คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #265 : Extra Log 261: โอเรียนเทียริงแห่งสายสัมพันธ์ของพี่น้อง 1
Extra Log 261: โอเรียนเทียริงแห่งสายสัมพันธ์ของพี่น้อง
1
บนเพดานมืดทึมมีแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ที่ห้อยลงมาสาดส่องบริเวณรอบๆ
เชือกขึงอยู่บนเสาที่ตั้งล้อมรอบทิศทั้งสี่
พื้นที่เหยียบอยู่เป็นผ้าใบสีขาว และถึงจะเจือจางอยู่บ้างแต่มีรอยคราบสีแดงจางๆ
ส่งกลิ่นเหมือนโลหะอยู่ตามผ้าใบ
รวมถึงกลิ่นอายของหยาดเหงื่อที่หลั่งลงบนที่แห่งนี้
เมษาตระหนักว่าตนได้มายืนอยู่บนสังเวียนชกมวย โดยที่ตอนนี้ใส่ถุงมือ
เปลือยอก และสวมกางเกงนักมวยสีแดงอยู่
ที่นั่งคนดูที่รอบๆ เวทีนั้นไม่มีใครอยู่
แล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มาอยู่ที่นี่ในสภาพนี้เหมือนกัน
จำได้ว่าถูกเรียกตัวไปรวมกับพวกพ้องคนอื่นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
จากนั้นพออิงศรมาถึง
ซีลอร์ดก็ทำให้แสงสว่างเปล่งวาบออกมาจากวงแหวนจากนั้นเขาก็หลงมาอยู่ที่นี่แล้ว
“การทดสอบของเจ้าคือการเอาชนะความทะเยอทะยาน”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง เมษาหันไปและพบเด็กชายซึ่งมีหูสุนัขอยู่บนหัวและแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีฟ้าเหมือนกับที่พวกเขาสวม
โดโรธี ไม่สินั่นมันชื่อที่มีนาตั้งให้ รู้สึกว่าหมอนี่จะชื่อ…
“โดโกบาร์”
“อะ…เออนั่นแหละๆ”
ใช่ โดโกบาร์นั่นเอง เขายังไม่เคยเรียกหมอนี่ว่าแบบนั้นมาก่อน แล้วเมื่อครู่ก็ได้ยินว่าที่นี่มีการทดสอบมันทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าที่ไปรวมตัวกันที่ใต้ต้นไม้นั่นก็เพื่อจะเข้ารับการทดสอบอะไรซักอย่างที่เข้าใจยากแต่สรุปคือถ้าผ่านพวกตนก็จะได้พลังมาครอบครองหรือก็คือจะแข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง
ดูจากสภาพแวดล้อมกับสภาพของตัวเองที่มาอยู่ในชุดพร้อมชกมวยขนาดนี้
“งั้นคู่ชกของฉันก็คือนายเหรอ”
เมษาเดาไปแบบนั้น แต่โดโกบาร์ส่ายหัว
“เปล่า”
แล้วชี้ไปที่อีกมุมของสังเวียน
“เขาต่างหาก”
ชายหนุ่มสวมกางเกงนักมวยสีน้ำเงิน
ร่างกำยำผิวเข้มที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามทรงพลังยืนพิงเสามุมอยู่ที่นั่น
“กรกฏ...”
เมษาอ้าปากค้างไปแวบหนึ่ง
แค่แวบเดียวจริงๆ ที่ตกใจเพราะได้เจอกับ กรกฏ อีกครั้ง
พี่ชายในหมู่ธุวดารกะที่เขาเอาชนะไม่ได้
ครั้งสุดท้ายที่แลกหมัดไปเขาพ่ายแพ้ย่อยยับเพราะพลังของปีศาจที่ฝังอยู่ในตัวของกรกฏซึ่งเป็นเดโมนอยด์
เรื่องนี้เมษาเพิ่งจะรู้จากปากของรูบิเดียมหรือกุมภาที่เป็นคนที่กรกฏภักดีด้วย
แต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกประหลาด
“ทำไมรู้สึกว่าพี่แกตัวเล็กลงแถมหน้าอ่อนลงด้วยล่ะเนี่ย”
กรกฏที่พิงเสามุมอยู่ฟากตรงข้ามดูอ่อนวัยกว่าคราวก่อน
เท่าที่ดูแล้วน่าจะอายุพอๆ กับเขาเลยด้วยซ้ำ
โดโกบาร์พูด
“นั่นคือภาพฉายที่สะท้อนความทะเยอทะยานของเจ้าออกมา
ชายคนที่เจ้าเห็นคือคนที่อยากจะเอาชนะและภาพที่สะท้อนออกมาก็ถูกเปลี่ยนไปตามความปรารถนาของเจ้า
คนที่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นดีที่สุดคงเป็นเจ้าเองนั่นแหละ”
ถ้าอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมกรกฏถึงได้เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะทิฐิในใจของตัวเขาเอง
อยากเอาชนะกรกฏโดยที่แข่งกันอย่างเท่าเทียม
แล้วเท่าเทียมที่ว่าคงจะหมายถึงแบบนี้เอง
“นี่ไม่ใช่กรกฏตัวจริงสินะ”
เมษาพูดด้วยความเสียดาย ครั้งล่าสุดที่เขาเจอกรกฏก็คือที่สวนศักดิ์สิทธิ์
โดยที่ถูกชุบชีวิตมาเพื่อช่วยฝึกพวกทหารฝ่ายมนุษย์สำหรับเตรียมรบครั้งสุดท้าย
กรกฏตายเพราะถูกความว่างเปล่ากลืนเข้าไปโดยที่มันเกิดขึ้นหลังจากพวกเขาร่วมมือกับรูบิเดียมเพื่อเดินทางไปแชงกริล่า
กรกฏกับมนุษย์ต่างดาวชั้นครูจำนวนหนึ่งถูกทิ้งให้เฝ้ายานเอาไว้ขณะที่พวกเขาเดินเท้าขึ้นภูเขา
หลังจากที่พวกเขาโค่นพระเจ้าลงได้แต่ก็ถูกราหูหลอกเอานั่นเอง
ความว่างเปล่าก็กลืนกินโลกจนหมด กรกฏตายเพราะเหตุนั้น
ดั้งนั้นเมื่อรู้ว่าจะได้สู้กับกรกฏที่นี่หัวใจก็เหมือนกับจะพองโตขึ้นมา
ร่างกายร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ถึงนี่จะไม่ใช่ตัวจริงก็ตาม
เมื่อเห็นว่าเมษาพร้อมจะเริ่มการทดสอบแค่ไหน โดโกบาร์ก็พูด
“ถ้าได้ยินเสียงระฆังดังเมื่อไหร่การทดสอบจะถือว่าเริ่มขึ้นทันที”
“กติกาล่ะ”
“กติกา?”
โดโกบาร์เอียงคออย่างงุนงงขณะที่ทวนคำพูดไปด้วย
“จะนับแพ้นับชนะยังไงแล้วจะให้สู้กันด้วยอะไรเล่า มวยสากล มวยไทย มวยปล้ำ”
“ไม่มีของแบบนั้นหรอก ถ้าหมายถึงจะผ่านการทดสอบอย่างไรล่ะก็
แค่ฆ่าอีกฝ่ายให้ตายก็ผ่านแล้วจะทำยังไงก็ได้”
“แปลว่าเป็นเดธแมทสินะ”
เมษาเลื่อนสายตาไปที่กรกฏ
ซึ่งยังไม่แสดงท่าทีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าจะเป็นตัวจริง
ถ้าอย่างนั้นความหมายของการทดสอบนี้ก็คือถ้าทำลายภาพลวงตานั่นได้ก็จบแล้วสินะ
“ระวังด้วยล่ะถ้าถูกฆ่าตายที่นี่เจ้าก็จะตายจริงๆ ด้วยเหมือนกัน”
ข้อมูลจากโดโกบาร์ทำให้เขาหันควับไป
“หา”
ตอนนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังขึ้น ดังแกร๊ง อย่างก้องกังวาน
โดโกบาร์กระโดดตัวลอยขึ้นไปอยู่เหนือเวทีแล้วค้างอยู่อย่างนั้น
ไม่มีกรรมการแยกด้วยงั้นสิ
เมษาไม่มีเวลามาบ่นมากนัก ทันทีที่เสียงระฆังดัง
กรกฏก็พุ่งออกมาจากมุมพร้อมกับควงกำปั้นตรงดิ่งเข้ามา
กรกฏซัดหมัดมาด้วยความเร็วที่เขาหลบไม่ทัน หมัดจ้วงเข้าที่ลำตัวอย่างจัง
“อ่อก”
เมษาปลิวกระเด็นไปติดเชือก
ต้องใช้แขนล็อกเชือกเอาไว้ไม่อย่างนั้นตัวจะกระเด้งกลับไปแล้วตกเป็นเป้าให้หมัดของกรกฏอีก
กรกฏไล่ตามมา
ปล่อยหมัดแย็บรัวเหมือนปืนกลต้อนเขาไปติดมุมและขยับออกไปไม่ได้
ต้องคอยตั้งการ์ดป้องกันไม่ให้ชกโดนจุดสำคัญ ได้แต่ตั้งรับเพียงอย่างเดียว
ถึงอย่างนั้นเมษาก็ยังยิ้มได้อย่างมีความสุข
เขาปล่อยหมัดสวนออกไปบ้างแต่กรกฏหลบแล้วปล่อยหมัดสวนกลับ หมัดกระแทกเข้าที่แก้ม
ใบหน้าหันไปตามแรกชก แต่ว่าความเสียหายอยู่ในจุดพอจะรับได้
กรกฏที่ไล่ชกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายคนนี้มีพลังเทียบเท่ากับตัวเองซึ่งนั่นน้อยกว่ากรกฏตัวจริงหลายเท่า
ที่โดโกบาร์บอกว่าเป็นภาพสะท้อนความทะเยอทะยานของเขานั้นเป็นเรื่องจริง
หลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายถลุงเพื่อดูเชิงจนแน่ใจแล้วว่าพลังเท่ากันเมษาก็เริ่มโต้กลับ
เขาหวดหมัดใส่ขมับอีกฝ่ายจนนิ่งไปวินาทีหนึ่ง
ก่อนจะคบุกวงในเข้าไปปล้ำโน้มลำตัวเข้ามาเพื่อยัดเข่าใส่ท้อง
หลังจากตีเข่าไปหกครั้ง ก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของกรกฏที่กดลงมาที่ตัว
อีกฝ่ายจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเมษาเลยจับกรกฏทุ่มลงพื้นเวทีไป
กรกฏนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นผ้าใบ
แต่กลับไม่มีสีหน้าทรมานกลับกันยังพลิกตัวลุกขึ้นมาได้ทันที
เมษาเดาะลิ้น
“ชิ เมื่อกี้หลอกกันเรอะ”
พวกเขาเริ่มสู้กันต่อ หลายครั้งที่เมษาคิดว่าอัดจนกรกฏน่าจะน็อกแล้วแต่ทุกครั้ง
กรกฏก็จะลุกขึ้นมาโดยที่ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นแบบนี้ซ้ำๆ
ไปจนกระทั่งเขาเริ่มจะหมดแรง
“แฮ่ก แฮ่ก”
เมษาเหนื่อยหอบจนตัวโยน
ตอนนี้เขาต้องพึ่งอาศัยพิงหลังกับเชือกเพื่อให้ยืนไหวแล้วเงยหน้าขึ้นไปด้านบน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
เขาตะโกนใส่โดโกบาร์
เพราะกรกฏที่สู้อยู่ด้วยไม่รู้จักเจ็บหรือเหน็ดเหนื่อยเลยกลับกันมีแต่เขาที่ทั้งเจ็บทั้งเหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่คนเดียว
“ฉันซัดเจ้านั่นไปตั้งเยอะแต่ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลยขี้โกงกันนี่หว่า”
โดโกบาร์ชำเลืองสายตามาอย่างน่ากลัว
“ข้าคือผู้ตรวจตราแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยโกงอะไรทั้งนั้น
เจ้ามันโง่เองที่งัดข้อกับความทะเยอทะยานอันโง่เขลาของตัวเอง”
“อ้าว แล้วงี้จะให้ทำยังไงเล่า”
“นี่คือการทดสอบนั่นเป็นเรื่องที่เจ้าต้องหาทางแก้ด้วยตัวเองหรือไม่ก็ตายอยู่ที่นี่”
เมื่อโดโกบาร์พูดจบ กรกฏก็บุกเข้ามา
หนนี้เมษาไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะตั้งรับแล้ว
เขาถูกอัดจนลงไปนอนหงายท้องอยู่บนพื้นสังเวียน
กรกฏขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวแล้วถลุงหมัดใส่ไม่ยั้งมือ
ถ้าเป็นการแข่งขันตามปกตินี่ก็ผิดกติกา แต่ว่าในการต่อสู้จริง ในการฆ่ากันจริงๆ
ไม่มีใครมานั่งสนใจกติกาอยู่แล้ว
ตอนนี้ตัวเองจะถูกฆ่าโดยที่ทำไม่ได้แม้แต่จะเอาคืนหรือแสดงศักดิ์ศรีในฐานะนักสู้ให้กรกฏได้เห็นเลย
ทุกครั้งที่หมัดกระแทกเข้ามาที่หน้า สติก็จะลดลงไป ค่อยๆ ลดลงจนกว่าจะหมด
ถ้าตอนนั้นมาถึงเมื่อไหร่ก็เกมโอเวอร์
เสียงกับรสสัมผัสค่อยๆ เจือจางลงไป
เมษาเริ่มใช้ความคิด ท่ามกลางสติที่ลดน้อยลงไปทุกขณะ
คิดว่าทำไมกรกฏถึงไม่เป็นอะไรเลย
คิดถึงความหมายของการทดสอบนี้
ให้เอาชนะความทะเยอทะยานของตัวเอง…
อา…เป็นอย่างนี้เองเหรอ
เสียงหมัดกระแทกเข้ามาที่ใบหน้าดัง ปึก ในปากมีแต่รสขมเหมือนโลหะเต็มไปหมด
การรับรู้เริ่มจะกลับคืนมา แต่ก็เพียงเล็กน้อย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะผ่านการทดสอบนี้อย่างไร
เมื่อหมัดต่อไปพุ่งเข้ามาเมษายกมือขึ้นมากันมันเอาไว้แล้วตะโกนใส่ไปว่า
“ขอยอมแพ้!”
เกิดเสียงดัง ฟุ่บ
ร่างของกรกฏที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวเขาอันตรธานหายไปราวกับหมอกควัน
หลังจากนั้นก็นอนกองอยู่อย่างนั้นไปพักใหญ่กว่าจะมีแรงลุกขึ้นมานั่งได้
โดโกบาร์โรยตัวลงมายืนต่อหน้าเขาแล้วถามคำถาม
“ตัดใจจากบททดสอบแล้วรึ”
เมษาถ่มน้ำลายทิ้ง น้ำลายที่แดงก่ำเพราะมีเลือดผสมอยู่
เพื่อให้ปากที่ท่วมไปด้วยเลือดสามารถจะพูดได้
“ฉันชนะแล้วต่างหาก”
“ไม่ยอมรับความจริงเรอะ”
“ไม่ใช่ ฉันเอาชนะความทะเยอทะยานของตัวเองได้แล้วต่างหาก”
พอตอบออกไปแบบนั้นโดโกบาร์ก็ยิ้ม
คำตอบถูกต้องแล้วสินะ
เมษาพูดเพื่อจะยืนยันคำตอบที่เขาคิดได้ระหว่างที่กำลังจะแพ้ให้กับความทะเยอทะยานของตัวเอง
“ฉันไม่ได้อยากจะเอาชนะพี่กรกฏ แค่ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองแพ้ต่างหาก
ฉันสู้เขาไม่ได้ทั้งที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแล้วเพราะงั้นจะต้องเอาชนะให้ได้
นี่ต่างหากความทะเยอทะยานที่แท้จริงใช่ไหม”
โดโกบาร์พยักหน้ารับให้คำพูดนั้น
“นี่คือการทดสอบของข้าผู้ที่รักษาความสมดุลแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์
ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในตัวเจ้า”
แล้วเสกคันชั่งอันใหญ่ขึ้นมาถือ บนตาชั่งแต่ละฝั่งนั้นมีขนนก กับ
ก้อนหินอยู่กันคนละฝั่ง
ทั้งที่มวลของมันน่าจะต่างกันเป็นอย่างมากแต่คันชั่งกลับตั้งตรงไม่เอนเอียงไปฝั่งใด
“เมื่อต้องทดสอบข้าก็อยากจะทดสอบสมดุลของสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในตัวเจ้าด้วย
ด้านที่เด่นชัดนั้นยากจะรักษาสมดุลได้เพราะมันชัดเจนจึงไม่สมดุล”
คันชั่งสั่นขึ้นมาแล้วเริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งก้อนหิน
“เหมือนกับคันชั่งนี้ ‘ความทะเยอทะยาน’ นั้นเบาดั่งขนนก ‘ความจริง’ หนักอึ้งราวกับก้อนหิน
ข้าอยากจะเห็นความจริง อยากดูว่าเจ้านั้นสามารถลดทิฐิเพื่อรักษาสมดุลได้หรือไม่”
คันชั่งเริ่มเอนเอียงในทางกลับ ขนนกตกลงมาอยู่ระดับเดียวกับห้อนหินแล้ว
“สิ่งที่ทำให้คันชั่งนี้เอนเอียงก็คือทิฐิ
การทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิตนั้นไม่ได้แสวงหาคำตอบจากการต่อสู้แต่เป็นคำตอบจากจิตใจ
พวกพ้องคนอื่นของเจ้าก็คงกำลังเผชิญหน้ากับการทดสอบที่วัดผลจากจิตใจอยู่เช่นกัน”
ได้ยินดังนั้นเมษาก็ถามว่า
“นี่จะบอกว่าฉันผ่านแล้วงั้นสิ”
โดโกบาร์พยักหน้า
“อืม
เจ้าผ่านแล้วแต่ยังมีบททดสอบอีกสิบเอ็ดบทที่พวกพ้องของเจ้าจะต้องผ่านให้ได้ทั้งหมดหากผิดพลาดแม้แต่บททดสอบเดียวก็ถือว่าล้มเหลวทั้งหมด”
“งั้นตอนนี้ฉันต้องทำยังไงต่อ”
“รอ แค่รอเท่านั้นจนกว่าการทดสอบทั้งหมดจะสิ้นสุดลง”
“…”
เมษาแหงนหน้าขึ้นมองเพดานแล้วคิดว่าตอนนี้คนอื่นๆ กำลังเป็นอย่างไรกันบ้าง
แต่ตัวเขาเองก็เสียแรงไปมากจนคิดว่าจะนอนพักเอาแรเพิ่มในตอนนี้ก่อน
“ทุกคนพยายามเข้าล่ะ”
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งนั้น…
ในการทดสอบของเอพบูรอาร์ ผู้รดน้ำแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์
มีนายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นแม้แต่พื้น
หรือถ้าเกิดว่าไม่ได้แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากร่างของหญิงสาวที่กำลังพูดคุยด้วยเธอคงไม่เห็นกระทั่งปลายจมูกตัวเองด้วยซ้ำ
“การทดสอบของเจ้าคือโชค”
หญิงสาวมีขนรุงรังขึ้นเต็มทั้งใบหน้า เรียกว่ามนุษย์วานรเลยก็ยังได้
หล่อนสวมชุดวันพีชสีเขียวและห้อยโถน้ำซึ่งว่างเปล่าเอาไว้ด้วยเชือกที่มัดกับเอวบางๆ
ของหล่อน
“…”
มีนาจ้องมองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์
“คุณคือเครื่องทำสวนที่เป็นลิงกับคนโทใส่น้ำใช่ไหมคะ”
“นามของเราคือเอพบรูอาร์ ผู้รดน้ำแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์”
ใช่อย่างที่คิดจริงๆ
คุณซีลอร์ดบอกว่านี่เป็นการทดสอบเพื่อให้ได้พลังของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองถ้าคิดแบบนั้นแล้วจะได้เจอเครื่องทำสวนมาทดสอบเองก็ไม่แปลก
เอพบูรอาร์พูดต่อ
“อย่างที่บอกไปแล้วการทดสอบที่เจ้าจะได้รับจากเราคือการทดสอบเรื่องของโชค”
“โชคเนี่ย หมายถึงดวงดีอะไรแบบนี้น่ะเหรอคะ”
“ใช่ นี่เป็นการทดสอบว่าเจ้าจะมีโชคมากพอที่จะผ่านการทดสอบนี้ได้รึเปล่า”
มีนาขมวดคิ้วให้กับเนื้อหาของการทดสอบที่ดูแล้วไม่เข้าข้างตัวเธอเอาเสียเลย
ตั้งแต่เกิดมาเธอก็ร่างกายอ่อนแอจนเดินเองยังแทบไม่ได้
พอจะหายจากอาการป่วยโลกก็ล่มสลายเสียแล้ว
แถมยังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตั้งหลายครั้ง
ถึงแม้ว่าทุกครั้งคุณอิงศรจะมาช่วยเอาไว้ก็เถอะ
แต่คนที่ดวงตกที่สุดในกลุ่มน่าจะเป็นเรานี่ล่ะนะ
“แหมๆๆ มีคนที่โชคดีกว่าฉันตั้งเยอะแยะทำไมถึงได้เจาะจงฉันล่ะคะ”
เอพบูรอาร์หัวเราะ
“ฮึๆๆ
พูดแบบนั้นมาแสดงว่าตัวเจ้าเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีสินะว่าเป็นคนที่มีดวงเรื่องโชคขนาดไหน”
“อะ เดี๋ยวก่อนสิคะไหงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ”
แต่เอพบูรอาร์ไม่ฟังเธอเลย
“จงหาทางออกจากห้องแห่งนี้ให้ได้ภายในสามชั่วโมง
ถ้าผ่านไปครบสามชั่วโมงแล้วเจ้ายังออกจากห้องนี้ไม่ได้การทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิตทั้งหมดจะถือว่าล้มเหลวแม้ว่าคนอื่นๆ
จะผ่านบททดสอบได้หมดก็ตาม”
เมื่อพูดในสิ่งที่อยากพูดจนหมดเอพบูรอาร์ก็จากไปทันที
หายวับไปราวกับอากาศธาตุ รวมถึงเอาแสงสว่างของเธอไปด้วย
เมื่อไร้ซึ่งวี่แววของเอพบูรอาร์ บริเวณรอบๆ ก็กลับมามืดสนิท
ถึงแม้สายตาจะเริ่มชินกับความมืดแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลยซักอย่าง
ต้องหาทางออก...แต่จะทำอย่างไรล่ะที่นี่กว้างขนาดไหน
เป็นพื้นที่แบบไหนเราไม่รู้เลยซักกะนิดเดียว
มีนาเริ่มนึกถึงสิ่งที่พูดคุยกับเครื่องทำสวนไปในนั้นอาจจะมีคำบอกใบ้
“เอ รู้สึกจะพูดว่าให้ออกจากห้องนี้สินะคะ แสดงว่าที่นี่เป็นห้องสินะ”
ถ้าเป็นห้องพื้นที่ก็น่าจะจำกัดลงแล้วก็ต้องมีผนังกับประตูอยู่ที่ไหนซักแห่ง
มีนาถูเท้ากับพื้นเพื่อรับสัมผัส
พื้นไม่สากเลยแหะน่าจะเป็นพื้นมันสินะ”
มีนาเริ่มไถลเท้าไปตามพื้น
พลางยืดแขนออกไปข้างหน้าเผื่อว่าจะเจอกำแพงหรือผนัง
“บิงโก”
เธอเจอผนังแล้วหลังจากเดินมาได้ซักพัก
ทีนี้ก็จะอาศัยเดินเรียบผนังนี้เพื่อหาประตูหรือทางออกได้
จากที่ลองเดินมาซักพักหนึ่งแล้วแต่ไม่เจอสิ่งกีดขวางหรืออะไรเลยคาดว่าที่นี่คงเป็นห้องเปล่าๆ
มีนาเดินเลียบผนังไปเรื่อยๆ
โดยมือก็จำควานหาว่าผนังที่เดินไปมีอะไรผิดแปลกไปจากที่อื่นหรือไม่ ซึ่งบางทีนั่นอาจจะเป็นประตูหรือทางออกจากที่นี่
จนเมื่อเดินไปเจอผนังใหม่ขวางทางอยู่
ที่นี่น่าจะเป็นมุมของห้อง
เธอสรุปเช่นนั้นแล้วคลำหาทางต่อไปแบบนี้จนกระทั่งเจอมุมอีกสามมุมด้วยกัน
ตอนนี้เธอเริ่มจะรู้สภาพโดยรวมทั้งหมดของห้องนี้แล้ว
เพราะผนังล่าสุดที่แตะลงไปยังอุ่นอยู่เนื่องจากอุณหภูมิของห้องที่ค่อนข้างเย็นนั่นเอง
ห้องนี้มีสี่มุม
เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างราวๆ สิบตารางเมตร
“แต่ว่าทางออกอยู่ที่ไหนกันล่ะ”
เธอเดินวนมารอบห้องแล้วและไม่เจอประตูหรือหน้าต่างเลยซักบานเดียว
“หรือว่าจะมีบันไดอยู่ที่กลางห้อง”
มีนาทอดสายตาไปยังความมืดมิดตรงกลางซึ่งยังไม่ได้ไปสำรวจ
เวลาที่ใช้สำรวจห้องน่าจะทำเอาหมดไปครึ่งชั่วโมงได้แล้วล่ะมั้ง
มีนาเปิดหน้าจอระบบขึ้นมาเพื่อจะดูเวลาแล้วก็คำนวณเผื่อด้วยว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่โดยเริ่มนับจากครึ่งชั่วโมงแรก
ตอนที่เปิดหน้าจอขึ้นมาแสงสว่างที่ส่องอกมาทำให้หล่อนมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยว่าอาจจะใช้มันแทนไฟฉายได้
แต่แสงสว่างกลับไม่สามารถทะลวงผ่านความมืดมิดของห้องนี้ได้เลยมันทำได้แค่ให้เธอมองเห็นตัวเองกับรัศมีรอบๆ
นิดหน่อย
“ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรแหละนะ”
มีนาคิดแล้วว่าจะใช้ไฟจากหน้าจอช่วยส่องดูเส้นทางที่นำไปยังตรงกลางของห้องแล้วเริ่มก้าวออกห่างจากผนัง
ความคิดเห็น