คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #51 : Login 49: พิธีกรรม
Login 49: พิธีกรรม
เบื้องหน้ามีนาคืออสูรนรสิงห์ที่
พลเอกสิงห์ ธุวดารกะ
ผู้เป็นทั้งพี่ชายและผู้บังคับบัญชาอัญเชิญจากแอพพลิเคชั่นปีศาจ
เหมือนกับที่อิงศรเคยทำเพียงแต่นั่นเป็นสกิลของสายอาชีพซัมมอนเนอร์อยู่แต่แรก
แต่ก็อีกนั่นแหละ...
พี่ชายซึ่งน่าจะอยู่ที่อาคารศูนย์บัญชาการที่เพิ่งจะโดนระเบิดไปแล้วก็น่าจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นกลับปรากฏตัวมาพร้อมกับกลุ่มทหารจำนวนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นกลุ่มที่จัดกำลังไว้คุ้มกันศูนย์บัญชาการนั่นเอง
“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยถ่วงเวลาให้บัดนี้ขอประกาศว่าภารกิจอพยพได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว
จากนี้จะขอเริ่มภารกิจหยุดยั้งอันโนน”
คำขอบคุณที่พ่วงประกาศคำสั่งมาด้วยช่างเป็นคำขอบคุณที่แล้งน้ำใจแบบสุดๆ
แต่ถ้าคนอย่างพี่สิงห์พูดขอบคุณด้วยใจจริงมันคงน่าสยองพิลึก
อย่างไรก็ตามเนื้อหาของคำสั่งค่อนข้างชัดเจนว่าสิงห์รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
สิงห์ประกาศต่อไปว่า
“ยื้อเอาไว้สิบนาที”
จากนั้นพวกทหารที่อยู่รอบๆ
ก็ขานรับแล้วต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายยกเว้นทุกคนในทีมของอิงศร
แม้แต่พวกที่ผ่านการสู้ต่อเนื่องมาเหมือนพวกเขาก็ยังคึกคะนองไปกับคำพูดของสิงห์จนออกไปสู้ต่อ
สายตาของมีนาจ้องมองไปยังอสูรนรสิงห์แล้วค่อยเลื่อนไปที่พลเอกสิงห์
แววตาของเด็กสาวแฝงไปด้วยหวาดระแวง
สิบนาที...เวลาแค่นั้นจะมีความหมายอะไร
แค่มีสิบนาทีก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมดนี่ได้งั้นหรือ
สิงห์เป็นพี่ชายของเธอ
ดังนั้นย่อมรู้จักดีกว่าคนอื่นว่าพี่ชายเป็นคนจริงจังและเด็ดขาดขนาดไหนทุกการกระทำย่อมมีความหมายเสมอและมักจะมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ตอนนั้นเองอัศวินแห่งจุดจบซึ่งถือคันศรก็หันปลายธนูเล็งมาที่มีนา
แต่เด็กสาวไหวตัวทันจึงสั่งการมังกรกระดูกของตน
“สเตโกจังช่วยที”
จากกลุ่มของมังกรกระดูกที่เธอเรียกมาก่อนจะถูกฟาดกระเด็นมาตรงนี้
หนึ่งในนั้นคือมังกรกระดูกที่มีหนามบนหลังได้เคลื่อนตัวออกจากกลุ่มเข้ามากำบังให้
ลูกธนูพุ่งออกมาและทะลวงกระดูกซี่โครงของมังกรกระดูกจนเสียหายแถมยังมุ่งหน้าต่อ
ลูกศรกำลังจะเข้าถึงตัวมีนา
สิงห์ซึ่งยืนห่างไปประมาณหนึ่งเมตรชักดาบออกจากฝัก
“ซัมมอนซอร์ดเทคนิก...”
แล้วเริ่มร่ายอาคมสกิล
ใบดาบสั่นไหวและกรีดร้องเสียงแหลมสูงคล้ายเสียงช้าง หน้าจอคำสั่งปรากฏขึ้นเหนือดาบ
บนหน้าจอมีรายชื่อเรียงเอาไว้เป็นแถว
สิงห์เลือกจากหนึ่งในนั้นแล้วแตะนิ้วลงบนหน้าจอ
“ติดตั้งชิงหลง
กระบวนท่าลับเทพมังกรไร้ใจ”
หน้าจอหายไปแล้วสิงห์ก็ตวัดดาบพริบตาหนึ่งที่ร่างของสิงห์ห่อหุ้มด้วยออร่าสีเขียวแล้วก็เหมือนจะเห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตรูปแบบมังกรปรากฏขึ้นด้านหลังแบบลางๆ
ทันใดนั้นตรงหน้ามีนาก่อนที่ลูกศรจะเข้าถึงตัวก็มีแขนงรากไม้ผุดงอกจากดินมัดพันลูกศรเอาไว้
เป็นพลังที่ชวนคุ้นเคยเสียเหลือเกินเพราะว่ามันเป็นพลังของมังกรที่เคยสิงร่างและเกือบจะคร่าชีวิตเธอไปแล้วนั่นเอง
สิงห์น่าจะได้รับแอพพลิเคชั่นปีศาจที่ผนึกจากมังกรคงใช้มันกับสกิล ’ซัมมอนซอร์ดเทคนิก’
ของบิลด์คลาสชาแมน (Shaman) ที่จะเปลี่ยนรูปแบบไปตามแอพฯที่ติดตั้ง
สิงห์เปลี่ยนเป็นจับดาบสองมือแล้วเงื้อขึ้นก่อนจะตวัดฟันอากาศเป็นท่วงท่าคำสั่งให้รากไม้โจมตีสัตว์เทวะที่ยิงลูกศรมา
รากไม้แทงใส่ร่างของอัศวินแห่งจุดจบจนพรุนไปทั้งตัว
พลังชีวิตก็ลดลงไปมากแต่ยังไม่อาจสังหารได้
ขณะเดียวกันอัศวินแห่งจุดจบที่ถูกตัดแขนขาดสองจ้างก็ยกขาหน้าขึ้นหมายจะเหยียบนรสิงห์ที่เข้ามาขวางให้จมดิน
"สิงห์!"
เสียงของพันโทข้าวหลามดังมาจากนั้นอัศวินแห่งจุดจบก็ถูกฉลามน้ำแข็งกลืนเข้าไปและถูกแช่แข็งก่อนจะยิงซ้ำจนร่างกายแตกกระจุยกระจาย
ดังนั้นนรสิงห์จึงเป็นอิสระจากทางนี้แล้วกระโจนข้ามไปหาอัศวินแห่งจุดจบอีกตัวที่ถูกรากไม้แทง
ใช้กรงเล็บผ่าร่างของอัศวินแห่งจุดจบขาดเป็นสองซีกจัดการปลิดชีพในทีเดียว
ดูอย่างผิวเผินแล้วก็คงประมาณได้ว่าสิงห์มีพลังมากขนาดล้มสัตว์เทวะที่เก่งกาจด้วยตัวคนเดียว
แต่แท้จริงแล้วเหล่าอัศวินแห่งจุดจบนั้นเหมือนจะอ่อนแอเองมากกว่า
พวกมันน่าจะอ่อนแอกว่าสัตว์เทวะของจริงถึงจะมีระดับเลเวลและพลังชีวิตที่สูงอลังการแค่ไหนแต่พลังต่อสู้คงไม่สูงตามไปด้วยเพราะทหารเลเวล
50 สองคนช่วยกันรุมก็พอจะจัดการได้
จากนั้นเมษากับนรินทร์ก็วิ่งตามหลังพันโทข้าวหลามมา
เมษาเข้ามาฉุดมีนาให้ลุกขึ้น
"เป็นไรป่าว"
มีนาส่ายหน้าแล้วเบี่ยงไปทางกวินทร์ที่ล้มทรุดอยู่
"คุณกวินทร์ช่วยเอาไว้น่ะรีบดูเขาก่อนเถอะ"
นรินทร์ที่มาด้วยกันพยักหน้าแล้วก้มตัวลงด้านหน้ากวินทร์
"เจ็บตรงไหนบ้าง"
"..."
กวินทร์ไม่ตอบ
ใบหน้าของเด็กหนุ่มกำลังทรมานอย่างชัดเจนเขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวดแล้วกุมข้อมือขวาเอาไว้
ตั้งแต่ตอนที่อัศวินแห่งจุดจบประดาบเข้ามาแล้วถูกนรสิงห์ตัดแขนไป
กวินทร์ก็ปล่อยมือจากดาบของตัวเองเหมือนกันดูเหมือนการประดาบจะทำให้ข้อมือของเด็กหนุ่มหัก
"เข้าใจแล้วข้อมือหักสินะอยู่นิ่งๆ
ล่ะ"
นรินทร์พูดแล้วยกไม้เท้ามาแตะตรงข้อมือที่หักพลางร่ายสกิล
"ฮีลลิ่ง(Healing)"
หัวไม้เท้าเปล่งแสงแล้วข้อมือที่กลายเป็นสีแดงกับหักงอผิดรูปร่างก็ทยอยฟื้นตัวจนกลับเป็นอย่างเดิมแต่ยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดเอาไว้แม้ว่าแถบพลังขีวิตของกวินทร์จะกลับมาเต็มแล้วก็ตาม
กวินทร์กัดฟันพูด
"ขอบคุณ...ครับ"
พอเห็นกวินทร์หายดีแล้วมีนาก็หันไปทางสิงห์ซึ่งยังพูดคุยกับพันโทข้าวหลามอยู่
"นี่คิดจะทำอะไรกันแน่เนี่ย"
พันโทข้าวหลามพูด
“ก็แก้ไขสถานการณ์ไงล่ะ”
“โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ยนะก่อนที่จะเป็นแบบนี้ไม่มีใครรายงานเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการเลยไม่สิทำไมถึงรอดมาได้ล่ะทั้งที่ศูนย์บัญชาการโดนทำลายไปตั้งขนาดนั้น”
สิงห์ยังคงทำหน้านิ่งแล้วพูดตอบกลับไป
“พวกเราย้ายออกจากศูนย์บัญชาการมาก่อนที่จะถูกโจมตีส่วนเรื่องรายละเอียดของเหตุการณ์พอจะคาดเดาได้”
ได้ฟังดังนั้นข้าวหลามก็ยิ้มเจื่อน
"ให้ตายเถอะนายนี่ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะเว้ย"
"ถ้ากลัวจริงๆ
ก็คงดีนะจะได้ทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นมาหน่อย"
"เรื่องเสะ
ความกล้าคือจุดขายหนึ่งเดียวนี่"
ระหว่างที่เพื่อนสมัยเด็กกำลังสนทนากันอยู่นั้น
นรินทร์ก็ย้ายเข้าไปใกล้ข้าวหลามที่ยังใช้มือจับไหล่ซ้ายที่หลุดอยู่
"พันโทครับขอทำการรักษาครับ"
นรินทร์พูดแล้วยื่นหัวไม้เท้าเข้าไปใกล้กับหัวไหล่ที่หลุด
"อ้อแต๊งกิ้วช่วยได้มากเลย"
ข้าวหลามปล่อยไหล่ซ้ายให้นรินทร์จัดการ
หลังจากใช้สกิลช่วยเยียวยาแล้วไม่นานนักหัวไหล่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ม้าเริ่มการโจมตีด้วยตัวเองโดยเล็งมาที่กลุ่มของพวกเขาซึ่งสนทนากันอยู่จึงตกเป็นเป้านิ่ง
ดวงตาของม้าเปล่งแสงวาบแต่ไม่ได้เจิดจ้าเหมือนกับตอนยิงลำแสงแค่สว่างแบบกระพริบเท่านั้นแล้วทุกครั้งที่กระพริบพื้นก็จะระเบิดอย่างต่อเนื่อง
การระเบิดเคลื่อนเข้าหาสิงห์
แต่พลเอกหนุ่มไหวตัวทันจึงตั้งดาบขึ้นแล้วออกคำสั่งอสูร
"กลับมานรสิงห์"
อสูรคำรามก่อนที่ร่างจะสลายไปจากนั้นสิงห์ก็...
"ซัมมอนซอร์ดเทคนิก
ทลายหมู่มารราชสีห์จำแลง"
ร่ายสกิล ออร่าแสงสีดำห่อหุ้มร่าง เงาของนรสิงห์ปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างเลือนราง
วินาทีถัดมาดาบก็ตวัดออกไปพร้อมกันนั้นพื้นทางด้านหน้าซึ่งไม่มีอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นแล้วก็ยังระเบิดต่อเนื่องอีกหลายครั้งแต่ทุกครั้งสิงห์จะตวัดดาบก่อน
พริบตาหนึ่งที่พอจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
สิงห์ใช้ดาบปัดคลื่นพลังหรืออะไรบางอย่างที่คล้ายกับลูกบอลโปร่งใสออกไป
พอลูกบอลนั่นตกลงไปพื้นก็จะระเบิดอย่างรุนแรง แต่ที่มองเห็นก็แค่พริบตาเดียวจริงๆ การเคลื่อนไหวนอกเหนือจากนั้นไม่สามารถมองตามได้ทัน
“ท่านคะการเก็บกู้ซากของคริมสันเฟเธอร์และดัคส์เชลมาทำเป็นแอพพลิเคชั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงของผู้หญิงดังมาเป็นหญิงสาวผมสีฟ้าครามชุดเครื่องแบบทหาร
มีนาจำได้ว่านั่นคือเลขาส่วนตัวของสิงห์ วิเชียรมาศ แล้วก็ยังมีทหารหนุ่มอีกสองคนเดินตามมาด้วยพร้อมกับถือของที่ห่อด้วยกระดาษยันต์มาคนละห่อ
“แอพที่ว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
สิงห์ยิงคำถามโดยที่ความเร็วในการปัดป้องไม่ตกลงเลยแม้แต่น้อย
คนที่อยู่รอบตัวก็ได้แต่ยืนดู คนที่สู้กับสัตว์เทวะอยู่ก็ยังคงสู้ต่อไป
สนามรบดำเนินไปแบบครึ่งๆ กลางๆ
ต่อจากนั้นก็มีหญิงสาวอีกคนสวมชุดกาวน์สีขาวเดินอ้อมวิเชียรมาศขึ้นมาเธอคือเจ้าหน้าที่หน่วยวิจัยสัตว์เทวะ
ซากิริ อามาเนะ
“ก็กำลังทำอยู่นี่ไงแล้วแอพของอีกสี่ตัวที่ว่าล่ะอยู่ไหน”
ซากิริตอบเสียงห้วนเหมือนไม่กลัวบารมีของพลเอก
หล่อนยังคงก้มหน้าก้มตาเคาะแป้นพิมพ์โฮโลแกรมเพื่อใส่คำสั่งลงหน้าจอระบบที่ลอยอยู่กลางอากาศ
สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนคอมพิวเตอร์พกพาซึ่งเรียกใช้งานได้จากสกิลอาชีพรอง ‘อาชีพนักวิทยาศาสตร์’
สิงห์พยักหน้าให้คำพูดนั้นแล้วเรียกหน้าจอระบบขึ้นมาทำการถอนแอพพลิเคชั่นออกจากดาบสองอันแล้วโยนให้ซากิริโดยที่ไม่ได้หยุดแกว่งดาบ
จากนั้นทหารหนุ่มสองคนก็ส่งห่อแอพพลิเคชั่นปีศาจให้กับมือของหญิงเสื้อกาวน์
เธอรับแอพพลิเคชั่นปีศาจที่น่าจะเป็นของสัตว์เทวะที่บุกโจมตีทั้งสี่ประตูไว้แล้วโยนใส่หน้าจอที่กำลังทำงาน
ทั้งหมดจมหายลงไปในจอนั่น
“โอเคเท่านี้ก็ครบแล้วรอไปสิบนาทีนะ”
ซากิริพูดแล้วเริ่มเคาะแป้นพิมพ์อีก
“หรือว่านี่คือเป้าหมายของการสู้เรดในครั้งนี้งั้นหรือครับ”
นรินทร์ถามซากิริ
ดูเหมือนว่าการคาดเดาเรื่องจุดประสงค์การทำเรดบอสของเขาจะถูกต้องและถ้าเป็นไปตามที่คาดเอาไว้สิ่งที่นักวิจัยซากิริ
กำลังทำอยู่ก็อาจจะเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นปีศาจตัวต้นเหตุของจุดประสงค์ในครั้งนี้
มีนาพูดสิ่งที่นรินทร์เคยคาดเดาไว้ออกมา
“กำลังทำให้ ‘โอริว’ สมบูรณ์อย่างงั้นเหรอคะ”
เด็กสาวพูดต่อหน้าซากิริพลางเหลือบสายตามองพี่ชายเป็นระยะ
“เฮ้ๆ อย่ามาโยนใส่ฉันกันหมดสิคนต้นคิดน่ะอยู่ทางนั้นต่างหาก”
ซากิริเหมือนจะรู้ทันว่าทั้งสองคนตั้งใจเลี่ยงการพูดคุยกับสิงห์ตรงๆ
จึงพูดออกมาอย่างนั้น เด็กทั้งสองคนเลยหันไปทางพลเอกที่ยังประชันพลังกับม้าได้อย่างสูสี
แต่ดูแล้วเหมือนกับกำลังเป็นของเล่นให้มากกว่า ม้ายังไม่ได้ยิงมาเต็มแรงราวกับจะรอดูว่ามนุษย์จะดิ้นรนเอาเป็นเอาตายอย่างไร
แล้วการโจมตีของม้าก็หยุดลงสิงห์เลยหยุดการเคลื่อนไหวตามไปด้วย
ดาบร้อนผ่าวจนเห็นเหมือนใบดาบกลายเป็นสีแดงเล็กน้อยและมีไอควันลอยออกมา แต่สภาพร่างกายของสิงห์กลับดูไม่เหมือนคนที่เหนื่อยล้า
ใบหน้ากับเครื่องหน้ายังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์เหมือนอย่างเคยๆ
“วัชพืชเอ๋ย...ออกไป...เจ้าจงออกไปจากสวนศักดิ์สิทธิ์”
ม้าใช้เสียงของอิงศรพูดแล้วเคลื่อนตัวเบี่ยงจากทิศที่หันเข้าหาประตูวิทยาลัยมาทางนี้แทน
“อิงศรนายอยู่ที่นั่น...ไม่สิต้องอยู่นั่นแหละถึงจะถูกเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรู้สึกว่าตัวฉันเป็นภัยคุกคามใช่ไหมล่ะ”
สิงห์พูด
ทันใดนั้นดวงตาของม้าก็เปล่งแสงเจิดจ้าเหมือนก่อนที่จะยิงลำแสง
“โซเดียราโอ”
คำประกาศนั่นคือสัญญาณว่าลำแสงแห่งการทำลายล้างจะออกมาเพ่นพ่านอีก
จะทำลายโลกอย่างไร้เหตุผลอีก
“ชิ
มันจะยิงไอ้นั่นมาอีกแล้ว”
ข้าวหลามสบถ
“ไม่ต้องห่วงเพราะว่าทำเสร็จแล้วล่ะ”
ตอนที่ซากิริพูดมาก็ครบสิบนาทีพอดี หน้าจอเปล่งแสงแล้วแอพพลิเคชั่นที่ถูกปรับปรุงอยู่ข้างในก็ลอยออกจากหน้าจอ
หล่อนดึงมันออกแล้วหันไปเรียกสิงห์ที่อยู่ข้างหน้า
“การรวมร่างปีศาจเสร็จแล้วนะเอ้าฮึบ~”
เธอโยนแอพพลิเคชั่นไปสิงห์รับมันไว้แล้วติดตั้งลงในดาบ
จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องทั้งหมดถอยออกไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหว
“รีลีสสเตท โควริว!”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ลำแสงจากดวงตาของม้าเฉิดฉาย
ดาบของสิงห์ก็เปล่งแสงเจิดจ้าเช่นกัน
ออร่าสีดำที่ห่อหุ้มร่างถูกแสงย้อมกลายเป็นสีทอง สายลมกรรโชกแผ่พุ่งจากตัวดาบ
ในตอนนั้นซากิริก็พูดว่า...
“วิถีแห่งการควบรวมธาตุสวรรค์เริ่มมาจาก
ดิน ไฟ ไม้ น้ำ ทอง เอามาปรับสมดุลด้วยแสงสว่างและความมืดจากนั้นทำให้มันเป็นกลางที่ตรงนั้นก็คือประตูแห่งสวรรค์...”
เงาร่างอันเลือนรางปรากฏขึ้นจากด้านหลังของสิงห์
เงาทะยานขึ้นไปรับเอาแสงจากดวงตาของม้าไว้
ครืน!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง
แสงสว่างอาบย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีขาวไปพริบตาหนึ่งแล้วเมื่อแสงจางลง
เงาร่างที่พุ่งออกไปก็ปรากฏโฉมแก่สายตา ร่างยาวดั่งงูหุ้มด้วยเกล็ดทองคำมีขายื่นออกจากลำตัวสี่ข้างด้วยกันขาหน้าหนึ่งคู่และขาหลังอีกหนึ่งคู่
ดวงตาผุดผ่องราวกับไข่มุกสีฟ้า สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลกำลังเอ่อล้นออกมา
มังกรลอยตัวอยู่เหนือหัวของกลุ่มทหารในท่าขดตัวเป็นเกลียวสร้างกำแพงพลังงานป้องกันลำแสงเอาไว้
จากนั้นซากิริก็เอ่ยคำพูดที่ค้างไว้
“จักรพรรดิมังกรทอง ‘โควริว(Kohryu)’
ไงล่ะ”
อย่างไรก็ดีการปรากฏตัวอย่างอลังการเช่นนี้ไม่ได้ช่วยอะไรซักเท่าไหร่นักเพราะลำแสงของม้าก็แค่เบี่ยงออกไปจังหวะหนึ่งเท่านั้น
ลำแสงยังคงยิงต่อไปแล้วมังกรทองคำก็ต้านมันไว้ด้วยเกราะที่สร้างขึ้น
แต่ยังพอต้านไว้ได้...
สิงห์หันมาทางนี้แล้วพูดว่า
“สิบโทมีนา สิบตรีเมษา
พลทหารพิเศษกวินทร์”
ทั้งสามคนที่ถูกเรียกพากันตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่งก่อนจะขานรับ
"ครับ/ค่ะ"
สิงห์ไม่ได้สนใจท่าทีหละหลวมของพวกเธอนักแล้วออกคำสั่งต่อ
"ทั้งสามคนที่อยู่หน่วยของอิงศรจงปลุกหัวหน้าให้ตื่นซะเรื่องการระวังศัตรูจะให้คนอื่นทำ
ในช่วงที่ยังยื้อเอาไว้ได้นี่ก็ส่งเสียงเรียกให้อิงศรที่อยู่ข้างในม้าตัวนั้นตื่นรับทราบ!"
ดวงตาของมีนาเบิกกว้างในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
สิงห์คิดอยากจะช่วยอิงศรอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ทำให้เกิดความเสียหายขนาดนี้
แถมยังกลายเป็นแบบนั้นก็ยังอยากจะช่วยอีกหรือ
ถ้าคิดกันตามปกติคงสั่งให้ทำลายไปเลยเพราะนั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเสี่ยงจะเสียหายน้อยที่สุดด้วย
แต่สงสัยไปก็เท่านั้นในเมื่ออีกฝ่ายพูดเองว่าจะช่วยก็ไม่จำเป็นต้องทัดทานอีกแล้ว
“รับทราบ!”
ทั้งสามตอบพร้อมกันแล้วพากันตะโกนเรียก
“คุณอิงศรคะหยุดเถอะค่ะไม่ต้องต่อสู้อีกแล้วที่นี่ไม่มีศัตรูอีกแล้วนะคะ!”
“เลิกคลั่งซะทีสิเว้ยศรคิดจะฆ่าพวกเราไปด้วยรึไง!”
“พี่ศรคร้าบ!”
แต่ก็ไม่ได้ผล ลำแสงยังไม่ยอมหยุด
มังกรทองคำเป็นฝ่ายถูกดันจนเริ่มตกลงมา
หากเป็นแบบนี้ต่อไปมังกรคงจะต้านไม่อยู่หรือไม่ก็ถูกดันจนตกลงมาทับพวกเขาซะเอง
แต่จะหนีก็ทำไม่ได้พวกเขาถูกล้อมไว้โดยเหล่าอัศวินแห่งจุดจบการจะตีฝ่าออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย
มีแต่ต้องภาวนาให้อิงศรหยุดเท่านั้น
ร่างของมังกรใกล้จะตกลงมาเต็มทีแต่ลำแสงของม้ากลับไม่ทีท่าว่าจะหยุดเลย
ดังนั้นมีนาจึงเคลื่อนไหว หล่อนเงื้อเคียวฟันลงไปบนพื้นเรียกมังกรกระดูกหลังหนามที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ออกมา
เมื่อรวมกับมังกรกกระดูกเวโรซอมบี้แรพเตอร์อีกสองตัว เงื่อนไขที่จะอัญเชิญทรราชมังกรกระดูกก็ครบพอดี
“เนโครดราก้อน ทีราโน่ซอมบี้”
มีนาฟันเคียวลงไปอีกครั้งแล้วร่างกระดูกของมังกรทั้งสามก็พังทลายลง
กองกระดูกที่เหลือทิ้งไว้หลังจากนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างใหม่
“ทีราโน่จัง ไทรเซร่าจังช่วยกันยันไว้ที”
มีนาออกคำสั่งจากนั้นมังกรกระดูกทรราชกับสามเขาก็แยกกันไปคนละฟากเพื่อยันร่างของมังกรทองคำที่กำลังจะตกลงมา
ส่วนสิงห์ที่ควบคุมมังกรทองก็เริ่มถูกผลย้อนกลับเล่นงาน
การควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่ทำให้ร่างกายต้องรับภาระหนักไปด้วย
ดาบที่จับเหวี่ยงไปมาตลอดตอนนี้กลับหนักอึ้งจนแทบยกไม่ไหวมันคือน้ำหนักของพลังที่มังกรต้านรับเอาไว้ส่งมาถึงเขา
“ต้าน...ไม่ไหวแล้ว”
น้ำหนักของดาบเกินกว่ารถยนต์ทั้งคันไปแล้ว
มือของสิงห์โน้มลง ใบดาบจมลงไปในพื้น
ขณะเดียวกันเกราะพลังงานของมังกรเกิดรอยร้าว
ปริแตก และพังทลายลงในที่สุด แต่ลำแสงก็หยุดลงเช่นกัน
“…”
เวลาแห่งการนิ่งเงียบคืบคลานเข้ามาแทนที่
ครู่หนึ่งที่ความคิดอันแสนจะยินดีแล่นผ่านเข้ามาในหัวของทุกคน
รอดแล้ว... พวกตนเองรอดชีวิตมาได้แล้ว
แต่แท้จริงสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำลังจะเริ่มขึ้นนับจากนี้ไปต่างหาก....
“มันจบลงแล้ววัชพืชเอ๋ยออกไปจากสวนแห่งนี้ซะหรือไม่ก็จงพินาศไปพร้อมกับ...โซเดียอิมแพค”
เสียงของอิงศรดังมาอย่างนั้นแล้วรถลากที่เทียมเข้ากับตัวม้าก็เริ่มทำงาน
ส่วนแง่งที่ยืนออกไปทางด้านข้างคล้ายกับคันศรนั้นแท้จริงแล้วคือส่วนหัวของอาวุธที่คล้ายกับหน้าไม้ขนาดยักษ์
‘บาลิสต้า(Ballista)’ กำลังเงยขึ้น เล็งเป้าไปข้างบน บรรจุคันศรที่เกิดขึ้นจากการควบแน่นของอนุภาคสีทองที่กระจายอยู่รอบตัว
“อ๊ะ! นี่มัน”
นรินทร์ส่งเสียงพลางใช้มือจับที่แว่นตาปีศาจ
“เกิดอะไรขึ้น!?”
สิงห์ถาม
“เกจพลังที่สะสมอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้...ตอนนี้เต็มแล้วครับ”
หลังฟังรายงานใบหน้าของสิงห์ก็กระตุกเล็กน้อย
“หมายความว่าไง...”
ตอนนั้นเองพื้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
พวกอัศวินแห่งจุดจบพากันล้มลงและร่างกายแตกสลายกลับคืนเป็นอนุภาคจากการนี้เองทำให้อนุภาคเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างกะทันหันจนพื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยอนุภาค
ทุกคนหันเหสายตาไปยังม้าที่น่าจะเป็นตัวการ
บาลิสต้ากำลังจะยิงลูกศรแสง
ลูกศรถูกยิงขึ้นไปแรงสะท้อนทำให้พื้นดินสะเทือน...
ท้องฟ้าที่ถูกยิงเกิดรอยร้าว
เริ่มปริแตกแล้วร่วงหล่นลง
ก้อนเมฆตกลงมาก่อนจากนั้นก็เป็นท้องฟ้า
ท้องฟ้ากำลังหลุดลอกออกเป็นแผ่น
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของแผ่นท้องฟ้านั้น....
ไม่ใช่อวกาศ ไม่ใช่ระบบสุริยะ แต่มันไม่มีอะไรเลย
ไม่มีอะไรซักอย่างอยู่เบื้องหลังท้องฟ้าที่กำลังร่วงหล่น
...ที่มีอยู่ก็แค่ ‘ความว่างเปล่า’
มังกรกระดูกของมีนาแสดงอาการกระวนกระวายพวกมันพากันร้องคำราม
ไม่สิกำลังกรีดร้องมากกว่า
“ทีราโน่จัง ไทรเซร่าจัง เป็นอะไรไปน่ะ”
มีนาพูด
“เพราะว่าสภาพการณ์ในตอนนี้เคยเป็นสาเหตุที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขาต้องสูญสิ้นเมื่อครั้งอดีตมันทำให้พวกเขาหวาดกลัวน่ะ”
มีเสียงของผู้ชายดังแทรกเข้ามาอย่างนั้น
มีนาหันไปทางที่เสียงดังมา
ที่นั่นเด็กหนุ่มเรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ผู้งดงามกำลังยืนอยู่ แต่ว่ามาตั้งแต่ตอนไหน
ไม่มีใครรู้
“คุณเป็นใครกันคะ?”
มีนาถาม
แล้วก็ไม่ใช่แค่เธอแต่คนอื่นรอบตัวต่างก็มองเห็นเด็กหนุ่มมีคำถามเช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มพูดตอบทุกคนในที่แห่งนี้ว่า
“ผมเหรอ...เพื่อนของพวกเธอที่อยู่ข้างในดีเซมแมร์เรียกผมว่า
‘ผู้ถูกลืมเลือน’ ”
คุยท้ายเรื่อง
อาทิตย์นี่ไรท์ก็ปั่นยิกๆ แบบหูดับตับแล่บอีกแล้วเพราะใกล้สิ้นปีงานหลวงงานราชก็เลยแห่แหนกันมาจนแทบเจียดเวลาเขียนไม่ได้ ดีนะที่เขียนพล็อตทิ้งไว้จนจบภาคแรกแล้ว ก็เลยยังเขียนมาลงเรื่อยๆได้แต่คุณภาพดรอปตามไปด้วย Orzlll ไว้ไรท์จะหาเวลากลับมารีไรท์ให้สละสลวยขึ้นก็แล้วกันนะครับ สุขสันต์วันลอยกระทองย้อนหลังด้วยเน่อ(ส่วนไรท์ลอยปากกาไปแล้วมะวาน ฮรือๆ TwT เลิกงานตีสอง)
ความคิดเห็น