ตอนที่ 261 : Extra Log 257: ความจริงของโลก 3
Extra Login 257: ความจริงของโลก 3
ซากิริตอบรับคำพูดของอิงศรเป็นคนแรก
“เธอจะบอกว่าโลกของพวกเราเป็นแค่ข้อมูลที่สร้างขึ้นมาโดยใครบางคนอย่างนั้นสินะ ไม่เหลือเชื่อไปหน่อยเหรอแบบนั้นน่ะ”
อิงศรพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแต่เขาก็กล่าวขัดแย้งกับความเห็นนั้นเพราะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
“พูดตามตรงฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักหรอกนะแต่ทุกอย่างมันบ่งชี้ไปอย่างนั้นหมดเลยนี่”
ทั้งการที่ ซาคคิเอลที่คืนชีพพร้อมกับซากิริ เหมือนกับทั้งคู่ผูกติดกัน หรือก็คือแต่ดั้งเดิมแล้วซาคคิเอลถูกสร้างมาพร้อมกับซากิริ
ทั้งอาคาชิกเรคคอร์ดที่น่าจะเป็นเครื่องมือกำหนดความเป็นไปได้ในทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แท้จริงแล้งกลับเป็นเพียงสมุดโน้ตที่จดบันทึกเรื่องราว 4 ปีแห่งการล่มสลายเอาไว้เท่านั้นไม่ได้เขียนล่วงหน้าไปเกินกว่านั้นราวกับเป็นบทละครที่ใครบางคนสร้างทิ้งเอาไว้
หรือแม้แต่การที่ไม่สามารถนึกย้อนกลับไปมากกว่าสี่ปีได้ ตลอดมาที่ไม่เคยสงสัยเลยก็เพราะความเคยชินแต่แรกเพราะพวกเขาเกิดและเติบโตขึ้นที่โลกบันทึกใบนี้ และเพราะช่วงเวลาที่โลกล่มสลายกับเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาทำให้ยึดติดกับปัจจุบันมากกว่าจะย้อนนึกกลับไปถึงขนาดนั้น การคิดถึงอดีตกลายเป็นการย้ำแผลในใจเท่านั้น เลยพยายามไม่คิดถึงมัน ทุกคนเองก็เป็นแบบนั้นจึงไม่เคยมีใครฉุกใจคิดขึ้นมา
แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้ว รู้เรื่องการมีอยู่ของโลกคู่ขนาน รู้ถึงตัวตนที่แทรกแซงโลกแต่ละใบ รู้จักระบบการทำงานของโลกที่ตระเตรียมข้อมูลไร้รสชาติเอาไว้หลอกพวกเขา
รู้ว่าโลกนี้มันจอมปลอมอย่างไร
พวกฟาวเดชั่นอีมักจะพูดบ่อยๆ ว่า ‘เป็นไปตามบท’ ทั้งกฤษณะ ทั้งราหู ต่างก็พูดเหมือนๆ กัน ‘บท’ ที่ว่านั่นคงหมายถึงบทละครที่เขียนให้โลกใบนี้ดำเนินไปนั่นเอง
มีนาพูด
“สรุปก็คือความจริงแล้วพวกเราอยู่ในโลกแห่งความฝันส่วนตัวจริงของพวกเราตอนนี้นอนเป็นผักอยู่ในเครื่องช่วยชีวิตอะไรแบบนี้ เหมือนพล็อตในหนังไซไฟสินะคะ”
หล่อนสรุปได้ง่ายดี ยกเรื่องที่ไม่ไกลตัวจนเกินไปขึ้นมาเปรียบเปรย จะบอกว่าพวกเขากำลังฝันอยู่มันก็ใกล้เคียงจริงๆ นั่นแหละ ติดอยู่ในโลกแห่งความฝันที่ชื่อว่าอาคาชิกเรคคอร์ดนี่ไง
อิงศรพูด
“ก็ประมาณนั้นแหละเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะบางทีเจ้าราหูนั่นอาจจะรู้อะไรก็ได้มีแต่ต้องไปถามมันเท่านั้น”
“แต่คราวนี้บุกเข้าไปตรงๆ คงไม่ได้หรอกค่ะพวกเราแพ้ราบคาบมาหนหนึ่งแล้วนะคะ”
“จะบอกว่าต้องมีแผนสินะ ถ้างั้นก่อนจะวางแผนก็ต้องรู้ซะก่อนว่าเรากำลังสู้อยู่กับอะไร”
แต่ซากิริก็พูดขัดขึ้นมา
“งั้นก่อนอื่นเลยไอ้ผู้รุกรานเนี่ยจัดเป็นประเภทความแข็งแกร่งแบบไหนกันล่ะ มนุษย์ ปีศาจ อสุรา เทวะ มนุษย์ต่างดาว เครื่องทำสวน หรือว่าพระเจ้า หรือว่าเลวร้ายไปกว่านั้นอีก อ้อถ้าถามฉันนะเลวร้ายสุดๆ เลยคือสมมติฐานล่ะ”
มันก็เป็นอย่างที่หล่อนว่า ตอนนี้ศัตรูไม่ใช่แค่องค์กรระดับสูงเหมือนอย่าง ฟาวเดชั่นอี อารย-สนธยา หรือ เมตไตรย เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือแม้แต่ระดับกองทัพมนุษย์ต่างดาวยังเทียบไม่ติด จากพลังของพวกมันที่พวกเขาเผชิญมาด้วยตัวเองจัดได้ว่านี่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจระดับภัยพิบัติ
ตอนนั้นเอง ราชครูหน้ายิ้มอย่าง โพแทสเซียมก็หัวเราะ
“ฮะฮะฮะ แล้วไอ้เลวร้ายสุดๆ ที่ว่าเนี่ยมันเจาะจงได้ไหมว่าเลวร้ายแบบไหน”
แฟรนเซียนกล่าวประชดประชันคำพูดไม่รู้จักกาลเทศะนั่นว่า
“ก็คงเลวร้ายพอๆ กับใส่รองเท้าสลับคู่กันล่ะมั้ง”
รูบิเดียมพูด
“ไอ้นั่นน่ะยังไม่ถึงครึ่งของตอนนี้เลยมั้ง”
หล่อนก้าวออกมายืนกลางวงสนทนา หันไปหากวินทร์แล้วพูด
“คงไม่มีอะไรเลยร้ายไปกว่าต้องมาร่วมมือกับคนอย่างนายที่ฆ่าฉันกับมือหรอก นายก็คงคิดแบบนั้นสินะเจ้าหนู”
หล่อนพูดถึงแฟรนเซียมขณะจ้องไปที่กวินทร์
อิงศรจ้องตามไปพลางคิดถึงความหมายของคำพูดนั้นไปด้วย ถ้าสำหรับกวินทร์แล้วเขาก็พอจะเข้าใจอยู่เพราะว่าแฟรนเซียมฆ่ากวินทร์ไปครั้งหนึ่งตอนที่อยู่บนลิฟต์ แต่กับรูบิเดียม...หรือว่าหล่อนจะถูกฆ่าหลังจากที่พวกเขาขึ้นลิฟต์ไปก็ไม่รู้เหมือนกัน
รูบิเดียมละสายตาจากกวินทร์หันไปมองแฟรนเซียม
“เอาแต่จ้องนายไม่หยุดมาตั้งแต่ตะกี้แล้ว”
เป็นตามที่ว่า สายตาของกวินทร์เอาแต่ระแวงแฟรนเซียมมาตั้งแต่เริ่มประชุมจริงๆ นั่นแหละ แต่เขาไม่ทันสังเกตุเลย
กวินทร์พูด
“เพราะเรื่องของขวัญก็เลยทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าคุณมันไม่น่าไว้ใจ”
กวินทร์กำหมัดแน่น เมื่อเขานึกถึงการเสียสละของมิ่งขวัญในวันนี้กับครั้งที่เผชิญหน้ากับลูนาริส หลังจากนั้นตนที่พยายามปกป้องอิงศรก็ถูกแฟรนเซียมฆ่าตาย
“ถึงซีลอร์ดจะเป็นคนพาคุณมาก็เถอะ”
เขาคิดว่าต้องหยุดกวินทร์ รุ่นน้องต้องการใครซักคนช่วยห้ามปรามสำหรับตอนนี้ ปกติกวินทร์เป็นคนร่าเริงและใสซื่อก็จริงแต่เพราะแบบนั้นถึงควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ กวินทร์ยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะทำใจสู้ในสถานการณ์แบบนี้
“พอได้แล้วกวินทร์”
อิงศรดึงที่ไหล่รุ่นน้องเบาๆ เพื่อปรามแล้วก้าวเท้าออกไปใช้ตัวบังขวางกวินทร์ไว้ขณะที่จดจ้องสายตาของแฟรนเซียม
“ฉันเองก็ไม่ได้ไว้ใจนายหรอกนะแต่ว่าตอนนี้เราทุกคนที่นี่มีศัตรูร่วมกันแล้วนายก็เป็นคนเดียวที่รู้ข้อมูลของศัตรูดีกว่าพวกเราเฉพาะตรงนั้นที่ฉันจะเชื่อ”
พอพูดออกไปแบบนั้นแฟรนเซียมก็แค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก
“เฮอะ เชื่อแค่ข้อมูลเท่านั้นสินะ เอาเถอะอยากจะทำอะไรก็ทำไปฉันเองก็มีเป้าหมายเดียวกับพวกนายถ้าไม่ทำก็อยู่ไม่ได้อยู่แล้ว”
เมื่อได้คำยืนยันจากเจ้าตัวแล้วอิงศรก็เหลือสายตาไปมองรุ่นน้อง ตอนนี้กวินทร์เหมือนจะหัวเย็นลงไปบ้าง คงได้สติจากการเตือนของเขานั่นเอง
ซากิริพูด
“งั้นสรุปว่าศัตรูของพวกเราแข็งแกร่งแล้วก็เลวร้ายสุดๆ ไปเลยเอาแบบนั้นก็แล้วกัน”
หล่อนสรุปมติของที่ประชุมเอาเองโดยเขียนบันทึกใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ไม่รู้ว่าไปงัดเอาออกมาตอนไหน รู้ตัวอีกทีหล่อนก็เขียนบันทึกการประชุมคราวนี้ลงไปในนั้นหมดแล้ว
”ทีนี้ก็เรื่องที่ว่าโลกที่พวกเราอยู่กันตอนนี้เป็นสิ่งที่ใครบางคนสร้างขึ้นมาคิดว่าคนๆ นั้นเป็นใครกันล่ะ”
แน่นอนว่ายังไม่รู้แต่ถ้าจะให้คาดเดาแล้วคงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงนัก
อิงศรพูด
“คิดว่าคงเป็นฝีมือราหูนั่นแหละคงไม่มีใครอยู่เหนือไปกว่ามันแล้วสำหรับตอนนี้นายก็คิดเหมือนกันใช่ไหม...สิงห์”
เมื่อหันเหสายตาไปขอความเห็นจากแฟรนเซียม
“นั่นน่ะถามเพื่อยืนยันข้อมูลจากฉันสินะ”
“ก็รู้ดีนี่”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็เอาแบบที่นายคิดนั่นแหละเพราะบอกไปแล้วนี่เจ้านั่นมันเป็นคนชักใยฉันเพราะงั้นก็ไม่รู้อะไรที่มันซับซ้อนไปกว่านั้นแล้ว”
คำพูดของแฟรนเซียมไม่มีจุดให้สงสัย เขาไม่รู้เกี่ยวกับราหูมากไปกว่าที่พวกเรารู้กันในตอนนี้เลย
อิงศรพูด
“ถ้างั้นตอนนี้ก็สรุปแบบนั้นไปก่อน...”
“เป็นความจริง”
จู่ๆ ก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมาแบบนั้น เป็นเสียงที่ไม่คุ้นชินแล้วก็ไม่ได้ดังมาจากคนในหมู่พวกเขาด้วย
สายตาของทุกคนมองหาเจ้าของเสียงในทันที
“นั่นใครน่ะ”
แฟรนเซียมคำราม ดูเหมือนจะหาตัวเจอแล้ว อิงศรหันตามสายตาของแฟรนเซียมไป
จากบนดาดฟ้าของหอคอยที่พวกเขายืนกันอยู่นี่เอง เจ้าของเสียงนั้นลอยอยู่บนอากาศว่างเปล่าที่ไม่มีที่ยืน
ชายหนุ่มเรือนผมสีทองหยักศก
ดวงตาเรืองแสงสีแดง
ชุดรัดรูปที่เป็นเครื่องแบบของผู้รุกราน
“อดัม!”
อิงศรตะโกนบอกให้ทุกคนรู้ว่านี่คือสัญญาณให้เตรียมพร้อมสู้ เพราะว่าศัตรูบุกมายังฐานที่มั่นเสียแล้ว
ที่นี่ไม่ปลอดภัย พวกเขาคิดตื้นเกินไป คิดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แต่บางที กระทั่งตอนนี้ก็ยังอยู่ใน ‘บท’ ของพวกมัน
ศัตรูสามารถควบคุมได้กระทั่งการกระทำของพวกเขาเลยงั้นหรือ?
นั่นเป็นคำถามที่อิงศรจำเป็นต้องหาคำตอบโดยเร็วที่สุดและภาวนาให้คำตอบออกมาผิด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีหนทางรอดเลย
อดัมลอยตัวลงมาเหยียบที่ปลายสุดของหอคอยเพียงลำพัง
“เจ้านั่นมาคนเดียวงั้นเรอะ”
อิงศรกล่าว ขณะนี้เองพวกของเขาก็เตรียมจับอาวุธสู้กันพร้อมแล้ว แต่ยังเหลืออีกคนที่เขาเป็นห่วง
“ออร์ฟี่”
“ว่าไง”
อิงศรเหลือบตาไปดูเพียงเล็กน้อยว่าออร์ฟี่ที่ตอบกลับมาแบบนั้นอยู่ในสภาพไหน
ชายคนที่เขากำลังเป็นห่วงว่าจะต่อสู้กับอดีตเพื่อนสนิทไม่ได้กำลังจับหอกตั้งท่าต่อสู้ได้พร้อมกว่าที่คิด
หรือบางทีออร์ฟี่คงจะทำใจเรื่องที่อดัมเป็นสปายได้แล้วกระมัง
“มาถึงความจริงข้อนี้จนได้สินะ”
อดัมพูดโดยยังไม่ตั้งท่าสู้หรือเตรียมพร้อมที่จะรับการโจมตีจากพวกเขา ราวกับรู้อยู่แล้วว่าทางนี้ไม่กล้าโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้า
จากการต่อสู้ที่ผ่านมานั้น ผู้รุกรานมีพลังที่แปลกเกินกว่าจะทำความเข้าใจก็จริงแต่ถ้าจวนตัวขึ้นมาทางนี้ก็ไม่อยู่เฉยแน่อยู่แล้ว อดัมน่าจะรู้ถึงเรื่องนั้นด้วยแต่ก็ยังเข้ามาใกล้โดยที่ไม่ระวังอะไรเลย
อิงศรพูด
“อดัม แกมาที่นี่ได้ยังไงกัน”
“อดัมเหรอ...”
อีกฝ่ายหยุดคำพูดไว้แค่นั้นแล้วตั้งแขนขวาขึ้น ชูให้พวกเขาดู แขนข้างนั้นเปิดออกด้วยกลไก เผยสภาพภายในของแขนเป็นเครื่องจักรกล
“ฉันคือไซเบอร์รอยด์ที่ไนแมร์โซดิแอกสร้างขึ้นมา เอดีเอเอ็ม สตอรี่เบรกเกอร์ ภารกิจของฉันคือการจับตาดูออร์ฟิอูคูมันนาร์”
อดัมพูดราวกับจะย้ำเรื่องตัวจริงที่ไม่ใช่มนุษย์ ตัวจริงของมันที่เป็นผู้รุกราน
ภายในแขนข้างที่เปิดออกนั้นเป็นที่เก็บของซึ่งสิ่งที่มันเก็บอยู่คือไพ่....
“นั่นมัน อาคานาร์เรอะ”
อิงศรพูด อดัมใช้มือซ้ายหยิบอาคานาร์ดังกล่าวออกมาแล้วเก็บแขนกลับ และจงใจพลิกหน้าของไพ่ให้พวกเขาเห็น
รูปบนไพ่คือนักเดินทางกลับหัว ‘เดอะ ฟูล’ นั่นเอง เหมือนกับอาคานาร์ของออร์ฟี่
“ไฮพีเรียลไรซ์!”
เมื่ออดัมพูด อาคานาร์ก็ปลดปล่อยแสงสว่างออกมา แสงห้อมล้อมอดัม แสงสว่างนั่นเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและร่างกายให้แตกต่างออกไปจากเดิม ตัวตนจากความเป็นไปได้อื่นกำลังซ้อนทับลงในตัวของอดัม มันเคยเกิดขึ้นกับกฤษณะที่เปลี่ยนร่างเป็ กัลกีมาแล้ว และตัวออร์ฟี่เองก็เคยผ่านกระบวนการแบบนั้นมาด้วยฝีมือของอดัมเหมือนกัน
เมื่อแสงสว่างหายไปหมดร่างใหม่ที่ซ้อนทับกับความเป็นไปได้อื่นที่ไม่รู้แน่ชัดของอดัมก็ปรากฏออกมา
ชายหนุ่มผมสีแดงเข้ม เส้นผมตั้งชันขึ้นด้วยพลังที่เอ่อล้นออกมา
ชุดเกราะสีดำลวดลายสีแดงและผ้าคลุมสีเลือด
อดัมคนเดิมไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นอีกต่อไป
“แบล็กเจเนซิสอดัมคัดมัน (Black Genesis, Adam Kadmon)”
***ตอนต่อไปว่าจะลงวันเสาร์ครับ ช่วงนี้ยุ่งๆ กับงาน เลยยังกลับมาเขียนต่อเนื่องไม่ได้ซักที TwT ก็สรุปแล้วกลายเป็นอาทิตย์ละสองตอนไปแล้วนะครับ จะพยายามลงไม่ให้ขาดเพราะจะต้องเขียนให้จบให้ได้!!!
ส่วน Adam Kadmon นั้นสามารถไปค้นใน Google ได้น่อเอามาจาก Kabbalah อีกทีเรื่องคำอ่านไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าออกเสียงยังไงแต่เอาแบบนี้ไปแหละโอเมก้า กลายเป็นเข้า Act เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของออร์ฟี่ไปซะแล้น ส่วนตัววางไว้ว่าจะจบในสองตอน ดังนั้นถ้าไม่ผิดพลาดอะไรตอนต่อไปน่าจะจบ Act นี้เลยไม่ก้ลากยาวไปอีกตอน ก่อนเข้าบทสุดท้าย แอ่วววว จากที่กะว่า Arc ราหูนี่น่าจะกินเวลาแค่ 5-6 ตอนเขียนจบใน เดือนสองเดือนนี่ลากมา สี่ห้าเดือนแล้วยังไม่ขยับไปไหนเล้ยยย งานราชหนอยุ่งเหลือเกิน มาบ่นไว้เท่านี้แหละฮะ วันเสาร์เจอกัลน่อ***
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
