ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #260 : Extra Log 256: ความจริงของโลก 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 141
      5
      21 ก.ย. 61

    Extra Login 256: ความจริงของโลก 2

     

                เมื่อเรืออาร์คลงจอดบนทุ่งหญ้าของสวนศักดิ์สิทธิ์

                งั้นผมจะไปรอที่ดาดฟ้าของหอคอยก่อนนะจะไปตรวจสอบเรื่องที่เธอขอเอาไว้ให้รีบตามมาล่ะ

                ออร์ฟี่กล่าวจบก็บินจากเรือไปยังหอคอยที่ตั้งห่างออกไปไม่มากนัก ซึ่งตอนที่เคยขึ้นมาคราวก่อนยังไม่มีตั้งอยู่ คาดว่าเป็นฐานทัพที่ออร์ฟี่สน้างขึ้นมาเพื่อใบ้ประชุมหารือกับพวกแฟรนเซียมที่เขาคืนชีพขึ้นมา การมีคนจำนวนมากจำเป็นต้องมีสถานที่สำหรับพูดคุย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีโต๊ะประชุมกับเก้าอี้ ไม่ใช่นั่งปิกนิคกันอยู่กลางทั่งกลางสวนแบบนี้

                ซากิรินำพวกเขาไปยังบันไดสำหรับลงจากเรือที่อยู่ด้านหลัง พอลงมาแล้วพวกเขาก็เดินอ้อมหลังเรือมั่งหน้าไปทางที่หอคอยตั้งอยู่

                หอคอยสีขาวสูงสามชั้น ดาดฟ้าเปลือยไม่มีหลังคาออร์ฟี่รออยู่บนนั้น พวกเขาผ่านประตูทางเข้าที่เป็นประตูกระจกและเปิดแบบอัตโนมัติ ภายในชั้นหนึ่งเป็นล๊อบบี้สมัยใหม่แตกต่างกับโครงสร้างของหอคอยที่ดูเหมือนหลุดมาจากยุคกลาง แน่นอนว่ามีลิฟต์และจะใช้มันก็ได้แต่พวกเขาอยากสำรวจหอคอยนี่กันก่อนเลยจะเดินขึ้นบันไดเพื่อผ่านชั้นสองและสามก่อน มีแต่พวกราชครูกับซากิริที่ขึ้นลิฟต์ไปก่อนคงเพราะพวกนั้นเคยเข้ามาที่นี่กันแล้ว

                ชั้นสองของหอคอยเป็นห้องว่างเปล่าไม่เฟอร์นิเจอร์หรือของอำนวยความสะดวกวางเอาไว้ ไม่มีอะไรเลย ชั้นสามเองก็เหมือนกับชั้นสอง ดูเหมือนว่าพวกที่ขึ้นลิฟต์ไปก่อนจะรู้อยู่แล้วว่าข้างในนี้มันกลวง ดังนั้นพวกเขาจึงเร่งฝีเท้ารีบปีนขึ้นไปยังดาดฟ้าของหอคอย

                ทันทีที่ขึ้นมาถึงก็เจอพวกที่ขึ้นลิฟต์มารออยู่ก่อน แแล้วก็ออร์ฟี่ที่อยู่ตรงขอบของหอคอยโดยหันหน้ามองออกไปข้างนอกและมีวงแหวนแสงหรือก็คือบัลลังก์สวรรค์ล้อมรอบ วงแหวนแางกำลังหมุนรอบตัวมันเองและเปล่งแสง กำลังตรวจสอบเรื่องที่เขาขอไปอยู่สินะ

               

                พวกเขารอจนกระทั่งวงแหวนแสงหยุดหมุนและออร์ฟี่หันกลับมา

                ออร์ฟี่พูด

                ผมตรวจสอบเรื่องที่เธอขอมาแล้วล่ะมันเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ด้วย

                เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สินะ

                อิงศรตอบด้วยใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สมมติฐานอันน่ากลัวกำลังมีเค้าของความจริงผุดขึ้นมา

                “…”

                คนอื่นๆ พากันมองมาที่เขาซึ่งนิ่งเงียบไปซักพักหนึ่งแล้วหลังจากตอบรับออร์ฟี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่สายตาของพวกพ้องกำลังฉายแววเป็นกังวลกันหมด มันเป็นเรื่องที่ยากจะพูดและหดหู่เอาเสียเหลือเกิน

                ตอนนั้นเอง ออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมา

                ที่ว่ามิ่งขวัญเคยทำมาแล้วนั่นล่ะ

                หือ?”

                อิงศรพอจะรู้อยู่ว่าออร์ฟี่หมายถึงเรื่องอะไรแต่เขาไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าใช่เรื่องเดียวกับที่กำลังคิดอยู่หรือเปล่า

                ตอนที่สู้กับโซลาริสน่ะพอเธอฟื้นขึ้นแล้วเห็นผมในรูปแบบไฮพีเรียลไลซ์เธอก็พูดออกมาว่าเหมือนกับที่มิ่งขวัญเคย

                ออร์ฟี่พูดจบก็หันไปถามมิ่งขวัญ

                เธอเคยทำไฮพีเรียลไลซ์ด้วยเหรอ มิ่งขวัญ

                สายตาของทุกคนย้ายไปที่มิ่งขวัญแทน กวินทร์ที่ทำหน้าไม่เข้าใจก็ถามมิ่งขวัญอย่างเซ่อๆ

                เคยทำด้วยเหรอ

                แน่นอนว่ามิ่งขวัญปฏิเสธ

                ไม่เคยซักหน่อย

                มิ่งขวัญส่ายหน้า แต่ในความจริงแล้วหมอนั่นเคยทำได้มาก่อนแต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคือพลังแบบเดียวกับที่ออร์ฟี่ใช้ พลังที่เรียกว่า ไฮพีเรียลไลซ์

                กรณีของมิ่งขวัญเคยเกิดขึ้นเพราะอาคานาร์ของหมอนั่นวิวัฒนาการขึ้นมาตอนที่ตกอยู่ในวิกฤติถึงชีวิต ส่วนกรณีของออร์ฟี่ได้ยินว่าหมอนั่นไดรับพลังมาจากอดัมซึ่งปรากฏตัวมาตอนที่เขาตายเพราะสู้กับโซลาริส แล้วก็ยังมีกรณีของกฤษณะที่กลายเป็นกัลกีด้วยพลังของอาคานาร์ เจ้านั่นเรียกการแปลงร่างนั้นว่าไฮพีเรียลไลซ์

                ทั้งสามกรณีมีสิ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่ซึ่งก็คือ ราหู นั่นเองเจ้านั่นเป็นคนที่มอบอาคานาร์ให้พวกเราเพื่อจะหลอกใช้ให้เดินตามแผนการของมันทั้ง มิ่งขวัญและกฤษณะเป็นกรณีเดียวกันคือเป็นผ่านไพ่อาคานาร์ ส่วนออร์ฟี่เป็นผ่านอดัม ซึ่งอดัมนั้นตัวจริงกลับเป็นสมุนของราหูมาตั้งแต่แรก

                หรือก็คือ ราหู เป็นศัตรูที่ควบคุมพลังซึ่งเรียกว่า ไฮพีเรียลไลซ์ นั่นเอง

                อิงศรพูดตอบคำถามของออร์ฟี่ที่ค้างไว้

                บนเกาะร้างที่นายส่งพวกฉันหนีไปตอนนั้นน่ะ พวกฉันเจอคนที่มาจากฟาวเดชั่นอีเจ้านั่นเรียกตัวเองว่ากฤษณะ นั่นน่าจะเป็นร่างไฮพีเรี่ยนของนรินทร์

                ไฮพีเรี่ยนเหรอ

                ออร์ฟี่พูดด้วยความสงสัยขณะเดียวกันสายตาก็ขยับไปทางนรินทร์ด้วย

                ทว่า มีนาก็ถามขึ้นมาในตอนนั้น

                ไอ้ ไฮพีเรี่ยนเนี่ยมันคืออะไรกันแน่คะ

                จะว่าไปแล้วนอกจากเขา มิ่งขวัญ และ กวินทร์ที่อยู่ฟังรูบิเดียมพูดเรื่องร่างกายไฮพีเรี่ยนตอนอยู่ที่ แชงกรีลาแล้วพวกพ้องคนอื่นในกลุ่มของเขาไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับไฮพีเรี่ยนเลยซักคน

                เขาตอบมีนาไปว่า

                คิดว่ามันเหมือนกับที่มิ่งขวัญเคยทำที่เกาะน่ะที่เหมือนกับการเปลี่ยนร่างนั่น

                ตอนที่พูดออกไปมิ่งขวัญก็มีปฏิกิริยากับคำพูดออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าหัวข้อที่กำลังพูดกันอยู่คือเรื่องที่มิ่งขวัญกลายร่างเป็นตัวเองในอนาคตจากโลกคู่ขนาน

                มิ่งขวัญจากโลกคู่ขนานคนเดียวกับที่สละชีพช่วยพวกเขาหนีตายมาเมื่อไม่นานนี้เอง

                มีนาพูด

                เปลี่ยนร่างเนี่ยหมายถึงไอ้แบบที่เห็นกันบ่อยๆ ในการ์ตูนใช่ไหมคะที่แบบออกมาตอนจะจัดการบอสตัวสุดท้ายไรแบบนี้

                ก็ประมาณนั้นล่ะมั้ง อ้อ พวกมนุษย์ต่างดาวเองก็นับด้วยเหมือนกัน

                พอพูดไปมีนาก็ทำหน้ายิ้มแหยๆ

                แล้วไฮพีเรี่ยนที่ว่านั่นคุณซีลอร์ดก็ทำได้ตอนที่จัดการโซลาริสด้วยสินะคะ รวมกับจากที่ฟังมาศัตรูที่หน้าเหมือนกับคุณนรินทร์ก็ใช่ด้วย

                ดูเหมือนหล่อนจะทำความเข้าใจได้รวดเร็วกว่าที่คิด

                แล้วก็จากที่ฟังมาดูเหมือนไฮพีเรี่ยนกับไฮพีเรียลไลซ์จะมีความเกี่ยวข้องกันด้วยแล้วก็โยงไปเกี่ยวกับอาคานาร์พลังของคุณอิงศรซึ่งที่จริงแล้วเป็นพลังที่มหาเทพราหูนั่นมอบให้ตามแผนการของมัน ถ้าสรุปตามนี้แล้วศัตรูของเราก็คือคนที่ควบคุมและใช้งานไฮพีเรี่ยนพลังอันแข็งแกร่งได้อย่างอิสระน่ะสิคะ

                สมกับที่เคยเป็นหน่วยข่าวกรองมาก่อนหล่อนสรุปข้อมูลได้ถูกต้องเกือบทั้งหมดเลยทีเดียว

                อิงศรพยักหน้าแล้วพูดชมหล่อนด้วยความรู้สึกทึ่ง

                เธอนี่มันร้ายเป็นบ้าเลยแฮะ

                มีนายิ้มเจ้าเล่ห์

                ฉันเคยเป็นคนของหน่วยข่าวกรองมาก่อนนะคะแล้วก็เคยสืบเรื่องของพี่สิงห์มาด้วย

                หล่อนพูดพลางชายตาไปยังแฟรนเซียม แฟรนเซียมจึงพูดตอบโต้

                แล้วเธอที่แสนปราดเปรื่องคนนั้นก็ถูกฉันใช้ให้ไปสืบข้อมูลจากอิงศรอีกทีแล้วก็ทำได้ดีซะด้วยสำหรับในตอนนี้ล่ะนะ

                ที่พูดนั่นแฟรนเซียมคงจะหมายถึงที่หล่อนสรุปเรื่องราวออกมานั่นเอง

                อย่างไรก็ตาม ถึงจะมานั่งสรุปเรื่องพลังของศัตรูเอาหลังจากที่พวกเขาไปเห็นด้วยตาตัวเองกันมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ใจความสำคัญที่เขาเรียกให้ประชุมยังไม่ถูกพูดขึ้นมาเลย

                อิงศรหันไปพูดกับออร์ฟี่

                จะว่าไปแล้วนายน่ะตกลงแล้วความทรงจำของนายเองสามารถเชื่อได้รึเปล่า

                นี่คอคำถามชี้นำไปยังหัวข้อของการประชุม แน่นอนว่าเขากำลังถามออร์ฟี่ถึงเรื่องของอดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ซึ่งเป็นเพื่อนของออร์ฟี่ เป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมอร์คาบาห์ของเขามาโดยตลอดและเป็นคนเปลี่ยนออร์ฟี่จากเครื่องทำสวนให้กลายมาเป็นมนุษย์ในร่างไฮพีเรี่ยน รวมถึงการที่อดัมนั้นแท้จริงแล้วเป็นสมุนคนหนึ่งที่ราหูส่งมาล้างสมองออร์ฟี่ ให้ช่วยแผนการของพวกมัน

                นั่นสินะ อดัมเป็นศัตรูที่มาล้างสมองผมถ้าอย่างนั้นข้อมูลที่ได้จากผมทั้งหมดอาจจะผิดก็ได้ดังนั้นแล้วเธอคิดจะถามอะไรผมล่ะอิงศร

                อิงศรจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของออร์ฟี่ นั่นคือดวงตาของมนุษย์ถ้าเป้นตอนนี้เขาน่าจะจับโกหกได้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจแต่สำหรับตอนนี้มันจำเป็นจะต้องทำให้แน่ใจเสียก่อนว่าแม้แต่ออร์ฟี่ก็ไม่ได้เป็นเบี้ยของศัตรูเหมือนกัน

                อิงศรพูด

                โซลาริสเคยพูดกับฉันว่า อย่าทำผิดซ้ำเหมือนครั้งบรรพบุรุษในสวนแห่งนี้

                จะบอกว่ามันขัดแย้งกับที่อดัมเป็นสปายดังนั้นน่าจะไม่ได้อยู่ที่สวนแห่งนี้สินะ ตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่พอมาคิดๆ ดูแล้วผมว่ามีความเป็นไปได้สูงมากเลยล่ะที่จะเป็นความจริง

                อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นล่ะ

                ตอนที่เธอโดนฆ่าตายไปโซลาริสบอกกับผมว่าอดัมไม่มีตัวตนอยู่บนสวน ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าแอดมินิสเทรเตอร์จงใจจะบิดเบือนความคิดของผมเพื่อให้กลับไปรับใช้เขา...

                เมื่อเห็นว่าออร์ฟี่กระอักกระอ่วนที่จะพูดต่อ อิงศรจึงพูดที่เหลือต่อให้เอง

                เพราะงั้นนายก้เลยคิดว่าตัวเองโดนล้างสมองจริงๆ อดัมไม่ได้มีอยู่บนสวนนี่มาตั้งแต่แรกแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นที่โซลาริสพูดกับฉันน่ะมันหมายถึงใครกันแน่

                ถ้าหากว่ามันไม่เคยมีอดัมอยู่บนสวนแห่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้วอะไรคือบรรพบุรุษของพวกเขากัน

                ตอนนั้นเอง แฟรนเซียมก็พูดขึ้นมา

                ในรอบก่อน...

                สายตาของทุกคนหันเหไปที่หมอนั่น

                จากโลกคู่ขนานที่ฉันโดนพามา มนุษย์ที่มาจากโลกนั้น มนุษย์ต่างดาวก็คือบรรพบุรุษของพวกนายพูให้ถูกก็คือแอดมินิสเทรเตอร์มันรู้เรื่องการข้ามมิติมาตั้งแต่แรกแล้วไงล่ะนั่นแหละคือความหมายของคำพูดที่พวกนายกำลังสงสัยกันอยู่

                พอได้ข้อมูลตรงนั้นมาแล้วมันก็ช่วยให้สรุปอะไรบางอย่างออกมาได้

                อิงศรพูด

                เข้าใจล่ะ ถ้างั้นความหมายของนิมิตที่ฉัน ขวัญ กวินทร์ แล้วก็รูบิเดียมเคยเห็นนั่นก็คือสิ่งที่เมอร์คาบาห์พยายามจะบอกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในโลกของแฟรนเซียมนี่เอง

                นิมิตที่ คราสสวัสติกะ ปรากฏขึ้นเหนือสวนศักดิ์สิทธิ์และแผดเผามัน นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกคู่ขนานอื่นซึ่งถูกเรียกว่า วัฎจักรหรือ ลูปที่ผ่านมา มันระบุถึงโลกที่แตกพ่ายต่อราหูไปแล้วนั่นเอง

                แล้วก็คงจะไม่ได้มีแค่หนึ่งโลกคู่ขนาน โลกของมิ่งขวัญในอนาคตนั่นน่าจะเป็นคนละโลกกับของแฟรนเซียม

                อิงศรถามต่อ

                แฟรนเซียมแล้วนายน่ะจำเรื่องก่อนที่โลกจะล่มสลายในโลกฝั่งของนายได้รึเปล่า

                แฟรนเซียมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

                ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้น

                บอกมาเถอะน่าตกลงว่าจำได้หรือไม่ได้

                แฟรนเซียมนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะตอบว่า

                พูดตามตรงฉันบอกไม่ได้ว่าจำได้หรือไม่ได้

                ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นน่ะคือพอนึกขึ้นมาก็เหมือนกับมีตัวหนังสือลอยเข้ามาบอกในหัวแต่นึกภาพกับความรู้สึกของความทรงจำตอนนั้นไม่ออกใช่ไหม

                พอเขาพูดไปแบบนั้นแฟรนเซียมก็

                ทำไมนายถึงรู้

                นั่นปะไร...ทุกอย่างเริ่มจะปะติดปะต่อกันแล้ว

                อิงศรถามต่อไปอีก

                แล้วความทรงจำส่วนของสิงห์ล่ะนายเติบโตมายังไงถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนยังจำความรู้สึกกับนึกภาพพวกนั้นออกไหม

                แต่ข้าวหลามที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับแย้งมา

                มันก้ต้องจำได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงก็ฉันกับสิงห์น่ะ...

                แต่แฟรนเซียมก็ฟาดหลังมือไปที่หน้าอกข้าวหลามเบาๆ เป็นการปราม

                แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้านั้น ดูเหมือนแฟรนเซียมจะเริ่มเข้าใจความคิดของเขาขึ้นมาแล้วกระมัง

                ฉันว่าพอจะรู้แล้วล่ะนะว่านายคิดอะไรอยู่เพราะงั้นจะตอบตามความจริง

                แฟรนเซียมหันไปเผชิญหน้ากับข้าวหลาม

                หลามจำตอนที่ฉันไปเจอแล้วเก้บแกมาได้ใช่ไหม

                เออ สิ

                ข้าวหลามตอบอย่างมั่นใจ

                ตอนนั้นฉันทำอะไรบ้าง

                ก็ลงจากรถหรูมาหาฉันที่หิวโซจนใกล้จะอดตายอยู่บนถนน เอาน้ำกับกระบอกข้าวหลามมาให้ฉันไง

                ข้าวเหนียวที่แกกินเป็นข้าวเหนียวดำหรือขาว

                เอ่อ...เรื่องนั้นจำไม่ได้หรอก

                ถ้างั้นรสชาติล่ะ

                ก็จำไม่ได้อีกนั่นแหละ

                งั้นคงจำหน้าตาของมันได้ใช่ไหม

                หนนี้ข้าวหลามกอดอกพยายามนึกอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออก

                จำไม่ได้

                จำเรื่องปลีกย่อยไม่ได้เลยสินะ

                แฟรนเซียมหันกลับไปตอบที่อิงศรถามค้างไว้

                ถ้างั้นฉันก็ยืนยันเสียงเดียวกับเจ้านี่ ฉันจำอะไรของสิงห์ ธุวดารกะไม่ได้เลยทั้งก่อนและหลังจากที่กลายเป็นฉันในตอนนี้ความทรงจำทั้งหมดเป็นแค่บันทึกเหตุการณ์มีแต่ตัวหนังสือไม่มีภาพประกอบ มันตรงกับที่นายคิดไว้แล้วใช่ไหมอิงศร

                แฟรนเซียมดูออกจริงๆ นั่นแหละว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร

                อิงศรพูด

                ก่อนหน้านี้ฉันเหมือนจะเคยไปที่โลกอื่นมาก่อน แต่ว่าผ่านทางความฝันน่ะ

                แฟรนเซียมทวนคำพูดนั้น

                ความฝัน?”

                อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น

                อืม เวลาที่ฉันสลบเหมือนกับว่าจิตใจมันจะหลุดลอยไปที่อื่นเรื่องนี้มันเริ่มเกิดขึ้นหลังจากฉันได้เมอร์คาบาห์มาคิดว่าสาเหตุก็คงมาจากเมอร์คาบาห์นั่นแหละ เวลาที่จิตใจของฉันหลุดลอยไปหาตัวเองในโลกคู่ขนานอื่นฉันจะได้รับความทรงจำของตัวเองในโลกนั้นมาแต่ก็นึกออกแค่เป็นตัวหนังสือแบบนาย

                พอพูดไปแล้วออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมา

                หมายความว่าเธอไฮพีเรียลไลซ์ไปหาตัวเองในโลกคู่ขนานอื่นได้อย่างนั้นสินะ

                ดูเหมือนคำว่า ไฮพีเรียลไลซ์ จะเป็นปฏิกิริยาของการเกิด ไฮพีเรี่ยน ออร์ฟี่คงสรุปมันเป็นแบบนั้นถึงได้จงใจใช้คำพูดว่าเขาไฮพีเรียลไลซ์ไปไม่ใช่จิตหลุดลอยไป

                อิงศรหันไปพูดกับน้องชาย

                ขวัญนายเองก็เคยไปมาแล้วใช่ไหมโลกที่เกมโลกาวินาศเป็นแค่เกมคอมพิวเตอร์เท่านั้นตัวฉันกับนายใช้ชีวิตสงบสุขไม่ต้องต่อสู้เหมือนตอนนี้น่ะ

                ก็เคยอยู่หรอกแต่มันเป็นแค่ความฝันนี่แล้วมันยังไงกันล่ะ

                เป็นอันว่าสมมติฐานที่เขาคิดเอาไว้ได้รับการยืนยันเรื่องหนึ่งแล้ว ต่อไปก็ซากิริ

                อิงศรนึกสงสัยในตัวหล่อนที่มายืนอยู่ตรงนี้มาซักพักหนึ่งแล้วซึ่งมันจะช่วยตอบคำถามเรื่องสมตติฐานที่เขากำลังคิดไม่ตกอยู่นี้ได้อย่างแน่นอน

                อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยก็คือคุณซากิริ

                หล่อนชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเองแล้วพูด

                ฉันทำไมเหรอ

                ก็เรื่องที่ชุบชีวิตคุณน่ะสิ ทำไมถึงเป็นชุบชีวิตในเมื่อคุณเป็นเทวทูต เป็นปีศาจอย่างหนึ่งที่จะกลับสู่อาคาชิกเรคคอร์ดเมื่อตายทำไมถึงไม่ใช่การอัญเชิญขึ้นมาใหม่

                “…”

                จากที่พอจะรู้มาคุณน่ะไม่ได้รู้เห็นหรือข้องเกี่ยวกับเมตไตรยเลยดังนั้นคนที่ช่วยงานพวกนั้นมาตลอดก็คือซาคคิเอลถ้าอย่างนั้นทำไมออร์ฟี่ถึงอัญเชิญแค่ซาคคิเอลลงมาไม่ได้

                ทว่า เจ้าตัวที่โดนถามกลับ

                เป็นความจริงเหรอ ขนาดตัวฉันเองยังไม่รู้เรื่องเลยนะตอนแรกก็นึกว่าเป็นเงื่อนไขพลังของเครื่องทำสวนซะอีก

                แต่ออร์ฟี่ส่ายหน้า

                พลังส่วนตัวของผมเองน่ะคืนชีพให้ได้กับร่างที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานและยังมีร่างกายเหลือเกือบสมบูรณ์เท่านั้น สิ่งที่คืนชีพให้กับทุกคนในครั้งนี้คือพลังจาก บัลลังก์สวรรค์แต่ก็อย่างที่อิงศรพูดไปนั่นแหละทำไมถึงอัญเชิญซาคคิเอลไม่ได้แต่พอใช้บัลลังสวรรค์กลับได้คืนตัวเธอมาพร้อมกับซาคคิเอลนี่เป็นเรื่องที่ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

                อิงศรพูดต่อทันที

                แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเรื่องเมล์ตัวจับเวลาความตาย

                พอพูดออกไปออร์ฟี่ก็หันเหความสนใจมาที่เขา

                มันทำไมเหรอ

                มันไม่ส่งมาตอนที่มิ่งขวัญจากโลกคู่ขนานจะตาย

                ไม่ใช่ว่าเพราะเขามาจากโลกอื่นเหรอเมล์ถึงได้ไม่มีผลกับมิ่งขวัญคนนั้น

                แต่ฉันเคยได้รับเมล์ของสิงห์มาก่อนหมอนั่นคือแฟรนเซียมเป็นคนจากโลกอื่นเหมือนกัน

                ออร์ฟี่ได้ยินเข้าไปแบบนั้นก็เริ่มคิดตามคำพูดของเขา

                บางทีอาจจะเกี่ยวกับสภาพร่างกายที่เรียกว่าไฮพีเรี่ยนด้วยก็ได้

                แม้แต่นายเองก็ยังไม่รู้งั้นเหรอ

                มีหลายๆ เรื่องที่ผมเองก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับอาคาชิกเรคคอร์ดเหมือนกัน มันมีอยู่มาก่อนแอดมินิสเทรเตอร์เสียอีก

                พูดจบ ออร์ฟี่ก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า

                ท้องฟ้าของสวนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีคลื่นกระเพื่อมเหมือนทะเล

                ทะเลบนหัวพวกเรานั่นก็คือร่างที่แท้จริงของอาคาชิกเรคคอร์ด

                ทุกคนพากันแหงนหน้าตาม

                ไอ้นั่นน่ะเหรอ

                อิงศรพูด เขาจำได้ว่าตอนที่โซลาริสตายมันก็จมลงไปในทะเลของท้องฟ้า นั่นเท่ากับกลับคืนสู่อคาชิกเรคคอร์ดเหมือนกรณีของปีศาจด้วยหรือเปล่า

                ออร์ฟี่พูดต่อไปว่า

                แอดมินิสเทรเตอร์นั้นเดิมทีมีหน้าที่ปกป้องรักษาทะเลแห่งข้อมูลซึ่งก็คืออาคาชิกเรคอร์ดนี่ แต่ว่าไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับมันนักหรือไม่ก็ปิดบังอะไรเอาไว้เลยไม่ยอมบอกเครื่องทำสวนหรือใครเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย

                สิ่งที่ออร์ฟี่พูดรับกับความคิดของเขา

                แล้วตอนนี้นายตรวจสอบมันได้แล้วใช่ไหมล่ะตอนนี้นายเป็นแอดมินสเทรเตอร์แล้ว

                ใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะว่าข้อมูลที่ตรวจสอบมามันเหลือเชื่อเกินไป

                แล้วมันเป็นยังไง

                ออร์ฟี่ก้มหน้าลงมา จ้องเขม็งมาที่เขาอย่างมีนัยยะ

                อิงศร

                ว่าไง

                เธอกำลังปิดบังอะไรพวกเราอยู่รึเปล่า

                ทำไมถึงถามแบบนั้นนายน่าจะอ่านใจฉันได้นะน่าจะรู้แล้วสิว่าฉันกำลังกังวลอะไรอยู่

                ออร์ฟี่พยักหน้าแล้วผ่อนลมหายใจ

                เฮ้อ มันก็ใช่แหละนะ แต่เรื่องมันน่ากลัวเกินกว่าจะพูดเนี่ยสิเพราะงั้นผมถึงไม่อยากจะพูดเองว่าแต่เธอรวบรวมหลักฐานได้หมดแล้วใช่ไหม

                มันก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ยังไงนี่ก็แค่เดาสุ่มเอาแต่ว่า…”

                แต่มันมีความเป็นไปได้สูงมากถ้าเชื่อตามที่มหาเทพราหูอะไรนั่นพูดไว้ใช่ไหมล่ะแล้วก็ถ้าเชื่อตามที่แฟรนเซียมพูดมา รวมถึงเรื่องที่ชุบชีวิตซาคคิเอลแทนที่จะเป็นการอัญเชิญใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้ไปที่คำตอบในใจของเธอ ผมว่าถ้ามันจำเป็นก็พูดออกมาดีกว่านะ

                “…”

                อิงศรไม่พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น ออร์ฟี่คงเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่พูดได้ยากจริงๆ แต่มันมีเค้าความจริงอยู่สูงมากทีเดียว

                บรรยากาศอันน่าอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้นจากการถกเถียงกันระหว่างเขากับออร์ฟี่จนทำให้มีคนหนึ่งทนไม่ไหว

                โว้ยยยย!

                เมษาพูดเสียงดัง

                พวกนายสองคนอย่าคุยกันรู้เรื่องแค่พวกตัวเองเด้! เล่าให้พวกฉันเข้าใจมั่งจะได้ไหมอึดอัดว้อยย!!”

                มิกซ์พูด

                แต่ผมสังหรณ์ว่าถึงอธิบายไปพวกเราก็อาจจะไม่เข้าใจก็ได้นะ

                พลางเกาหัวไปด้วยความงวยงง

                อืมอืม…”

                ฟูทำเสียงงึมงำเหมือนกำลังใช้ความคิด จนมิกซ์เอ่ยขัด

                อย่างฟูถึงคิดไปก็ไม่เข้าใจหรอก

                อะไรเล่า คนเขาอุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะ

                แต่นายส่งเสียงงึมงำน่ารำคาญนี่นา

                ก่อนที่การสนทนาจะลอยออกนอกเรื่อง แฟรนเซียนก็กล่าวดึงที่ประชุมกลับมายังหัวข้อหลักอีกครั้ง

                แล้วไงล่ะ ตกลงนายรู้อะไรอยู่อิงศรไม่ลองบอกมาให้ฟังดูหน่อยล่ะ ฉันรอคำตอบที่นายกำลังคิดเอาไว้ว่าจะตรงกับที่ฉันเดาอยู่ไหม

                “…”

                อิงศรพยักหน้าให้คำพูดนั้น เขาเองก็คิดว่ามันควรจะต้องบอกตามที่ออร์ฟี่ว่า แล้วแฟรนเซียมเองก็ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วจากการที่โดนเขาซักถามไปเสียขนาดนั้น

                เขาพูดกับออร์ฟี่

                ออร์ฟี่นายบอกผลการวิเคราะหืที่ฉันถามไปมาหน่อยสิ

                มันเป็นอย่างที่เธอพูดเลยล่ะอิงศร อาคาชิกเรคคอร์ดบันทึกเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดเอาไว้แต่ไม่มีเรื่องก่อนหน้านั้น แล้วก็เรื่องในอนาคตหลังจากนี้บันทึกเอาไว้เลยเหตุการณ์ในตอนนี้กำลังถูกบันทึกเพิ่มเข้าไปเหมือนเป็นแค่สมุดดน๊ตเลยล่ะ แล้วทั้งที่อาคาชิกเรคคอร์ด ควรจะเก็บบันทึกความเป็นไปได้ทั้งหมดในทุกช่วงเวลาแต่บันทึกภายในกลับมีแค่ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว มีรูปแบบเหตุการณ์แค่แบบเดียว คิดได้แต่ว่ามันถูกสร้างโดยใครสักคนที่พยายามชักใยความเป็นไปของโลกใบนี้

                ที่ออร์ฟี่พูดหมายถึงโลกของพวกเขาเองมีเหตุการณ์แค่ตอนที่โลกล่มสลายเพียงเท่านั้นและมีปลายของบันทึกถึงแค่ตอนที่พวกเขามานั่งประชุมกันอยู่ที่นี่นั่นเอง

                อิงศรพูด

                สำหรับฉันคิดว่ามันไม่ใช่แค่โลกนี้หรอกนะแต่ว่าทุกโลกคู่ขนานก็คือความเป็นไปได้หนึ่งของอาคาชิกเรคคอร์ดถ้าเราลองคิดกลับกันดูล่ะ

                สมมติฐานน่ากลัวเริ่มจะผุดขึ้นมาในใจของใครหลายๆ คน

                คนที่เฉลียวใจพอจะเข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะบอกเริ่มจะหน้าซีด เพราะวาจะเข้าใจถึงความกลัวของเรื่องนี้

                ความเป็นจริงที่น่าหวาดหวั่นของโลกที่พวกเขาอยู่อาศัยมาโดยตลอด

                อิงศรพูด

                นี่ก็แค่เดาเอานะ พวกเราทั้งหมดที่นี่ ไม่สิโลกทั้งหมดที่พวกเรารู้จักนี่อาจจะเป็นแค่สิ่งที่ใครบางคนสร้างขึ้นมาก็ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×