คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #260 : Extra Log 256: ความจริงของโลก 2
Extra Login 256: ความจริงของโลก 2
เมื่อเรืออาร์คลงจอดบนทุ่งหญ้าของสวนศักดิ์สิทธิ์
“งั้นผมจะไปรอที่ดาดฟ้าของหอคอยก่อนนะจะไปตรวจสอบเรื่องที่เธอขอเอาไว้ให้รีบตามมาล่ะ”
ออร์ฟี่กล่าวจบก็บินจากเรือไปยังหอคอยที่ตั้งห่างออกไปไม่มากนัก
ซึ่งตอนที่เคยขึ้นมาคราวก่อนยังไม่มีตั้งอยู่
คาดว่าเป็นฐานทัพที่ออร์ฟี่สน้างขึ้นมาเพื่อใบ้ประชุมหารือกับพวกแฟรนเซียมที่เขาคืนชีพขึ้นมา
การมีคนจำนวนมากจำเป็นต้องมีสถานที่สำหรับพูดคุย
อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีโต๊ะประชุมกับเก้าอี้
ไม่ใช่นั่งปิกนิคกันอยู่กลางทั่งกลางสวนแบบนี้
ซากิรินำพวกเขาไปยังบันไดสำหรับลงจากเรือที่อยู่ด้านหลัง
พอลงมาแล้วพวกเขาก็เดินอ้อมหลังเรือมั่งหน้าไปทางที่หอคอยตั้งอยู่
หอคอยสีขาวสูงสามชั้น ดาดฟ้าเปลือยไม่มีหลังคาออร์ฟี่รออยู่บนนั้น
พวกเขาผ่านประตูทางเข้าที่เป็นประตูกระจกและเปิดแบบอัตโนมัติ ภายในชั้นหนึ่งเป็นล๊อบบี้สมัยใหม่แตกต่างกับโครงสร้างของหอคอยที่ดูเหมือนหลุดมาจากยุคกลาง
แน่นอนว่ามีลิฟต์และจะใช้มันก็ได้แต่พวกเขาอยากสำรวจหอคอยนี่กันก่อนเลยจะเดินขึ้นบันไดเพื่อผ่านชั้นสองและสามก่อน
มีแต่พวกราชครูกับซากิริที่ขึ้นลิฟต์ไปก่อนคงเพราะพวกนั้นเคยเข้ามาที่นี่กันแล้ว
ชั้นสองของหอคอยเป็นห้องว่างเปล่าไม่เฟอร์นิเจอร์หรือของอำนวยความสะดวกวางเอาไว้
ไม่มีอะไรเลย ชั้นสามเองก็เหมือนกับชั้นสอง
ดูเหมือนว่าพวกที่ขึ้นลิฟต์ไปก่อนจะรู้อยู่แล้วว่าข้างในนี้มันกลวง
ดังนั้นพวกเขาจึงเร่งฝีเท้ารีบปีนขึ้นไปยังดาดฟ้าของหอคอย
ทันทีที่ขึ้นมาถึงก็เจอพวกที่ขึ้นลิฟต์มารออยู่ก่อน
แแล้วก็ออร์ฟี่ที่อยู่ตรงขอบของหอคอยโดยหันหน้ามองออกไปข้างนอกและมีวงแหวนแสงหรือก็คือบัลลังก์สวรรค์ล้อมรอบ
วงแหวนแางกำลังหมุนรอบตัวมันเองและเปล่งแสง กำลังตรวจสอบเรื่องที่เขาขอไปอยู่สินะ
พวกเขารอจนกระทั่งวงแหวนแสงหยุดหมุนและออร์ฟี่หันกลับมา
ออร์ฟี่พูด
“ผมตรวจสอบเรื่องที่เธอขอมาแล้วล่ะมันเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ด้วย”
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สินะ”
อิงศรตอบด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สมมติฐานอันน่ากลัวกำลังมีเค้าของความจริงผุดขึ้นมา
“…”
คนอื่นๆ
พากันมองมาที่เขาซึ่งนิ่งเงียบไปซักพักหนึ่งแล้วหลังจากตอบรับออร์ฟี่
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่
แต่สายตาของพวกพ้องกำลังฉายแววเป็นกังวลกันหมด
มันเป็นเรื่องที่ยากจะพูดและหดหู่เอาเสียเหลือเกิน
ตอนนั้นเอง ออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมา
“ที่ว่ามิ่งขวัญเคยทำมาแล้วนั่นล่ะ”
”หือ?”
อิงศรพอจะรู้อยู่ว่าออร์ฟี่หมายถึงเรื่องอะไรแต่เขาไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าใช่เรื่องเดียวกับที่กำลังคิดอยู่หรือเปล่า
“ตอนที่สู้กับโซลาริสน่ะพอเธอฟื้นขึ้นแล้วเห็นผมในรูปแบบไฮพีเรียลไลซ์เธอก็พูดออกมาว่าเหมือนกับที่มิ่งขวัญเคย”
ออร์ฟี่พูดจบก็หันไปถามมิ่งขวัญ
“เธอเคยทำไฮพีเรียลไลซ์ด้วยเหรอ มิ่งขวัญ”
สายตาของทุกคนย้ายไปที่มิ่งขวัญแทน
กวินทร์ที่ทำหน้าไม่เข้าใจก็ถามมิ่งขวัญอย่างเซ่อๆ
“เคยทำด้วยเหรอ”
แน่นอนว่ามิ่งขวัญปฏิเสธ
“ไม่เคยซักหน่อย”
มิ่งขวัญส่ายหน้า
แต่ในความจริงแล้วหมอนั่นเคยทำได้มาก่อนแต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคือพลังแบบเดียวกับที่ออร์ฟี่ใช้
พลังที่เรียกว่า ‘ไฮพีเรียลไลซ์’
กรณีของมิ่งขวัญเคยเกิดขึ้นเพราะอาคานาร์ของหมอนั่นวิวัฒนาการขึ้นมาตอนที่ตกอยู่ในวิกฤติถึงชีวิต
ส่วนกรณีของออร์ฟี่ได้ยินว่าหมอนั่นไดรับพลังมาจากอดัมซึ่งปรากฏตัวมาตอนที่เขาตายเพราะสู้กับโซลาริส
แล้วก็ยังมีกรณีของกฤษณะที่กลายเป็นกัลกีด้วยพลังของอาคานาร์
เจ้านั่นเรียกการแปลงร่างนั้นว่าไฮพีเรียลไลซ์
ทั้งสามกรณีมีสิ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่ซึ่งก็คือ ราหู
นั่นเองเจ้านั่นเป็นคนที่มอบอาคานาร์ให้พวกเราเพื่อจะหลอกใช้ให้เดินตามแผนการของมันทั้ง
มิ่งขวัญและกฤษณะเป็นกรณีเดียวกันคือเป็นผ่านไพ่อาคานาร์ ส่วนออร์ฟี่เป็นผ่านอดัม
ซึ่งอดัมนั้นตัวจริงกลับเป็นสมุนของราหูมาตั้งแต่แรก
หรือก็คือ ราหู เป็นศัตรูที่ควบคุมพลังซึ่งเรียกว่า ไฮพีเรียลไลซ์ นั่นเอง
อิงศรพูดตอบคำถามของออร์ฟี่ที่ค้างไว้
“บนเกาะร้างที่นายส่งพวกฉันหนีไปตอนนั้นน่ะ
พวกฉันเจอคนที่มาจากฟาวเดชั่นอีเจ้านั่นเรียกตัวเองว่ากฤษณะ
นั่นน่าจะเป็นร่างไฮพีเรี่ยนของนรินทร์”
“ไฮพีเรี่ยนเหรอ”
ออร์ฟี่พูดด้วยความสงสัยขณะเดียวกันสายตาก็ขยับไปทางนรินทร์ด้วย
ทว่า มีนาก็ถามขึ้นมาในตอนนั้น
“ไอ้ ไฮพีเรี่ยนเนี่ยมันคืออะไรกันแน่คะ”
จะว่าไปแล้วนอกจากเขา มิ่งขวัญ และ
กวินทร์ที่อยู่ฟังรูบิเดียมพูดเรื่องร่างกายไฮพีเรี่ยนตอนอยู่ที่
แชงกรีลาแล้วพวกพ้องคนอื่นในกลุ่มของเขาไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับไฮพีเรี่ยนเลยซักคน
เขาตอบมีนาไปว่า
“คิดว่ามันเหมือนกับที่มิ่งขวัญเคยทำที่เกาะน่ะที่เหมือนกับการเปลี่ยนร่างนั่น”
ตอนที่พูดออกไปมิ่งขวัญก็มีปฏิกิริยากับคำพูดออกมาเล็กน้อย
ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าหัวข้อที่กำลังพูดกันอยู่คือเรื่องที่มิ่งขวัญกลายร่างเป็นตัวเองในอนาคตจากโลกคู่ขนาน
มิ่งขวัญจากโลกคู่ขนานคนเดียวกับที่สละชีพช่วยพวกเขาหนีตายมาเมื่อไม่นานนี้เอง
มีนาพูด
“เปลี่ยนร่างเนี่ยหมายถึงไอ้แบบที่เห็นกันบ่อยๆ
ในการ์ตูนใช่ไหมคะที่แบบออกมาตอนจะจัดการบอสตัวสุดท้ายไรแบบนี้”
“ก็ประมาณนั้นล่ะมั้ง อ้อ พวกมนุษย์ต่างดาวเองก็นับด้วยเหมือนกัน”
พอพูดไปมีนาก็ทำหน้ายิ้มแหยๆ
“แล้วไฮพีเรี่ยนที่ว่านั่นคุณซีลอร์ดก็ทำได้ตอนที่จัดการโซลาริสด้วยสินะคะ รวมกับจากที่ฟังมาศัตรูที่หน้าเหมือนกับคุณนรินทร์ก็ใช่ด้วย”
ดูเหมือนหล่อนจะทำความเข้าใจได้รวดเร็วกว่าที่คิด
“แล้วก็จากที่ฟังมาดูเหมือนไฮพีเรี่ยนกับไฮพีเรียลไลซ์จะมีความเกี่ยวข้องกันด้วยแล้วก็โยงไปเกี่ยวกับอาคานาร์พลังของคุณอิงศรซึ่งที่จริงแล้วเป็นพลังที่มหาเทพราหูนั่นมอบให้ตามแผนการของมัน
ถ้าสรุปตามนี้แล้วศัตรูของเราก็คือคนที่ควบคุมและใช้งานไฮพีเรี่ยนพลังอันแข็งแกร่งได้อย่างอิสระน่ะสิคะ”
สมกับที่เคยเป็นหน่วยข่าวกรองมาก่อนหล่อนสรุปข้อมูลได้ถูกต้องเกือบทั้งหมดเลยทีเดียว
อิงศรพยักหน้าแล้วพูดชมหล่อนด้วยความรู้สึกทึ่ง
“เธอนี่มันร้ายเป็นบ้าเลยแฮะ”
มีนายิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันเคยเป็นคนของหน่วยข่าวกรองมาก่อนนะคะแล้วก็เคยสืบเรื่องของพี่สิงห์มาด้วย”
หล่อนพูดพลางชายตาไปยังแฟรนเซียม
แฟรนเซียมจึงพูดตอบโต้
“แล้วเธอที่แสนปราดเปรื่องคนนั้นก็ถูกฉันใช้ให้ไปสืบข้อมูลจากอิงศรอีกทีแล้วก็ทำได้ดีซะด้วยสำหรับในตอนนี้ล่ะนะ”
ที่พูดนั่นแฟรนเซียมคงจะหมายถึงที่หล่อนสรุปเรื่องราวออกมานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถึงจะมานั่งสรุปเรื่องพลังของศัตรูเอาหลังจากที่พวกเขาไปเห็นด้วยตาตัวเองกันมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์
ใจความสำคัญที่เขาเรียกให้ประชุมยังไม่ถูกพูดขึ้นมาเลย
อิงศรหันไปพูดกับออร์ฟี่
“จะว่าไปแล้วนายน่ะตกลงแล้วความทรงจำของนายเองสามารถเชื่อได้รึเปล่า”
นี่คอคำถามชี้นำไปยังหัวข้อของการประชุม
แน่นอนว่าเขากำลังถามออร์ฟี่ถึงเรื่องของอดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ซึ่งเป็นเพื่อนของออร์ฟี่
เป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมอร์คาบาห์ของเขามาโดยตลอดและเป็นคนเปลี่ยนออร์ฟี่จากเครื่องทำสวนให้กลายมาเป็นมนุษย์ในร่างไฮพีเรี่ยน
รวมถึงการที่อดัมนั้นแท้จริงแล้วเป็นสมุนคนหนึ่งที่ราหูส่งมาล้างสมองออร์ฟี่
ให้ช่วยแผนการของพวกมัน
“นั่นสินะ อดัมเป็นศัตรูที่มาล้างสมองผมถ้าอย่างนั้นข้อมูลที่ได้จากผมทั้งหมดอาจจะผิดก็ได้ดังนั้นแล้วเธอคิดจะถามอะไรผมล่ะอิงศร“
อิงศรจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของออร์ฟี่
นั่นคือดวงตาของมนุษย์ถ้าเป้นตอนนี้เขาน่าจะจับโกหกได้
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจแต่สำหรับตอนนี้มันจำเป็นจะต้องทำให้แน่ใจเสียก่อนว่าแม้แต่ออร์ฟี่ก็ไม่ได้เป็นเบี้ยของศัตรูเหมือนกัน
อิงศรพูด
“โซลาริสเคยพูดกับฉันว่า อย่าทำผิดซ้ำเหมือนครั้งบรรพบุรุษในสวนแห่งนี้”
“จะบอกว่ามันขัดแย้งกับที่อดัมเป็นสปายดังนั้นน่าจะไม่ได้อยู่ที่สวนแห่งนี้สินะ
ตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่พอมาคิดๆ ดูแล้วผมว่ามีความเป็นไปได้สูงมากเลยล่ะที่จะเป็นความจริง”
“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นล่ะ”
“ตอนที่เธอโดนฆ่าตายไปโซลาริสบอกกับผมว่าอดัมไม่มีตัวตนอยู่บนสวน
ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าแอดมินิสเทรเตอร์จงใจจะบิดเบือนความคิดของผมเพื่อให้กลับไปรับใช้เขา...”
เมื่อเห็นว่าออร์ฟี่กระอักกระอ่วนที่จะพูดต่อ
อิงศรจึงพูดที่เหลือต่อให้เอง
“เพราะงั้นนายก้เลยคิดว่าตัวเองโดนล้างสมองจริงๆ อดัมไม่ได้มีอยู่บนสวนนี่มาตั้งแต่แรกแล้วสินะ
ถ้าอย่างนั้นที่โซลาริสพูดกับฉันน่ะมันหมายถึงใครกันแน่”
ถ้าหากว่ามันไม่เคยมีอดัมอยู่บนสวนแห่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้วอะไรคือบรรพบุรุษของพวกเขากัน
ตอนนั้นเอง
แฟรนเซียมก็พูดขึ้นมา
“ในรอบก่อน...”
สายตาของทุกคนหันเหไปที่หมอนั่น
“จากโลกคู่ขนานที่ฉันโดนพามา มนุษย์ที่มาจากโลกนั้น
มนุษย์ต่างดาวก็คือบรรพบุรุษของพวกนายพูให้ถูกก็คือแอดมินิสเทรเตอร์มันรู้เรื่องการข้ามมิติมาตั้งแต่แรกแล้วไงล่ะนั่นแหละคือความหมายของคำพูดที่พวกนายกำลังสงสัยกันอยู่”
พอได้ข้อมูลตรงนั้นมาแล้วมันก็ช่วยให้สรุปอะไรบางอย่างออกมาได้
อิงศรพูด
“เข้าใจล่ะ ถ้างั้นความหมายของนิมิตที่ฉัน ขวัญ กวินทร์
แล้วก็รูบิเดียมเคยเห็นนั่นก็คือสิ่งที่เมอร์คาบาห์พยายามจะบอกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในโลกของแฟรนเซียมนี่เอง”
นิมิตที่
คราสสวัสติกะ ปรากฏขึ้นเหนือสวนศักดิ์สิทธิ์และแผดเผามัน นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกคู่ขนานอื่นซึ่งถูกเรียกว่า
‘วัฎจักร’ หรือ ‘ลูป’ ที่ผ่านมา มันระบุถึงโลกที่แตกพ่ายต่อราหูไปแล้วนั่นเอง
แล้วก็คงจะไม่ได้มีแค่หนึ่งโลกคู่ขนาน
โลกของมิ่งขวัญในอนาคตนั่นน่าจะเป็นคนละโลกกับของแฟรนเซียม
อิงศรถามต่อ
“แฟรนเซียมแล้วนายน่ะจำเรื่องก่อนที่โลกจะล่มสลายในโลกฝั่งของนายได้รึเปล่า”
แฟรนเซียมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้น”
“บอกมาเถอะน่าตกลงว่าจำได้หรือไม่ได้”
แฟรนเซียมนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะตอบว่า
“พูดตามตรงฉันบอกไม่ได้ว่าจำได้หรือไม่ได้”
“ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นน่ะคือพอนึกขึ้นมาก็เหมือนกับมีตัวหนังสือลอยเข้ามาบอกในหัวแต่นึกภาพกับความรู้สึกของความทรงจำตอนนั้นไม่ออกใช่ไหม”
พอเขาพูดไปแบบนั้นแฟรนเซียมก็
“ทำไมนายถึงรู้”
นั่นปะไร...ทุกอย่างเริ่มจะปะติดปะต่อกันแล้ว
อิงศรถามต่อไปอีก
“แล้วความทรงจำส่วนของสิงห์ล่ะนายเติบโตมายังไงถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนยังจำความรู้สึกกับนึกภาพพวกนั้นออกไหม”
แต่ข้าวหลามที่ยืนอยู่ข้างๆ
กลับแย้งมา
“มันก้ต้องจำได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงก็ฉันกับสิงห์น่ะ...”
แต่แฟรนเซียมก็ฟาดหลังมือไปที่หน้าอกข้าวหลามเบาๆ
เป็นการปราม
แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้านั้น ดูเหมือนแฟรนเซียมจะเริ่มเข้าใจความคิดของเขาขึ้นมาแล้วกระมัง
“ฉันว่าพอจะรู้แล้วล่ะนะว่านายคิดอะไรอยู่เพราะงั้นจะตอบตามความจริง”
แฟรนเซียมหันไปเผชิญหน้ากับข้าวหลาม
“หลามจำตอนที่ฉันไปเจอแล้วเก้บแกมาได้ใช่ไหม”
“เออ สิ”
ข้าวหลามตอบอย่างมั่นใจ
“ตอนนั้นฉันทำอะไรบ้าง”
“ก็ลงจากรถหรูมาหาฉันที่หิวโซจนใกล้จะอดตายอยู่บนถนน
เอาน้ำกับกระบอกข้าวหลามมาให้ฉันไง”
“ข้าวเหนียวที่แกกินเป็นข้าวเหนียวดำหรือขาว”
“เอ่อ...เรื่องนั้นจำไม่ได้หรอก”
“ถ้างั้นรสชาติล่ะ”
“ก็จำไม่ได้อีกนั่นแหละ”
“งั้นคงจำหน้าตาของมันได้ใช่ไหม”
หนนี้ข้าวหลามกอดอกพยายามนึกอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออก
“จำไม่ได้”
“จำเรื่องปลีกย่อยไม่ได้เลยสินะ”
แฟรนเซียมหันกลับไปตอบที่อิงศรถามค้างไว้
“ถ้างั้นฉันก็ยืนยันเสียงเดียวกับเจ้านี่ ฉันจำอะไรของสิงห์ ธุวดารกะไม่ได้เลยทั้งก่อนและหลังจากที่กลายเป็นฉันในตอนนี้ความทรงจำทั้งหมดเป็นแค่บันทึกเหตุการณ์มีแต่ตัวหนังสือไม่มีภาพประกอบ
มันตรงกับที่นายคิดไว้แล้วใช่ไหมอิงศร”
แฟรนเซียมดูออกจริงๆ
นั่นแหละว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
อิงศรพูด
“ก่อนหน้านี้ฉันเหมือนจะเคยไปที่โลกอื่นมาก่อน แต่ว่าผ่านทางความฝันน่ะ”
แฟรนเซียมทวนคำพูดนั้น
“ความฝัน?”
อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น
“อืม เวลาที่ฉันสลบเหมือนกับว่าจิตใจมันจะหลุดลอยไปที่อื่นเรื่องนี้มันเริ่มเกิดขึ้นหลังจากฉันได้เมอร์คาบาห์มาคิดว่าสาเหตุก็คงมาจากเมอร์คาบาห์นั่นแหละ
เวลาที่จิตใจของฉันหลุดลอยไปหาตัวเองในโลกคู่ขนานอื่นฉันจะได้รับความทรงจำของตัวเองในโลกนั้นมาแต่ก็นึกออกแค่เป็นตัวหนังสือแบบนาย”
พอพูดไปแล้วออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมา
“หมายความว่าเธอไฮพีเรียลไลซ์ไปหาตัวเองในโลกคู่ขนานอื่นได้อย่างนั้นสินะ”
ดูเหมือนคำว่า
‘ไฮพีเรียลไลซ์’ จะเป็นปฏิกิริยาของการเกิด ‘ไฮพีเรี่ยน’ ออร์ฟี่คงสรุปมันเป็นแบบนั้นถึงได้จงใจใช้คำพูดว่าเขาไฮพีเรียลไลซ์ไปไม่ใช่จิตหลุดลอยไป
อิงศรหันไปพูดกับน้องชาย
“ขวัญนายเองก็เคยไปมาแล้วใช่ไหมโลกที่เกมโลกาวินาศเป็นแค่เกมคอมพิวเตอร์เท่านั้นตัวฉันกับนายใช้ชีวิตสงบสุขไม่ต้องต่อสู้เหมือนตอนนี้น่ะ”
“ก็เคยอยู่หรอกแต่มันเป็นแค่ความฝันนี่แล้วมันยังไงกันล่ะ”
เป็นอันว่าสมมติฐานที่เขาคิดเอาไว้ได้รับการยืนยันเรื่องหนึ่งแล้ว
ต่อไปก็ซากิริ
อิงศรนึกสงสัยในตัวหล่อนที่มายืนอยู่ตรงนี้มาซักพักหนึ่งแล้วซึ่งมันจะช่วยตอบคำถามเรื่องสมตติฐานที่เขากำลังคิดไม่ตกอยู่นี้ได้อย่างแน่นอน
“อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยก็คือคุณซากิริ”
หล่อนชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเองแล้วพูด
“ฉันทำไมเหรอ”
“ก็เรื่องที่ชุบชีวิตคุณน่ะสิ ทำไมถึงเป็นชุบชีวิตในเมื่อคุณเป็นเทวทูต เป็นปีศาจอย่างหนึ่งที่จะกลับสู่อาคาชิกเรคคอร์ดเมื่อตายทำไมถึงไม่ใช่การอัญเชิญขึ้นมาใหม่”
“…”
“จากที่พอจะรู้มาคุณน่ะไม่ได้รู้เห็นหรือข้องเกี่ยวกับเมตไตรยเลยดังนั้นคนที่ช่วยงานพวกนั้นมาตลอดก็คือซาคคิเอลถ้าอย่างนั้นทำไมออร์ฟี่ถึงอัญเชิญแค่ซาคคิเอลลงมาไม่ได้”
ทว่า
เจ้าตัวที่โดนถามกลับ
“เป็นความจริงเหรอ
ขนาดตัวฉันเองยังไม่รู้เรื่องเลยนะตอนแรกก็นึกว่าเป็นเงื่อนไขพลังของเครื่องทำสวนซะอีก”
แต่ออร์ฟี่ส่ายหน้า
“พลังส่วนตัวของผมเองน่ะคืนชีพให้ได้กับร่างที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานและยังมีร่างกายเหลือเกือบสมบูรณ์เท่านั้น
สิ่งที่คืนชีพให้กับทุกคนในครั้งนี้คือพลังจาก ‘บัลลังก์สวรรค์’
แต่ก็อย่างที่อิงศรพูดไปนั่นแหละทำไมถึงอัญเชิญซาคคิเอลไม่ได้แต่พอใช้บัลลังสวรรค์กลับได้คืนตัวเธอมาพร้อมกับซาคคิเอลนี่เป็นเรื่องที่ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
อิงศรพูดต่อทันที
“แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเรื่องเมล์ตัวจับเวลาความตาย”
พอพูดออกไปออร์ฟี่ก็หันเหความสนใจมาที่เขา
“มันทำไมเหรอ”
“มันไม่ส่งมาตอนที่มิ่งขวัญจากโลกคู่ขนานจะตาย”
“ไม่ใช่ว่าเพราะเขามาจากโลกอื่นเหรอเมล์ถึงได้ไม่มีผลกับมิ่งขวัญคนนั้น”
“แต่ฉันเคยได้รับเมล์ของสิงห์มาก่อนหมอนั่นคือแฟรนเซียมเป็นคนจากโลกอื่นเหมือนกัน”
ออร์ฟี่ได้ยินเข้าไปแบบนั้นก็เริ่มคิดตามคำพูดของเขา
“บางทีอาจจะเกี่ยวกับสภาพร่างกายที่เรียกว่าไฮพีเรี่ยนด้วยก็ได้”
“แม้แต่นายเองก็ยังไม่รู้งั้นเหรอ”
“มีหลายๆ เรื่องที่ผมเองก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับอาคาชิกเรคคอร์ดเหมือนกัน
มันมีอยู่มาก่อนแอดมินิสเทรเตอร์เสียอีก”
พูดจบ
ออร์ฟี่ก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าของสวนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีคลื่นกระเพื่อมเหมือนทะเล
“ทะเลบนหัวพวกเรานั่นก็คือร่างที่แท้จริงของอาคาชิกเรคคอร์ด”
ทุกคนพากันแหงนหน้าตาม
“ไอ้นั่นน่ะเหรอ”
อิงศรพูด
เขาจำได้ว่าตอนที่โซลาริสตายมันก็จมลงไปในทะเลของท้องฟ้า นั่นเท่ากับกลับคืนสู่อคาชิกเรคคอร์ดเหมือนกรณีของปีศาจด้วยหรือเปล่า
ออร์ฟี่พูดต่อไปว่า
“แอดมินิสเทรเตอร์นั้นเดิมทีมีหน้าที่ปกป้องรักษาทะเลแห่งข้อมูลซึ่งก็คืออาคาชิกเรคอร์ดนี่
แต่ว่าไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับมันนักหรือไม่ก็ปิดบังอะไรเอาไว้เลยไม่ยอมบอกเครื่องทำสวนหรือใครเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย”
สิ่งที่ออร์ฟี่พูดรับกับความคิดของเขา
“แล้วตอนนี้นายตรวจสอบมันได้แล้วใช่ไหมล่ะตอนนี้นายเป็นแอดมินสเทรเตอร์แล้ว”
“ใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะว่าข้อมูลที่ตรวจสอบมามันเหลือเชื่อเกินไป”
“แล้วมันเป็นยังไง”
ออร์ฟี่ก้มหน้าลงมา
จ้องเขม็งมาที่เขาอย่างมีนัยยะ
“อิงศร”
“ว่าไง”
“เธอกำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่รึเปล่า”
“ทำไมถึงถามแบบนั้นนายน่าจะอ่านใจฉันได้นะน่าจะรู้แล้วสิว่าฉันกำลังกังวลอะไรอยู่”
ออร์ฟี่พยักหน้าแล้วผ่อนลมหายใจ
“เฮ้อ มันก็ใช่แหละนะ
แต่เรื่องมันน่ากลัวเกินกว่าจะพูดเนี่ยสิเพราะงั้นผมถึงไม่อยากจะพูดเองว่าแต่เธอรวบรวมหลักฐานได้หมดแล้วใช่ไหม”
“มันก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ยังไงนี่ก็แค่เดาสุ่มเอาแต่ว่า…”
“แต่มันมีความเป็นไปได้สูงมากถ้าเชื่อตามที่มหาเทพราหูอะไรนั่นพูดไว้ใช่ไหมล่ะแล้วก็ถ้าเชื่อตามที่แฟรนเซียมพูดมา
รวมถึงเรื่องที่ชุบชีวิตซาคคิเอลแทนที่จะเป็นการอัญเชิญใหม่
ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้ไปที่คำตอบในใจของเธอ ผมว่าถ้ามันจำเป็นก็พูดออกมาดีกว่านะ”
“…”
อิงศรไม่พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
ออร์ฟี่คงเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่พูดได้ยากจริงๆ
แต่มันมีเค้าความจริงอยู่สูงมากทีเดียว
บรรยากาศอันน่าอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นจากการถกเถียงกันระหว่างเขากับออร์ฟี่จนทำให้มีคนหนึ่งทนไม่ไหว
“โว้ยยยย!”
เมษาพูดเสียงดัง
“พวกนายสองคนอย่าคุยกันรู้เรื่องแค่พวกตัวเองเด้! เล่าให้พวกฉันเข้าใจมั่งจะได้ไหมอึดอัดว้อยย!!”
มิกซ์พูด
“แต่ผมสังหรณ์ว่าถึงอธิบายไปพวกเราก็อาจจะไม่เข้าใจก็ได้นะ”
พลางเกาหัวไปด้วยความงวยงง
“อืม…อืม…”
ฟูทำเสียงงึมงำเหมือนกำลังใช้ความคิด
จนมิกซ์เอ่ยขัด
“อย่างฟูถึงคิดไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
“อะไรเล่า คนเขาอุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะ”
“แต่นายส่งเสียงงึมงำน่ารำคาญนี่นา”
ก่อนที่การสนทนาจะลอยออกนอกเรื่อง
แฟรนเซียนก็กล่าวดึงที่ประชุมกลับมายังหัวข้อหลักอีกครั้ง
“แล้วไงล่ะ ตกลงนายรู้อะไรอยู่อิงศรไม่ลองบอกมาให้ฟังดูหน่อยล่ะ
ฉันรอคำตอบที่นายกำลังคิดเอาไว้ว่าจะตรงกับที่ฉันเดาอยู่ไหม”
“…”
อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น
เขาเองก็คิดว่ามันควรจะต้องบอกตามที่ออร์ฟี่ว่า แล้วแฟรนเซียมเองก็ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วจากการที่โดนเขาซักถามไปเสียขนาดนั้น
เขาพูดกับออร์ฟี่
“ออร์ฟี่นายบอกผลการวิเคราะหืที่ฉันถามไปมาหน่อยสิ”
“มันเป็นอย่างที่เธอพูดเลยล่ะอิงศร อาคาชิกเรคคอร์ดบันทึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดเอาไว้แต่ไม่มีเรื่องก่อนหน้านั้น
แล้วก็เรื่องในอนาคตหลังจากนี้บันทึกเอาไว้เลยเหตุการณ์ในตอนนี้กำลังถูกบันทึกเพิ่มเข้าไปเหมือนเป็นแค่สมุดดน๊ตเลยล่ะ
แล้วทั้งที่อาคาชิกเรคคอร์ด ควรจะเก็บบันทึกความเป็นไปได้ทั้งหมดในทุกช่วงเวลาแต่บันทึกภายในกลับมีแค่ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
มีรูปแบบเหตุการณ์แค่แบบเดียว คิดได้แต่ว่ามันถูกสร้างโดยใครสักคนที่พยายามชักใยความเป็นไปของโลกใบนี้”
ที่ออร์ฟี่พูดหมายถึงโลกของพวกเขาเองมีเหตุการณ์แค่ตอนที่โลกล่มสลายเพียงเท่านั้นและมีปลายของบันทึกถึงแค่ตอนที่พวกเขามานั่งประชุมกันอยู่ที่นี่นั่นเอง
อิงศรพูด
“สำหรับฉันคิดว่ามันไม่ใช่แค่โลกนี้หรอกนะแต่ว่าทุกโลกคู่ขนานก็คือความเป็นไปได้หนึ่งของอาคาชิกเรคคอร์ดถ้าเราลองคิดกลับกันดูล่ะ”
สมมติฐานน่ากลัวเริ่มจะผุดขึ้นมาในใจของใครหลายๆ
คน
คนที่เฉลียวใจพอจะเข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะบอกเริ่มจะหน้าซีด
เพราะวาจะเข้าใจถึงความกลัวของเรื่องนี้
ความเป็นจริงที่น่าหวาดหวั่นของโลกที่พวกเขาอยู่อาศัยมาโดยตลอด
อิงศรพูด
“นี่ก็แค่เดาเอานะ พวกเราทั้งหมดที่นี่ ไม่สิโลกทั้งหมดที่พวกเรารู้จักนี่อาจจะเป็นแค่สิ่งที่ใครบางคนสร้างขึ้นมาก็ได้”
ความคิดเห็น