คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #167 : Login 164: ตัวตลกวิปลาส
Login
164: ตัวตลกวิปลาส
“หนีเร็วพวกมนุษย์ต่างดาวบุกเข้าประตูเมืองมาแล้ว!”
ชาวบ้านคนหนึ่งร้องแบบนั้น
ตอนที่เกิดระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นที่บริเวณกำแพงเมืองของเมตไตรย
พอก้อนอิฐที่เรียงตัวกันกำแพงถล่มลงมาจนหมด
สภาพของสนามรบที่แสนสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้น
ควันไฟลอยกรุ่นไปทั่ว
ซากศพของทหารที่นอนตายกันเกลื่อนพื้น
มนุษย์ผิวซีดผู้มีเส้นผมสีเงินติดอาวุธกว่าร้อยคนแห่กรูกันเข้ามาข้างในเมืองที่ยังมีประชาชนอยู่กันเต็ม
ไม่มีการประกาศแจ้งให้อพยพ
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ข้างนอกกำแพงเมืองดำเนินไปในทางไหน
ดังนั้นจึงถูกฆ่าตายไปคนแล้วคนเล่า
พวกมนุษย์ต่างดาวไม่สนใจจะจับตัวมนุษย์ไว้แต่กลับฆ่าทิ้งเป็นผักปลา
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังระงมไปทั่ว
“”ช่วยด้วย!”
“พวกทหารมัวทำอะไรอยู่น่ะหายไปไหนกันหมด!”
“แม่!”
“พี่คะ!”
“อย่าทำลูกฉันเลยขอร้องล่ะ
อ๊า!!”
ประชาชนธรรมดาที่ไม่มีพลังพอจะต่อต้านถูกฆ่าไปคนแล้วคนเล่า
ถูกแย่งชิงคนสำคัญไปทีละคนๆ
บางทีก็ตายไปพร้อมกันหมดทั้งเด็กทั้งแม่ ทั้งพี่ทั้งน้อง
ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาช่วย
ท่ามกลางการฆ่าฟันอยู่ฝ่ายเดียวนั้นก็มีมนุษย์ต่างดาวนายหนึ่งพูดคุยกับเพื่อนด้วยความสงสัยหลังจากหวดดาบลงไปบนหลงของเด็กชายที่พยายามปกป้องน้องสาวจนร่างกายขาดเป็นสองท่อนไปพร้อมกัน
ตายจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น
“นี่
ฆ่าล้างชาวโลกแบบนี้มันจะดีเหรอแล้วเรื่องคำสั่งคุ้มครองจำนวนประชากรล่ะ”
หยดเลือดสาดกระเด็นมาเปรอะที่ใบแก้มแต่มนุษย์ต่างดาวก็ปาดมันออก
“ก็มีคำสั่งจากท่านแฟรนเซียมลงมาแล้วว่าฆ่าให้หมดได้เลยนี่ทำๆ
ไปเถอะน่า”
มีคำสั่งแบบนั้นลงมาจริงๆ
หลังจากผ่านมาสี่ปีที่ต้องรักษาจำนวนประชากรชาวโลกเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง
จึงได้จับ ชาวโลกมาทำ NPC ให้ขัดขืนพวกตนไม่ได้แต่ตอนนี้กลับมีคำสั่งให้ทำลาย
การทำลายล้างจึงดำเนินต่อไป
ณ
ห้องประชุมกลางซึ่งตั้งอยู่ชั้นใต้ดินเหนือสถานีวิจัยที่กุมภานำงานทดลองของสิงห์มาสานต่อ
ที่นี่เป็นห้องสำหรับประชุมงานวิจัยหลักขององค์กรซึ่งมีแต่ผู้เกี่ยวข้องและตระกูลธุวดารกะเท่านั้นที่จะเข้ามาใช้งานได้
ในยามนี้มันได้กลายเป็นที่หลบภัยและปราการด่านสุดท้ายของเมตไตรยไปแล้ว
ธุวดารกะที่ควบคุมเมตไตรยทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมนี้หากเกิดอะไรขึ้นมาละก็เท่ากับว่าองค์กรถูกตัดหัวเลยทีเดียวและคงต้องล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนที่มากระจุกกันอยู่ในห้องประชุมมีทั้งหมดสี่คนเป็น
ธุวดารกะทั้งหมด ได้แก่ พฤษภา มิถุนา กันยา และ ตุลา เมื่อเสียหัวหอกอย่างกุมภาที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแถมสิงห์
ซึ่งปกติจะมีหน้าที่ควบคุมแทนหากกุมภาไม่อยู่ก็ถูกประหารไปแล้วตามที่พวกธุวดารกะเข้าใจกัน
ดังนั้นหน้าที่ผู้นำจึงตกเป็นของผู้ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มแทนซึ่งก็คือ
พฤษภา หญิงสาววัยกลายคนซึ่งถูกเลือกโดยเทวทูตให้มาเป็นธุวดารกะเช่นเดียวกับพี่น้องคนอื่นๆ
เธอเข้ามาเป็นธุวดารกะถัดจากกุมภากับสิงห์จึงมีประสบการณ์พอให้พี่น้องคนอื่นยอมรับฟังได้อยู่บ้าง
ภายในห้องไม่มีใครนั่งติดเก้าอี้กันเลยซักคนทุกคนต่างก็ล้อมโต๊ะประชุมกันแล้วถกเถียงกันไปต่างๆ
นานา หากว่าไม่มีพฤษภาคอยคุมเอาไว้วงประชุมนี้คงจะระเบิดไปแล้ว
“เวลาแบบนี้กุมภาหายตัวไปไหนกันล่ะเนี่ย
กรกฏ ก็ด้วย”
ตุลากล่าว
ผู้ที่ถามคำถามซึ่งทุกคนในที่ประชุมก็อยากได้คำตอบเป็นชายวัยกลางคนท่าทางร้อนรนทั้งที่มีอายุรองลงมาจากพฤษภาแต่กลับไม่สามารถสงบใจได้ในยามฉุกเฉินเช่นนี้เลย
นอกจากกุมภาจะไม่อยู่แล้วกระทั่งคนสนิทอย่างกรกฏก็พลอยไม่อยู่ไปด้วยจึงไม่มีหนทางจะติดต่อ
มีเสียงดังมาจากด้านข้างตุลา
“พวกท่านทูตสวรรค์ก็ไม่ติดต่อมาเลยหรือไง”
เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวที่อายุเท่ากับมีนา
หล่อนคือมิถุนา
ถัดมาก็มีเสียงจากคนข้างๆ
หล่อนต่อว่าคำถามที่ไม่รู้จักคิดนั่น
“ก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่ามีแต่กุมภาที่ติดต่อกับท่านทูตสวรรค์ได้น่ะ”
กันยา
เด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดปีจ้องมองน้องสาวด้วยความหงุดหงิด
ทั้งสองยังเด็กเหมือนมีนากับเมษา
แต่ในบรรดา ธุวดารกะด้วยกันกลับได้รับการยอมรับมากกว่าเพราะมีความสามารถและเป็นอัจฉริยะที่เรียนรู้ได้เร็ว
ทว่า
ต่อให้จะมีความสามารถมากขนาดไหนประสิทธิภาพของมนุษย์ไม่อาจแก้ไขปัญหาในเวลานี้ได้เลย
เพียงแค่จะรับมือก็ยังทำไม่ได้เพราะอำนาจสั่งการทหารทั้งหมดอยู่กับกุมภากว่าจะรู้ตัวว่าถูกโจมตีก็แทบไม่มีทหารเหลือพอจะป้องกันเมืองแล้ว
ตอนนี้ทุกคนที่นี่จึงคิดแค่เรื่องให้ตัวเองรอดก็พอ
กันยาถามขึ้นมาบ้าง
“แล้วนี่พี่พิจิกกับท่านซาคคิเอลที่ไปอารย-สนธยายังไม่ติดต่อกลับมาอีกเหรอ”
ในบรรดาคนที่เหลือ
พิจิก ธุวดารกะ
เป็นคนที่สังกัดอยู่กับทหารของเมตไตรยเป็นคนที่พอจะหวังพึ่งความสามารถได้มากที่สุดในตอนนี้แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกันส่วนเหตุผลนั้น...
“เห็นว่าพิจิกเสร็จพวกมันที่นั่นไปแล้วน่ะสิพวกทหารรายงานมาว่าสัญญาณชีพหายไปท่านซาคคิเอลก็เหมือนจะหายตัวไปหรือไม่ก็เสร็จพวกอารย-สนธยาไปแล้ว”
พอตุลากล่าวไปแบบนั้น
กันยา กับ มิถุนา ก็ทำหน้าสิ้นหวัง
พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่อารย-สนธยาเลยไม่มีทหารคนไหนรอดกลับมาส่งข่าว
ในสถานการณ์ที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยซักอย่างอยู่ในมือพวกเขาก็ได้แต่รอให้จุดจบมาถึง
ทำได้เพียงแค่นั้น...
“จบกันแล้ว”
กันยาทุบมือลงบนโต๊ะประชุมพลางสบถแบบนั้น
เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นเสียจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน
ตอนนั้นเองพฤษภาที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เริ่มเอ่ยปากพูด
“ใจเย็นๆ
กันไว้ก่อนที่ฉันเรียกทุกคนมาเนี่ยเพราะเรายังพอมีหวังอยู่
งานทดลองของสิงห์ที่กุมภาสานต่อเห็นว่าพร้อมใช้งานแล้วหากมีสิ่งนั้นก็อาจจะพลิกกระดานเอาชนะพวกมนุษย์ต่างดาวได้ก็ได้”
พอได้ยินแบบนั้นกันยาก็ทำหน้ามีความหวัง
“จริงเหรอพี่แล้วไอ้นั่นที่ว่าตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะรีบใช้มันเลยสิ”
คนอื่นก็ส่งสายตาคาดหวังมาเหมือนกัน
พฤษภาจึงกล่าวตอบรับความคาดหวังเหล่านั้น
“อยู่ข้างล่างชั้นนี้นี่แหละเรารีบไปกันเถอะ”
สิ้นคำพฤษภาก็ออกเดินนำพี่น้องทั้งหมดเดินออกจากห้องประชุมไปลงลิฟต์ขนถึงชั้นใต้ดินชั้นสุดท้าย
เมื่อเดินไปตามทางเดินมืดสลัวจนถึงทางออกพวกเขาก็เข้ามายืนอยู่บนระเบียงทางเดินในห้องวิจัย
แต่สิ่งที่เหล่าพี่น้องธุวดารกะคาดว่าจะได้รับนั้น
กลับกลายเป็นทุกอย่างกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
“เฮ้
ตรงนั้นน่ะยังปิดระบบไม่ได้อีกเหรอ มันเกินขีดจำกัดแล้วนะ!”
“ไม่ไหวครับควบคุมแผงวงจรไม่ได้เลยเหมือนมีใครมาล็อกไว้น่ะครับ”
“แล้วทำอะไรไมได้เลยรึไง”
“ถ้าไม่มีพาสเวิร์ดก็ทำอะไรไม่ได้เลยครับ”
สภาพภายในห้องวิจัยดูวุ่นวายเหมือนกับควบคุมเครื่องมือทั้งหมดไม่ได้
มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากเครื่องบางอย่างในหลายๆ จุดของห้องวิจัย
ไหนยังจะมีเสียงไซเรน‘ระงมไปทั้งห้องอีก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
พฤษภาพยายามถามหาคนรับผิดชอบที่จะตอบเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
แต่ทุกคนต่างก็ยุ่งกับการพยายามหยุดเครื่องมือต่างๆ
จนไม่มีใครสนใจพวกธุวดารกะที่เข้ามาข้างในห้องเลย
“แย่แล้วมันเกินอัตราไปแล้ว
หลุดการควบคุมแน่ทุกคนรีบหนีเร็วเครื่องทำสวนมันกำลังจะออกมาฆ่าพวกเราแล้ว!”
นั่นเป็นเสียงตะโกนสุดท้ายของหัวหน้าฝ่ายวิจัยก่อนจะถูกโครงเหล็กค้ำเพดานถล่มลงมาทับตาย
เพราะก้อนอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องเริ่มสั่นไหวทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวจนโครงสร้างห้องพังทลาย
พฤษภากวาดสายตาไปรอบๆ
ขณะที่ยึดจับราวกั้นระเบียงเอาไว้แล้วนั่งคุกเข่าบงเพราะแรงสะเทือนของแผ่นดินไหว
พี่น้องคนอื่นๆ ก็ทำแบบเดียวเพื่อเอาตัวรอด
เมื่อห้องหยุดสั่นไหว
ตอนนั้นเองสายตาของหล่อนก็ไปเห็นเข้า
มองเห็นเปลือกหินของอุกกาบาตกำลังหลุดลอกออก
เผยสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ข้างในออกมา
สีเงินมันวาวสะท้อนกับแสงจากหลอดนีออนสีขาวของห้องวิจัย
ผิวของมันน่าจะเป็นโลหะบางชนิด ขนาดตัวมหึมาที่นอนขดตัวหลับใหลอยู่ข้างก้อนอุกกาบาตนั่นคือสิ่งที่สิงห์พยายามจะทำมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ…พฤษภาคิดว่ามันเป็นเรื่องบ้าเอามากๆ…
“นี่คือสิ่งที่สิงห์คิดจะทำอย่างนั้นเหรอ”
หล่อนหลุดปากออกมา
ปลายขาสั่นพั่บๆ ยามที่สบตากับสิ่งนั้นความกลัวก็พองขยายจนขาหมดเรี่ยวแรงจะลุก
พวกนักวิจัยที่อยู่ข้างล่างระเบียงทางเดินโดนซากเพดานที่ถล่มลงมาทับตายกันไปหมดแล้ว
เหลือแต่เธอกับพวกพี่น้องเท่านั้น
และแล้ว…
“โฮ่
พวกธุวดารกะที่เหลืออย่างนั้นรึ”
เสียงพูดเหมือนเสียงครางแหบต่ำคล้ายกับสัตว์ป่ากำลังคำรามก็ดังลอดออกมาจากเปลือกอุกกาบาตที่ยังไม่กะเทาะแตกออกไป
แววตาสีแดงชาดเปล่งประกายออกมาจากด้านในราวกับสัตว์ร้ายที่เพิ่งจะฟักตัวออกจากไข่
ถ้าตัดเรื่องที่เสียงฟังดูประหลาดออกไปแล้วเสียงนั่น...
“เสียงแบบนั้น...มีนาเหรอ”
พฤษภากล่าวด้วยความตกใจ
แล้วสิ่งที่อยู่ข้างในอุกกาบาตก็พูด
“ถือเป็นอาหารเช้าที่ดี
สิงห์เจ้าทำให้ข้าถูกใจเสียจริง”
พอได้ยินที่สิ่งนั้นพูดพฤษภาก็…
“สิงห์งั้นเหรอ
สิงห์เกี่ยวข้องอะไรกับแก
พวกฉันเป็นพี่น้องของเขาถ้าแกรับใช้สิงห์อยู่ก็มาช่วยพวกฉันด้วยสิ!”
ลองอ้อนวอนไปแบบนั้น
สายตาคาดหวังเอาไว้ว่านี่อาจจะเป็นแสงสว่างสุดท้ายสำหรับลูกหลานแห่งอาณาจักรพันปีก็เป็นได้
พวกธุวดารกะเชื่ออย่างหมดใจว่าพวกตนเป็นคนที่ได้รับเลือกแล้วดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะต้องมีปาฏิหาริย์ที่กำลังจะมาช่วยเหลือพวกตน
อนิจจาสิ่งที่เป็นความหวังนั้นแท้จริงแล้วคือความสิ้นหวัง
“สายตาแบบนั้นถือว่าใช้ได้
เจ้ากำลังกระเสือกกระสนเพื่อให้ได้มาซึ่งความหวังถ้าเช่นนั้นข้าจะขอเปลี่ยนมันเป็นความสิ้นหวังก่อนจะสวาปามพวกเจ้าก็แล้วกัน
สิงห์ ธุวดารกะ พี่น้องของพวกเจ้าแท้จริงแล้วได้ขายเมตไตรยให้กับข้า
ได้มอบชีวิตของพวกเจ้ากับวัชพืชอีกนับพันข้างบนนั่นเป็นของกำนัลแด่ข้ายังไงล่ะ”
มีเสียงหัวเราะดังตามมาหลังจากนั้น
พฤษภาทำหน้าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่จริง…”
พอเห็นแบบนั้นแล้วเครื่องทำสวนก็ส่งเสียงครางอย่างรื่นรมย์
มันดื่มดำกับความกลัวและความสิ้นหวังของมนุษย์ทำให้พลังหลั่งไหลเข้าไปในตัว
ทันใดนั้นเอง
เปลือกอุกกาบาตก็สลายไปจนหมดเผยร่างอันองอาจดั่งราชสีห์แต่กลับมีลายพาดกลอนอยู่บนหลังซึ่งแท้จริงแล้วเป็นร่องที่มีไว้เพื่ออะไรบางอย่าง
ใบหน้ายื่นยาวและมีใบหูเหมือนสัตว์ตระกูลแมว
เขี้ยวโง้งเหมือนเสือเขี้ยวดาบแต่มีแผ่นพับตรงคอคล้ายกับจะกางออกมาได้
เมื่อมันกางแผ่นพับตรงคอ
ก็ทำให้มันดูเหมือนสิงโตที่มีเขี้ยวโง้ง
แผงคอนั้นหมุนได้เหมือนกังหันทันทีที่มันเริ่มหมุนก็มีเปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่องลายพาดกลอนบนหลังดูราวกับมีหนามเพลิงงอกออกมา
แผงคอเปล่งแสงสีเดียวกับเปลวไฟบดขยี้และทำลายทุกอย่างในห้องจนพินาศ
@@@
บนเกาะร้างที่แฟรนเซียมมานัดพบกับรูบิเดียมและข้าวหลาม
นอกจากนี้กรกฎที่หายตัวไปจากธุวดารกะก็ตามรูบิเดียมหรือกุมภามาก็เพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่
กรกฎเป็นชายร่างสูงกำยำมีกล้ามเนื้อเด่นชัด
ใบหน้าเคร่งขรึม ผมสีดำ ดวงตาสีดำฉายแววความจงรักภักดีต่อ กุมภา ธุวดารกะผู้เป็นพี่อย่างหมดหัวใจแม้ว่าจะทราบในภายหลังว่าหล่อนทรยศและตัวจริงเป็นมนุษย์ต่างดาว
ถึงอย่างนั้นก็ยังติดตามรับใช้รวมถึงทำงานที่ได้รับอย่างการไปแก้ไขระบบควบคุมในห้องวิจัยเพื่อให้เครื่องทำสวนหลุดการควบคุมออกมา
กรกฎรายงานกับรูบิเดียมโดยไม่มีทีท่าสะทกสะท้านกับแฟรนเซียมและข้าวหลามที่ยืนอยู่บนชายหาดด้วย
“ตอนนี้พวกพี่พฤษภาน่าจะเข้าไปในนั้นแล้วครับ”
รูบิเดียมที่ได้ฟังรายงานแล้วก็หันไปพูดกับแฟรนเซียม
“เป็นอย่างทีน่ายคาดเอาไว้เลยนะเจ้าพวกนั้นเข้าไปที่ฐานทัพกันหมดเลยจริงๆ
ด้วย”
แฟรนเซียมตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแม้จะกำลังแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“มันก็แหงอยู่แล้วเจ้าพวกไร้ความสามารถพวกนั้นจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปมุดอยู่ในที่ปลอดภัยเพราะงั้นถึงได้ให้รอเก็บไปพร้อมกันซะเลยไง”
ข้าวหลามพูด
“ถ้างั้นจะไปกันรึยังล่ะ
เวทีพร้อมแล้วนี่ถ้าพระเอกยังไม่ไปการแสดงก็เริ่มไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
แฟรนเซียมตอบคำถามนั้นด้วยการยิ้มที่มุมปากแล้วพูด
“เออ ไปกันเลย”
จากนั้นทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไป
รูบิเดียม กับ กรกฎแยกไปขึ้นยานลำเลียงที่จอดเอาไว้บนเกาะเพื่อมุ่งหน้าไปขึ้นยานหลักแกรนด์ครุยเซอร์ที่เดิมอยู่ในความดูแลของซีเซียม
ข้าวหลามกลายร่างเป็นปีศาจแล้วดำลงทะเลไปกับอนันตา
แฟรนเซียมกระโดดลงไปในทะเลที่ซ่อนเครื่องทำสวนเอาไว้
หลังจากเข้าไปในค็อกพิทก็เรียกฟันเฟืองให้งอกออกมาจากหลังตัวเองแล้วสวมเข้าไปในร่องเพื่อขับเคลื่อนมัน
ทั้งหมดเตรียมมุ่งหน้าสู่แผ่นดินที่เป็นเวทีสำหรับประกาศยุคสมัยของมนุษย์
แต่ทว่า...
บนเวทีที่โชคชะตาของคนสองกลุ่มกำลังมุ่งไปหา
โชคชะตาของอิงศรกับพวกพ้อง
และ โชคชะตาของแฟรนเซียม
ปลายทางที่โชคชะตาทั้งสองจะไปสวนกันนั่นเองกลับมีตัวตลกยืนขวางเอาไว้
ตัวตลกแห่งความพินาศผู้เสพสมความหวังกับความสิ้นหวังของผู้คน
นามของมันคือ ‘ออร์ทิเกสซาร์’
เครื่องทำสวนผู้เสพสมอารมณ์ขันอันวิปลาส
ทันทีที่มันแหวกตัวขึ้นมาจากห้องวิจัยใต้ดินของเมตไตรยความวิปลาสก็ได้แพร่กระจายลงไปบนแผ่นดินราวกับยาฆ่าวัชพืช
วัชพืชมากมายล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง
ทั้งมนุษย์
ทั้งมนุษย์ต่างดาว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นวัชพืชสำหรับมัน
เครื่องทำสวนคำรามอย่างยินดีต่ออิสรภาพที่มันเฝ้ารอจะได้เผยแพร่ความวิปลาสแก่วัชพืช
“สิงห์เอยเจ้าถูกหลอกแล้ว ข้าจะทำลายพวกเจ้าทั้งหมดเพื่อให้ประสงค์ของท่านโซราลิสเป็นจริง
แผ่นดินนี้ สวนแห่งนี้ พวกเจ้าจงพินาศไปพร้อมกันเสียเถิด เอ้า ลองแสดงความหวังอันสูงส่งของพวกเจ้าดูสิวัชพืชเอย
ความสิ้นหวังเองก็จะสูงเทียบเคียงเช่นกัน จงให้ข้าได้เป็นหายนะของพวกเจ้า
ข้าคือความวิปลาส ฮะฮะฮะ”
แล้วเริ่มอาละวาด
***ตอนวันนี้สั้นๆ ห้วนๆ แบบนี้แหละครับต้องขอโทษด้วย
เนื่องจากอยู่ในช่วงปรับกลับเข้าตารางเดิม แล้วเหมือนมันรู้เลยล่ะครับงานเร่งด่วนแม่มเข้าตั้งแต่เช้าวันนี้เลยเล่นเอาไม่มีเวลาเขียนต้นฉบับเลยทีเดียว
อาทิตย์หน้าจะกลับไปอัพสองตอนในวันอังคารกับพฤหัสตามตารางเดิมแล้วนะครับ
อย่าลืมกันเน่อ แล้วก้ใกล้ไคล์แมกซ์ของครึ่งแรกแย้ว!!***
ความคิดเห็น