ตอนที่ 52 : Login 50: ท่วงทำนองที่ผิดเพี้ยน
Login 50: ท่วงทำนองที่ผิดเพี้ยน
การหลุดลอกของท้องฟ้าแผ่ขยายออกไป
โลกกำลังเน่าเฟะ
แสงสว่างทยอยหดหายเพราะไม่มีทั้งแสงจันทร์หรือแสงดาวสอดส่องลงมาจากห้วงความว่างเปล่าแสนเวิ้งว้างที่อยู่เบื้องหลัง ด้วยเหตุนั้นบริเวณที่อยู่ใต้ท้องฟ้าซึ่งหลุดลอกไปแล้วจึงมืดสนิท
หากยังดำเนินต่อไปแบบนี้เมื่อความว่างเปล่ากัดกินท้องฟ้าจนหมดโลกจะตกอยู่ความมืดหรือไม่ความว่างเปล่าเองก็อาจจะเอื้อมคมเขี้ยวมากัดกินพื้นดินด้วย สุดท้ายแล้วทั้งประวัติศาสตร์ อารยธรรม ความมีตัวตนของมนุษย์บนโลกใบนี้ก็จะถูกลบหายไปจนหมด
ภาพการล่มสลายสะท้อนอยู่ในแววตาอันเศร้าหมองของผู้ถูกลืมเลือน
"นี่ก็เป็นบททดสอบของมนุษย์ด้วยหรือว่าพวกเธอแค่ทำตัวเองกันแน่นะ ถ้าจบแค่หายไปประเทศเดียวได้ก็คงดีหรอก"
ผู้ถูกลืมเลือนกล่าวท่ามกลางทหารของเมตไตรย
จากนั้นก็มีประกาศของเกมดังขึ้นมาประกาศนี้จะถูกถ่ายทอดลงบนหน้าจอส่วนตัวทั้งของมนุษย์และมนุษย์ต่างดาวเป็นประกาศพิเศษที่แจ้งถึงการอัพเดทของเกมโลกาวินาศซึ่งก็หยุดการอัพเดทมาสามปีแล้วแต่ตอนนี้กลับจะมีการอัพเดทเกิดขึ้น
'แจ้งให้ทราบโลกกำลังจะพังทลายในอีกสิบเอ็ดนาทีห้าสิบเก้าวินาที'
ดูเหมือนจะไม่ใช่การอัพเดทแล้วก็ไม่ใช่ประกาศข่าวสารเหมือนทุกครั้งแต่เป็นการแจ้งเตือน แถมยังเป็นการเตือนภัยอย่างเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เหล่าทหารเริ่มสนทนากันไปต่างๆ นานาหลังจากเห็นข้อความแจ้งเตือน
"นี่มันอะไรกันน่ะ"
"โลกกำลังจะพินาศงั้นเหรอ
"พวกเราไม่รอดแน่"
ความโกลาหลกระจายตัวไปทั่วและคงไม่ใช่แค่ตรงนี้แต่คงเป็นทั่วทั้งโลกที่กำลังตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่
"เป็นไงพอจะรู้ยังว่าไอ้ผมขาวนี่มันเป็นใครกันแน่
เมษาถามหลังจากไหว้วานให้นรินทร์ตรวจสอบผู้ถูกลืมเลือน แต่ทว่า...
"ไม่ได้วิเคราะห์อะไรคนๆ นี้ไม่ได้เลยซักกะอย่าง"
นรินทร์ส่ายหน้าแว่นตาปีศาจไม่สามารถดึงข้อมูลของชายคนนี้ออกมาได้เลย ไม่มีแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำไป ซึ่งตีความได้สองอย่าง หนึ่งคือชายคนนี้เป็นเพียงภาพลวงตาหรือสองชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์
ตอนนั้นเองเศษซากท้องฟ้าก็หล่นลงมาตรงนี้พอดี ขนาดของแผ่นท้องฟ้าใหญ่พอจะกลบฝังนรินทร์ เมษา และผู้ถูกลืมเลือนไปพร้อมกัน
ก่อนที่จะมีใครตอบสนองผู้ถูกลืมเลือนก็ชิงเคลื่อนไหวเสียเองหูฟังเฮดโฟนที่สวมอยู่แยกตัวออก กลไกภายในเริ่มทำงานชิ้นส่วนต่างๆ พับด้านในออกมาด้านนอกส่วนของสายคาดศีรษะถูกดึงเข้าไปเก็บในหูฟังจากนั้น เฮดโฟนก็กลายเป็นโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับขนาดเล็กรูปร่างคล้ายหัวงูจำนวนสองเครื่อง
โดรนบินขึ้นไปแล้วปล่อยลำแสงสีแดงจากปลายส่วนหัว ลำแสงทำลายเศษซากท้องฟ้าป่นเป็นผงในพริบตา
"มนุษย์มักต้องการทางเลือกเสมอแต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะเลือกแล้วก็กลายเป็นต้องการทางเลือกเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบจนกลายเป็นความโลภพวกเธอยังแสดงความตั้งใจไม่พอนะ"
จู่ๆ ผู้ถูกลืมเลือนก็พูดอย่างนั้นแล้วสิงห์ที่อยู่นอกวงก็เข้ามาร่วมการสนทนา
"นี่แกคิดจะทำอะไรกันแน่"
โดรนที่ส่งไปย้อนกลับมาแล้วประกอบคืนเป็นหูฟัง ผู้ถูกลืมเลือนคว้าส่วนของสายคาดศีรษะไว้ก่อนจะหันมาสบตากับสิงห์
"ถ้านายยังไม่เข้าใจมนุษย์ก็ต้องจบลงที่วันนี้นะ"
"..."
สิงห์ไม่ตอบแต่ทำท่าเหมือนครุ่นคิด
ในสายตาของมีนามองเห็นทั้งสองคนพูดคุยเหมือนรู้จักกันมาก่อนดังนั้นเด็กสาวจึงถามแทรกกลาง
"คุณเป็นใครกันแน่คะหรือว่าจะรู้วิธีหยุดคุณอิงศรได้"
ผู้ถูกลืมเลือนหันมาทางมีนา
"จำได้ว่าบอกไปแล้วนะผมคือผู้ถูกลืมเลือนแล้วก็ไม่ใช่ความตั้งใจที่จะ 'หยุด' แต่เป็นความตั้งใจที่ก้าวจะเดินต่อไปต่างหากล่ะ"
"..."
มีนาเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามคิดตามเนื้อหาที่เด็กหนุ่มผมขาวพูดมาแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ผู้ถูกลืมเลือนช้อนตามองจากมีนาขึ้นไปข้างบนแล้วพูดเหมือนเปรยกับตัวเอง
"พวกเธอเองก็ลืมไปเหมือนกันนะเรื่องที่สำคัญน่ะ...ฮึมฮืมฮื้ม~"
ผู้ถูกลืมเลือนพูดพลางฮัมปากเป็นทำนองเพลง
ในตอนนั้นเองกวินทร์ที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของผู้ถูกลืมเลือนก็ฉุกคิดขึ้นมา
ลืม...ลืมอะไรไปกันนะ
ความรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูกผุดออกมาไม่จบสิ้น เด็กหนุ่มรู้สึกคุ้นหูกับทำนองเสียงฮัมของผู้ถูกลืมเลือนแล้วก็เหมือนจะนึกเรื่องสำคัญออกแต่กลับนึกให้ชัดเจนไม่ได้ว่ามันคืออะไร
อีก 5.38 นาทีโลกจะพังทลาย
เวลาบนหน้าจอประกาศเหลืออีกไม่มาก
แต่ยังไม่มีหนทางจะหยุดยั้งการล่มสลาย...
ใบหน้าของเมษาซีดลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้เป็นเพราะกังวลกับเรื่องที่โลกใกล้จะพังทลาย เขารู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนแอลงอย่างไร้สาเหตุ
เมษากุมมือเข้ากับขมับ
“อูย~~ ทำไมรู้สึกมึนหัวล่ะเนี่ย”
เด็กหนุ่มร้องครางแล้วก็รู้สึกตัวเรียบร้อยว่า ที่ตกลงมาไม่ใช่แค่ซากท้องฟ้าแต่มีอย่างอื่นปะปนมาด้วย ผู้คนรอบตัวพากันล้มลงไปทีละคนๆ พลังชีวิตของทุกคนลดลงอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุ
เมษา Lv. 60
[/////6030:7060///..]
หน้าจอพลังชีวิตของเขาเองก็ไม่ได้แสดงสถานะผิดปกติ แต่รู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นกับร่างกาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น...”
มีนาพูดได้แค่นั้นก็ทรุดตัวล้มทันทีใบหน้าของเด็กสาวกับลังทรมานและขึ้นสีแดงระเรื่อราวกับเป็นไข้
ในตอนนี้แทบจะไม่เหลือใครที่ยืนอยู่แต่คนที่ดูจะไม่เป็นอะไรเลยก็มีแต่ผู้ถูกลืมเลือน
“อื๋ม~เพิ่มความเข้มข้นของน้ำอมฤทธิ์จนเกินระดับที่สิ่งมีชีวิตจะรับไหวไปแล้วสินะถ้าเป็นแบบนี้ถึงพวกเธอจะเป็นเหล่าคนที่เลือกมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่ไหว”
ตอนนั้นซากิริที่ล้มลงไปแล้วแต่ยังไม่ปล่อยมือจากแป้นพิมพ์โฮโลแกรมก็ถามกับผู้ถูกลืมเลือน
“น้ำอมฤทธิ์เนี่ยหรือว่าจะหมายถึงสารพันธุกรรมแซดอย่างนั้นสินะ”
ผู้ถูกลืมเลือนชายตามองไปยังร่างของซากิริที่ใกล้จะตายมิตายแหล่
“รู้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งที่มนุษย์มีพลังถึงขนาดนี้แท้ๆ แต่กลับอ่อนแอจนน่าตกใจเลยนะ”
ซากิริที่ได้รับคำตอบก็ยิ้มแสยะอย่างยินดี
“เดาถูกสินะ...”
แล้วหล่อนก็หมดสติไป พลังชีวิตยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
ยาพิษยังคงโปรยปรายจากฟากฟ้าที่ล่มสลาย
จะดำเนินต่อไปจนถึงจุดจบ...
ไม่มีใครจะยืนอยู่อีกแล้ว ไม่มีใครจะต่อต้านอีกแล้ว
เหล่าวัชพืชกำลังโรยราหายไปจากสวนศักดิ์สิทธิ์
แต่ทว่า...
กลับมีเสียงบรรเลงของฮาร์โมนิก้าดังแว่ว
เป็นทำนองที่ชวนให้รู้สึกคณึงหาอย่างน่าประหลาด
เกิดความรู้สึกที่น่าประหลาดขึ้นมาว่าท่วงทำนองนี้...
ท่วงทำนองนี้จะช่วยหยุดการล่มสลาย
ท่วงทำนองนี้จะกลายเป็นความหวัง
ท่วงทำนองนี้ช่วยโลก...
มีนาที่ฟุบไปแล้วครั้งหนึ่งได้สติ
เด็กสาวมองหาที่มาของเสียงบรรเลง
ท่ามกลางทหารของเมตไตรยที่พากันล้มฟุบเหมือนต้นหญ้าโดนยา มีแค่ผู้ถูกลืมเลือนกับอีกคนที่ยังยืนอยู่ คนๆ นั้นคือกวินทร์
เด็กหนุ่มกำลังเป่าฮาร์โมนิก้าที่สิงห์มอบให้อิงศรจากนั้นก็ให้เขายืม
ที่ขามีกระป๋องสเปรย์ขยายเสียงกลิ้งตกอยู่ใกล้ๆ มันเป็นไอเท็มที่พันโทข้าวหลามยกให้อิงศรแล้วอิงศรก็ยกให้ต่ออีกทอด
ด้วยพลังของสเปรย์ทำให้เสียงฮาร์โมนิก้าดังก้องไปทั้งสนามรบที่พังพินาศ
สาเหตุที่กวินทร์เป่าฮาร์โมนิก้าในตอนนี้ก็มาจากคำพูดของผู้ถูกลืมเลือน มันทำให้ฉุกคิดขึ้นมาว่านี่อาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดอิงศรได้
กวินทร์ได้ลองคิดถึงความรู้สึกของอิงศร ลองนึกว่าหากตัวเองเป็นอิงศรแล้วในสถานการณ์เช่นนี้อะไรที่จะทำให้รู้สึกตัวขึ้นมา อะไรที่พอจะเชื่อมโยงเข้ากับน้องชายที่ช่วยไว้ไม่ได้ก่อนจะกลายเป็นแบบนั้น อะไรที่จะเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาทีมอิงศรเข้าไว้ด้วยกัน แล้วอะไรนั่นก็จะเชื่อมโยงสิ่งสำคัญทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน
ท่วงทำนองของฮาร์โมนิก้าที่ได้ฟังร่วมกันในคืนวันแรกของการออกค่ายคือคำตอบ มันได้ผูกมัดอดีตกับปัจจุบันเอาไว้และนี่คือเวทมนที่จะช่วยโลกใบนี้ไม่ให้ล่มสลายนั่นเอง
ตัวเลขนับถอยหลังหลักวินาทีของประกาศล่มสลายหยุดเดินอยู่ที 2.12 นาที
ม้ามีปฏิกิริยากับเสียงฮาร์โมนิก้าเริ่มเคลื่อนไหวกระสับกระส่าย
“อึก...หยุด...หยุดนะ”
เสียงของม้า ไม่สิคราวนี้รู้สึกได้ว่ามันคือเสียงที่อิงศรตั้งใจพูดออกมาเอง
“จะทำลายไม่ได้...วัชพืชจะต้องถอน...ไม่...หยุดเซ่...”
ราวกับว่าตัวตนของอิงศรกำลังทะเลาะกันเองคำพูดสลับอิริยาบถไปมา
ตัวเลขนับถอยหลังเริ่มเดินอีกครั้ง... แต่ก็หยุดลง... แล้วก็เริ่มเดินอีก...
สลับซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
ทุกคนที่ล้มฟุบกันไปไม่รู้สึกทรมานอีกแล้ว ดูเหมือนว่ายาพิษจะหยุดโปรยลงมา
นรินทร์ที่ลุกไหวแล้วจึงใช้แว่นตาปีศาจตรวจสอบม้า
“พลังของมันเริ่มตกแล้วไม่รู้ว่าทำได้ยังไงหรอกนะแต่ว่าสุดยอดไปเลยล่ะกวินทร์”
แล้วเมษากับมีนาพูดแทรกเข้ามาในทันที
“แหงอยู่แล้วสิก็นั่นน่ะ..”
“เป็นสายสัมพันธ์ของพวกเราที่สร้างขึ้นในสิบสามวันนั้นยังไงล่ะคะ”
จากนั้นมีนาก็หันไปตะโกนใส่ม้าว่า
“เพราะอย่างนั้นถ้าได้ยินแล้วก็รีบตื่นซะทีสิคะคุณอิงศรน้องชายของคุณยังปลอดภัยอยู่พวกเราก็ด้วยคุณน่ะปกป้องเอาไว้ได้แล้วนะคะเพราะงั้นก็อย่ามาทำลายซะเองสิ!”
ม้าชะงักการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดแสนจะน้ำเน่านั่น น้ำเน่าเสียจนมีนาเองก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะพูดมันออกมาได้
บทเพลงบรรเลงจนใกล้จะจบลงแต่การนับถอยหลังยังคงคืบหน้าไปแบบเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว
และแล้ว...
กวินทร์ก็เป่าจบทำนอง
แต่การล่มสลายยังคงเดินหน้าต่อ
ยังมีอะไรขาดไป ยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่พอจะหยุดยั้งการล่มสลาย
“อะ...เฮ้ยไหงไม่ยอมหยุดล่ะเนี่ย”
เมษาตะโกน
“ลองเป่าดูอีกครั้งสิ”
พันโทข้าวหลามตะโกนมา ดูเหมือนว่าความหวังของมนุษยชาติจะต้องฝากไว้กับฮาร์โมนิก้าแท่งเดียวเสียแล้ว
“…”
กวินทร์เริ่มเป่าอีกครั้งและเป่าจนจบเพลง แต่เวลานับถอยหลังยังไม่ยอมหยุดเดิน
เหลือเวลาอีก 1 นาที
แผ่นดินเริ่มสั่นไหว ระดับการสะเทือนเริ่มต้นที่ไหวไปมาเล็กน้อยแล้วก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ อาคารหลายหลังพากันถล่มลงมา พวกเมตไตรยก็พากันล้มลงไปอีกเพราะไม่อาจทรงตัวท่ามกลางการสั่นสะเทือนอันบ้าคลั่งนี้ได้
แผ่นดินปริตัวแตกแล้วแยกออกจากกันอย่างน่าสะพรึง
มองไม่เห็นเส้นขอบฟ้าแล้ว
โลกกำลังจะพังทลายลงจริงๆ
ตอนนั้นเอง มีนาก็โพล่งขึ้นมาว่า
“คุณกวินทร์เสียงผิดคีย์ค่ะ ที่คุณอิงศรเล่าให้ฟังน่ะค่ะ”
เธอนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้เพราะเริ่มคิดเหมือนกวินทร์ คิดหาทางเชื่อมโยงพวกเขากับอิงศรให้มากที่สุดแล้วคิดคำนึงถึงสาเหตุที่ทำให้อิงศรกลายเป็นอย่างนี้ซึ่งทั้งหมดนั่นก็มาจากการที่อิงศรช่วยน้องชายไว้ไม่ได้มากกว่า
ดังนั้นกวินทร์จึงเริ่มเป่าฮาร์โมนิก้าใหม่อีกครั้งแต่กว่าจะถึงท่อนที่เคยเป่าพลาดจนถูกอิงศรพูดว่าเหมือนกับน้องชายก็ยังต้องใช้เวลาอยู่
โลกจะจบสิ้นในเวลาที่เหลือไม่ถึง 30 วินาที แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทดลองความคิดของมีนา
ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วเดิมพันสุดท้ายวางลงบนโต๊ะพนันไปเรียบร้อย
เดิมพันการคงอยู่ของทุกตัวตนในโลกใบนี้ผลของการเดิมพันก็คือ....
อี๊!!!!!
เสียงเพี้ยนที่เกิดจากการเป่าผิดคีย์ดังก้องกังวานใน 1 วินาทีสุดท้าย
“…”
ทุกอย่างหยุดลง แผ่นดินไม่สั่นไหวอีกแล้ว มันหยุดกึกโดยที่ไม่มีแรงสะท้อนตามมา
นิ่งสนิท ราวกับว่าเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้
หน้าจอประกาศเตือนหายไปโดยที่เวลานับถอยหลังคือ 0.01 นาที เฉียดไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปดโลกก็จะถึงจุดจบทันที
“...”
ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป
จนกระทั่ง ม้าเริ่มขยับตัว...ให้ถูกคือมันกำลังล้มตัวลงกลับไปอยู่ในท่านั่ง คอพับเก็บลง ดวงตาหยุดเปล่งแสงทุกอย่างกลับไปยังจุดเริ่มต้น
แผ่นดินที่แยกออกสมานตัวกลับคืนดังเดิม
ท้องฟ้าที่ลอกออกไปก็เช่นกันเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องที่โลกจะล่มสลายขึ้นมาก่อนเลย จะมีก็แต่ซากของเมืองที่พังพินาศไปเพราะการโจมตีก่อนที่ ‘โซเดียอิมแพค’ จะถูกยิงไปยังท้องฟ้าเท่านั้นที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม
จากนั้นผนังอุกกาบาตก็เริ่มก่อตัวห้อมล้อมม้าจนกลับคืนเป็นก้อนอุกกาบาต แต่ก่อนจะเป็นแบบนั้นก็มีบางอย่างพุ่งออกมาจากภายในตัวของม้าและตกลงตรงหน้าพวกมีนา
สิ่งนั้นส่งเสียงหอบหายใจอย่างรุนแรง
“อ..อิงศร”
มีนาพูด สายตาของหล่อนยังคงตกตะลึงไม่หายเมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่กลับออกมาจากอุกกาบาตอยู่ในสภาพที่โชกเลือดไปทั้งตัว เลือดสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ฟันเฟืองกระดูกบนหลังเหมือนถูกฝืนให้ดึงออกมาจนซี่ฟันของเฟืองแตกหัก
แล้วเด็กหนุ่มก็ล้มลง
เมษาที่อยู่ใกล้ตั้งใจจะเข้าไปรับแต่ทว่า...
“โฮ่ง โฮ่ง”
กลับมีร่างสีขาวแทรกเข้ามารับตัวอิงศรเอาไว้เสียก่อน
อิงศรพาดตัวลงบนหลังของสุนัขสีขาวที่มีใบหน้าปกคลุมด้วยขนสีดำ
“หน้ากาก!”
กวินทร์เรียกมันอย่างนั้น เจ้าสุนัขที่พวกเขาเจอในวันสุดท้ายของการออกค่ายเก็บเลเวล
แต่ไม่มีใครสนใจ ทุกคนสนแต่อิงศร
เมษาวิ่งเข้าไปคนแรกแล้วเรียกให้นรินทร์ตามมา
“นรินทร์มาช่วยรักษาที”
“เฮ้ยใครที่รักษาได้รีบมาทางนี้ด่วนเลยสิงห์แกช่วยสั่งแบบนั้นทีสิ”
พันโทข้าวหลามพูด
สิงห์พยักหน้ารับแล้วออกคำสั่ง
“ก็ตามนั้นแหละคนที่ใช้สกิลรักษาได้รีบมารวมที่นี่”
จากนั้นก็พากันเคลื่อนไหวอย่างสับสนอลหม่าน
ผู้ถูกลืมเลือนที่เหมือนจะถูกลืมไปจริงๆ ก็จ้องมองไปที่สุนัขอย่างสนอกสนใจแล้วเผยรอยยิ้มดูมีเลศนัย
“ดูเหมือนคนที่เลือกจับตาดูจะไม่ได้มีแค่ผมแล้วสินะ”
แล้วพึมพำออกมาเช่นนั้นก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ให้มีใครรู้ตัว
จากกลุ่มที่มุงล้อมอิงศรกันอยู่นั้น
“ไม่ไหวพลังชีวิตไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเลย”
เสียงของนรินทร์
“แต่ว่ายังมีชีพจรอยู่นะครับ”
เสียงของกวินทร์
จากนั้นก็มีอีกหลายเสียงดังสลับกันไปมาจนไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง
“ถ้าแบบนี้พากลับรักษาที่โรงพยาบาลเถอะทำแผลภายนอกให้ก่อน”
“แต่ค่ายพังไปแล้วนะ”
“โรงพยาบาลสัตว์ไม่ได้อยู่รัศมีการทำลายน่าจะยังใช้ได้อยู่นะ”
จากนั้นเมษาที่แบกอิงศรพาดหลังไว้ก็แหวกกลุ่มมุงออกมาแล้วพูดตะโกน
“โรงพยาบาลนั่นอยู่ที่ไหนรีบนำไปเร็ว!”
สิงห์จึงหันไปออกคำสั่งกับลูกน้อง
"วิเชียรมาศเธอนำทางไปทีฝากจัดการทุกอย่างด้วยล่ะแล้วฉันจะรีบตามไป"
"ทราบแล้วค่ะ"
เลขาสาวตอบ
"ตามมาทางนี้"
เธอพูดแล้ววิ่งนำออกไปก่อนโดยมีพวกเมษาวิ่งตามหลังไปติดๆ
ที่เหลืออยู่ก็มีแต่พลเอกสิงห์เท่านั้น เขากำลังมองดูความพินาศที่เกิดขึ้นแล้วประเมินมันด้วยสายตาพึงพอใจ
“ก็ถือว่าได้ผลตามที่คาดล่ะนะ”
สิงห์พึมพำกับตัวเองอย่างนั้น
“ผลอะไรหรือคะ”
มีนาที่นาจะไปกับกลุ่มเมื่อกี้กลับเดินย้อนกลับมาพูด แถมยังหูไวได้ยินเสียงที่เขาพึมพำ สายตาของเด็กสาวที่จ้องมองพี่ชายเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
แต่สิงห์ไม่สนใจหรอกว่าเธอจะจ้องเขาด้วยสายตาแบบไหนยังก็ไม่คิดจะบอกอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาก้าวก่าย”
แต่มีนาก็พูดขัดขึ้นมา
“พี่คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”
“...”
"ทำไมตอนนั้นพี่ถึงพูดว่าให้ปลุกคุณอิงศรที่อยู่ข้างในม้าทั้งที่พี่ก็ไม่ได้เห็นว่าเขาเข้าไปข้าวในนั้นแท้ๆ หรือว่าพี่จะรู้ก่อนแล้วว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้น่ะ"
"..."
สิงห์ไม่ได้ตอบคำพูดไล่ต้อนของน้องสาว แค่เพียงจ้องมองด้วยสายตาเย็นชากับเครื่องหน้าที่ไร้อารมณ์เหมือนอย่างเคยๆ
มีนาพูดต่อไปว่า
“พี่น่ะโดน นรสิงห์ควบคุมให้ทำอะไรอยู่กันแน่”
คำพูดนั้นทำให้สิงห์ขยับตัวเล็กน้อยเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญและเป็นความลับที่เธอกับเมษา ไม่สิกับทุกคนในตระกูลธุวดารกะรู้กันอยู่แล้วว่าเมื่อก่อนพี่ชายที่เคยเป็นคนใจดีแล้วมักจะมีรอยยิ้มอบอุ่นให้เธอกับน้องชายอยู่เสมอกลับต้องกลายเป็นหุ่นเชิดของปีศาจที่ชื่อว่านรสิงห์ก็เพราะความโลภของผู้เป็นพ่อ มกร ธุวดารกะ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน
แต่สิงห์เมินคำพูดไล่ต้อนพวกนั้นไป
“ก็เปล่านี่”
แล้วตบเท้าเดินมุ่งหน้าไปที่ค่ายตามหลังพวกที่แบกอิงศรไปก่อน
“เดี๋ยวสิ!”
แต่สิงห์ก็จากไปไกลโดยไม่สนใจ จึงเหลือแค่เธอคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้
เด็กสาวนึกทบทวนเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น
พลังประหลาดของอิงศรที่ทำให้ปีศาจมีตัวตนขึ้นมา สามารถเพิ่มปีศาจได้เองด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘อาคานาร์’
ฟันเฟืองบนหลังที่ปรากฏออกมาก่อนจะอาละวาด
ม้าที่เกือบจะทำให้โลกไปถึงจุดจบ
คนประหลาดที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ถูกลืมเลือน’
แล้วก็...
“ขวัญ... ศร...”
การพบกันอีกครั้งของพี่น้องที่ห่างเหินกันไปถึงสามปีอย่างปาฏิหาริย์
ราวกับว่าทุกอย่างถูกจัดฉากไว้ ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นใครก็ตามแต่คนๆ นั้นคงจะไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

318 ความคิดเห็น
-
#43 oDeeo (จากตอนที่ 52)วันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 / 18:13ขอบคุณครับ#431
-
#43-1 R@ji(จากตอนที่ 52)17 พฤศจิกายน 2559 / 18:41ด้วยความยินดีครับ ^ ^ อาทิตย์หน้าจะเข้าสู่ช่วงไขปมปริศนาของทั้งเรื่องแล้วอย่าลืมติดตามกันเน่อ#43-1
-