย์เหมือนกับเป็นของเล่นแบบนี้น่ะเหรอ"

                อิงศรคำราม

                แต่ผู้ถูกลืมเลือนปฏิเสธคำกล่าวหานั้น

                "นั่นเป็นเพียงการลงทะเบียนที่จะทดสอบว่าใครมีความตั้งใจในการก้าวเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น เพราะพวกเขาจะต้องพบกับบททดสอบที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกถ้าพวกเขาอยากจะรอดชีวิตคำตอบที่อยู่ภายในจะแสดงออกมาเอง คนที่ไม่ได้รอดชีวิตมาก็เพราะว่าคนๆ นั้นเลือกทางตายด้วยตัวเอง ส่วนมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกก็เลือกที่จะก้าวเดินต่อไปถึงได้มีชีวิตอยู่ไง"

                ...

                อิงศรไม่รู้จะตอบโต้ยังไง ต่อให้พูดเรื่องมนุษยธรรมกับผู้ถูกลืมเลือนก็คงไม่มีความหมาย

                อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้ข้อมูลสำคัญจากปากของคนที่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงดังนั้น...

                 “ถ้างั้นพวกเอเลี่ยนนั่นล่ะ

                อิงศรจึงข่มความรู้สึกของตัวเองแล้วดำเนินคำถามต่อ

                “พวกเขาคือผู้ที่อาศัยอยู่ในสวนแห่งแรก

                ผู้ถูกลืมเลือนตอบ

                “สวนแห่งแรก...มันคืออะไร

                “คือสถานที่ที่เหมือนกับสวนของพวกเธอก่อนที่จะถูกสวนแห่งแรกตกทับลงมา

                “ตกทับลงมา...พูดเรื่องอะไรของนายเนี่ยไม่เห็นจะเข้าใจเลย

                “ในแพทซ์ก็เขียนเอาไว้ไม่ใช่เหรอสวนแห่งแรกได้แปดเปื้อนจึงถูกทิ้งและทับลงบนสวนของพวกเธอ

                ใน แพทซ์บางทีคงหมายถึงข่าวสารที่แจ้งรายละเอียดของเกมโลกาวินาศ...

                ถ้าเป็นไปตามนั้นอิงศรก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า สวนที่ผู้ถูกลืมเลือนพูดหมายถึงโลก ถ้าอย่างนั้นสวนแห่งแรกก็คือดาวของพวกมนุษย์ต่างดาวและสวนแห่งที่สองก็คือโลกของพวกเขา แต่ การตกมาทับคืออะไรกันแน่?

                ระหว่างที่อิงศรพยายามทำความเข้าใจ ผู้ถูกลืมเลือนก็เริ่มกล่าวต่อไปว่า

                ”มันเป็นเรื่องที่เนิ่นนานมาแล้วหลังจากมนุษย์อย่างพวกเธอถือกำเนิดขึ้นในสวนแห่งแรก ถูกพบว่ามีความผิดแปลกเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถึงจะสูญเสียความตั้งใจในการก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ก็ยังเจริญรุ่งเรืองต่อไปโดยไม่รู้ตัว การมีอยู่ของพวกเธอมันขัดกับหลักความเป็นจริงพูดในแบบของพวกเธอก็คือ ผิดธรรมชาติต่อมาก็พบว่าความผิดพลาดนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบชะตากรรมในหมู่มนุษย์การตรวจสอบย้อนรอยไปถึงการละเมิดรับประทานผลของต้นแห่งปัญญาเพื่อป้องกันการแปดเปื้อนและธำรงไว้ซึ่งกฎระเบียบจึงได้ทำลายล้างแล้วขับไล่มนุษย์ลงมายังสวนแห่งที่สองนี้"

                หลังจากฟังคำอธิบายที่เหมือนกับหลุดออกมาจาก ไบเบิลถ้าเชื่อตามนี้จริงๆ อิงศรก็คิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้ว แต่ในคำพูดที่ชวนให้เป็นคนบ้านั่นก็พอจะเข้าใจคำพูดหนึ่งจากในนั้น

                เข้าใจว่า 'ความตั้งใจในการก้าวเดินไปข้างหน้า' คืออะไร ที่ผ่านมาเขาเผชิญหน้ากับมันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตั้งแต่ตอนที่โลกยังไม่ล่มสลายเลยด้วยซ้ำ

                เขาอยากจะทำให้มิ่งขวัญเลิกเอาแต่ใจ ทว่าสุดท้ายของสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้แล้วปล่อยเลยตามเลยจนกระทั่งโลกพินาศลง  แล้วต่อมาก็หลังจากที่สูญเสียมิ่งขวัญไปแม้จะรู้ตัวเสมอว่าไม่ควรหยุดอยู่กับที่แต่ก็ยอมแพ้เรื่อยมาจนกระทั่งได้เจอกับกวินทร์ถึงคิดที่จะก้าวเดินต่อไป

                “ถ้าไม่มีความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ

                อิงศรพูด

                “ถ้าเธอจะยอมรับแบบนั้นมันก็คงใช่

                ช่างเป็นคำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี

                " แต่ว่านะมนุษย์น่ะ ไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ต้องมีช่วงเวลาที่หยุดก้าวเดินเพื่อค้นหาเหตุผล ค้นหาตัวเองด้วยถึงจะก้าวเดินต่อไปได้แล้วจะใช้เรื่องแค่นั้นมาตัดสินเนี่ยแบบนั้นมันคิดเอาเองอยู่ฝ่ายเดียวเลยไม่ใช่รึไง"

                ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

                "อื้ม ก็นั่นน่ะสิการถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวมันไม่แฟร์ผมเองก็คิดอย่างนั้น ทั้งที่มนุษย์เองก็มีสิทธิ์ที่จะได้แสดงความเห็นเหมือนกัน บังเอิญว่าลูนาริสเองก็ยังเคลือบแคลงต่อความคิดของโซราลิสจึงให้ผมมาเฝ้าจับตาดูพวกเธอไว้"

                “หมายความว่าพระเจ้าขัดแย้งกันเองเหรอ

                “ไม่หรอกนี่คือระบบอย่างที่ควรจะเป็นต่างหาก การจะพิพากษาสิ่งใดจำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดดังนั้นโซลาริสจึงเป็นความเข้มงวดที่จะธำรงไว้ซึ่งกฎส่วนลูนาริสก็จะเป็นความยั้งคิดที่จะตรวจสอบว่ากฎได้ใช้งานอย่างถูกต้องที่สุด

                เพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผู้ถูกลืมเลือนเล่ามา อิงศรต้องพยายามเป็นอย่างมากในการทำความเข้าใจ แต่ยิ่งถลำลึกเท่าไหร่กลับยิ่งมีแต่ปมปริศนาเท่านั้น

                ทันทีที่ได้ยินว่ามีตัวตนที่เฝ้าทดสอบมนุษย์อยู่ก็รู้สึกว่าการรับรู้ของตนเปลี่ยนแปลงไป ผู้ถูกลืมเลือนคงจะรู้อยู่แต่แรกจึงไม่ได้บอกเสียแต่เนิ่น  เพราะถ้ายังไม่เห็นพลังของดีเซมแมร์ก็คงจะเชื่อเรื่องตัวตนของพระเจ้าไม่ลง เพราะอย่างนั้นถึงรอจนกระทั่งเขามีความพร้อมที่จะเชื่อในความจริงอันน่าตกใจนี้

                ดังนั้นอิงศรที่ทำความเข้าใจอย่างเต็มที่ก็เลยพูดสรุปออกมา

                "ถ้างั้นที่โลกกลายเป็นเกมก็ไม่ใช่เพราะพวกเอเลี่ยนอยากจะรุกรานแต่เป็นเพราะการพิพากษาของพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ"

                “ยังไม่ได้พิพากษาหรอกนะตอนนี้เป็นแค่ขั้นตอนทดสอบต่างหาก"

                "ทดสอบ?"

                "ทดสอบว่ามนุษย์จะสามารถผ่านพ้นการล่มสลายนี้ไปได้หรือไม่ เป็นระบบที่จะตรวจสอบความตั้งใจของเผ่าพันธุ์เพราะงั้นถึงได้มีแต่มนุษย์ที่ถูกทดสอบ

                หรือก็คือตั้งใจจะบอกว่านั่นเป็นสาเหตุที่สิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์กลายเป็น สัตว์เทวะแล้วออกไล่ล่ามนุษย์อย่างนั้นเองสินะ

                “มนุษย์อ่อนแอเกินไปไม่มีทางที่จะผ่านบททดสอบที่โหดร้ายเช่นนี้ได้หรอกเพื่อให้พวกเธอสามารถฟันฝ่าไปได้ เพื่อให้ไปแสดงความตั้งใจกับโซลาริสและลูนาริส ถึงอยากให้มันเป็นอะไรที่พวกเธอจะเข้าใจได้ง่ายและมีพลังที่จะต่อต้านการลงทัณฑ์ซึ่งเป็นหนึ่งในบททดสอบ รู้สึกว่าพวกเธอจะเรียกมันว่า เกมสินะ

                สรุปก็คือ ที่โลกถูกทำให้กลายเป็นเกมต่อสู้จะทำให้มนุษย์ทำความเข้าใจการทดสอบได้ง่ายกว่าการมานั่งอธิบายและยังสามารถชี้นำกับมอบพลังให้มนุษย์ได้อีกด้วย ช่างเป็นความคิดที่ไม่รู้ว่าจะชื่นชมหรือดูแคลนดีจริงๆ

                จากนั้นอิงศรก็พูดว่า...

                "ถ้างั้นเกมโลกาวินาศนี่นายก็เป็นคนมอบให้เพื่อเป็นอาวุธสำหรับต่อสู้...

                แต่ผู้ถูกลืมเลือนก็พูดขัด

                “มอบทางเลือกให้ต่างหาก ถ้ามนุษย์อยากมีชีวิตต่อไปก็ต้องแสดงความตั้งใจแล้วเลือกหนทางเอาเอง

                สรุปก็คือ เกมวันโลกาวินาศไม่ใช่เกมที่ทำให้โลกมุ่งไปสู่จุดจบ แต่เป็นเกมที่มีไว้เพื่อโกงไม่ให้โลกไปถึงจุดจบเป็น เกมโกงวันโลกาวินาศความเข้าใจนี้น่าจะถูกต้องที่สุด

                แต่ทว่า...

                ทั้งที่เข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ

                “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...

                อิงศรพูด รู้สึกได้ว่าความโกรธภายในตัวมันสลายหายไปหมด เพราะตัวการที่ควรจะโกรธใส่ไม่ได้อยู่ที่นี่ บนโลกใบนี้มีแต่ผู้เสียหายจากการรักษากฎระเบียบที่พวกเขาไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย

                “คงจะสับสนสินะมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก

                ผู้ถูกลืมเลือนพูด

                “ก็แหงสิเรื่องพรรค์นี้จะให้ทำความเข้าใจได้ยังไงเล่า

                “นั่นสิผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

                “…”

                “ตัวผมถูกสั่งให้จับตาดูมนุษย์ แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้าผมก็เริ่มเห็นใจเริ่มมีความรู้สึกเข้าข้างพวกเธอมันเพราะอะไรกันนะช่วยทำความเข้าใจหน่อยสิมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก

                “…”

                ช่วงเวลาแห่งการนิ่งเงียบดำเนินไปพักใหญ่

                อิงศรไม่รู้ว่าควรจะยอมรับเรื่องที่ได้ยินอย่างไร ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี

                อย่างไรก็ตามยังมีอีกประเด็นที่ยังไม่กระจ่าง อิงศรจึงลองถามดู

                “แล้วตกลงว่าม้า..ไอ้เจ้าตัวที่นายเรียกว่าเครื่องทำสวนน่ะมันคืออะไรกันแน่...

                อิงศรหยุดคำพูดลงแล้วเอื้อมมือไปแตะที่หลัง บริเวณที่ฟันเฟืองเคยงอกออกมาแต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย

                “แล้วก็เรื่องของเฟืองด้วยเกี่ยวอะไรกับที่นายชอบเรียกฉันว่าผู้ถูกฟันเฟืองเลือกรึเปล่า

                “เครื่องทำสวนก็คือเครื่องมือเพื่อการรักษากฎระเบียบที่โซลาริสกับลูนาริสคิดขึ้นมา"

                ผู้ถูกลืมเลือนพูดพลางเปิดหน้าจอระบบที่มีรายละเอียดของแพทซ์เกมล่าสุดให้ดู

                “คิดว่าเธอคงจะอ่านมันไปบ้างแล้วจดหมายที่ผมเขียนถึงเหล่ามนุษย์ผู้ถูกทดสอบ

                “นายเป็นคนเขียนแพทซ์พวกนี้เหรอ?”

                ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้ารับ

                “เพื่อที่จะเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเธอเข้าใจโดยที่ไม่รู้ไปถึงโซลาริสและลูนาริสผมจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์แล้วก็พบว่ามีการบันทึกเรื่องราวในอดีตที่คล้ายคลึงกันในรูปแบบที่พวกเธอเรียกกันว่า คำทำนายดังนั้นผมจึงขอยืมมันมาใช้น่ะแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจ

                สรุปว่าที่เนื้อหาของเรื่องราวเหมือนจะเป็นเรื่องแต่งก็เพราะเหตุนี้สินะ

                ดวงตาของอิงศรเหม่อมองผู้ถูกลืมเลือนด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

                “ไปเขียนแบบนั้นใครมันจะเข้าใจเล่า

                “เอ๋ แต่ผมว่าเขียนได้ดีแล้วนะนี่ไงก็มีบอกไว้หมดทั้งเรื่องที่ฟันเฟืองซึ่งจะขับเคลื่อนเครื่องทำสวนทั้งสิบสองตกลงมาที่สวนแห่งนี้น่ะ...

                ผู้ถูกลืมเลือนชะงักคำพูดตัวเองไปเพราะเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าจอ

                “อืมแต่ว่าพอโดนทักแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าท่อนอื่นๆ มันเข้าใจยากจริงๆ นั่นแหละ

                อิงศรหรี่ตามองด้วยความเอือมระอา

                “นี่นายหรือว่า...

                พลางคิดไปว่า หรือคนๆ นี้จะเข้าใจความเป็นมนุษย์ผิดไปหลายขุม

                “หืม?”

                ผู้ถูกลืมเลือนหันมา พลางทำหน้าซื่อ

                อิงศรจึงยิ่งมั่นใจในความคิดนั้น

                “ช่างเหอะไม่มีอะไร ว่าแต่เห็นบอกมีสิบสองเครื่องเนี่ยแปลว่านอกจากม้านั่นแล้วยังมีตัวอื่นๆ อีกเหรอ

                “ใช่แล้วล่ะ มีสิบสองเครื่องที่ได้รับหน้าที่ให้รักษากฎ ส่วนเรื่องฟันเฟืองก็...

                ผู้ถูกลืมเลือนพูดแล้วดีดนิ้วดังเปาะ

                จากนั้นภาพบนหน้าจอที่เปิดรายละเอียดของแพทซ์เกมก็เปลี่ยนเป็นรูปภาพ

                รูปภาพที่อิงศรต้องตกตะลึง เพราะมันคือภาพของเขากับมิ่งขวัญในวันที่โลกล่มสลาย ในภาพคือตอนที่พวกเขาอยู่บนชั้นสองของห้างสรรพสินค้ากำลังวิ่งหนีเศษกระจกหน้าต่างที่แตกเข้ามาเพราะสัตว์เทวะถูกพวกมนุษย์ต่างดาวโค่นลง นั่นคือความเข้าใจในตอนนั้น

                แต่แท้จริงแล้วที่กระจกหน้าต่างแตกเป็นเพราะมีสิ่งที่เหมือนกับเสี้ยวหนึ่งของฟันเฟืองจำนวนสองอันพุ่งชนเข้ามาต่างหาก ดูจากทิศทางฟันเฟืองจะต้องชนเข้ากับหลังของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ตอนนั้นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ก็คือ...

                “นี่จะบอกว่าเฟืองมันฝังเข้ามาในตัวฉันกับน้องตั้งแต่ตอนนั้น...

                อิงศรชะงักคำพูดเพราะนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้จากที่ตัวเองพูดไป

                “เดี๋ยวก่อนนะ หมายความว่าขวัญก็ด้วย...

                จากนั้นผู้ถูกลืมเลือนก็...

                “อืม เคยเจอกับมิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือกมาแล้วเจอก่อนเธอมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกด้วยนะ น่าจะซักสามปีที่แล้ว

                ตอบคำถามโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน

                แต่อิงศรไม่สนใจ ที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้ก็คือช่วงเวลาที่มิ่งขวัญน่าจะได้พบกับผู้ถูกลืมเลือนตามที่บอกมามันเป็นช่วงเดียวกับที่เขาสูญเสียมิ่งขวัญไป

                ‘แต่ฟันเฟืองไม่ยอมให้เธอตาย

                แล้วคำพูดที่ผู้ถูกลืมเลือนพูดไว้ก่อนหน้านี้ก็ทำให้นึกไปอีกว่าบางทีมิ่งขวัญที่เจออีกครั้งในสนามรบเมื่อตอนนั้นอาจจะเป็นมิ่งขวัญที่รอดตายมาได้เพราะฟันเฟือง

                “ถ้างั้นขวัญก็...

                อย่างไรก็ดีเรื่องสำคัญซึ่งลืมไปเสียสนิทก็นึกมันออกแล้ว น้องชายยังไม่ตายจริงๆ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็นึกออกได้อีกว่ามิ่งขวัญกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้วเหมือนกัน

                ความเบิกบาน ความเศร้า ความสับสน ตีกันกระเจิงอยู่ข้างในตัวเด็กหนุ่มชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เมื่อคิดถึงผลลัพธ์แล้วก็เท่ากับว่ามิ่งขวัญยังมีชีวิตอยู่แค่นั้นก็น่าดีใจเกินพอ ดังนั้นความยินดีจึงไหลรินจากดวงตา

                แล้วอยู่ๆ ผู้ถูกลืมเลือนก็โพล่งใส่ว่า

                “เป็นอะไรไปเหรอมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก

                เขาตกใจที่เห็นอิงศรร้องไห้

                “เปล่า ไม่มีอะไรนี่

                อิงศรบอกปัดแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาออก

                “เอาเป็นว่าพอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะแต่ว่าพอจะบอกรายละเอียดของการทดสอบได้รึเปล่าว่ามันเป็นการทดสอบแบบไหนกันจะให้มนุษย์ต่อสู้กับสัตว์เทวะหรือต่อสู้กับเอเลี่ยนกันแน่

                “ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้แหละนะแต่ไม่ใช่ให้ทำลายล้าง เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของเครื่องทำสวน หน้าที่ของมนุษย์คือการแสดงความตั้งใจเพื่อที่จะรอดชีวิตจากการทำลายล้างของเครื่องทำสวนเพียงแต่...

                “แต่อะไร?”

                อิงศรเอียงคอเล็กน้อย

                “มันยังมีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอยู่น่ะ ทำไมฟันเฟืองถึงได้เลือกมนุษย์แทนที่จะไปขับเคลื่อนเครื่องทำสวน นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการทดสอบ

                แล้วผู้ถูกลืมเลือนก็ชี้มาที่ไพ่อาคานาร์ในมือของอิงศร

                “รวมถึงพลังในการควบคุมอาคานาร์ของเธอก็ด้วยทำไมมนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกถึงได้ใช้พลังนี้ได้ทั้งที่มนุษย์ซึ่งถูกฟันเฟืองเลือกคนอื่นก็ไม่สามารถทำแบบเธอได้

                “โทษทีนะ แต่ฟังมานานก็ชักจะเริ่มรำคาญแล้วสิเรียกแต่มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกอยู่ได้ฉันมีชื่อนะเรียกชื่อเถอะ

                “ชื่อเหรอ...

                ผู้ถูกลืมเลือนทำหน้างง

                “ใช่อิงศรไงทีนายยังเรียกขวัญว่า มิ่งขวัญผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเลยนี่

                “ถ้างั้นก็อิงศรผู้ถูก...

                แต่อิงศรก็พูดขัดในทันที

                “ยาวไป เรียก อิงศร ก็พอหรือจะเรียกแค่ ศร ก็ได้

                “...”

                ผู้ถูกลืมเลือนพยักหน้าแล้วเรียกหน้าจอขึ้นมา เป็นหน้าจอที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรเพราะมีแค่หน้าเปล่าๆ

                “ถ้าอย่างนั้นศรก็เรียกผมว่าซีลอร์ดก็แล้วกันนั่นเป็นชื่อของผม

                ผู้ถูกลืมเลือนเขียนนิ้วลงไปบนหน้าจอที่ว่างเปล่านั่น ตัวหนังสือบนหน้าจอเขียนเอาไว้แบบนี้

                ‘Z-Lord’

                ตกลงว่าหมอนี่ไม่ได้ชื่อ ผู้ถูกลืมเลือนอย่างนั้นหรือ...อิงศรคิด

                “แล้วตอนที่ฉันถามว่านายเป็นใครทำไมไม่บอกว่าชื่อซีลอร์ดล่ะ

                “ก็ตอนนั้นเธอถามว่าผมเป็นใครไม่ได้ถามชื่อผมนี่ ผมคือผู้ที่ถูกลืมตัวตนไปก็ตอบถูกคำถามแล้วไม่ใช่เหรอ

                คำตอบพาซื่อนั่นช่างชวนให้รู้สึกหงุดหงิด

                “ทั้งที่ก่อนหน้านี้เวลานายบังคับให้ฉันถามก็เอาแต่ตอบนอกเรื่องไปนั่งอธิบายระบบของเกมเนี่ยนะ คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้นเฟ้ย

                “...”

                ผู้ถูกลืมเลือนไม่ตอบแต่กลับเขม็งตาจ้องมองอย่างจริงจัง

                “ท...ทำไมจ้องอย่างนั้นเล่าชั้นพูดอะไรผิดรึไง

                "..."

                "เฮ้ !"

                "..."

                แต่ซีลอร์ดก็ยังนิ่งเงียบและเอาแต่จ้องมอง จนกระทั่งอิงศรรู้สึกได้ว่าสายตานั้นที่จริงแล้วไม่ได้กำลังมองตัวเองแต่กำลังมองข้ามไปข้างหลังต่างหาก

                ดังนั้นอิงศรจึงหันตามไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่มองเห็นนั้นมีแต่ขอบฟ้ายามค่ำคืนที่ว่างเปล่ากับซากเมืองไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวทัศน์ที่ปกติของรูนรูม เพียงแต่...

                มันกว้างขึ้นกว่าเดิมความรู้สึกบอกมาอย่างนั้น

                และแล้ว...

                ซากเมืองที่เหมือนกับจะแผ่ขยายออกไปก็เริ่มโผล่ให้เห็นสิ่งแปลกประหลาดที่เคลื่อนไหวคล้ายกับคลื่น แล้วพอพื้นที่ขยับได้นั้นขยายกว้างออกไปอีกก็เริ่มมองเห็นเรือ...

                ซากของเรือมากมาย จะว่าเป็นแม่น้ำก็ดูจะกว้างเกินไปถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นทะเล

                สภาพของพื้นที่ซึ่งปรากฏให้เห็นทีละน้อยๆ เหมือนกับเป็นอ่าวที่ไหนซักแห่ง

                อิงศรยังคงจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทั่งมองเห็นของสิ่งหนึ่งลอยอยู่บนผืนน้ำที่น่าจะเป็นทะเล ถ้าสิ่งที่มองเห็นนั้นเป็นอย่างที่เขาคิดล่ะก็ผืนน้ำนั่นก็คือ...

                อิงศรพึมพำชื่อของสิ่งที่ลอยอยู่เหนือน้ำ

                "รูปปั้นเทพีเสรีภาพ"

                อนุสาวรีย์รูปมนุษย์ถือคบเพลิงที่ตั้งอยู่บนเกาะลิเบอร์ตี้ในอ่าวของนิวยอร์กที่สหรัฐอเมริกา

                หมายความว่าที่นี่คือสถานที่บนโลกไม่ใช่สถานที่ในความฝันอย่างนั้นหรือ?

                รูปปั้นเทพีเสรีภาพเขาก็เคยเห็นแค่ในสมุดภาพเท่านั้นแต่ของที่กำลังมองอยู่นี่กลับสมจริงจนไม่น่าเชื่อรายละเอียดชัดเจนถึงขนาดนั้น

                จากนั้นซีลอร์ดก็พูดเหมือนกับจะเดาใจเขาได้

                "เพราะว่ารากของอาคาชิกเรคคอร์ดได้แผ่ขยายออกไป"

                "..."

                "ทั้งท้องฟ้า ทั้งอาคารและซากปรักเหล่านี้คือรากของอาคาชิกเรคคอร์ดที่ถูกลบข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ออกไปแล้ว สวนแห่งที่สองกำลังทยอยเป็นเช่นนี้

                ซีลอร์ดดีดนิ้วแล้วจอภาพใหม่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า บนหน้าจอนั้นฉายภาพของเมืองที่ไหนซักแห่ง เป็นเมืองที่ติดกับทะเลและตรงใจกลางของเมืองนั้นก็มีหลุมสีดำขนาดใหญ่แผ่ขยายออกมา

                หลุมสีดำกำลังกลืนกินเมือง กลืนกินทะเล กลืนกินกระทั่งท้องฟ้า

                มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ป้ายหนึ่งกำลังจะถูกกลืนเข้าไปในความมืดนั้นข้อความบนป้ายเขียนชื่อของเมืองนี้เอาไว้ด้วย

                ‘New York’ สรุปว่าเมืองที่กำลังจะหายไปก็คือนิวยอร์กและอีกฟากของหลุมสีดำนั่นก็คือมิติที่เรียกว่ารูนรูมแห่งนี้ แต่ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อิงศรก็พอจะเดาคำตอบได้

                “หรือว่านี่ก็เป็นบททดสอบ

                “ใช่ หากมนุษย์ไม่แสดงความตั้งใจก็จะถูกลบออกไปพร้อมกับสวนแห่งนี้ รากจะแผ่ขยายออกไป  การกำจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้เพื่อทวงคืนพื้นที่เก็บรักษาจะดำเนินไปจนกว่าทุกอย่างจะถูกอันอินสตอล(Uninstall) ออกจากระบบ ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งช่วงเวลาและการมีตัวตนอยู่ของมนุษย์จะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า"

                “…”

                อิงศรพูดไม่ออกได้แต่จ้องมองภาพของเมืองกำลังถูกลบหายไป

                โลกกำลังจะหายไป

                "มันน่าเศร้าเหลือเกิน...แต่ทุกอย่างจะหายไป...ผมเองก็คงช่วยอะไรพวกเธอมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

                คำพูดสิ้นหวังที่พูดด้วยใบหน้าเศร้าๆ ของซีลอร์ดจะเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าหมอนี่อยู่ข้างมนุษย์หรือเป็นแค่การแกล้งทำกันแน่ อิงศรได้แต่ครุ่นคิด แล้วก็คิดต่อไปอีกว่าตนเองที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ควรจะเคลื่อนไหวต่อไปยังไง

                เรื่องของมิ่งขวัญที่กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว

                เรื่องที่ตัวเองเป็นฟันเฟืองสำหรับขับเคลื่อนเครื่องทำสวนที่จะทำลายล้างโลก

                เรื่องบททดสอบที่มนุษย์จะต้องฟันฝ่า

                ทั้งหมดนี้ออกจะวุ่นวายเกินไปหน่อยสำหรับเด็กอายุ 17 ที่ไม่ได้มีอำนาจมากมาย

                ทำไมผู้ถูกเลือกจะต้องเป็นตัวเองด้วย... อิงศรได้แต่กล่าวโทษในโชคชะตา

                “แล้วอีกนานแค่ไหนโลกถึงจะโดนลบทั้งหมด

                อิงศรถาม

                “ก็น่าจะอีกหกเดือนได้

                หมายความว่ามีเวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น เทียบกับแต่ละปัญหาในตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก

                “แล้วถ้ามีคนโดนลบหายไปเขาจะมาอยู่ที่นี่รึเปล่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปถ้าโลกถูกลบจนหมด

                “การที่เธอมาอยู่ที่นี่ได้เป็นเพราะผมเรียกเธอมาแล้วก็พลังของฟันเฟืองด้วยอีกส่วนหนึ่ง ถ้าหากถูกลบตอนที่อยู่ข้างนอกตัวตนของเธอก็จะถือว่าไม่เคยมีอยู่มาตั้งแต่แรก ถูกลบโดยสมบูรณ์แบบเลยล่ะแน่นอนว่าถ้าสวนแห่งนี้ถูกลบไปทั้งหมดแล้วมนุษย์ก็ถือว่าสอบตกแล้วยุคใหม่ก็จะเริ่มขึ้นแทนที่ยุคสมัยของมนุษย์เหมือนอย่างที่เคยเกิดกับสิ่งมีชีวิตก่อนหน้านี้หรือที่พวกเธอเรียกกันว่า การสูญพันธุ์’ ”

                เท่านี้ก็พอจะเข้าใจแนวทางของการทดสอบแล้วแต่ยังขาดสมการสำหรับแก้ปัญหา

                “แล้วต้องแสดงความตั้งใจแบบไหนล่ะ

                อิงศรเสี่ยงถามออกไปโดยไม่คาดหวังมากนักว่าจะได้คำตอบ อย่างไรซะอีกฝ่ายคงไม่ยอมบอกออกมาง่ายๆ อยู่แล้ว

                ซีลอร์ดตอบคำถามนั้น

                “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นเป็นเรื่องที่มนุษย์ต้องไปคิดเอาเอง

                “พับผ่าสิ ถ้าอยากช่วยก็ทำให้มันถึงที่สุดหน่อย

                “นี่ก็เต็มที่สำหรับผมแล้วยังไงซะผมก็ขัดขืนโซลาริสกับลูนาริสโดยตรงไม่ได้

                คำพูดนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของบทสนทนา

                ไม่ใช่แค่อิงศรแต่กระทั่งคนตรงหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดก็ยังไม่มีอำนาจ แล้วคนไร้อำนาจสองคนก็มานั่งถกเรื่องที่จะกอบกู้โลกอย่างกับเป็นคนบ้า

                ตอนนั้นเองก็หมอกก็เริ่มปกคลุมห้อง สัมผัสต่อสถานที่แห่งนี้เริ่มเลือนราง

                “นี่มัน หรือว่าตัวฉันกำลังจะตื่น...

                “เธอสลบไปตั้งสิบสองวันแล้วนี่ ดูเหมือนว่าข้างนอกเองก็อยากจะรีบให้ตื่นเหมือนกัน

                แล้วซีลอร์ดก็หัวเราะ

                ”นึกว่าจะต้องกล่าวคำอำลากับที่แห่งนี้แล้วซะอีกแต่แบบนี้บทละครเล่มต่อไปคงใกล้เปิดออกเต็มทีแล้วเอาไว้คราวหน้าผมจะรออยู่ที่นี่นะมนุษย์ผู้...

                เขาชะงักคำพูดไปก่อนจะกล่าวต่อว่า

                ”ตอนนี้ต้องเรียกเธอว่า ศรแล้วนี่นะ

                “เดี๋ยว!

                อิงศรพูดได้แค่นั้นแล้วตัวตนของเขาก็หายไปจากรูนรูม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×