ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #55 : Login 53: ศึกของน้องสาวกับพี่ชาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 996
      46
      28 พ.ย. 59

    Login 53: ศึกของน้องสาวกับพี่ชาย

     

                สิบวันต่อมาหลังจากการอาละวาด

                อิงศรซึ่งหมดสติไปยังคงนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล

                เพื่อค้นหาคำตอบเรื่องการอาละวาดครั้งนั้น มีนา ธุวดารกะ จึงมาพบสิงห์ที่ห้องพักอาจารย์ของอาคารศูนย์เรียนรวมที่ 7 ซึ่งเหลือรอดจากการทำลายล้างมาได้

                ภายในห้องพักอาจารย์

                สิงห์ ธุวดารกะ นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดกำลังอ่านปึกเอกสารอยู่

                พันโทข้าวหลามยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเยื้องไปทางขวา

                ที่ด้านข้างโต๊ะทางซ้ายมีวิเชียรมาศเลขาสาวผู้มีเรือนผมสีฟ้าสั้นมัดปลายผมเป็นแกละสองข้างยืนถือเอกสารที่ดูแล้วน่าจะเป็นส่วนที่สิงห์อ่านเสร็จเรียบร้อยอยู่

                มีนายืนเผชิญหน้าทั้งสามอยู่ตรงกลางด้านหน้าของโต๊ะ

                ข้างหลังเธอนรินทร์กำลังคุยกับหญิงสาวในชุดกาวน์ซึ่งน่าจะมาจากหน่วยวิจัยอะไรซักอย่าง มีนาเคยเห็นเธออยู่ที่สนามรบตอนที่อิงศรอาละวาด เป็นคนที่ทำให้แอพพลิเคชั่นปีศาจของจักรพรรดิมังกรโควริว สมบูรณ์ในตอนนั้นรู้สึกว่าจะชื่อ ซากิริ อามาเนะ

     

                “นี่โชเน็น

                ซากิริเรียกนรินทร์ว่าอย่างนั้น

                “เอ่อเรียกผมเหรอครับ

                นรินทร์ทำหน้าไม่แน่ใจ ตอนที่เขาเข้ามาในห้องพร้อมกับมีนาก็ถูกหญิงชุดกาวน์คนนี้ขอร้องให้ใช้แอพพลิเคชั่นปีศาจ ดังนั้นนรินทร์จึงสวมแว่นตาปีศาจแห่งลาพาสอยู่ในขณะนี้

                ส่วนซากิริ ก็เรียกหน้าจอกับคีย์บอร์ดโฮโลแกรมออกมา

                “ใช่เธอนั่นแหละโชเน็น

                นรินทร์ทำหน้าสงสัยหล่อนจึงอธิบาย

                “หมายถึงเจ้าหนูไงล่ะแล้วก็ได้ยินมาว่าเดม่อนแอพของเธอเป็นแบบที่มีพลังวิเคราะห์สินะช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม

                นรินทร์พยักหน้า

                จากนั้นซากิริก็ส่งเชือกเส้นบางสีขาวซึ่งผูกปลายด้านหนึ่งไว้กับกำไลข้อมือที่เธอสวมให้กับนรินทร์

                "สายสิญจน์น่ะ สำหรับเดม่อนแอพมันจะทำหน้าที่เหมือนสาย USB ไม่ก็ LAN อะไรแบบนั้นเอาไปผูกกับอาวุธที่ติดตั้งเดม่อนแอพสิ"

                นรินทร์ทำตามที่ว่าโดยที่ตัวเขาก็ไม่ได้เข้าใจคำพูดซักเท่าไหร่ เด็กหนุ่มผูกปลายของสายสิญจน์เข้ากับแกนของไม้เท้าที่ติดตั้งลาพาส

                "ตอนนี้เดม่อนแอพของฉันกับของโชเน็นก็เชื่อมต่อกันผ่านสายสิญจน์นั่นแล้วขอถามก่อนนะโชเน็นเคยวิเคราะห์เจ้าม้ายักษ์ที่สนามรบมาแล้วสินะ

                นรินทร์พยักหน้าตอบ

                “ดีล่ะแล้วได้อะไรมั่ง

                ซากิริยิ้มแล้วใช้คีย์บอร์ดโฮโลแกรมป้อนข้อมูลลงไป

                “รู้แค่ว่าชื่อดีเซมแมร์แค่นั้นครับ

                "..."

                ซากิริไม่ได้ตอบรับคำพูดของนรินทร์ หล่อนยังคงกดแป้นพิมพ์ต่อ

                การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงแค่ตรงนั้น

                จากนั้นมีนาก็เริ่มพูด

                "สิบวันแล้วนะคะ"

                "อะไรล่ะ"

                สิงห์ตอบแต่ไม่ยอมละสายตาจากปึกเอกสารที่อ่านอยู่

                "คุณอิงศรยังไม่ได้สติเลยนะคะ"

                "งั้นเหรอ ก็รอต่อไปสิเรื่องพรรค์นั้นไม่ต้องมารายงานก็ได้"

                สิงห์ยังคงท่าทีไม่สนใจเหมือนเดิมดังนั้น...

                "ที่สนามรบวันนั้นน่ะ มันคืออะไรกันแน่พี่คิดจะใช้คุณอิงศรทำอะไรกันแน่"

                มีนาจึงพูดด้วยเสียงที่ดังเล็กน้อย แต่เพราะอยู่ในห้องทำให้เสียงก้องเหมือนกับตะโกน ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเพราะในที่สุดสิงห์ก็ยอมเงยหน้าจากเอกสารเสียที

                มีนาสบตากับพี่ชาย แม้จะรู้สึกว่าสายตานั้นน่าหวาดหวั่นแต่ถ้าหนีตอนนี้คงจะไม่ได้คำตอบเป็นแน่

                แล้วสิงห์ก็ตอบกลับมาว่า

                "เรื่องนั้นฉันเองก็อยากรู้"

                "โกหก พี่น่ะรู้อยู่แล้วแต่ไม่ยอมบอก..."

                ตอนนั้นเองซากิริก็พูดแทรกบทสนทนาเข้ามา

                “ไม่ใช่แค่พันธุกรรมแซดร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ยังมีส่วนประกอบที่เหมือนจะสร้างสารขึ้นมาได้เองเลยด้วยซ้ำม้านั่นคือหนึ่งในสิบสองเครื่องทำสวนของพระเจ้าจริงๆ ด้วยสินะ

                มีนาหันไปข้างหลังแล้วหรี่ตามองซากิริพลางคิดไปว่า เธอคนนี้ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาซะเลยแต่เรื่องที่พูดมาก็ตอบคำถามให้แล้วจึงไม่รู้จะโกรธไปทำไม

                ซากิริยังคงพูดต่อไป

                “หึๆๆ อย่างที่คิดจริงๆ ด้วยเจ้านั่นคือแก่นของพันธุกรรมแซดสินะหมายความว่าเป็นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดหรือถ้าพูดแบบทางเทวศาสตร์นั่นก็คือเป็นอดัมกับอีฟส์ แต่ถ้าเดาจากทฤษฎีที่สิ่งมีชีวิตจะต้องมีการผสมผสานระหว่างพันธุกรรมแซดกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่ด้วย ก็แสดงว่าเจ้านี่อาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่คงจะเป็นวัตถุที่ถูกสร้างไว้เพื่ออะไรบางอย่างถูกสร้างโดยผู้สร้างโดยตรง อืมอย่างนี้ล่ะมั้ง อื้ม อื้ม อื้ม

                หลังจากพวกเขาฟังคำพูดที่จับใจความอะไรแทบไม่ได้อยู่นาน

                ข้าวหลามก็เรียกซากิริที่เหมือนจะจมอยู่ในห้วงแห่งความพอใจอยู่คนเดียว

                "เฮ้ย ยัยรองศาสตราจารย์เพ้ออะไรอยู่ได้รู้อะไรก็บอกทางนี้มั่งเซ่"

                จากนั้นเพียงพริบตาหนึ่ง แค่พริบตาเดียวจริงๆ ที่ซากิริหันมาจากหน้าจอแล้วแสดงสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อใส่ จนข้าวหลามถึงกับผงะก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว

                แล้วหล่อนก็กลับมาทำหน้าตามปกติ

                "จากข้อมูลที่ได้มาจากเดม่อนแอพของโชเน็นทำให้รู้แล้วว่าแม้แต่สัตว์เทวะระดับจ่าฝูงก็ยังมีพันธุกรรมแซดไม่เต็มร้อย ยังคงมีสสารอื่นปะปนอยู่ด้วยแต่ว่าม้าที่พวกเราเรียกกันหรือเทวะภัณฑ์ดีเซมแมร์กลับมีสารพันธุกรรมแซดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกอัศวินแห่งจุดจบที่มันสร้างขึ้นมาก็มีร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันแต่ก็เป็นปริมาณที่เบาบางมากคงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันค่อนข้างจะอ่อนแอแล้วก็..."

                ซากิริยังคงจ้อไม่หยุดฉุดไม่อยู่จนสิงห์ต้องปรามเธอด้วยคำถามที่เจาะลึกลงประเด็น

                "สรุปว่าเธอรู้แล้วสินะว่ามันคืออะไรนักวิจัยสัตว์เทวะซากิริ"

                ซากิริพยักหน้ารับแล้วหันหน้าจอโฮโลแกรมให้ดู บนหน้าจอแสดงรายละเอียดของแพทซ์เกมปัจจุบัน 'อีเด็นฟอล'

     

    ====Eden Fall Patch 3.000000====

                สวนของท่านผู้ใดเล่าจะเสมอเหมือน ได้ตกลงมายังโลกโดยสมบูรณ์...

                ...โอ พระเจ้าข้า ซาตานและวงแหวนแห่งไฟของมัน ได้กระทำให้ต้นของผลแห่งปัญญาต้องแปดเปื้อน

                ...โอ พระเจ้าข้า สวนทั้งหมดของพระองค์ก็ทรงแปดเปื้อนไปด้วย พระองค์ทรงทิ้งสวนอันแสนสำคัญลงบนแดนมนุษย์

                ...โอ พระเจ้าข้า พระองค์ทรงกระทำถูกต้องสมควรแก่เหตุผล สวนของพระองค์เติบโตบนแดนมนุษย์ ลูกหลานของผู้ล่วงละเมิดข้อห้ามที่ได้รับการเนรเทศถูกลงทัณฑ์ให้กลายเป็นดินสำหรับบำรุงสวน เหมือนที่พวกเขาทำลายสวนแห่งที่สองซึ่งพระองค์มอบให้แก่พวกเขา

                ...โอ พระเจ้าข้า วัชพืชได้เติบโตและรุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธิ์ เครื่องทำสวนทั้งสิบสองรอเวลาให้ถึงวันเดือนปีที่จะได้ ลงทัณฑ์และพิพากษาวัชพืชเหล่านั้นด้วยการถอนรากถอนโคน แต่พระองค์ทรงห้ามไว้ เพราะฟันเฟืองอันสำคัญได้หายไป ซาตานขโมยมันแล้วโยนลงไปในสวนบนแดนมนุษย์

     

                "ทั้งที่แพทซ์ก่อนหน้านี้ก็เขียนอธิบายแค่คอนเทนท์ต่างๆ แต่แพทซ์ล่าสุดกลับเขียนเป็นคำทำนายหรือบทวิวรณ์ซะอย่างนั้นแถมยังมีใจความคล้ายกับเนื้อหาในไบเบิลซะด้วยสิแต่ว่านะตรงส่วนท้ายของบทความน่ะ

                ซากิริพูดจากนั้นหน้าจอก็ซูมลงไปยังย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นประเด็นหลัก

                "เครื่องทำสวนทั้งสิบสองหนึ่งในนั้นก็คือดีเซมแมร์หรือเจ้าม้ายักษ์ที่เราเจอไปแล้วยังไงล่ะดูท่าจะเป็นอาวุธที่มีอนุภาพร้ายแรงสำหรับไว้กวาดล้างอะไรซักอย่างที่เรียกว่าวัชพืชน่ะนะ"

                คำพูดของซากิริสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย มีนาเคยได้ยินพวกสัตว์เทวะจ่าฝูงพูดกันตอนที่ม้าปรากฏตัวออกมาว่า

                'อาวุธของพระเจ้า'

                แล้วม้าก็เอาแต่พูดว่า 'วัชพืช' ก่อนจะเริ่มการโจมตีทุกครั้งโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว แม้แต่พวกสัตว์เทวะก็ยังพลอยถูกกำจัดไปด้วย

                หมายความว่าม้าที่ชื่อดีเซมแมร์อะไรนั่นคืออาวุธที่มีไว้ทำลายล้างทุกอย่างบนโลกอย่างนั้นหรือ?

                จากนั้นสิงห์ก็หันมาไล่มีนาอีก

                "เอ้า! รู้คำตอบแล้วนี่ ทีนี้ก็รีบออกไปซะฉันยังมีงานที่ต้องสะสางก่อนจะย้ายกลับไปที่ศูนย์บัญชาการหลัก"

                แต่มีนาไม่ไป

                "คุณอิงศรน่ะจริงๆ แล้วเป็นอะไรกันแน่คะ ไม่สิจริงๆ แล้วพี่คิดจะใช้เขาทำอะไรกันแน่"

                เด็กสาวหันกลับมาเผชิญหน้าพี่ชาย

                "มีคนบอกมาว่าหมอนั่นจะช่วยโลกนี้ได้ฉันก็เลยเก็บมาเลี้ยง"

                ไม่รู้ว่าเพราะเบื่อหรือถอดใจที่ปกปิดไปแล้วสิงห์ถึงยอมตอบคำถาม แต่ทว่า...

                "โกหกอีกแล้วนะคะ"

                มีนารู้ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงที่จะได้ไล่เธอไปให้พ้นๆ เสียที

                “ฉันพูดจริง

                แต่สิงห์กลับแย้ง

                “ถ้างั้นคนที่บอกเป็นใครกันล่ะคะ

                “…”

                สิงห์ไม่ตอบ

                ดังนั้นมีนาจึงพยายามไล่ต้อนอย่างเอาเป็นเอาตาย และเรื่องที่เธอเตรียมไว้เพื่อมาต่อรองกับสิงห์ก็ได้จังหวะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

                “หรือว่าจะเป็นคนนั้น เจ้าคนผมขาวชุดแดงนั่น

                จากนั้นจึงเปิดหน้าจอเมล์ แล้วเปิดเมล์ตัวจับเวลาตายของอิงศรให้ทุกคนดู

                มีนาปะติดปะต่อข้อมูลที่เธอได้รับจากอิงศรเอาเอง

                เรื่องของผู้ถูกลืมเลือน

                เรื่องของเมล์ตัวจับเวลาตาย

                เรื่องของอาคานาร์

                แล้วเธอก็ได้พบกับตัวตนของผู้ถูกลืมเลือนแล้วในตอนที่อิงศรอาละวาด ดังนั้นจึงสามารถเชื่อมต่อข้อมูลที่มีอย่างกระจัดกระจายให้รวมเป็นข้อมูลเดียวที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เหยื่อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ถ้าเป็นสิงห์จะต้องรีบงับมันอย่างแน่นอน

                “เมล์ฉบับนี้ถูกส่งมาก่อนหน้าที่คุณอิงศรจะถูกฆ่า...

                แต่สิงห์กลับพูดขัดคำพูดของเธอ

                “เดี๋ยวก่อน ถ้าจะพูดกันเรื่องนี้ก็ค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย

                จากนั้นสิงห์ก็หันไปเรียกเลขาสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง

                “วิเชียรมาศเอาสิ่งนั้นให้เธอดูที

                เลขาสาวพยักหน้าแล้วเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งปึกเอกสารที่เธอถืออยู่แต่แรกให้มีนา

                เอกสารแผ่นแรกเป็นรูปถ่ายทั้งแผ่น รูปของหน้าจอเมล์ มีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาเมจิกเอาไว้บนรูปนั้นว่า เมล์ของอิงศร

                สรุปก็คืออีกฝ่ายชิงเคลื่อนไหวไปก่อนแล้ว...

                “เราตรวจสอบเมล์ของอิงศรหมดแล้วหมอนั่นได้รับเมล์ที่เราตามรอยกลับไปไม่ได้แล้วก็เขียนชื่อผู้ส่งด้วยชื่อลวงอย่าง ‘GM’ ในเมล์ทุกฉบับมีรูปของเหยื่อที่เหมือนจะพยายามฆ่าให้ได้ตามคำสั่งโดยเฉพาะเหยื่อรายแรกพลทหารฝึกหัดจากหน่วยจัดการเสบียงถูกฆ่าตาย ส่วนเหยื่อรายอื่นๆ ก็คือพวกเธอที่อยู่หน่วยเดียวกันแต่กลับทำไม่สำเร็จเลยซักครั้ง"

                สิงห์หยุดคำพูดลงแล้วเปิดหน้าจอเมล์ของตัวเองบ้าง แสดงเมล์แบบเดียวกับที่มีนาเอาให้ดู

     

                "เพราะทำงานล้มเหลวก็เลยถูกตัวการที่ออกคำสั่งตามเก็บและจากที่ฉันรู้มาคนที่ฆ่าอิงศรก็คือมนุษย์ต่างดาวหมอนั่นคือสายของพวกมนุษย์ต่างดาว

                "..."

                ดวงตาของมีนาเหม่อมองสิงห์ด้วยความไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี  'เหยื่อที่เตรียมมากลายเป็นบ่วงรัดคอตัวเอง' สิงห์จงใจพูดให้คิดเป็นอย่างนั้น แต่ว่า...

                “เลอะเทอะกันไปใหญ่แล้วค่ะ พูดแบบนั้นถึงเป็นเด็กประถมก็เชื่อไม่ลงหรอก อย่างแรกเลยถ้าคนที่ส่งเมล์ให้คุณอิงศรต้องการจะเก็บเขาแล้วทำไมจะต้องส่งเมล์ที่เหมือนกับเป็นคำสั่งฆ่ามาให้พี่กับฉันด้วยล่ะคะ อีกอย่างคนที่ส่งคุณอิงศรไปกับพลทหารพิพัฒน์ก็คือพี่เองไม่ใช่เหรอถ้าอย่างนั้นพี่ก็คือคนร้ายในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องน่ะสิ

                ยังไงก็ไม่มีทางตกหลุมพรางตื้นๆ พรรค์นี้หรอกอีกฝ่ายก็คงคิดอย่างเดียวกันจงใจวางเหยื่อเพื่อทดสอบเหมือนกัน

                “ก็นั่นสินะเพราะงั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าอิงศรจะหักหลังผู้มีพระคุณอย่างฉันจึงตกไป หมอนั่นได้รับเมล์ที่เหมือนกับเป็นคำขู่ฆ่าแล้วพยายามดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือเหยื่อสรุปว่าเป็นแบบนี้สินะ

                สิงห์สรุปรูปการออกมาในทางที่เลวร้ายเกินไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ผิดจากที่เธออยากจะพูดซักเท่าไหร่

                "ไม่ใช่คำขู่หรอกค่ะ คุณอิงศรบอกว่ามันเป็นเครื่องช่วยเตือนว่าพวกพ้องกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วคนที่ส่งมันมาก็คือคนผมสีขาวชุดแดงที่เรียกตัวเองว่าผู้ถูกลืมเลือนซึ่งพี่เองก็รู้จักคนๆ นั้นฉันพูดผิดไปจากที่พี่รู้รึเปล่าล่ะ"

                มีนาจงใจพูดความจริงออกไปเกือบทั้งหมดเพื่อหลอกสิงห์ว่านี่คือหมากสุดท้าย ตอนนี้อีกฝ่ายจะต้องจับเหยื่อข้อมูลนี้ไปอย่างแน่นอนถึงตอนนั้นเธอก็จะถือไพ่เหนือกว่าและสามารถรีดข้อมูลจากสิงห์ได้

                "พวกพ้องเรอะ อยู่ห่างมือฉันแค่สิบสามวันก็มีคำว่าพวกพ้องเพิ่มเข้าไปในสารระบบแล้วรึ"

                แต่สิงห์ไม่ยอมงับเหยื่อง่ายๆ อย่างที่คิด

                "อย่านอกเรื่องสิ"

                มีนายังพยายามยื้อต่อไป

                "ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงคำตอบน่ะ เธอรู้เรื่องที่ถามมาเองทั้งหมดแล้วนี่"

                คำพูดของอีกฝ่ายมีความหมายว่า 'เรื่องที่เธอรู้น่ะพวกฉันรู้หมดแล้วไม่มีอะไรมาต่อรองได้หรอก' สรุปก็คือมีนาเสียตัวหมากในมือไปทั้งหมดตั้งแต่แรกแล้ว

                ดังนั้นเด็กสาวที่อับจนหนทางจึงคิดจะใช้วิธีสุดท้ายซึ่งตัวเองปฏิเสธมาตลอดเพราะมันเป็นวิธีที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดในการต่อรองกับคนอย่างสิงห์

                "ตอนนั้นน่ะ ก่อนที่เมล์จะถูกส่งเข้ามา พวกฉันน่ะรอดมาได้ก็เพราะคุณอิงศรช่วยเอาไว้ถ้าตอนนั้นเขาหนีไปก็จะไม่เป็นไปตามเมล์แล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยัง..."

                แต่มีนารู้ดีว่า ในตอนนั้น...

                ตอนที่มนุษย์ต่างดาวราชครูลอบโจมตีแล้วอิงศรเข้ามารับให้แทนนั้น เป็นเพียงความบังเอิญ อิงศรเพียงแค่ลังเล

                มีนาอ่านการเคลื่อนไหวออกว่าในตอนท้าย อิงศรก็เลือกทิ้งพวกตนเพื่อไปช่วยน้องชายแต่ก้าวขาออกไปไม่ทัน อย่างไรก็ตามความจริงก็คือความจริงพวกเธอรอดมาได้เพราะว่าเขา 'ลังเล' และ 'ความลังเล' นั่นก็เกิดจากความต้องการของอิงศรที่อยากจะปกป้องพวกเธอ

                "ดังนั้นถ้าพี่คิดจะทำอะไรอิงศรล่ะก็.."

                ในตอนนั้นเองข้าวหลามที่ฟังอยู่เงียบๆ เสียนานจนผิดวิสัยก็โพล่งขัดคำพูดเข้ามา

                "ว้าวๆๆ นี่มีนาตกหลุมรักเจ้าศรมันแล้วเหรอเนี่ยร้ายใช่ย่อยนะไอ้เสือน้อย"

                วาจาหยาบโลนตามประสาดังก้องไปทั้งห้อง

                จากนั้นข้าวหลามเจ้าของเสียงเมื่อครู่ก็เบี่ยงหน้าไปพูดกับสิงห์

                "ถึงกับทำให้มีนากล้าหือนายได้เนี่ยไม่ธรรมดานา"

                "เดี๋ยวสิเรื่องนั้น..."

                มีนาที่คิดว่าชักจะปล่อยให้ลามปามไม่ได้ก็พูดออกมาอย่างนั้นแต่แล้วสิงห์ก็พูดขัดเอาไว้ว่า

                "ก็ดีแล้วนี่ ถ้าจะปกป้องอิงศรไม่ให้คลั่งขึ้นมาอีกก็คบกันเป็นแฟนไปเลยก็ได้การมีความรักจะทำให้ใจของหมอนั่นยึดติดกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นถ้าทำแบบนั้นก็จะช่วยลดเปอร์เซ็นต์ที่จะคุ้มคลั่งลงได้"

                "ไม่ใช่นะ!"

                มีนายังคงปฏิเสธแบบเอาเป็นเอาตาย

                "พอได้แล้วฉันไม่มีอะไรจะคุยอีกแล้วกลับไปซะ ส่วนอิงศรถ้าห่วงมันนักก็ไปเฝ้าใกล้ๆ ไว้สิเดี๋ยวอีกสองวันมันก็จะตื่นแล้ว"

                จากนั้นมีนาก็ถูกไล่ออกจากห้อง

                แต่ก่อนจะเปิดประตูสิงห์กลับเรียกเธอ

                "เรื่องที่บอกว่ามีสายแฝงตัวเข้ามาในกองทัพน่ะฉันพูดจริง แต่ไม่ใช่อิงศรแล้วก็ไม่ใช่พวกมนุษย์ต่างดาว แต่เป็นพวกอารย-สนธยาเท่าที่รู้ตอนนี้คือโค้ดเนมของเจ้านั่นคือเมดูซ่า"

                "...แล้วทำไมถึงมาบอกกันล่ะคะ"

                "มันก็แหงอยู่แล้วถ้าได้ข่าวเรื่องนี้ก็มาแจ้งส่วนกลางด้วยสายหาข้อมูลอย่างเธอน่าจะรู้อะไรบ้างนี่"

                พอได้ยินแบบนั้นมีนาก็ส่ายหน้า

                "สายข่าวของพี่ไวกว่าอยู่แล้วข้อมูลของฉันไม่มีความจำเป็นหรอกจริงไหมล่ะ"

                แล้วเด็กสาวก็ออกไปจากห้อง

                เธอหยุดยืนอยู่ข้างหน้าประตูพลางครุ่นคิดว่าอะไรทำให้สิงห์พูดได้อย่างมั่นใจว่าอิงศรจะฟื้นขึ้นมาในอีกสองวัน เป็นตัวเลขที่ระบุจำนวนอย่างชัดเจนจนน่าสงสัย

                "จากนี้คงต้องเคลื่อนไหวให้รอบคอบขึ้น"

                เด็กสาวเลือกข้างที่จะอยู่อย่างชัดเจน เลือกอิงศรที่น่าจะไว้ใจได้มากกว่าและคิดต่อต้านสิงห์ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะอีกฝ่ายควบคุมทุกอย่างโดยสมบูรณ์ ตราบใดที่ยังสังกัดกับองค์กรเมตไตรยไม่ว่าจะทำอะไรก็จะตกอยู่ในสายตาของเบื้องบน

     

                ...

     

                ณ โรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัย

                ที่นี่เป็นสถานพยาบาลแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดจากการทำลายล้างเมื่อหลายวันก่อน

                มีนายืนอยู่หน้าประตูห้องที่อิงศรถูกนำมารักษาตัว

                เด็กสาวเปิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง

                ภายในถูกจัดไว้ให้เหมือนกับโรงพยาบาลของคน เป็นการจัดการแบบฉุกเฉินจึงไม่ได้หรูหราอะไรนัก

                เตียงผู้ป่วยที่อิงศรสวมชุดคนไข้นอนอยู่นั้นก็เป็นเตียงสำหรับสัตว์ซึ่งเอามาวางต่อกัน ไม่มีสายน้ำเกลือหรือเครื่องช่วยชีวิตของพวกนั้นไม่จำเป็นสำหรับโลกที่ล่มสลายเพียงแค่วันแรกที่ถูกนำตัวมาที่นี่บาดแผลบนร่างกายก็หายสนิทไปแล้ว หลังจากฟันเฟืองกระดูกบนหลังสลายตัวพลังชีวิตของอิงศรก็ฟื้นฟูขึ้นมาเอง แต่ถึงพลังชีวิตจะเต็มปรี่แล้วก็ตามเด็กหนุ่มกลับยังไม่ฟื้นคืนสติ

                ทึ่ข้างห้องเมษากับกวินทร์ที่มาเฝ้าไข้อิงศรตลอดตั้งแต่วันนั้นกำลังหลับอยู่บนโซฟาและที่ข้างๆ สุนัขที่พวกเขาพามาด้วยซึ่งกวินทร์ตั้งชื่อให้ว่า 'หน้ากาก' ก็นอนขดตัวอยู่ตรงนั้น

                มีนามองไปที่อิงศรแล้วพึมพำออกมา

                "รีบตื่นขึ้นมาซักทีสิคะคุณอิงศร"

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×