ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #51 : Login 49: พิธีกรรม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 981
      48
      15 พ.ย. 59

    Login 49: พิธีกรรม

     

                เบื้องหน้ามีนาคืออสูรนรสิงห์ที่ พลเอกสิงห์ ธุวดารกะ ผู้เป็นทั้งพี่ชายและผู้บังคับบัญชาอัญเชิญจากแอพพลิเคชั่นปีศาจ เหมือนกับที่อิงศรเคยทำเพียงแต่นั่นเป็นสกิลของสายอาชีพซัมมอนเนอร์อยู่แต่แรก

                แต่ก็อีกนั่นแหละ...

                พี่ชายซึ่งน่าจะอยู่ที่อาคารศูนย์บัญชาการที่เพิ่งจะโดนระเบิดไปแล้วก็น่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นกลับปรากฏตัวมาพร้อมกับกลุ่มทหารจำนวนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นกลุ่มที่จัดกำลังไว้คุ้มกันศูนย์บัญชาการนั่นเอง

                “ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยถ่วงเวลาให้บัดนี้ขอประกาศว่าภารกิจอพยพได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว จากนี้จะขอเริ่มภารกิจหยุดยั้งอันโนน

                คำขอบคุณที่พ่วงประกาศคำสั่งมาด้วยช่างเป็นคำขอบคุณที่แล้งน้ำใจแบบสุดๆ แต่ถ้าคนอย่างพี่สิงห์พูดขอบคุณด้วยใจจริงมันคงน่าสยองพิลึก อย่างไรก็ตามเนื้อหาของคำสั่งค่อนข้างชัดเจนว่าสิงห์รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด

                สิงห์ประกาศต่อไปว่า

                “ยื้อเอาไว้สิบนาที

                จากนั้นพวกทหารที่อยู่รอบๆ ก็ขานรับแล้วต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายยกเว้นทุกคนในทีมของอิงศร แม้แต่พวกที่ผ่านการสู้ต่อเนื่องมาเหมือนพวกเขาก็ยังคึกคะนองไปกับคำพูดของสิงห์จนออกไปสู้ต่อ

                สายตาของมีนาจ้องมองไปยังอสูรนรสิงห์แล้วค่อยเลื่อนไปที่พลเอกสิงห์ แววตาของเด็กสาวแฝงไปด้วยหวาดระแวง

                สิบนาที...เวลาแค่นั้นจะมีความหมายอะไร แค่มีสิบนาทีก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดนี่ได้งั้นหรือ

                สิงห์เป็นพี่ชายของเธอ ดังนั้นย่อมรู้จักดีกว่าคนอื่นว่าพี่ชายเป็นคนจริงจังและเด็ดขาดขนาดไหนทุกการกระทำย่อมมีความหมายเสมอและมักจะมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

                ตอนนั้นเองอัศวินแห่งจุดจบซึ่งถือคันศรก็หันปลายธนูเล็งมาที่มีนา แต่เด็กสาวไหวตัวทันจึงสั่งการมังกรกระดูกของตน

                “สเตโกจังช่วยที

                จากกลุ่มของมังกรกระดูกที่เธอเรียกมาก่อนจะถูกฟาดกระเด็นมาตรงนี้ หนึ่งในนั้นคือมังกรกระดูกที่มีหนามบนหลังได้เคลื่อนตัวออกจากกลุ่มเข้ามากำบังให้

                ลูกธนูพุ่งออกมาและทะลวงกระดูกซี่โครงของมังกรกระดูกจนเสียหายแถมยังมุ่งหน้าต่อ ลูกศรกำลังจะเข้าถึงตัวมีนา

                สิงห์ซึ่งยืนห่างไปประมาณหนึ่งเมตรชักดาบออกจากฝัก

                “ซัมมอนซอร์ดเทคนิก...

                แล้วเริ่มร่ายอาคมสกิล ใบดาบสั่นไหวและกรีดร้องเสียงแหลมสูงคล้ายเสียงช้าง หน้าจอคำสั่งปรากฏขึ้นเหนือดาบ บนหน้าจอมีรายชื่อเรียงเอาไว้เป็นแถว สิงห์เลือกจากหนึ่งในนั้นแล้วแตะนิ้วลงบนหน้าจอ

                “ติดตั้งชิงหลง กระบวนท่าลับเทพมังกรไร้ใจ

                หน้าจอหายไปแล้วสิงห์ก็ตวัดดาบพริบตาหนึ่งที่ร่างของสิงห์ห่อหุ้มด้วยออร่าสีเขียวแล้วก็เหมือนจะเห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตรูปแบบมังกรปรากฏขึ้นด้านหลังแบบลางๆ

                ทันใดนั้นตรงหน้ามีนาก่อนที่ลูกศรจะเข้าถึงตัวก็มีแขนงรากไม้ผุดงอกจากดินมัดพันลูกศรเอาไว้ เป็นพลังที่ชวนคุ้นเคยเสียเหลือเกินเพราะว่ามันเป็นพลังของมังกรที่เคยสิงร่างและเกือบจะคร่าชีวิตเธอไปแล้วนั่นเอง สิงห์น่าจะได้รับแอพพลิเคชั่นปีศาจที่ผนึกจากมังกรคงใช้มันกับสกิล ซัมมอนซอร์ดเทคนิกของบิลด์คลาสชาแมน (Shaman) ที่จะเปลี่ยนรูปแบบไปตามแอพฯที่ติดตั้ง

                สิงห์เปลี่ยนเป็นจับดาบสองมือแล้วเงื้อขึ้นก่อนจะตวัดฟันอากาศเป็นท่วงท่าคำสั่งให้รากไม้โจมตีสัตว์เทวะที่ยิงลูกศรมา รากไม้แทงใส่ร่างของอัศวินแห่งจุดจบจนพรุนไปทั้งตัว พลังชีวิตก็ลดลงไปมากแต่ยังไม่อาจสังหารได้

                ขณะเดียวกันอัศวินแห่งจุดจบที่ถูกตัดแขนขาดสองจ้างก็ยกขาหน้าขึ้นหมายจะเหยียบนรสิงห์ที่เข้ามาขวางให้จมดิน

                "สิงห์!"

                เสียงของพันโทข้าวหลามดังมาจากนั้นอัศวินแห่งจุดจบก็ถูกฉลามน้ำแข็งกลืนเข้าไปและถูกแช่แข็งก่อนจะยิงซ้ำจนร่างกายแตกกระจุยกระจาย ดังนั้นนรสิงห์จึงเป็นอิสระจากทางนี้แล้วกระโจนข้ามไปหาอัศวินแห่งจุดจบอีกตัวที่ถูกรากไม้แทง ใช้กรงเล็บผ่าร่างของอัศวินแห่งจุดจบขาดเป็นสองซีกจัดการปลิดชีพในทีเดียว

                ดูอย่างผิวเผินแล้วก็คงประมาณได้ว่าสิงห์มีพลังมากขนาดล้มสัตว์เทวะที่เก่งกาจด้วยตัวคนเดียว แต่แท้จริงแล้วเหล่าอัศวินแห่งจุดจบนั้นเหมือนจะอ่อนแอเองมากกว่า พวกมันน่าจะอ่อนแอกว่าสัตว์เทวะของจริงถึงจะมีระดับเลเวลและพลังชีวิตที่สูงอลังการแค่ไหนแต่พลังต่อสู้คงไม่สูงตามไปด้วยเพราะทหารเลเวล 50 สองคนช่วยกันรุมก็พอจะจัดการได้

                จากนั้นเมษากับนรินทร์ก็วิ่งตามหลังพันโทข้าวหลามมา

                เมษาเข้ามาฉุดมีนาให้ลุกขึ้น

                "เป็นไรป่าว"

                มีนาส่ายหน้าแล้วเบี่ยงไปทางกวินทร์ที่ล้มทรุดอยู่

                "คุณกวินทร์ช่วยเอาไว้น่ะรีบดูเขาก่อนเถอะ"

                นรินทร์ที่มาด้วยกันพยักหน้าแล้วก้มตัวลงด้านหน้ากวินทร์

                "เจ็บตรงไหนบ้าง"

                "..."

                กวินทร์ไม่ตอบ ใบหน้าของเด็กหนุ่มกำลังทรมานอย่างชัดเจนเขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวดแล้วกุมข้อมือขวาเอาไว้ ตั้งแต่ตอนที่อัศวินแห่งจุดจบประดาบเข้ามาแล้วถูกนรสิงห์ตัดแขนไป กวินทร์ก็ปล่อยมือจากดาบของตัวเองเหมือนกันดูเหมือนการประดาบจะทำให้ข้อมือของเด็กหนุ่มหัก

                "เข้าใจแล้วข้อมือหักสินะอยู่นิ่งๆ ล่ะ"

                นรินทร์พูดแล้วยกไม้เท้ามาแตะตรงข้อมือที่หักพลางร่ายสกิล

                "ฮีลลิ่ง(Healing)"

                หัวไม้เท้าเปล่งแสงแล้วข้อมือที่กลายเป็นสีแดงกับหักงอผิดรูปร่างก็ทยอยฟื้นตัวจนกลับเป็นอย่างเดิมแต่ยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดเอาไว้แม้ว่าแถบพลังขีวิตของกวินทร์จะกลับมาเต็มแล้วก็ตาม

                กวินทร์กัดฟันพูด

                "ขอบคุณ...ครับ"

                พอเห็นกวินทร์หายดีแล้วมีนาก็หันไปทางสิงห์ซึ่งยังพูดคุยกับพันโทข้าวหลามอยู่

                "นี่คิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ย"

                พันโทข้าวหลามพูด

                “ก็แก้ไขสถานการณ์ไงล่ะ

                “โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ยนะก่อนที่จะเป็นแบบนี้ไม่มีใครรายงานเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการเลยไม่สิทำไมถึงรอดมาได้ล่ะทั้งที่ศูนย์บัญชาการโดนทำลายไปตั้งขนาดนั้น

                สิงห์ยังคงทำหน้านิ่งแล้วพูดตอบกลับไป

                “พวกเราย้ายออกจากศูนย์บัญชาการมาก่อนที่จะถูกโจมตีส่วนเรื่องรายละเอียดของเหตุการณ์พอจะคาดเดาได้

                ได้ฟังดังนั้นข้าวหลามก็ยิ้มเจื่อน

                "ให้ตายเถอะนายนี่ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะเว้ย"

                "ถ้ากลัวจริงๆ ก็คงดีนะจะได้ทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นมาหน่อย"

                "เรื่องเสะ ความกล้าคือจุดขายหนึ่งเดียวนี่"

                ระหว่างที่เพื่อนสมัยเด็กกำลังสนทนากันอยู่นั้น นรินทร์ก็ย้ายเข้าไปใกล้ข้าวหลามที่ยังใช้มือจับไหล่ซ้ายที่หลุดอยู่

                "พันโทครับขอทำการรักษาครับ"

                นรินทร์พูดแล้วยื่นหัวไม้เท้าเข้าไปใกล้กับหัวไหล่ที่หลุด

                "อ้อแต๊งกิ้วช่วยได้มากเลย"

                ข้าวหลามปล่อยไหล่ซ้ายให้นรินทร์จัดการ หลังจากใช้สกิลช่วยเยียวยาแล้วไม่นานนักหัวไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง

                ม้าเริ่มการโจมตีด้วยตัวเองโดยเล็งมาที่กลุ่มของพวกเขาซึ่งสนทนากันอยู่จึงตกเป็นเป้านิ่ง

                ดวงตาของม้าเปล่งแสงวาบแต่ไม่ได้เจิดจ้าเหมือนกับตอนยิงลำแสงแค่สว่างแบบกระพริบเท่านั้นแล้วทุกครั้งที่กระพริบพื้นก็จะระเบิดอย่างต่อเนื่อง การระเบิดเคลื่อนเข้าหาสิงห์

                แต่พลเอกหนุ่มไหวตัวทันจึงตั้งดาบขึ้นแล้วออกคำสั่งอสูร

                "กลับมานรสิงห์"

                อสูรคำรามก่อนที่ร่างจะสลายไปจากนั้นสิงห์ก็...

                "ซัมมอนซอร์ดเทคนิก ทลายหมู่มารราชสีห์จำแลง"

                ร่ายสกิล ออร่าแสงสีดำห่อหุ้มร่าง เงาของนรสิงห์ปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างเลือนราง วินาทีถัดมาดาบก็ตวัดออกไปพร้อมกันนั้นพื้นทางด้านหน้าซึ่งไม่มีอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นแล้วก็ยังระเบิดต่อเนื่องอีกหลายครั้งแต่ทุกครั้งสิงห์จะตวัดดาบก่อน

                พริบตาหนึ่งที่พอจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น สิงห์ใช้ดาบปัดคลื่นพลังหรืออะไรบางอย่างที่คล้ายกับลูกบอลโปร่งใสออกไป พอลูกบอลนั่นตกลงไปพื้นก็จะระเบิดอย่างรุนแรง แต่ที่มองเห็นก็แค่พริบตาเดียวจริงๆ การเคลื่อนไหวนอกเหนือจากนั้นไม่สามารถมองตามได้ทัน

                ท่านคะการเก็บกู้ซากของคริมสันเฟเธอร์และดัคส์เชลมาทำเป็นแอพพลิเคชั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

                เสียงของผู้หญิงดังมาเป็นหญิงสาวผมสีฟ้าครามชุดเครื่องแบบทหาร มีนาจำได้ว่านั่นคือเลขาส่วนตัวของสิงห์ วิเชียรมาศ แล้วก็ยังมีทหารหนุ่มอีกสองคนเดินตามมาด้วยพร้อมกับถือของที่ห่อด้วยกระดาษยันต์มาคนละห่อ

                แอพที่ว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว

                สิงห์ยิงคำถามโดยที่ความเร็วในการปัดป้องไม่ตกลงเลยแม้แต่น้อย คนที่อยู่รอบตัวก็ได้แต่ยืนดู คนที่สู้กับสัตว์เทวะอยู่ก็ยังคงสู้ต่อไป สนามรบดำเนินไปแบบครึ่งๆ กลางๆ

                ต่อจากนั้นก็มีหญิงสาวอีกคนสวมชุดกาวน์สีขาวเดินอ้อมวิเชียรมาศขึ้นมาเธอคือเจ้าหน้าที่หน่วยวิจัยสัตว์เทวะ ซากิริ อามาเนะ

                “ก็กำลังทำอยู่นี่ไงแล้วแอพของอีกสี่ตัวที่ว่าล่ะอยู่ไหน

                ซากิริตอบเสียงห้วนเหมือนไม่กลัวบารมีของพลเอก หล่อนยังคงก้มหน้าก้มตาเคาะแป้นพิมพ์โฮโลแกรมเพื่อใส่คำสั่งลงหน้าจอระบบที่ลอยอยู่กลางอากาศ สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนคอมพิวเตอร์พกพาซึ่งเรียกใช้งานได้จากสกิลอาชีพรอง อาชีพนักวิทยาศาสตร์

                สิงห์พยักหน้าให้คำพูดนั้นแล้วเรียกหน้าจอระบบขึ้นมาทำการถอนแอพพลิเคชั่นออกจากดาบสองอันแล้วโยนให้ซากิริโดยที่ไม่ได้หยุดแกว่งดาบ

                จากนั้นทหารหนุ่มสองคนก็ส่งห่อแอพพลิเคชั่นปีศาจให้กับมือของหญิงเสื้อกาวน์

                เธอรับแอพพลิเคชั่นปีศาจที่น่าจะเป็นของสัตว์เทวะที่บุกโจมตีทั้งสี่ประตูไว้แล้วโยนใส่หน้าจอที่กำลังทำงาน ทั้งหมดจมหายลงไปในจอนั่น

                โอเคเท่านี้ก็ครบแล้วรอไปสิบนาทีนะ

                ซากิริพูดแล้วเริ่มเคาะแป้นพิมพ์อีก

                หรือว่านี่คือเป้าหมายของการสู้เรดในครั้งนี้งั้นหรือครับ

                นรินทร์ถามซากิริ ดูเหมือนว่าการคาดเดาเรื่องจุดประสงค์การทำเรดบอสของเขาจะถูกต้องและถ้าเป็นไปตามที่คาดเอาไว้สิ่งที่นักวิจัยซากิริ กำลังทำอยู่ก็อาจจะเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นปีศาจตัวต้นเหตุของจุดประสงค์ในครั้งนี้

                มีนาพูดสิ่งที่นรินทร์เคยคาดเดาไว้ออกมา

                กำลังทำให้ โอริวสมบูรณ์อย่างงั้นเหรอคะ

                เด็กสาวพูดต่อหน้าซากิริพลางเหลือบสายตามองพี่ชายเป็นระยะ

                เฮ้ๆ อย่ามาโยนใส่ฉันกันหมดสิคนต้นคิดน่ะอยู่ทางนั้นต่างหาก

                ซากิริเหมือนจะรู้ทันว่าทั้งสองคนตั้งใจเลี่ยงการพูดคุยกับสิงห์ตรงๆ จึงพูดออกมาอย่างนั้น เด็กทั้งสองคนเลยหันไปทางพลเอกที่ยังประชันพลังกับม้าได้อย่างสูสี แต่ดูแล้วเหมือนกับกำลังเป็นของเล่นให้มากกว่า ม้ายังไม่ได้ยิงมาเต็มแรงราวกับจะรอดูว่ามนุษย์จะดิ้นรนเอาเป็นเอาตายอย่างไร

                แล้วการโจมตีของม้าก็หยุดลงสิงห์เลยหยุดการเคลื่อนไหวตามไปด้วย ดาบร้อนผ่าวจนเห็นเหมือนใบดาบกลายเป็นสีแดงเล็กน้อยและมีไอควันลอยออกมา แต่สภาพร่างกายของสิงห์กลับดูไม่เหมือนคนที่เหนื่อยล้า ใบหน้ากับเครื่องหน้ายังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์เหมือนอย่างเคยๆ

                วัชพืชเอ๋ย...ออกไป...เจ้าจงออกไปจากสวนศักดิ์สิทธิ์

                ม้าใช้เสียงของอิงศรพูดแล้วเคลื่อนตัวเบี่ยงจากทิศที่หันเข้าหาประตูวิทยาลัยมาทางนี้แทน

                อิงศรนายอยู่ที่นั่น...ไม่สิต้องอยู่นั่นแหละถึงจะถูกเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรู้สึกว่าตัวฉันเป็นภัยคุกคามใช่ไหมล่ะ

                สิงห์พูด

                ทันใดนั้นดวงตาของม้าก็เปล่งแสงเจิดจ้าเหมือนก่อนที่จะยิงลำแสง

                โซเดียราโอ

                คำประกาศนั่นคือสัญญาณว่าลำแสงแห่งการทำลายล้างจะออกมาเพ่นพ่านอีก จะทำลายโลกอย่างไร้เหตุผลอีก

                ชิ มันจะยิงไอ้นั่นมาอีกแล้ว

                ข้าวหลามสบถ

                ไม่ต้องห่วงเพราะว่าทำเสร็จแล้วล่ะ

                ตอนที่ซากิริพูดมาก็ครบสิบนาทีพอดี หน้าจอเปล่งแสงแล้วแอพพลิเคชั่นที่ถูกปรับปรุงอยู่ข้างในก็ลอยออกจากหน้าจอ หล่อนดึงมันออกแล้วหันไปเรียกสิงห์ที่อยู่ข้างหน้า

                “การรวมร่างปีศาจเสร็จแล้วนะเอ้าฮึบ~”

                เธอโยนแอพพลิเคชั่นไปสิงห์รับมันไว้แล้วติดตั้งลงในดาบ จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องทั้งหมดถอยออกไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหว

                “รีลีสสเตท โควริว!

                เป็นจังหวะเดียวกับที่ลำแสงจากดวงตาของม้าเฉิดฉาย

                ดาบของสิงห์ก็เปล่งแสงเจิดจ้าเช่นกัน ออร่าสีดำที่ห่อหุ้มร่างถูกแสงย้อมกลายเป็นสีทอง สายลมกรรโชกแผ่พุ่งจากตัวดาบ

                ในตอนนั้นซากิริก็พูดว่า...

                วิถีแห่งการควบรวมธาตุสวรรค์เริ่มมาจาก ดิน ไฟ ไม้ น้ำ ทอง เอามาปรับสมดุลด้วยแสงสว่างและความมืดจากนั้นทำให้มันเป็นกลางที่ตรงนั้นก็คือประตูแห่งสวรรค์...

                เงาร่างอันเลือนรางปรากฏขึ้นจากด้านหลังของสิงห์ เงาทะยานขึ้นไปรับเอาแสงจากดวงตาของม้าไว้

                ครืน!

                เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง แสงสว่างอาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีขาวไปพริบตาหนึ่งแล้วเมื่อแสงจางลง เงาร่างที่พุ่งออกไปก็ปรากฏโฉมแก่สายตา ร่างยาวดั่งงูหุ้มด้วยเกล็ดทองคำมีขายื่นออกจากลำตัวสี่ข้างด้วยกันขาหน้าหนึ่งคู่และขาหลังอีกหนึ่งคู่ ดวงตาผุดผ่องราวกับไข่มุกสีฟ้า สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลกำลังเอ่อล้นออกมา

                มังกรลอยตัวอยู่เหนือหัวของกลุ่มทหารในท่าขดตัวเป็นเกลียวสร้างกำแพงพลังงานป้องกันลำแสงเอาไว้

                จากนั้นซากิริก็เอ่ยคำพูดที่ค้างไว้

                “จักรพรรดิมังกรทอง โควริว(Kohryu)’ ไงล่ะ

                อย่างไรก็ดีการปรากฏตัวอย่างอลังการเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไรซักเท่าไหร่นักเพราะลำแสงของม้าก็แค่เบี่ยงออกไปจังหวะหนึ่งเท่านั้น ลำแสงยังคงยิงต่อไปแล้วมังกรทองคำก็ต้านมันไว้ด้วยเกราะที่สร้างขึ้น

                แต่ยังพอต้านไว้ได้... สิงห์หันมาทางนี้แล้วพูดว่า

                “สิบโทมีนา สิบตรีเมษา พลทหารพิเศษกวินทร์

                ทั้งสามคนที่ถูกเรียกพากันตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่งก่อนจะขานรับ

                "ครับ/ค่ะ"

                สิงห์ไม่ได้สนใจท่าทีหละหลวมของพวกเธอนักแล้วออกคำสั่งต่อ

                "ทั้งสามคนที่อยู่หน่วยของอิงศรจงปลุกหัวหน้าให้ตื่นซะเรื่องการระวังศัตรูจะให้คนอื่นทำ ในช่วงที่ยังยื้อเอาไว้ได้นี่ก็ส่งเสียงเรียกให้อิงศรที่อยู่ข้างในม้าตัวนั้นตื่นรับทราบ!"

                ดวงตาของมีนาเบิกกว้างในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สิงห์คิดอยากจะช่วยอิงศรอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ทำให้เกิดความเสียหายขนาดนี้ แถมยังกลายเป็นแบบนั้นก็ยังอยากจะช่วยอีกหรือ

                ถ้าคิดกันตามปกติคงสั่งให้ทำลายไปเลยเพราะนั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเสี่ยงจะเสียหายน้อยที่สุดด้วย แต่สงสัยไปก็เท่านั้นในเมื่ออีกฝ่ายพูดเองว่าจะช่วยก็ไม่จำเป็นต้องทัดทานอีกแล้ว

                รับทราบ!”

                ทั้งสามตอบพร้อมกันแล้วพากันตะโกนเรียก

                คุณอิงศรคะหยุดเถอะค่ะไม่ต้องต่อสู้อีกแล้วที่นี่ไม่มีศัตรูอีกแล้วนะคะ!”

                “เลิกคลั่งซะทีสิเว้ยศรคิดจะฆ่าพวกเราไปด้วยรึไง!”

                พี่ศรคร้าบ!”

                แต่ก็ไม่ได้ผล ลำแสงยังไม่ยอมหยุด มังกรทองคำเป็นฝ่ายถูกดันจนเริ่มตกลงมา หากเป็นแบบนี้ต่อไปมังกรคงจะต้านไม่อยู่หรือไม่ก็ถูกดันจนตกลงมาทับพวกเขาซะเอง แต่จะหนีก็ทำไม่ได้พวกเขาถูกล้อมไว้โดยเหล่าอัศวินแห่งจุดจบการจะตีฝ่าออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย มีแต่ต้องภาวนาให้อิงศรหยุดเท่านั้น

                ร่างของมังกรใกล้จะตกลงมาเต็มทีแต่ลำแสงของม้ากลับไม่ทีท่าว่าจะหยุดเลย ดังนั้นมีนาจึงเคลื่อนไหว หล่อนเงื้อเคียวฟันลงไปบนพื้นเรียกมังกรกระดูกหลังหนามที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ออกมา เมื่อรวมกับมังกรกกระดูกเวโรซอมบี้แรพเตอร์อีกสองตัว เงื่อนไขที่จะอัญเชิญทรราชมังกรกระดูกก็ครบพอดี

                เนโครดราก้อน ทีราโน่ซอมบี้

                มีนาฟันเคียวลงไปอีกครั้งแล้วร่างกระดูกของมังกรทั้งสามก็พังทลายลง กองกระดูกที่เหลือทิ้งไว้หลังจากนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างใหม่

                ทีราโน่จัง ไทรเซร่าจังช่วยกันยันไว้ที

                มีนาออกคำสั่งจากนั้นมังกรกระดูกทรราชกับสามเขาก็แยกกันไปคนละฟากเพื่อยันร่างของมังกรทองคำที่กำลังจะตกลงมา

                ส่วนสิงห์ที่ควบคุมมังกรทองก็เริ่มถูกผลย้อนกลับเล่นงาน การควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่ทำให้ร่างกายต้องรับภาระหนักไปด้วย ดาบที่จับเหวี่ยงไปมาตลอดตอนนี้กลับหนักอึ้งจนแทบยกไม่ไหวมันคือน้ำหนักของพลังที่มังกรต้านรับเอาไว้ส่งมาถึงเขา

                ต้าน...ไม่ไหวแล้ว

                น้ำหนักของดาบเกินกว่ารถยนต์ทั้งคันไปแล้ว มือของสิงห์โน้มลง ใบดาบจมลงไปในพื้น

                ขณะเดียวกันเกราะพลังงานของมังกรเกิดรอยร้าว ปริแตก และพังทลายลงในที่สุด แต่ลำแสงก็หยุดลงเช่นกัน

                “…”

                เวลาแห่งการนิ่งเงียบคืบคลานเข้ามาแทนที่ ครู่หนึ่งที่ความคิดอันแสนจะยินดีแล่นผ่านเข้ามาในหัวของทุกคน

                รอดแล้ว... พวกตนเองรอดชีวิตมาได้แล้ว

                แต่แท้จริงสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำลังจะเริ่มขึ้นนับจากนี้ไปต่างหาก....

                “มันจบลงแล้ววัชพืชเอ๋ยออกไปจากสวนแห่งนี้ซะหรือไม่ก็จงพินาศไปพร้อมกับ...โซเดียอิมแพค

                เสียงของอิงศรดังมาอย่างนั้นแล้วรถลากที่เทียมเข้ากับตัวม้าก็เริ่มทำงาน ส่วนแง่งที่ยืนออกไปทางด้านข้างคล้ายกับคันศรนั้นแท้จริงแล้วคือส่วนหัวของอาวุธที่คล้ายกับหน้าไม้ขนาดยักษ์ บาลิสต้า(Ballista) กำลังเงยขึ้น เล็งเป้าไปข้างบน บรรจุคันศรที่เกิดขึ้นจากการควบแน่นของอนุภาคสีทองที่กระจายอยู่รอบตัว

                “อ๊ะ! นี่มัน

                นรินทร์ส่งเสียงพลางใช้มือจับที่แว่นตาปีศาจ

                เกิดอะไรขึ้น!?”

                สิงห์ถาม

                เกจพลังที่สะสมอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้...ตอนนี้เต็มแล้วครับ

                หลังฟังรายงานใบหน้าของสิงห์ก็กระตุกเล็กน้อย

                หมายความว่าไง...

                ตอนนั้นเองพื้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พวกอัศวินแห่งจุดจบพากันล้มลงและร่างกายแตกสลายกลับคืนเป็นอนุภาคจากการนี้เองทำให้อนุภาคเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างกะทันหันจนพื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยอนุภาค

                ทุกคนหันเหสายตาไปยังม้าที่น่าจะเป็นตัวการ บาลิสต้ากำลังจะยิงลูกศรแสง

                ลูกศรถูกยิงขึ้นไปแรงสะท้อนทำให้พื้นดินสะเทือน...

                ท้องฟ้าที่ถูกยิงเกิดรอยร้าว เริ่มปริแตกแล้วร่วงหล่นลง

                ก้อนเมฆตกลงมาก่อนจากนั้นก็เป็นท้องฟ้า

                ท้องฟ้ากำลังหลุดลอกออกเป็นแผ่น สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของแผ่นท้องฟ้านั้น....

                ไม่ใช่อวกาศ ไม่ใช่ระบบสุริยะ แต่มันไม่มีอะไรเลย

                ไม่มีอะไรซักอย่างอยู่เบื้องหลังท้องฟ้าที่กำลังร่วงหล่น

                ...ที่มีอยู่ก็แค่ ความว่างเปล่า

                มังกรกระดูกของมีนาแสดงอาการกระวนกระวายพวกมันพากันร้องคำราม ไม่สิกำลังกรีดร้องมากกว่า

                ทีราโน่จัง ไทรเซร่าจัง เป็นอะไรไปน่ะ

                มีนาพูด

                เพราะว่าสภาพการณ์ในตอนนี้เคยเป็นสาเหตุที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขาต้องสูญสิ้นเมื่อครั้งอดีตมันทำให้พวกเขาหวาดกลัวน่ะ

                มีเสียงของผู้ชายดังแทรกเข้ามาอย่างนั้น

                มีนาหันไปทางที่เสียงดังมา ที่นั่นเด็กหนุ่มเรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ผู้งดงามกำลังยืนอยู่ แต่ว่ามาตั้งแต่ตอนไหน ไม่มีใครรู้

                คุณเป็นใครกันคะ?”

                มีนาถาม แล้วก็ไม่ใช่แค่เธอแต่คนอื่นรอบตัวต่างก็มองเห็นเด็กหนุ่มมีคำถามเช่นเดียวกัน

                เด็กหนุ่มพูดตอบทุกคนในที่แห่งนี้ว่า

                ผมเหรอ...เพื่อนของพวกเธอที่อยู่ข้างในดีเซมแมร์เรียกผมว่า ผู้ถูกลืมเลือน

                

    คุยท้ายเรื่อง

    อาทิตย์นี่ไรท์ก็ปั่นยิกๆ แบบหูดับตับแล่บอีกแล้วเพราะใกล้สิ้นปีงานหลวงงานราชก็เลยแห่แหนกันมาจนแทบเจียดเวลาเขียนไม่ได้ ดีนะที่เขียนพล็อตทิ้งไว้จนจบภาคแรกแล้ว ก็เลยยังเขียนมาลงเรื่อยๆได้แต่คุณภาพดรอปตามไปด้วย Orzlll ไว้ไรท์จะหาเวลากลับมารีไรท์ให้สละสลวยขึ้นก็แล้วกันนะครับ สุขสันต์วันลอยกระทองย้อนหลังด้วยเน่อ(ส่วนไรท์ลอยปากกาไปแล้วมะวาน ฮรือๆ TwT เลิกงานตีสอง)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×