ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #167 : Login 164: ตัวตลกวิปลาส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 231
      7
      27 ต.ค. 60

    Login 164: ตัวตลกวิปลาส

     

                “หนีเร็วพวกมนุษย์ต่างดาวบุกเข้าประตูเมืองมาแล้ว!”

                ชาวบ้านคนหนึ่งร้องแบบนั้น ตอนที่เกิดระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นที่บริเวณกำแพงเมืองของเมตไตรย

                พอก้อนอิฐที่เรียงตัวกันกำแพงถล่มลงมาจนหมด สภาพของสนามรบที่แสนสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้น

                ควันไฟลอยกรุ่นไปทั่ว ซากศพของทหารที่นอนตายกันเกลื่อนพื้น

                มนุษย์ผิวซีดผู้มีเส้นผมสีเงินติดอาวุธกว่าร้อยคนแห่กรูกันเข้ามาข้างในเมืองที่ยังมีประชาชนอยู่กันเต็ม

                ไม่มีการประกาศแจ้งให้อพยพ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ข้างนอกกำแพงเมืองดำเนินไปในทางไหน ดังนั้นจึงถูกฆ่าตายไปคนแล้วคนเล่า

                พวกมนุษย์ต่างดาวไม่สนใจจะจับตัวมนุษย์ไว้แต่กลับฆ่าทิ้งเป็นผักปลา เสียงกรีดร้องของผู้คนดังระงมไปทั่ว

                “”ช่วยด้วย!”

                “พวกทหารมัวทำอะไรอยู่น่ะหายไปไหนกันหมด!”

                “แม่!”

                “พี่คะ!”

                “อย่าทำลูกฉันเลยขอร้องล่ะ อ๊า!!”

                ประชาชนธรรมดาที่ไม่มีพลังพอจะต่อต้านถูกฆ่าไปคนแล้วคนเล่า

                ถูกแย่งชิงคนสำคัญไปทีละคนๆ บางทีก็ตายไปพร้อมกันหมดทั้งเด็กทั้งแม่ ทั้งพี่ทั้งน้อง ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาช่วย

                ท่ามกลางการฆ่าฟันอยู่ฝ่ายเดียวนั้นก็มีมนุษย์ต่างดาวนายหนึ่งพูดคุยกับเพื่อนด้วยความสงสัยหลังจากหวดดาบลงไปบนหลงของเด็กชายที่พยายามปกป้องน้องสาวจนร่างกายขาดเป็นสองท่อนไปพร้อมกัน ตายจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น

                “นี่ ฆ่าล้างชาวโลกแบบนี้มันจะดีเหรอแล้วเรื่องคำสั่งคุ้มครองจำนวนประชากรล่ะ”

     

                หยดเลือดสาดกระเด็นมาเปรอะที่ใบแก้มแต่มนุษย์ต่างดาวก็ปาดมันออก

                “ก็มีคำสั่งจากท่านแฟรนเซียมลงมาแล้วว่าฆ่าให้หมดได้เลยนี่ทำๆ ไปเถอะน่า”

                มีคำสั่งแบบนั้นลงมาจริงๆ หลังจากผ่านมาสี่ปีที่ต้องรักษาจำนวนประชากรชาวโลกเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงได้จับ ชาวโลกมาทำ NPC ให้ขัดขืนพวกตนไม่ได้แต่ตอนนี้กลับมีคำสั่งให้ทำลาย

                การทำลายล้างจึงดำเนินต่อไป

     

                ณ ห้องประชุมกลางซึ่งตั้งอยู่ชั้นใต้ดินเหนือสถานีวิจัยที่กุมภานำงานทดลองของสิงห์มาสานต่อ

                ที่นี่เป็นห้องสำหรับประชุมงานวิจัยหลักขององค์กรซึ่งมีแต่ผู้เกี่ยวข้องและตระกูลธุวดารกะเท่านั้นที่จะเข้ามาใช้งานได้ ในยามนี้มันได้กลายเป็นที่หลบภัยและปราการด่านสุดท้ายของเมตไตรยไปแล้ว

                ธุวดารกะที่ควบคุมเมตไตรยทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมนี้หากเกิดอะไรขึ้นมาละก็เท่ากับว่าองค์กรถูกตัดหัวเลยทีเดียวและคงต้องล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                คนที่มากระจุกกันอยู่ในห้องประชุมมีทั้งหมดสี่คนเป็น ธุวดารกะทั้งหมด ได้แก่ พฤษภา มิถุนา กันยา และ ตุลา เมื่อเสียหัวหอกอย่างกุมภาที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแถมสิงห์ ซึ่งปกติจะมีหน้าที่ควบคุมแทนหากกุมภาไม่อยู่ก็ถูกประหารไปแล้วตามที่พวกธุวดารกะเข้าใจกัน

                ดังนั้นหน้าที่ผู้นำจึงตกเป็นของผู้ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มแทนซึ่งก็คือ พฤษภา หญิงสาววัยกลายคนซึ่งถูกเลือกโดยเทวทูตให้มาเป็นธุวดารกะเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆ

                เธอเข้ามาเป็นธุวดารกะถัดจากกุมภากับสิงห์จึงมีประสบการณ์พอให้พี่น้องคนอื่นยอมรับฟังได้อยู่บ้าง

                ภายในห้องไม่มีใครนั่งติดเก้าอี้กันเลยซักคนทุกคนต่างก็ล้อมโต๊ะประชุมกันแล้วถกเถียงกันไปต่างๆ นานา หากว่าไม่มีพฤษภาคอยคุมเอาไว้วงประชุมนี้คงจะระเบิดไปแล้ว

                “เวลาแบบนี้กุมภาหายตัวไปไหนกันล่ะเนี่ย กรกฏ ก็ด้วย”

                ตุลากล่าว

                ผู้ที่ถามคำถามซึ่งทุกคนในที่ประชุมก็อยากได้คำตอบเป็นชายวัยกลางคนท่าทางร้อนรนทั้งที่มีอายุรองลงมาจากพฤษภาแต่กลับไม่สามารถสงบใจได้ในยามฉุกเฉินเช่นนี้เลย

                นอกจากกุมภาจะไม่อยู่แล้วกระทั่งคนสนิทอย่างกรกฏก็พลอยไม่อยู่ไปด้วยจึงไม่มีหนทางจะติดต่อ

                มีเสียงดังมาจากด้านข้างตุลา

                “พวกท่านทูตสวรรค์ก็ไม่ติดต่อมาเลยหรือไง”

                เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวที่อายุเท่ากับมีนา หล่อนคือมิถุนา

                ถัดมาก็มีเสียงจากคนข้างๆ หล่อนต่อว่าคำถามที่ไม่รู้จักคิดนั่น

                “ก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่ามีแต่กุมภาที่ติดต่อกับท่านทูตสวรรค์ได้น่ะ”      

                กันยา เด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดปีจ้องมองน้องสาวด้วยความหงุดหงิด

                ทั้งสองยังเด็กเหมือนมีนากับเมษา แต่ในบรรดา ธุวดารกะด้วยกันกลับได้รับการยอมรับมากกว่าเพราะมีความสามารถและเป็นอัจฉริยะที่เรียนรู้ได้เร็ว

                ทว่า ต่อให้จะมีความสามารถมากขนาดไหนประสิทธิภาพของมนุษย์ไม่อาจแก้ไขปัญหาในเวลานี้ได้เลย เพียงแค่จะรับมือก็ยังทำไม่ได้เพราะอำนาจสั่งการทหารทั้งหมดอยู่กับกุมภากว่าจะรู้ตัวว่าถูกโจมตีก็แทบไม่มีทหารเหลือพอจะป้องกันเมืองแล้ว ตอนนี้ทุกคนที่นี่จึงคิดแค่เรื่องให้ตัวเองรอดก็พอ

                กันยาถามขึ้นมาบ้าง

                “แล้วนี่พี่พิจิกกับท่านซาคคิเอลที่ไปอารย-สนธยายังไม่ติดต่อกลับมาอีกเหรอ”

                ในบรรดาคนที่เหลือ พิจิก ธุวดารกะ เป็นคนที่สังกัดอยู่กับทหารของเมตไตรยเป็นคนที่พอจะหวังพึ่งความสามารถได้มากที่สุดในตอนนี้แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกันส่วนเหตุผลนั้น...

                “เห็นว่าพิจิกเสร็จพวกมันที่นั่นไปแล้วน่ะสิพวกทหารรายงานมาว่าสัญญาณชีพหายไปท่านซาคคิเอลก็เหมือนจะหายตัวไปหรือไม่ก็เสร็จพวกอารย-สนธยาไปแล้ว”

                พอตุลากล่าวไปแบบนั้น กันยา กับ มิถุนา ก็ทำหน้าสิ้นหวัง

                พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่อารย-สนธยาเลยไม่มีทหารคนไหนรอดกลับมาส่งข่าว

                ในสถานการณ์ที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยซักอย่างอยู่ในมือพวกเขาก็ได้แต่รอให้จุดจบมาถึง

                ทำได้เพียงแค่นั้น...

                “จบกันแล้ว”

                กันยาทุบมือลงบนโต๊ะประชุมพลางสบถแบบนั้น เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นเสียจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน

                ตอนนั้นเองพฤษภาที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เริ่มเอ่ยปากพูด

                “ใจเย็นๆ กันไว้ก่อนที่ฉันเรียกทุกคนมาเนี่ยเพราะเรายังพอมีหวังอยู่ งานทดลองของสิงห์ที่กุมภาสานต่อเห็นว่าพร้อมใช้งานแล้วหากมีสิ่งนั้นก็อาจจะพลิกกระดานเอาชนะพวกมนุษย์ต่างดาวได้ก็ได้”

                พอได้ยินแบบนั้นกันยาก็ทำหน้ามีความหวัง

                “จริงเหรอพี่แล้วไอ้นั่นที่ว่าตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะรีบใช้มันเลยสิ”

                คนอื่นก็ส่งสายตาคาดหวังมาเหมือนกัน พฤษภาจึงกล่าวตอบรับความคาดหวังเหล่านั้น

                “อยู่ข้างล่างชั้นนี้นี่แหละเรารีบไปกันเถอะ”

                สิ้นคำพฤษภาก็ออกเดินนำพี่น้องทั้งหมดเดินออกจากห้องประชุมไปลงลิฟต์ขนถึงชั้นใต้ดินชั้นสุดท้าย เมื่อเดินไปตามทางเดินมืดสลัวจนถึงทางออกพวกเขาก็เข้ามายืนอยู่บนระเบียงทางเดินในห้องวิจัย

                แต่สิ่งที่เหล่าพี่น้องธุวดารกะคาดว่าจะได้รับนั้น กลับกลายเป็นทุกอย่างกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง

                “เฮ้ ตรงนั้นน่ะยังปิดระบบไม่ได้อีกเหรอ มันเกินขีดจำกัดแล้วนะ!”

                “ไม่ไหวครับควบคุมแผงวงจรไม่ได้เลยเหมือนมีใครมาล็อกไว้น่ะครับ”

                “แล้วทำอะไรไมได้เลยรึไง”

                “ถ้าไม่มีพาสเวิร์ดก็ทำอะไรไม่ได้เลยครับ”

                สภาพภายในห้องวิจัยดูวุ่นวายเหมือนกับควบคุมเครื่องมือทั้งหมดไม่ได้ มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากเครื่องบางอย่างในหลายๆ จุดของห้องวิจัย ไหนยังจะมีเสียงไซเรน‘ระงมไปทั้งห้องอีก

                “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

                พฤษภาพยายามถามหาคนรับผิดชอบที่จะตอบเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่ทุกคนต่างก็ยุ่งกับการพยายามหยุดเครื่องมือต่างๆ จนไม่มีใครสนใจพวกธุวดารกะที่เข้ามาข้างในห้องเลย

                “แย่แล้วมันเกินอัตราไปแล้ว หลุดการควบคุมแน่ทุกคนรีบหนีเร็วเครื่องทำสวนมันกำลังจะออกมาฆ่าพวกเราแล้ว!”

                นั่นเป็นเสียงตะโกนสุดท้ายของหัวหน้าฝ่ายวิจัยก่อนจะถูกโครงเหล็กค้ำเพดานถล่มลงมาทับตาย

                เพราะก้อนอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องเริ่มสั่นไหวทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวจนโครงสร้างห้องพังทลาย

                พฤษภากวาดสายตาไปรอบๆ ขณะที่ยึดจับราวกั้นระเบียงเอาไว้แล้วนั่งคุกเข่าบงเพราะแรงสะเทือนของแผ่นดินไหว พี่น้องคนอื่นๆ ก็ทำแบบเดียวเพื่อเอาตัวรอด

                เมื่อห้องหยุดสั่นไหว ตอนนั้นเองสายตาของหล่อนก็ไปเห็นเข้า

                มองเห็นเปลือกหินของอุกกาบาตกำลังหลุดลอกออก เผยสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ข้างในออกมา

                สีเงินมันวาวสะท้อนกับแสงจากหลอดนีออนสีขาวของห้องวิจัย ผิวของมันน่าจะเป็นโลหะบางชนิด ขนาดตัวมหึมาที่นอนขดตัวหลับใหลอยู่ข้างก้อนอุกกาบาตนั่นคือสิ่งที่สิงห์พยายามจะทำมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ…พฤษภาคิดว่ามันเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ…

                “นี่คือสิ่งที่สิงห์คิดจะทำอย่างนั้นเหรอ”

                หล่อนหลุดปากออกมา ปลายขาสั่นพั่บๆ ยามที่สบตากับสิ่งนั้นความกลัวก็พองขยายจนขาหมดเรี่ยวแรงจะลุก

                พวกนักวิจัยที่อยู่ข้างล่างระเบียงทางเดินโดนซากเพดานที่ถล่มลงมาทับตายกันไปหมดแล้ว เหลือแต่เธอกับพวกพี่น้องเท่านั้น

                และแล้ว…

                “โฮ่ พวกธุวดารกะที่เหลืออย่างนั้นรึ”

                เสียงพูดเหมือนเสียงครางแหบต่ำคล้ายกับสัตว์ป่ากำลังคำรามก็ดังลอดออกมาจากเปลือกอุกกาบาตที่ยังไม่กะเทาะแตกออกไป แววตาสีแดงชาดเปล่งประกายออกมาจากด้านในราวกับสัตว์ร้ายที่เพิ่งจะฟักตัวออกจากไข่

                ถ้าตัดเรื่องที่เสียงฟังดูประหลาดออกไปแล้วเสียงนั่น...

                เสียงแบบนั้น...มีนาเหรอ

                พฤษภากล่าวด้วยความตกใจ

                แล้วสิ่งที่อยู่ข้างในอุกกาบาตก็พูด

                “ถือเป็นอาหารเช้าที่ดี สิงห์เจ้าทำให้ข้าถูกใจเสียจริง”

                พอได้ยินที่สิ่งนั้นพูดพฤษภาก็…

                “สิงห์งั้นเหรอ สิงห์เกี่ยวข้องอะไรกับแก พวกฉันเป็นพี่น้องของเขาถ้าแกรับใช้สิงห์อยู่ก็มาช่วยพวกฉันด้วยสิ!”

                ลองอ้อนวอนไปแบบนั้น สายตาคาดหวังเอาไว้ว่านี่อาจจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายสำหรับลูกหลานแห่งอาณาจักรพันปีก็เป็นได้

                พวกธุวดารกะเชื่ออย่างหมดใจว่าพวกตนเป็นคนที่ได้รับเลือกแล้วดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะต้องมีปาฏิหาริย์ที่กำลังจะมาช่วยเหลือพวกตน

                อนิจจาสิ่งที่เป็นความหวังนั้นแท้จริงแล้วคือความสิ้นหวัง

                “สายตาแบบนั้นถือว่าใช้ได้ เจ้ากำลังกระเสือกกระสนเพื่อให้ได้มาซึ่งความหวังถ้าเช่นนั้นข้าจะขอเปลี่ยนมันเป็นความสิ้นหวังก่อนจะสวาปามพวกเจ้าก็แล้วกัน สิงห์ ธุวดารกะ พี่น้องของพวกเจ้าแท้จริงแล้วได้ขายเมตไตรยให้กับข้า ได้มอบชีวิตของพวกเจ้ากับวัชพืชอีกนับพันข้างบนนั่นเป็นของกำนัลแด่ข้ายังไงล่ะ”

                มีเสียงหัวเราะดังตามมาหลังจากนั้น

                พฤษภาทำหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

                “ไม่จริง…”

                พอเห็นแบบนั้นแล้วเครื่องทำสวนก็ส่งเสียงครางอย่างรื่นรมย์ มันดื่มดำกับความกลัวและความสิ้นหวังของมนุษย์ทำให้พลังหลั่งไหลเข้าไปในตัว

                ทันใดนั้นเอง เปลือกอุกกาบาตก็สลายไปจนหมดเผยร่างอันองอาจดั่งราชสีห์แต่กลับมีลายพาดกลอนอยู่บนหลังซึ่งแท้จริงแล้วเป็นร่องที่มีไว้เพื่ออะไรบางอย่าง ใบหน้ายื่นยาวและมีใบหูเหมือนสัตว์ตระกูลแมว เขี้ยวโง้งเหมือนเสือเขี้ยวดาบแต่มีแผ่นพับตรงคอคล้ายกับจะกางออกมาได้

                เมื่อมันกางแผ่นพับตรงคอ ก็ทำให้มันดูเหมือนสิงโตที่มีเขี้ยวโง้ง แผงคอนั้นหมุนได้เหมือนกังหันทันทีที่มันเริ่มหมุนก็มีเปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่องลายพาดกลอนบนหลังดูราวกับมีหนามเพลิงงอกออกมา แผงคอเปล่งแสงสีเดียวกับเปลวไฟบดขยี้และทำลายทุกอย่างในห้องจนพินาศ

                @@@

                บนเกาะร้างที่แฟรนเซียมมานัดพบกับรูบิเดียมและข้าวหลาม นอกจากนี้กรกฎที่หายตัวไปจากธุวดารกะก็ตามรูบิเดียมหรือกุมภามาก็เพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่

                กรกฎเป็นชายร่างสูงกำยำมีกล้ามเนื้อเด่นชัด ใบหน้าเคร่งขรึม ผมสีดำ ดวงตาสีดำฉายแววความจงรักภักดีต่อ กุมภา ธุวดารกะผู้เป็นพี่อย่างหมดหัวใจแม้ว่าจะทราบในภายหลังว่าหล่อนทรยศและตัวจริงเป็นมนุษย์ต่างดาว ถึงอย่างนั้นก็ยังติดตามรับใช้รวมถึงทำงานที่ได้รับอย่างการไปแก้ไขระบบควบคุมในห้องวิจัยเพื่อให้เครื่องทำสวนหลุดการควบคุมออกมา

                กรกฎรายงานกับรูบิเดียมโดยไม่มีทีท่าสะทกสะท้านกับแฟรนเซียมและข้าวหลามที่ยืนอยู่บนชายหาดด้วย

                ตอนนี้พวกพี่พฤษภาน่าจะเข้าไปในนั้นแล้วครับ

                รูบิเดียมที่ได้ฟังรายงานแล้วก็หันไปพูดกับแฟรนเซียม

                เป็นอย่างทีน่ายคาดเอาไว้เลยนะเจ้าพวกนั้นเข้าไปที่ฐานทัพกันหมดเลยจริงๆ ด้วย

                แฟรนเซียมตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแม้จะกำลังแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

                มันก็แหงอยู่แล้วเจ้าพวกไร้ความสามารถพวกนั้นจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปมุดอยู่ในที่ปลอดภัยเพราะงั้นถึงได้ให้รอเก็บไปพร้อมกันซะเลยไง

                ข้าวหลามพูด

                ถ้างั้นจะไปกันรึยังล่ะ เวทีพร้อมแล้วนี่ถ้าพระเอกยังไม่ไปการแสดงก็เริ่มไม่ได้ไม่ใช่เหรอ

                แฟรนเซียมตอบคำถามนั้นด้วยการยิ้มที่มุมปากแล้วพูด

                เออ ไปกันเลย

                จากนั้นทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไป รูบิเดียม กับ กรกฎแยกไปขึ้นยานลำเลียงที่จอดเอาไว้บนเกาะเพื่อมุ่งหน้าไปขึ้นยานหลักแกรนด์ครุยเซอร์ที่เดิมอยู่ในความดูแลของซีเซียม

                ข้าวหลามกลายร่างเป็นปีศาจแล้วดำลงทะเลไปกับอนันตา

                แฟรนเซียมกระโดดลงไปในทะเลที่ซ่อนเครื่องทำสวนเอาไว้ หลังจากเข้าไปในค็อกพิทก็เรียกฟันเฟืองให้งอกออกมาจากหลังตัวเองแล้วสวมเข้าไปในร่องเพื่อขับเคลื่อนมัน

                ทั้งหมดเตรียมมุ่งหน้าสู่แผ่นดินที่เป็นเวทีสำหรับประกาศยุคสมัยของมนุษย์

     

                แต่ทว่า...

                บนเวทีที่โชคชะตาของคนสองกลุ่มกำลังมุ่งไปหา

                โชคชะตาของอิงศรกับพวกพ้อง และ โชคชะตาของแฟรนเซียม

                ปลายทางที่โชคชะตาทั้งสองจะไปสวนกันนั่นเองกลับมีตัวตลกยืนขวางเอาไว้

                ตัวตลกแห่งความพินาศผู้เสพสมความหวังกับความสิ้นหวังของผู้คน

                นามของมันคือ ออร์ทิเกสซาร์เครื่องทำสวนผู้เสพสมอารมณ์ขันอันวิปลาส

                ทันทีที่มันแหวกตัวขึ้นมาจากห้องวิจัยใต้ดินของเมตไตรยความวิปลาสก็ได้แพร่กระจายลงไปบนแผ่นดินราวกับยาฆ่าวัชพืช

                วัชพืชมากมายล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง

                ทั้งมนุษย์ ทั้งมนุษย์ต่างดาว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นวัชพืชสำหรับมัน

                เครื่องทำสวนคำรามอย่างยินดีต่ออิสรภาพที่มันเฝ้ารอจะได้เผยแพร่ความวิปลาสแก่วัชพืช

                สิงห์เอยเจ้าถูกหลอกแล้ว ข้าจะทำลายพวกเจ้าทั้งหมดเพื่อให้ประสงค์ของท่านโซราลิสเป็นจริง แผ่นดินนี้ สวนแห่งนี้ พวกเจ้าจงพินาศไปพร้อมกันเสียเถิด เอ้า ลองแสดงความหวังอันสูงส่งของพวกเจ้าดูสิวัชพืชเอย ความสิ้นหวังเองก็จะสูงเทียบเคียงเช่นกัน จงให้ข้าได้เป็นหายนะของพวกเจ้า ข้าคือความวิปลาส ฮะฮะฮะ

                แล้วเริ่มอาละวาด

     

    ***ตอนวันนี้สั้นๆ ห้วนๆ แบบนี้แหละครับต้องขอโทษด้วย เนื่องจากอยู่ในช่วงปรับกลับเข้าตารางเดิม แล้วเหมือนมันรู้เลยล่ะครับงานเร่งด่วนแม่มเข้าตั้งแต่เช้าวันนี้เลยเล่นเอาไม่มีเวลาเขียนต้นฉบับเลยทีเดียว อาทิตย์หน้าจะกลับไปอัพสองตอนในวันอังคารกับพฤหัสตามตารางเดิมแล้วนะครับ อย่าลืมกันเน่อ แล้วก้ใกล้ไคล์แมกซ์ของครึ่งแรกแย้ว!!***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×