คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : Login 53: ศึกของน้องสาวกับพี่ชาย
Login
53: ศึกของน้องสาวกับพี่ชาย
สิบวันต่อมาหลังจากการอาละวาด
อิงศรซึ่งหมดสติไปยังคงนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล
เพื่อค้นหาคำตอบเรื่องการอาละวาดครั้งนั้น มีนา ธุวดารกะ
จึงมาพบสิงห์ที่ห้องพักอาจารย์ของอาคารศูนย์เรียนรวมที่ 7
ซึ่งเหลือรอดจากการทำลายล้างมาได้
ภายในห้องพักอาจารย์
สิงห์ ธุวดารกะ นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดกำลังอ่านปึกเอกสารอยู่
พันโทข้าวหลามยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเยื้องไปทางขวา
ที่ด้านข้างโต๊ะทางซ้ายมีวิเชียรมาศเลขาสาวผู้มีเรือนผมสีฟ้าสั้นมัดปลายผมเป็นแกละสองข้างยืนถือเอกสารที่ดูแล้วน่าจะเป็นส่วนที่สิงห์อ่านเสร็จเรียบร้อยอยู่
มีนายืนเผชิญหน้าทั้งสามอยู่ตรงกลางด้านหน้าของโต๊ะ
ข้างหลังเธอนรินทร์กำลังคุยกับหญิงสาวในชุดกาวน์ซึ่งน่าจะมาจากหน่วยวิจัยอะไรซักอย่าง
มีนาเคยเห็นเธออยู่ที่สนามรบตอนที่อิงศรอาละวาด
เป็นคนที่ทำให้แอพพลิเคชั่นปีศาจของจักรพรรดิมังกรโควริว
สมบูรณ์ในตอนนั้นรู้สึกว่าจะชื่อ ซากิริ อามาเนะ
“นี่โชเน็น”
ซากิริเรียกนรินทร์ว่าอย่างนั้น
“เอ่อเรียกผมเหรอครับ”
นรินทร์ทำหน้าไม่แน่ใจ
ตอนที่เขาเข้ามาในห้องพร้อมกับมีนาก็ถูกหญิงชุดกาวน์คนนี้ขอร้องให้ใช้แอพพลิเคชั่นปีศาจ
ดังนั้นนรินทร์จึงสวมแว่นตาปีศาจแห่งลาพาสอยู่ในขณะนี้
ส่วนซากิริ ก็เรียกหน้าจอกับคีย์บอร์ดโฮโลแกรมออกมา
“ใช่เธอนั่นแหละโชเน็น”
นรินทร์ทำหน้าสงสัยหล่อนจึงอธิบาย
“หมายถึงเจ้าหนูไงล่ะแล้วก็ได้ยินมาว่าเดม่อนแอพของเธอเป็นแบบที่มีพลังวิเคราะห์สินะช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม”
นรินทร์พยักหน้า
จากนั้นซากิริก็ส่งเชือกเส้นบางสีขาวซึ่งผูกปลายด้านหนึ่งไว้กับกำไลข้อมือที่เธอสวมให้กับนรินทร์
"สายสิญจน์น่ะ สำหรับเดม่อนแอพมันจะทำหน้าที่เหมือนสาย USB ไม่ก็ LAN อะไรแบบนั้นเอาไปผูกกับอาวุธที่ติดตั้งเดม่อนแอพสิ"
นรินทร์ทำตามที่ว่าโดยที่ตัวเขาก็ไม่ได้เข้าใจคำพูดซักเท่าไหร่
เด็กหนุ่มผูกปลายของสายสิญจน์เข้ากับแกนของไม้เท้าที่ติดตั้งลาพาส
"ตอนนี้เดม่อนแอพของฉันกับของโชเน็นก็เชื่อมต่อกันผ่านสายสิญจน์นั่นแล้วขอถามก่อนนะโชเน็นเคยวิเคราะห์เจ้าม้ายักษ์ที่สนามรบมาแล้วสินะ”
นรินทร์พยักหน้าตอบ
“ดีล่ะแล้วได้อะไรมั่ง”
ซากิริยิ้มแล้วใช้คีย์บอร์ดโฮโลแกรมป้อนข้อมูลลงไป
“รู้แค่ว่าชื่อดีเซมแมร์แค่นั้นครับ”
"..."
ซากิริไม่ได้ตอบรับคำพูดของนรินทร์ หล่อนยังคงกดแป้นพิมพ์ต่อ
การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงแค่ตรงนั้น
จากนั้นมีนาก็เริ่มพูด
"สิบวันแล้วนะคะ"
"อะไรล่ะ"
สิงห์ตอบแต่ไม่ยอมละสายตาจากปึกเอกสารที่อ่านอยู่
"คุณอิงศรยังไม่ได้สติเลยนะคะ"
"งั้นเหรอ ก็รอต่อไปสิเรื่องพรรค์นั้นไม่ต้องมารายงานก็ได้"
สิงห์ยังคงท่าทีไม่สนใจเหมือนเดิมดังนั้น...
"ที่สนามรบวันนั้นน่ะ
มันคืออะไรกันแน่พี่คิดจะใช้คุณอิงศรทำอะไรกันแน่"
มีนาจึงพูดด้วยเสียงที่ดังเล็กน้อย
แต่เพราะอยู่ในห้องทำให้เสียงก้องเหมือนกับตะโกน
ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเพราะในที่สุดสิงห์ก็ยอมเงยหน้าจากเอกสารเสียที
มีนาสบตากับพี่ชาย
แม้จะรู้สึกว่าสายตานั้นน่าหวาดหวั่นแต่ถ้าหนีตอนนี้คงจะไม่ได้คำตอบเป็นแน่
แล้วสิงห์ก็ตอบกลับมาว่า
"เรื่องนั้นฉันเองก็อยากรู้"
"โกหก พี่น่ะรู้อยู่แล้วแต่ไม่ยอมบอก..."
ตอนนั้นเองซากิริก็พูดแทรกบทสนทนาเข้ามา
“ไม่ใช่แค่พันธุกรรมแซดร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ยังมีส่วนประกอบที่เหมือนจะสร้างสารขึ้นมาได้เองเลยด้วยซ้ำม้านั่นคือหนึ่งในสิบสองเครื่องทำสวนของพระเจ้าจริงๆ
ด้วยสินะ”
มีนาหันไปข้างหลังแล้วหรี่ตามองซากิริพลางคิดไปว่า
เธอคนนี้ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาซะเลยแต่เรื่องที่พูดมาก็ตอบคำถามให้แล้วจึงไม่รู้จะโกรธไปทำไม
ซากิริยังคงพูดต่อไป
“หึๆๆ อย่างที่คิดจริงๆ
ด้วยเจ้านั่นคือแก่นของพันธุกรรมแซดสินะหมายความว่าเป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดหรือถ้าพูดแบบทางเทวศาสตร์นั่นก็คือเป็นอดัมกับอีฟส์
แต่ถ้าเดาจากทฤษฎีที่สิ่งมีชีวิตจะต้องมีการผสมผสานระหว่างพันธุกรรมแซดกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่ด้วย
ก็แสดงว่าเจ้านี่อาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่คงจะเป็นวัตถุที่ถูกสร้างไว้เพื่ออะไรบางอย่างถูกสร้างโดยผู้สร้างโดยตรง
อืมอย่างนี้ล่ะมั้ง อื้ม อื้ม อื้ม”
หลังจากพวกเขาฟังคำพูดที่จับใจความอะไรแทบไม่ได้อยู่นาน
ข้าวหลามก็เรียกซากิริที่เหมือนจะจมอยู่ในห้วงแห่งความพอใจอยู่คนเดียว
"เฮ้ย ยัยรองศาสตราจารย์เพ้ออะไรอยู่ได้รู้อะไรก็บอกทางนี้มั่งเซ่"
จากนั้นเพียงพริบตาหนึ่ง แค่พริบตาเดียวจริงๆ
ที่ซากิริหันมาจากหน้าจอแล้วแสดงสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อใส่
จนข้าวหลามถึงกับผงะก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว
แล้วหล่อนก็กลับมาทำหน้าตามปกติ
"จากข้อมูลที่ได้มาจากเดม่อนแอพของโชเน็นทำให้รู้แล้วว่าแม้แต่สัตว์เทวะระดับจ่าฝูงก็ยังมีพันธุกรรมแซดไม่เต็มร้อย
ยังคงมีสสารอื่นปะปนอยู่ด้วยแต่ว่าม้าที่พวกเราเรียกกันหรือเทวะภัณฑ์ดีเซมแมร์กลับมีสารพันธุกรรมแซดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
พวกอัศวินแห่งจุดจบที่มันสร้างขึ้นมาก็มีร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันแต่ก็เป็นปริมาณที่เบาบางมากคงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันค่อนข้างจะอ่อนแอแล้วก็..."
ซากิริยังคงจ้อไม่หยุดฉุดไม่อยู่จนสิงห์ต้องปรามเธอด้วยคำถามที่เจาะลึกลงประเด็น
"สรุปว่าเธอรู้แล้วสินะว่ามันคืออะไรนักวิจัยสัตว์เทวะซากิริ"
ซากิริพยักหน้ารับแล้วหันหน้าจอโฮโลแกรมให้ดู
บนหน้าจอแสดงรายละเอียดของแพทซ์เกมปัจจุบัน 'อีเด็นฟอล'
====Eden Fall Patch 3.000000====
สวนของท่านผู้ใดเล่าจะเสมอเหมือน ได้ตกลงมายังโลกโดยสมบูรณ์...
...โอ พระเจ้าข้า ซาตานและวงแหวนแห่งไฟของมัน
ได้กระทำให้ต้นของผลแห่งปัญญาต้องแปดเปื้อน
...โอ พระเจ้าข้า สวนทั้งหมดของพระองค์ก็ทรงแปดเปื้อนไปด้วย
พระองค์ทรงทิ้งสวนอันแสนสำคัญลงบนแดนมนุษย์
...โอ พระเจ้าข้า พระองค์ทรงกระทำถูกต้องสมควรแก่เหตุผล
สวนของพระองค์เติบโตบนแดนมนุษย์
ลูกหลานของผู้ล่วงละเมิดข้อห้ามที่ได้รับการเนรเทศถูกลงทัณฑ์ให้กลายเป็นดินสำหรับบำรุงสวน
เหมือนที่พวกเขาทำลายสวนแห่งที่สองซึ่งพระองค์มอบให้แก่พวกเขา
...โอ พระเจ้าข้า วัชพืชได้เติบโตและรุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์
เครื่องทำสวนทั้งสิบสองรอเวลาให้ถึงวันเดือนปีที่จะได้
ลงทัณฑ์และพิพากษาวัชพืชเหล่านั้นด้วยการถอนรากถอนโคน แต่พระองค์ทรงห้ามไว้
เพราะฟันเฟืองอันสำคัญได้หายไป ซาตานขโมยมันแล้วโยนลงไปในสวนบนแดนมนุษย์
"ทั้งที่แพทซ์ก่อนหน้านี้ก็เขียนอธิบายแค่คอนเทนท์ต่างๆ
แต่แพทซ์ล่าสุดกลับเขียนเป็นคำทำนายหรือบทวิวรณ์ซะอย่างนั้นแถมยังมีใจความคล้ายกับเนื้อหาในไบเบิลซะด้วยสิแต่ว่านะตรงส่วนท้ายของบทความน่ะ”
ซากิริพูดจากนั้นหน้าจอก็ซูมลงไปยังย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นประเด็นหลัก
"เครื่องทำสวนทั้งสิบสองหนึ่งในนั้นก็คือดีเซมแมร์หรือเจ้าม้ายักษ์ที่เราเจอไปแล้วยังไงล่ะดูท่าจะเป็นอาวุธที่มีอนุภาพร้ายแรงสำหรับไว้กวาดล้างอะไรซักอย่างที่เรียกว่าวัชพืชน่ะนะ"
คำพูดของซากิริสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย มีนาเคยได้ยินพวกสัตว์เทวะจ่าฝูงพูดกันตอนที่ม้าปรากฏตัวออกมาว่า
'อาวุธของพระเจ้า'
แล้วม้าก็เอาแต่พูดว่า 'วัชพืช' ก่อนจะเริ่มการโจมตีทุกครั้งโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว
แม้แต่พวกสัตว์เทวะก็ยังพลอยถูกกำจัดไปด้วย
หมายความว่าม้าที่ชื่อดีเซมแมร์อะไรนั่นคืออาวุธที่มีไว้ทำลายล้างทุกอย่างบนโลกอย่างนั้นหรือ?
จากนั้นสิงห์ก็หันมาไล่มีนาอีก
"เอ้า! รู้คำตอบแล้วนี่
ทีนี้ก็รีบออกไปซะฉันยังมีงานที่ต้องสะสางก่อนจะย้ายกลับไปที่ศูนย์บัญชาการหลัก"
แต่มีนาไม่ไป
"คุณอิงศรน่ะจริงๆ แล้วเป็นอะไรกันแน่คะ ไม่สิจริงๆ
แล้วพี่คิดจะใช้เขาทำอะไรกันแน่"
เด็กสาวหันกลับมาเผชิญหน้าพี่ชาย
"มีคนบอกมาว่าหมอนั่นจะช่วยโลกนี้ได้ฉันก็เลยเก็บมาเลี้ยง"
ไม่รู้ว่าเพราะเบื่อหรือถอดใจที่ปกปิดไปแล้วสิงห์ถึงยอมตอบคำถาม
แต่ทว่า...
"โกหกอีกแล้วนะคะ"
มีนารู้ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงที่จะได้ไล่เธอไปให้พ้นๆ เสียที
“ฉันพูดจริง”
แต่สิงห์กลับแย้ง
“ถ้างั้นคนที่บอกเป็นใครกันล่ะคะ”
“…”
สิงห์ไม่ตอบ
ดังนั้นมีนาจึงพยายามไล่ต้อนอย่างเอาเป็นเอาตาย
และเรื่องที่เธอเตรียมไว้เพื่อมาต่อรองกับสิงห์ก็ได้จังหวะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
“หรือว่าจะเป็นคนนั้น เจ้าคนผมขาวชุดแดงนั่น”
จากนั้นจึงเปิดหน้าจอเมล์ แล้วเปิดเมล์ตัวจับเวลาตายของอิงศรให้ทุกคนดู
มีนาปะติดปะต่อข้อมูลที่เธอได้รับจากอิงศรเอาเอง
เรื่องของผู้ถูกลืมเลือน
เรื่องของเมล์ตัวจับเวลาตาย
เรื่องของอาคานาร์
แล้วเธอก็ได้พบกับตัวตนของผู้ถูกลืมเลือนแล้วในตอนที่อิงศรอาละวาด
ดังนั้นจึงสามารถเชื่อมต่อข้อมูลที่มีอย่างกระจัดกระจายให้รวมเป็นข้อมูลเดียวที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด
เหยื่อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ถ้าเป็นสิงห์จะต้องรีบงับมันอย่างแน่นอน
“เมล์ฉบับนี้ถูกส่งมาก่อนหน้าที่คุณอิงศรจะถูกฆ่า...”
แต่สิงห์กลับพูดขัดคำพูดของเธอ
“เดี๋ยวก่อน ถ้าจะพูดกันเรื่องนี้ก็ค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย”
จากนั้นสิงห์ก็หันไปเรียกเลขาสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง
“วิเชียรมาศเอาสิ่งนั้นให้เธอดูที”
เลขาสาวพยักหน้าแล้วเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งปึกเอกสารที่เธอถืออยู่แต่แรกให้มีนา
เอกสารแผ่นแรกเป็นรูปถ่ายทั้งแผ่น รูปของหน้าจอเมล์
มีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาเมจิกเอาไว้บนรูปนั้นว่า ‘เมล์ของอิงศร’
สรุปก็คืออีกฝ่ายชิงเคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว...
“เราตรวจสอบเมล์ของอิงศรหมดแล้วหมอนั่นได้รับเมล์ที่เราตามรอยกลับไปไม่ได้แล้วก็เขียนชื่อผู้ส่งด้วยชื่อลวงอย่าง
‘GM’ ในเมล์ทุกฉบับมีรูปของเหยื่อที่เหมือนจะพยายามฆ่าให้ได้ตามคำสั่งโดยเฉพาะเหยื่อรายแรกพลทหารฝึกหัดจากหน่วยจัดการเสบียงถูกฆ่าตาย
ส่วนเหยื่อรายอื่นๆ
ก็คือพวกเธอที่อยู่หน่วยเดียวกันแต่กลับทำไม่สำเร็จเลยซักครั้ง"
สิงห์หยุดคำพูดลงแล้วเปิดหน้าจอเมล์ของตัวเองบ้าง แสดงเมล์แบบเดียวกับที่มีนาเอาให้ดู
"เพราะทำงานล้มเหลวก็เลยถูกตัวการที่ออกคำสั่งตามเก็บและจากที่ฉันรู้มาคนที่ฆ่าอิงศรก็คือมนุษย์ต่างดาวหมอนั่นคือสายของพวกมนุษย์ต่างดาว”
"..."
ดวงตาของมีนาเหม่อมองสิงห์ด้วยความไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี 'เหยื่อที่เตรียมมากลายเป็นบ่วงรัดคอตัวเอง'
สิงห์จงใจพูดให้คิดเป็นอย่างนั้น แต่ว่า...
“เลอะเทอะกันไปใหญ่แล้วค่ะ พูดแบบนั้นถึงเป็นเด็กประถมก็เชื่อไม่ลงหรอก
อย่างแรกเลยถ้าคนที่ส่งเมล์ให้คุณอิงศรต้องการจะเก็บเขาแล้วทำไมจะต้องส่งเมล์ที่เหมือนกับเป็นคำสั่งฆ่ามาให้พี่กับฉันด้วยล่ะคะ
อีกอย่างคนที่ส่งคุณอิงศรไปกับพลทหารพิพัฒน์ก็คือพี่เองไม่ใช่เหรอถ้าอย่างนั้นพี่ก็คือคนร้ายในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องน่ะสิ”
ยังไงก็ไม่มีทางตกหลุมพรางตื้นๆ
พรรค์นี้หรอกอีกฝ่ายก็คงคิดอย่างเดียวกันจงใจวางเหยื่อเพื่อทดสอบเหมือนกัน
“ก็นั่นสินะเพราะงั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าอิงศรจะหักหลังผู้มีพระคุณอย่างฉันจึงตกไป
หมอนั่นได้รับเมล์ที่เหมือนกับเป็นคำขู่ฆ่าแล้วพยายามดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือเหยื่อสรุปว่าเป็นแบบนี้สินะ”
สิงห์สรุปรูปการออกมาในทางที่เลวร้ายเกินไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ผิดจากที่เธออยากจะพูดซักเท่าไหร่
"ไม่ใช่คำขู่หรอกค่ะ
คุณอิงศรบอกว่ามันเป็นเครื่องช่วยเตือนว่าพวกพ้องกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วคนที่ส่งมันมาก็คือคนผมสีขาวชุดแดงที่เรียกตัวเองว่าผู้ถูกลืมเลือนซึ่งพี่เองก็รู้จักคนๆ
นั้นฉันพูดผิดไปจากที่พี่รู้รึเปล่าล่ะ"
มีนาจงใจพูดความจริงออกไปเกือบทั้งหมดเพื่อหลอกสิงห์ว่านี่คือหมากสุดท้าย
ตอนนี้อีกฝ่ายจะต้องจับเหยื่อข้อมูลนี้ไปอย่างแน่นอนถึงตอนนั้นเธอก็จะถือไพ่เหนือกว่าและสามารถรีดข้อมูลจากสิงห์ได้
"พวกพ้องเรอะ
อยู่ห่างมือฉันแค่สิบสามวันก็มีคำว่าพวกพ้องเพิ่มเข้าไปในสารระบบแล้วรึ"
แต่สิงห์ไม่ยอมงับเหยื่อง่ายๆ อย่างที่คิด
"อย่านอกเรื่องสิ"
มีนายังพยายามยื้อต่อไป
"ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงคำตอบน่ะ
เธอรู้เรื่องที่ถามมาเองทั้งหมดแล้วนี่"
คำพูดของอีกฝ่ายมีความหมายว่า 'เรื่องที่เธอรู้น่ะพวกฉันรู้หมดแล้วไม่มีอะไรมาต่อรองได้หรอก'
สรุปก็คือมีนาเสียตัวหมากในมือไปทั้งหมดตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นเด็กสาวที่อับจนหนทางจึงคิดจะใช้วิธีสุดท้ายซึ่งตัวเองปฏิเสธมาตลอดเพราะมันเป็นวิธีที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดในการต่อรองกับคนอย่างสิงห์
"ตอนนั้นน่ะ ก่อนที่เมล์จะถูกส่งเข้ามา
พวกฉันน่ะรอดมาได้ก็เพราะคุณอิงศรช่วยเอาไว้ถ้าตอนนั้นเขาหนีไปก็จะไม่เป็นไปตามเมล์แล้วแท้ๆ
แต่เขาก็ยัง..."
แต่มีนารู้ดีว่า ในตอนนั้น...
ตอนที่มนุษย์ต่างดาวราชครูลอบโจมตีแล้วอิงศรเข้ามารับให้แทนนั้น
เป็นเพียงความบังเอิญ อิงศรเพียงแค่ลังเล
มีนาอ่านการเคลื่อนไหวออกว่าในตอนท้าย
อิงศรก็เลือกทิ้งพวกตนเพื่อไปช่วยน้องชายแต่ก้าวขาออกไปไม่ทัน
อย่างไรก็ตามความจริงก็คือความจริงพวกเธอรอดมาได้เพราะว่าเขา 'ลังเล' และ 'ความลังเล'
นั่นก็เกิดจากความต้องการของอิงศรที่อยากจะปกป้องพวกเธอ
"ดังนั้นถ้าพี่คิดจะทำอะไรอิงศรล่ะก็.."
ในตอนนั้นเองข้าวหลามที่ฟังอยู่เงียบๆ เสียนานจนผิดวิสัยก็โพล่งขัดคำพูดเข้ามา
"ว้าวๆๆ
นี่มีนาตกหลุมรักเจ้าศรมันแล้วเหรอเนี่ยร้ายใช่ย่อยนะไอ้เสือน้อย"
วาจาหยาบโลนตามประสาดังก้องไปทั้งห้อง
จากนั้นข้าวหลามเจ้าของเสียงเมื่อครู่ก็เบี่ยงหน้าไปพูดกับสิงห์
"ถึงกับทำให้มีนากล้าหือนายได้เนี่ยไม่ธรรมดานา"
"เดี๋ยวสิเรื่องนั้น..."
มีนาที่คิดว่าชักจะปล่อยให้ลามปามไม่ได้ก็พูดออกมาอย่างนั้นแต่แล้วสิงห์ก็พูดขัดเอาไว้ว่า
"ก็ดีแล้วนี่
ถ้าจะปกป้องอิงศรไม่ให้คลั่งขึ้นมาอีกก็คบกันเป็นแฟนไปเลยก็ได้การมีความรักจะทำให้ใจของหมอนั่นยึดติดกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นถ้าทำแบบนั้นก็จะช่วยลดเปอร์เซ็นต์ที่จะคุ้มคลั่งลงได้"
"ไม่ใช่นะ!"
มีนายังคงปฏิเสธแบบเอาเป็นเอาตาย
"พอได้แล้วฉันไม่มีอะไรจะคุยอีกแล้วกลับไปซะ
ส่วนอิงศรถ้าห่วงมันนักก็ไปเฝ้าใกล้ๆ ไว้สิเดี๋ยวอีกสองวันมันก็จะตื่นแล้ว"
จากนั้นมีนาก็ถูกไล่ออกจากห้อง
แต่ก่อนจะเปิดประตูสิงห์กลับเรียกเธอ
"เรื่องที่บอกว่ามีสายแฝงตัวเข้ามาในกองทัพน่ะฉันพูดจริง
แต่ไม่ใช่อิงศรแล้วก็ไม่ใช่พวกมนุษย์ต่างดาว
แต่เป็นพวกอารย-สนธยาเท่าที่รู้ตอนนี้คือโค้ดเนมของเจ้านั่นคือเมดูซ่า"
"...แล้วทำไมถึงมาบอกกันล่ะคะ"
"มันก็แหงอยู่แล้วถ้าได้ข่าวเรื่องนี้ก็มาแจ้งส่วนกลางด้วยสายหาข้อมูลอย่างเธอน่าจะรู้อะไรบ้างนี่"
พอได้ยินแบบนั้นมีนาก็ส่ายหน้า
"สายข่าวของพี่ไวกว่าอยู่แล้วข้อมูลของฉันไม่มีความจำเป็นหรอกจริงไหมล่ะ"
แล้วเด็กสาวก็ออกไปจากห้อง
เธอหยุดยืนอยู่ข้างหน้าประตูพลางครุ่นคิดว่าอะไรทำให้สิงห์พูดได้อย่างมั่นใจว่าอิงศรจะฟื้นขึ้นมาในอีกสองวัน
เป็นตัวเลขที่ระบุจำนวนอย่างชัดเจนจนน่าสงสัย
"จากนี้คงต้องเคลื่อนไหวให้รอบคอบขึ้น"
เด็กสาวเลือกข้างที่จะอยู่อย่างชัดเจน
เลือกอิงศรที่น่าจะไว้ใจได้มากกว่าและคิดต่อต้านสิงห์ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะอีกฝ่ายควบคุมทุกอย่างโดยสมบูรณ์
ตราบใดที่ยังสังกัดกับองค์กรเมตไตรยไม่ว่าจะทำอะไรก็จะตกอยู่ในสายตาของเบื้องบน
...
ณ โรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
ที่นี่เป็นสถานพยาบาลแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดจากการทำลายล้างเมื่อหลายวันก่อน
มีนายืนอยู่หน้าประตูห้องที่อิงศรถูกนำมารักษาตัว
เด็กสาวเปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง
ภายในถูกจัดไว้ให้เหมือนกับโรงพยาบาลของคน
เป็นการจัดการแบบฉุกเฉินจึงไม่ได้หรูหราอะไรนัก
เตียงผู้ป่วยที่อิงศรสวมชุดคนไข้นอนอยู่นั้นก็เป็นเตียงสำหรับสัตว์ซึ่งเอามาวางต่อกัน
ไม่มีสายน้ำเกลือหรือเครื่องช่วยชีวิตของพวกนั้นไม่จำเป็นสำหรับโลกที่ล่มสลายเพียงแค่วันแรกที่ถูกนำตัวมาที่นี่บาดแผลบนร่างกายก็หายสนิทไปแล้ว
หลังจากฟันเฟืองกระดูกบนหลังสลายตัวพลังชีวิตของอิงศรก็ฟื้นฟูขึ้นมาเอง
แต่ถึงพลังชีวิตจะเต็มปรี่แล้วก็ตามเด็กหนุ่มกลับยังไม่ฟื้นคืนสติ
ทึ่ข้างห้องเมษากับกวินทร์ที่มาเฝ้าไข้อิงศรตลอดตั้งแต่วันนั้นกำลังหลับอยู่บนโซฟาและที่ข้างๆ
สุนัขที่พวกเขาพามาด้วยซึ่งกวินทร์ตั้งชื่อให้ว่า 'หน้ากาก'
ก็นอนขดตัวอยู่ตรงนั้น
มีนามองไปที่อิงศรแล้วพึมพำออกมา
"รีบตื่นขึ้นมาซักทีสิคะคุณอิงศร"
ความคิดเห็น