ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #265 : Extra Log 261: โอเรียนเทียริงแห่งสายสัมพันธ์ของพี่น้อง 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 115
      6
      21 ก.ย. 61

    Extra Log 261: โอเรียนเทียริงแห่งสายสัมพันธ์ของพี่น้อง 1

     

                บนเพดานมืดทึมมีแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ที่ห้อยลงมาสาดส่องบริเวณรอบๆ

                เชือกขึงอยู่บนเสาที่ตั้งล้อมรอบทิศทั้งสี่ พื้นที่เหยียบอยู่เป็นผ้าใบสีขาว และถึงจะเจือจางอยู่บ้างแต่มีรอยคราบสีแดงจางๆ ส่งกลิ่นเหมือนโลหะอยู่ตามผ้าใบ รวมถึงกลิ่นอายของหยาดเหงื่อที่หลั่งลงบนที่แห่งนี้

                เมษาตระหนักว่าตนได้มายืนอยู่บนสังเวียนชกมวย โดยที่ตอนนี้ใส่ถุงมือ เปลือยอก และสวมกางเกงนักมวยสีแดงอยู่

                ที่นั่งคนดูที่รอบๆ เวทีนั้นไม่มีใครอยู่ แล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มาอยู่ที่นี่ในสภาพนี้เหมือนกัน

                จำได้ว่าถูกเรียกตัวไปรวมกับพวกพ้องคนอื่นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จากนั้นพออิงศรมาถึง ซีลอร์ดก็ทำให้แสงสว่างเปล่งวาบออกมาจากวงแหวนจากนั้นเขาก็หลงมาอยู่ที่นี่แล้ว

     

                การทดสอบของเจ้าคือการเอาชนะความทะเยอทะยาน

                จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง เมษาหันไปและพบเด็กชายซึ่งมีหูสุนัขอยู่บนหัวและแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสีฟ้าเหมือนกับที่พวกเขาสวม โดโรธี ไม่สินั่นมันชื่อที่มีนาตั้งให้ รู้สึกว่าหมอนี่จะชื่อ

                โดโกบาร์

                อะเออนั่นแหละๆ

                ใช่ โดโกบาร์นั่นเอง เขายังไม่เคยเรียกหมอนี่ว่าแบบนั้นมาก่อน แล้วเมื่อครู่ก็ได้ยินว่าที่นี่มีการทดสอบมันทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าที่ไปรวมตัวกันที่ใต้ต้นไม้นั่นก็เพื่อจะเข้ารับการทดสอบอะไรซักอย่างที่เข้าใจยากแต่สรุปคือถ้าผ่านพวกตนก็จะได้พลังมาครอบครองหรือก็คือจะแข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง

                ดูจากสภาพแวดล้อมกับสภาพของตัวเองที่มาอยู่ในชุดพร้อมชกมวยขนาดนี้

                งั้นคู่ชกของฉันก็คือนายเหรอ

                เมษาเดาไปแบบนั้น แต่โดโกบาร์ส่ายหัว

                เปล่า

                แล้วชี้ไปที่อีกมุมของสังเวียน

                เขาต่างหาก

                ชายหนุ่มสวมกางเกงนักมวยสีน้ำเงิน ร่างกำยำผิวเข้มที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามทรงพลังยืนพิงเสามุมอยู่ที่นั่น

                กรกฏ...

                เมษาอ้าปากค้างไปแวบหนึ่ง

                แค่แวบเดียวจริงๆ ที่ตกใจเพราะได้เจอกับ กรกฏ อีกครั้ง พี่ชายในหมู่ธุวดารกะที่เขาเอาชนะไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่แลกหมัดไปเขาพ่ายแพ้ย่อยยับเพราะพลังของปีศาจที่ฝังอยู่ในตัวของกรกฏซึ่งเป็นเดโมนอยด์ เรื่องนี้เมษาเพิ่งจะรู้จากปากของรูบิเดียมหรือกุมภาที่เป็นคนที่กรกฏภักดีด้วย

                แต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกประหลาด

                ทำไมรู้สึกว่าพี่แกตัวเล็กลงแถมหน้าอ่อนลงด้วยล่ะเนี่ย

                กรกฏที่พิงเสามุมอยู่ฟากตรงข้ามดูอ่อนวัยกว่าคราวก่อน เท่าที่ดูแล้วน่าจะอายุพอๆ กับเขาเลยด้วยซ้ำ

                โดโกบาร์พูด

                นั่นคือภาพฉายที่สะท้อนความทะเยอทะยานของเจ้าออกมา ชายคนที่เจ้าเห็นคือคนที่อยากจะเอาชนะและภาพที่สะท้อนออกมาก็ถูกเปลี่ยนไปตามความปรารถนาของเจ้า คนที่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นดีที่สุดคงเป็นเจ้าเองนั่นแหละ

     

                ถ้าอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมกรกฏถึงได้เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะทิฐิในใจของตัวเขาเอง อยากเอาชนะกรกฏโดยที่แข่งกันอย่างเท่าเทียม แล้วเท่าเทียมที่ว่าคงจะหมายถึงแบบนี้เอง

                นี่ไม่ใช่กรกฏตัวจริงสินะ

                เมษาพูดด้วยความเสียดาย ครั้งล่าสุดที่เขาเจอกรกฏก็คือที่สวนศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ถูกชุบชีวิตมาเพื่อช่วยฝึกพวกทหารฝ่ายมนุษย์สำหรับเตรียมรบครั้งสุดท้าย

                กรกฏตายเพราะถูกความว่างเปล่ากลืนเข้าไปโดยที่มันเกิดขึ้นหลังจากพวกเขาร่วมมือกับรูบิเดียมเพื่อเดินทางไปแชงกริล่า กรกฏกับมนุษย์ต่างดาวชั้นครูจำนวนหนึ่งถูกทิ้งให้เฝ้ายานเอาไว้ขณะที่พวกเขาเดินเท้าขึ้นภูเขา หลังจากที่พวกเขาโค่นพระเจ้าลงได้แต่ก็ถูกราหูหลอกเอานั่นเอง ความว่างเปล่าก็กลืนกินโลกจนหมด กรกฏตายเพราะเหตุนั้น

                ดั้งนั้นเมื่อรู้ว่าจะได้สู้กับกรกฏที่นี่หัวใจก็เหมือนกับจะพองโตขึ้นมา ร่างกายร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ถึงนี่จะไม่ใช่ตัวจริงก็ตาม

     

                เมื่อเห็นว่าเมษาพร้อมจะเริ่มการทดสอบแค่ไหน โดโกบาร์ก็พูด

                ถ้าได้ยินเสียงระฆังดังเมื่อไหร่การทดสอบจะถือว่าเริ่มขึ้นทันที

                กติกาล่ะ

                กติกา?”

                โดโกบาร์เอียงคออย่างงุนงงขณะที่ทวนคำพูดไปด้วย

                จะนับแพ้นับชนะยังไงแล้วจะให้สู้กันด้วยอะไรเล่า มวยสากล มวยไทย มวยปล้ำ

                ไม่มีของแบบนั้นหรอก ถ้าหมายถึงจะผ่านการทดสอบอย่างไรล่ะก็ แค่ฆ่าอีกฝ่ายให้ตายก็ผ่านแล้วจะทำยังไงก็ได้

                แปลว่าเป็นเดธแมทสินะ

                เมษาเลื่อนสายตาไปที่กรกฏ ซึ่งยังไม่แสดงท่าทีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าจะเป็นตัวจริง ถ้าอย่างนั้นความหมายของการทดสอบนี้ก็คือถ้าทำลายภาพลวงตานั่นได้ก็จบแล้วสินะ

                ระวังด้วยล่ะถ้าถูกฆ่าตายที่นี่เจ้าก็จะตายจริงๆ ด้วยเหมือนกัน

                ข้อมูลจากโดโกบาร์ทำให้เขาหันควับไป

                หา

                ตอนนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังขึ้น ดังแกร๊ง อย่างก้องกังวาน โดโกบาร์กระโดดตัวลอยขึ้นไปอยู่เหนือเวทีแล้วค้างอยู่อย่างนั้น

                ไม่มีกรรมการแยกด้วยงั้นสิ

                เมษาไม่มีเวลามาบ่นมากนัก ทันทีที่เสียงระฆังดัง กรกฏก็พุ่งออกมาจากมุมพร้อมกับควงกำปั้นตรงดิ่งเข้ามา

                กรกฏซัดหมัดมาด้วยความเร็วที่เขาหลบไม่ทัน หมัดจ้วงเข้าที่ลำตัวอย่างจัง

                อ่อก

                เมษาปลิวกระเด็นไปติดเชือก ต้องใช้แขนล็อกเชือกเอาไว้ไม่อย่างนั้นตัวจะกระเด้งกลับไปแล้วตกเป็นเป้าให้หมัดของกรกฏอีก

                กรกฏไล่ตามมา ปล่อยหมัดแย็บรัวเหมือนปืนกลต้อนเขาไปติดมุมและขยับออกไปไม่ได้ ต้องคอยตั้งการ์ดป้องกันไม่ให้ชกโดนจุดสำคัญ ได้แต่ตั้งรับเพียงอย่างเดียว

                ถึงอย่างนั้นเมษาก็ยังยิ้มได้อย่างมีความสุข เขาปล่อยหมัดสวนออกไปบ้างแต่กรกฏหลบแล้วปล่อยหมัดสวนกลับ หมัดกระแทกเข้าที่แก้ม ใบหน้าหันไปตามแรกชก แต่ว่าความเสียหายอยู่ในจุดพอจะรับได้

                กรกฏที่ไล่ชกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายคนนี้มีพลังเทียบเท่ากับตัวเองซึ่งนั่นน้อยกว่ากรกฏตัวจริงหลายเท่า ที่โดโกบาร์บอกว่าเป็นภาพสะท้อนความทะเยอทะยานของเขานั้นเป็นเรื่องจริง

     

                หลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายถลุงเพื่อดูเชิงจนแน่ใจแล้วว่าพลังเท่ากันเมษาก็เริ่มโต้กลับ

                เขาหวดหมัดใส่ขมับอีกฝ่ายจนนิ่งไปวินาทีหนึ่ง ก่อนจะคบุกวงในเข้าไปปล้ำโน้มลำตัวเข้ามาเพื่อยัดเข่าใส่ท้อง

                หลังจากตีเข่าไปหกครั้ง ก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของกรกฏที่กดลงมาที่ตัว อีกฝ่ายจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเมษาเลยจับกรกฏทุ่มลงพื้นเวทีไป

                กรกฏนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นผ้าใบ แต่กลับไม่มีสีหน้าทรมานกลับกันยังพลิกตัวลุกขึ้นมาได้ทันที

                เมษาเดาะลิ้น

                ชิ เมื่อกี้หลอกกันเรอะ

     

                พวกเขาเริ่มสู้กันต่อ หลายครั้งที่เมษาคิดว่าอัดจนกรกฏน่าจะน็อกแล้วแต่ทุกครั้ง กรกฏก็จะลุกขึ้นมาโดยที่ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นแบบนี้ซ้ำๆ ไปจนกระทั่งเขาเริ่มจะหมดแรง

                แฮ่ก แฮ่ก

                เมษาเหนื่อยหอบจนตัวโยน ตอนนี้เขาต้องพึ่งอาศัยพิงหลังกับเชือกเพื่อให้ยืนไหวแล้วเงยหน้าขึ้นไปด้านบน

                นี่มันอะไรกันเนี่ย

                เขาตะโกนใส่โดโกบาร์ เพราะกรกฏที่สู้อยู่ด้วยไม่รู้จักเจ็บหรือเหน็ดเหนื่อยเลยกลับกันมีแต่เขาที่ทั้งเจ็บทั้งเหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่คนเดียว

                ฉันซัดเจ้านั่นไปตั้งเยอะแต่ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลยขี้โกงกันนี่หว่า

                โดโกบาร์ชำเลืองสายตามาอย่างน่ากลัว

                ข้าคือผู้ตรวจตราแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยโกงอะไรทั้งนั้น เจ้ามันโง่เองที่งัดข้อกับความทะเยอทะยานอันโง่เขลาของตัวเอง

                อ้าว แล้วงี้จะให้ทำยังไงเล่า

                นี่คือการทดสอบนั่นเป็นเรื่องที่เจ้าต้องหาทางแก้ด้วยตัวเองหรือไม่ก็ตายอยู่ที่นี่

                เมื่อโดโกบาร์พูดจบ กรกฏก็บุกเข้ามา

                หนนี้เมษาไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะตั้งรับแล้ว เขาถูกอัดจนลงไปนอนหงายท้องอยู่บนพื้นสังเวียน

                กรกฏขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวแล้วถลุงหมัดใส่ไม่ยั้งมือ ถ้าเป็นการแข่งขันตามปกตินี่ก็ผิดกติกา แต่ว่าในการต่อสู้จริง ในการฆ่ากันจริงๆ ไม่มีใครมานั่งสนใจกติกาอยู่แล้ว

                ตอนนี้ตัวเองจะถูกฆ่าโดยที่ทำไม่ได้แม้แต่จะเอาคืนหรือแสดงศักดิ์ศรีในฐานะนักสู้ให้กรกฏได้เห็นเลย

     

                ทุกครั้งที่หมัดกระแทกเข้ามาที่หน้า สติก็จะลดลงไป ค่อยๆ ลดลงจนกว่าจะหมด ถ้าตอนนั้นมาถึงเมื่อไหร่ก็เกมโอเวอร์

                เสียงกับรสสัมผัสค่อยๆ เจือจางลงไป

                เมษาเริ่มใช้ความคิด ท่ามกลางสติที่ลดน้อยลงไปทุกขณะ

                คิดว่าทำไมกรกฏถึงไม่เป็นอะไรเลย

                คิดถึงความหมายของการทดสอบนี้

                ให้เอาชนะความทะเยอทะยานของตัวเอง

     

                อาเป็นอย่างนี้เองเหรอ

     

                เสียงหมัดกระแทกเข้ามาที่ใบหน้าดัง ปึก ในปากมีแต่รสขมเหมือนโลหะเต็มไปหมด การรับรู้เริ่มจะกลับคืนมา แต่ก็เพียงเล็กน้อย

                ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจะผ่านการทดสอบนี้อย่างไร

                เมื่อหมัดต่อไปพุ่งเข้ามาเมษายกมือขึ้นมากันมันเอาไว้แล้วตะโกนใส่ไปว่า

                ขอยอมแพ้!

                เกิดเสียงดัง ฟุ่บ ร่างของกรกฏที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวเขาอันตรธานหายไปราวกับหมอกควัน

                หลังจากนั้นก็นอนกองอยู่อย่างนั้นไปพักใหญ่กว่าจะมีแรงลุกขึ้นมานั่งได้

                โดโกบาร์โรยตัวลงมายืนต่อหน้าเขาแล้วถามคำถาม

                ตัดใจจากบททดสอบแล้วรึ

                เมษาถ่มน้ำลายทิ้ง น้ำลายที่แดงก่ำเพราะมีเลือดผสมอยู่ เพื่อให้ปากที่ท่วมไปด้วยเลือดสามารถจะพูดได้

                ฉันชนะแล้วต่างหาก

                ไม่ยอมรับความจริงเรอะ

                ไม่ใช่ ฉันเอาชนะความทะเยอทะยานของตัวเองได้แล้วต่างหาก

                พอตอบออกไปแบบนั้นโดโกบาร์ก็ยิ้ม

                คำตอบถูกต้องแล้วสินะ

                เมษาพูดเพื่อจะยืนยันคำตอบที่เขาคิดได้ระหว่างที่กำลังจะแพ้ให้กับความทะเยอทะยานของตัวเอง

                ฉันไม่ได้อยากจะเอาชนะพี่กรกฏ แค่ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองแพ้ต่างหาก ฉันสู้เขาไม่ได้ทั้งที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแล้วเพราะงั้นจะต้องเอาชนะให้ได้ นี่ต่างหากความทะเยอทะยานที่แท้จริงใช่ไหม

                โดโกบาร์พยักหน้ารับให้คำพูดนั้น

                นี่คือการทดสอบของข้าผู้ที่รักษาความสมดุลแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์ ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในตัวเจ้า

                แล้วเสกคันชั่งอันใหญ่ขึ้นมาถือ บนตาชั่งแต่ละฝั่งนั้นมีขนนก กับ ก้อนหินอยู่กันคนละฝั่ง ทั้งที่มวลของมันน่าจะต่างกันเป็นอย่างมากแต่คันชั่งกลับตั้งตรงไม่เอนเอียงไปฝั่งใด

                เมื่อต้องทดสอบข้าก็อยากจะทดสอบสมดุลของสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในตัวเจ้าด้วย ด้านที่เด่นชัดนั้นยากจะรักษาสมดุลได้เพราะมันชัดเจนจึงไม่สมดุล

                คันชั่งสั่นขึ้นมาแล้วเริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งก้อนหิน

                เหมือนกับคันชั่งนี้ ความทะเยอทะยานนั้นเบาดั่งขนนก ความจริงหนักอึ้งราวกับก้อนหิน ข้าอยากจะเห็นความจริง อยากดูว่าเจ้านั้นสามารถลดทิฐิเพื่อรักษาสมดุลได้หรือไม่

                คันชั่งเริ่มเอนเอียงในทางกลับ ขนนกตกลงมาอยู่ระดับเดียวกับห้อนหินแล้ว

                สิ่งที่ทำให้คันชั่งนี้เอนเอียงก็คือทิฐิ การทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิตนั้นไม่ได้แสวงหาคำตอบจากการต่อสู้แต่เป็นคำตอบจากจิตใจ พวกพ้องคนอื่นของเจ้าก็คงกำลังเผชิญหน้ากับการทดสอบที่วัดผลจากจิตใจอยู่เช่นกัน

                ได้ยินดังนั้นเมษาก็ถามว่า

                นี่จะบอกว่าฉันผ่านแล้วงั้นสิ

                โดโกบาร์พยักหน้า

                อืม เจ้าผ่านแล้วแต่ยังมีบททดสอบอีกสิบเอ็ดบทที่พวกพ้องของเจ้าจะต้องผ่านให้ได้ทั้งหมดหากผิดพลาดแม้แต่บททดสอบเดียวก็ถือว่าล้มเหลวทั้งหมด

                งั้นตอนนี้ฉันต้องทำยังไงต่อ

                รอ แค่รอเท่านั้นจนกว่าการทดสอบทั้งหมดจะสิ้นสุดลง

                “…”

                เมษาแหงนหน้าขึ้นมองเพดานแล้วคิดว่าตอนนี้คนอื่นๆ กำลังเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ตัวเขาเองก็เสียแรงไปมากจนคิดว่าจะนอนพักเอาแรเพิ่มในตอนนี้ก่อน

                ทุกคนพยายามเข้าล่ะ

     

     

                ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งนั้น

                ในการทดสอบของเอพบูรอาร์ ผู้รดน้ำแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์

                มีนายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นแม้แต่พื้น หรือถ้าเกิดว่าไม่ได้แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากร่างของหญิงสาวที่กำลังพูดคุยด้วยเธอคงไม่เห็นกระทั่งปลายจมูกตัวเองด้วยซ้ำ

                การทดสอบของเจ้าคือโชค

                หญิงสาวมีขนรุงรังขึ้นเต็มทั้งใบหน้า เรียกว่ามนุษย์วานรเลยก็ยังได้ หล่อนสวมชุดวันพีชสีเขียวและห้อยโถน้ำซึ่งว่างเปล่าเอาไว้ด้วยเชือกที่มัดกับเอวบางๆ ของหล่อน

                “…”

                มีนาจ้องมองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์

                คุณคือเครื่องทำสวนที่เป็นลิงกับคนโทใส่น้ำใช่ไหมคะ

                นามของเราคือเอพบรูอาร์ ผู้รดน้ำแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์

                ใช่อย่างที่คิดจริงๆ คุณซีลอร์ดบอกว่านี่เป็นการทดสอบเพื่อให้ได้พลังของเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองถ้าคิดแบบนั้นแล้วจะได้เจอเครื่องทำสวนมาทดสอบเองก็ไม่แปลก

                เอพบูรอาร์พูดต่อ

                อย่างที่บอกไปแล้วการทดสอบที่เจ้าจะได้รับจากเราคือการทดสอบเรื่องของโชค

                โชคเนี่ย หมายถึงดวงดีอะไรแบบนี้น่ะเหรอคะ

                ใช่ นี่เป็นการทดสอบว่าเจ้าจะมีโชคมากพอที่จะผ่านการทดสอบนี้ได้รึเปล่า

                มีนาขมวดคิ้วให้กับเนื้อหาของการทดสอบที่ดูแล้วไม่เข้าข้างตัวเธอเอาเสียเลย ตั้งแต่เกิดมาเธอก็ร่างกายอ่อนแอจนเดินเองยังแทบไม่ได้ พอจะหายจากอาการป่วยโลกก็ล่มสลายเสียแล้ว แถมยังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตั้งหลายครั้ง

                ถึงแม้ว่าทุกครั้งคุณอิงศรจะมาช่วยเอาไว้ก็เถอะ แต่คนที่ดวงตกที่สุดในกลุ่มน่าจะเป็นเรานี่ล่ะนะ

                แหมๆๆ มีคนที่โชคดีกว่าฉันตั้งเยอะแยะทำไมถึงได้เจาะจงฉันล่ะคะ

                เอพบูรอาร์หัวเราะ

                ฮึๆๆ พูดแบบนั้นมาแสดงว่าตัวเจ้าเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีสินะว่าเป็นคนที่มีดวงเรื่องโชคขนาดไหน

                อะ เดี๋ยวก่อนสิคะไหงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ

                แต่เอพบูรอาร์ไม่ฟังเธอเลย

                จงหาทางออกจากห้องแห่งนี้ให้ได้ภายในสามชั่วโมง ถ้าผ่านไปครบสามชั่วโมงแล้วเจ้ายังออกจากห้องนี้ไม่ได้การทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิตทั้งหมดจะถือว่าล้มเหลวแม้ว่าคนอื่นๆ จะผ่านบททดสอบได้หมดก็ตาม

                เมื่อพูดในสิ่งที่อยากพูดจนหมดเอพบูรอาร์ก็จากไปทันที หายวับไปราวกับอากาศธาตุ รวมถึงเอาแสงสว่างของเธอไปด้วย เมื่อไร้ซึ่งวี่แววของเอพบูรอาร์ บริเวณรอบๆ ก็กลับมามืดสนิท ถึงแม้สายตาจะเริ่มชินกับความมืดแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลยซักอย่าง

                ต้องหาทางออก...แต่จะทำอย่างไรล่ะที่นี่กว้างขนาดไหน เป็นพื้นที่แบบไหนเราไม่รู้เลยซักกะนิดเดียว

                มีนาเริ่มนึกถึงสิ่งที่พูดคุยกับเครื่องทำสวนไปในนั้นอาจจะมีคำบอกใบ้

                เอ รู้สึกจะพูดว่าให้ออกจากห้องนี้สินะคะ แสดงว่าที่นี่เป็นห้องสินะ

                ถ้าเป็นห้องพื้นที่ก็น่าจะจำกัดลงแล้วก็ต้องมีผนังกับประตูอยู่ที่ไหนซักแห่ง มีนาถูเท้ากับพื้นเพื่อรับสัมผัส

                พื้นไม่สากเลยแหะน่าจะเป็นพื้นมันสินะ

                มีนาเริ่มไถลเท้าไปตามพื้น พลางยืดแขนออกไปข้างหน้าเผื่อว่าจะเจอกำแพงหรือผนัง

                บิงโก

                เธอเจอผนังแล้วหลังจากเดินมาได้ซักพัก ทีนี้ก็จะอาศัยเดินเรียบผนังนี้เพื่อหาประตูหรือทางออกได้ จากที่ลองเดินมาซักพักหนึ่งแล้วแต่ไม่เจอสิ่งกีดขวางหรืออะไรเลยคาดว่าที่นี่คงเป็นห้องเปล่าๆ

                มีนาเดินเลียบผนังไปเรื่อยๆ โดยมือก็จำควานหาว่าผนังที่เดินไปมีอะไรผิดแปลกไปจากที่อื่นหรือไม่ ซึ่งบางทีนั่นอาจจะเป็นประตูหรือทางออกจากที่นี่ จนเมื่อเดินไปเจอผนังใหม่ขวางทางอยู่

                ที่นี่น่าจะเป็นมุมของห้อง เธอสรุปเช่นนั้นแล้วคลำหาทางต่อไปแบบนี้จนกระทั่งเจอมุมอีกสามมุมด้วยกัน

                ตอนนี้เธอเริ่มจะรู้สภาพโดยรวมทั้งหมดของห้องนี้แล้ว เพราะผนังล่าสุดที่แตะลงไปยังอุ่นอยู่เนื่องจากอุณหภูมิของห้องที่ค่อนข้างเย็นนั่นเอง

                ห้องนี้มีสี่มุม เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างราวๆ สิบตารางเมตร

                แต่ว่าทางออกอยู่ที่ไหนกันล่ะ

                เธอเดินวนมารอบห้องแล้วและไม่เจอประตูหรือหน้าต่างเลยซักบานเดียว

                หรือว่าจะมีบันไดอยู่ที่กลางห้อง

                มีนาทอดสายตาไปยังความมืดมิดตรงกลางซึ่งยังไม่ได้ไปสำรวจ เวลาที่ใช้สำรวจห้องน่าจะทำเอาหมดไปครึ่งชั่วโมงได้แล้วล่ะมั้ง

                มีนาเปิดหน้าจอระบบขึ้นมาเพื่อจะดูเวลาแล้วก็คำนวณเผื่อด้วยว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่โดยเริ่มนับจากครึ่งชั่วโมงแรก ตอนที่เปิดหน้าจอขึ้นมาแสงสว่างที่ส่องอกมาทำให้หล่อนมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยว่าอาจจะใช้มันแทนไฟฉายได้ แต่แสงสว่างกลับไม่สามารถทะลวงผ่านความมืดมิดของห้องนี้ได้เลยมันทำได้แค่ให้เธอมองเห็นตัวเองกับรัศมีรอบๆ นิดหน่อย

                ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรแหละนะ

                มีนาคิดแล้วว่าจะใช้ไฟจากหน้าจอช่วยส่องดูเส้นทางที่นำไปยังตรงกลางของห้องแล้วเริ่มก้าวออกห่างจากผนัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×