ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #166 : Login 163: หมอกที่ไม่จางลง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 222
      5
      25 ต.ค. 60

    Login 163: หมอกที่ไม่จางลง

     

                เมื่ออิงศรเปิดประตูเครื่องเฮลิคอปเตอร์สายลมกรรโชกก็พัดเข้าในห้องโดยสาร

                เด็กหนุ่มใช้มือบังดวงตาเอาไว้แล้วพยายามมองลงไปข้างล่าง มองหาผู้โดยสารที่รอขึ้นอยู่บนทางด่วนอย่างกับเป็นท่าเรือ

                แล้วเมื่อสายตามองเห็นจุดสีแดงเด่นชัดเป็นสง่ากำลังยืนแหงนหน้ามองขึ้นมาทางนี้เช่นกันเขาก็เผลอหลุดปากพูดชื่อของอีกฝ่ายไป

                “ลิเธียม…”

                ราชครูมนุษย์ต่างดาวลำดับที่หกคือกำลังเสริมอย่างที่โพแทสเซียมกับซีลอร์ดบอกอย่างนั้นหรือ…ระหว่างนั้นเองอิงศรก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าลิเธียมแบกอะไรมาด้วย

                สิ่งนั้นคือร่างของมนุษย์ต่างดาวที่มีใบหน้าคล้ายกับตัวเอง

                “ซีเซียมด้วยเรอะ”

                ค่อนข้างน่าตกใจอยู่เหมือนกัน แต่เพราะโดนโพแทสเซียมเร่งเร้ามา

                “ช่วยโยนบันไดเชือกลงไปรับพวกเขาทีสิครับซุงอิง”

                อิงศรจึงคว้าเอาบันไดเชือกลงที่ว่าซึ่งแขวนไว้ข้างเสายึด เขาลองดึงดู ส่วนปลายข้างหนึ่งผูกยึดเอาไว้อย่างดี ที่จริงถึงไม่ต้องใช้บันไดคิดว่าฝ่ายโน้นก็คงกระโดดขึ้นมาบนเครื่องได้เองเลยด้วยซ้ำแต่ขืนทำแบบนั้นมีหวังเครื่องได้เสียหลักพุ่งชนอาคารใกล้ๆ นี่จนได้ตายกันหมดแน่เพราะอย่างนั้นจึงต้องให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเชือดขาดจนอีกฝ่ายตกใจกระโจนขึ้นมาบนเครื่องเอา

                หลังจากลิเธียมปีนบันไดโดยที่แบกซีเซียมด้วยขึ้นมาบนเครื่องได้สำเร็จจึงเริ่มออกเดินทางต่อ

    ระหว่างนั้นเองโพแทสเซียมที่ขับเฮลิคอปเตอร์อยู่ก็ส่งเสียงทักทายเพื่นราชครูมาว่า

                “แหม เอาของฝากมาด้วยเหรอซุงลี่”

                หมอนั่นเหลือบสายตามองผ่านทางกระจกมองหลังสำหรับมองดูห้องผู้โดยสารจึงเห็นว่าลิเธียมพาใครมาด้วย

                นอกจากอิงศรกับพวกเครื่องทำสวนแล้วคนอื่นๆ ก็ตกใจกันอยู่ไม่น้อย เพราะเพิ่งจะสู้กับสองคนนี้ไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน แต่ตอนนี้กำลังจะกล่ยเป็นพันธมิตรกันซะอย่างนั้น

                “…”

                ลิเธียมไม่ได้ตอบคำถามของโพแทสเซียมและไม่สนใจสายตาระแวดระวังจากทุกคน หมอนั่นแบกซีเซียมซึ่งยังไม่ได้สติไปวางลงบนที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่โดยจัดให้นอนลงบนเก้าอี้สามตัว

                ลิเธียมหันกลับมา

                “ต้องเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดีล่ะท่านลำดับที่สี่”

                แล้วถามมาอย่างนั้น ดูเหมือนจะพยายามอธิบายสถานการณ์และคงอยากยืนยันสถานการณ์ที่ตอนนี้กลายมาเป็นพันธมิตรกันได้อย่างไร

                “ซุงลี่ก็เล่าเรื่องทางนั้นมาก่อนเลยก็ได้นะเพราะฝั่งนี้น่ะพวกเขารู้เรื่องของท่านแฟรนเซียมหมดไส้หมดพุงซะยิ่งกว่าพวกเราอีก”

                โพแทสเซียมกล่าวมาทางจากห้องบังคับ

                ลิเธียมพยักหน้าให้จากนั้นจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น

                เรื่องที่ซีเซียมพยายามจะไปหยุดแฟรนเซียมเพราะได้ความทรงจำคืนมาจากเมล์ที่ซีลอร์ดส่งให้

                อิงศรหันไปมองซีลอร์ดผู้เป็นต้นเหตุแล้วก็ได้คำตอบเป็นแบบที่เดาๆ เอาไว้

                “ผมก็แค่คิดว่ามันถึงเวลาที่ควรจะเปิดผนึกความทรงจำได้แล้วน่ะแต่ดูเหมือนผมจะทำพลาดไปใหญ่หลวงเลยสินะเพราะคิดว่าเขาไม่ใช่ซีเซียมตัวจริงอยู่แล้วคงไม่คิดจะทำอะไรที่เหมือนกันแต่ผมก็คาดเดาผิดจนได้เขานี่หัวร้อนพอๆ กับเธอเลยล่ะอิงศร”

                หมอนั่นจะต้องตอบแบบหันมาจิกกัดเขาอย่างที่คิดเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ

                ตอนนั้นเองซีเซียมที่นอนอยู่บนเก้าอี้ก็ฟื้นคืนสติแล้วลุกขึ้นมานั่งกุมขมับ

                “อูย ปวดหัวโดนอะไรกระแทกเข้าให้ฟระ”

                ซีเซียมครางสีหน้าทรมานเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสังเกตเห็นรอบตัว

                “…”

                ดวงตาของมนุษย์ต่างดาวที่หน้าเหมือนตัวเองเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย คงเพราะเห็นพวกเขาอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง แล้วสายตานั่นก็ยิ่งเบิกกว่างขึ้นเมื่อเลื่อนไปเจอซีลอร์ดที่ยืนอยู่ข้างอิงศร

                ซีเซียมทำหน้าช็อกแล้ว...

                “ไฮโดรเจน”

                พูดมาแบบนั้น ชื่อในฐานะอดีตราชาของมนุษย์ต่างดาวของซีลอร์ดครั้งหนึ่งหมอนี่เคยดำรงตำแหน่งของแฟรนเซียมแต่เพราะมีเหตุผลบางอย่างทำให้ตำแหน่งโอนกันไปแบบที่ซีลอร์ดกลายเป็นลำดับที่ศูนย์แล้วแฟรนเซียมก็เข้าปกครองพวกมนุษย์ต่างดาวทั้งหมดแทน

                เหตุผลนั้นก็คือมนุษย์ต่างดาวดั้งเดิมทั้งหมดต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้วพวกชุดปัจจุบันในตอนนี้เกือบทั้งหมดเป็นของเทียมที่แฟรนเซียมสร้างขึ้นมาโดยก็อปปี้ความทรงจำของทุกตนมาจากซีลอร์ด ถ้าจะให้พูดในแบบของซีลอร์ดล่ะก็คงพูดว่า หมอนี่คือ ‘อดัมของมนุษย์ต่างดาว’

                เรื่องพวกนั้นอิงศรเพิ่งจะได้ฟังอย่างคร่าวๆ ตอนที่ขึ้นเครื่องมา

                จากนั้นซีเซียมก็ถามลิเธียมว่า

                “ลิเธียมมันเกิดอะไรขึ้นแล้วคนอื่นๆ ล่ะ”

                แต่ลิเธียมส่ายหน้า อิงศรเองก็เพิ่งจะได้ฟังมาเหมือนกันว่าพวกพ้องของซีเซียมทั้งหมดที่เขาได้ต่อสู้ด้วยที่วัดอารย-สนธยานั้นถูกแฟรนเซียมฆ่าตายหมดแล้ว คิดว่าเจ้าตัวคงจะเริ่มจำได้เหมือนกันเพราะจู่ๆ ก้ก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนพยายามจะซ่อนความอ่อนแอที่กำลังฉายบนใบหน้าของตัวเอง

                “ขอโทษด้วยครับท่านลำดับที่สองผมพาท่านหนีมาได้แค่คนเดียว”

                ลิเธียมกล่าวแบบนั้น

                “…”

                ซีเซียมไม่พูดอะไร...หมอนี่กำลังเศร้างั้นเหรอ แม้แต่ตรงนี้เองก้ยังจะเหมือนกับเราด้วยรึไงกัน...อิงศรคิด

                อากับกริยาของซีเซียมมันคาดเดาได้ง่ายซะจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับที่ทำหน้าตาเหมือนเสียสติคนนั้นจริงๆ

                ช่างเชื่อได้ยากว่านี่คือซีเซียมคนนั้น

                “นาย...”

                อิงศรกล่าวแล้วเดินเข้าไปใกล้

                อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแต่พยายามไม่ให้เห็นว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหนแล้วตอบมาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

                “อะไรเล่าอยากจะพูดว่าน่าสมเพชสินะตัวฉันน่ะ”

                “เสียใจเพราะปกป้องพวกนั้นไม่ได้งั้นเหรอ”

                พอถามไปแบบนั้น ซีเซียมก็เงยหน้าหันมาสบตาด้วยท่าทางโกรธ

                “เออสิ แล้วมันหนักหัวแกรึไง”

                พลางตะคอกมาแบบนั้น

                “ก็เปล่า หัวน่ะไม่ได้หนักหรอก พวกนายจะตายไปกี่คนก็ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่แล้วแต่มันหนักใจที่ต้องเห็นคนหน้าเหมือนตัวเองฝืนกลั้นน้ำตาไม่ไหวน่ะ”

                อิงศรพูดพร้อมกับยักไหล่ไปด้วย

                “มนุษย์ต่างดาวไม่ร้องไห้เหมือนชาวโลกว้อย!!”

                “เออ นั่นสิลืมไปเลยมีแต่มิ่งขวัญนี่นะที่ร้องได้น่ะ”

                เขาตอบโดยหวังจะกวนอารมณ์อีกฝ่ายให้ขุ่นมัวหนักข้อขึ้นไปอีกแล้วชายสายตาไปทางน้องชาย

                “ถ้าไม่รังเกียจจะให้ยืมขวัญไปกอดปลอบก่อนฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แบบว่าเป็นคนใจกว้างน่ะ”

                พอพูดแบบนั้นไปไม่รู้ทำไมมิ่งขวัญถึงได้ทำสีหน้าขยาดขึ้นมา

                ทันใดนั้นซีเซียมก็ลุกจากที่นั่งเอื้อมเข้ามาคว้าคอเสื้อเขาไป

                “นี่แกคิดจะล้อเลียนฉันใช่ไหมหา!”

                เพราะแบบนั้นเองทุกคนบนเครื่องเลยย้ายมือไปที่อาวุธกันหมด มันคงเป็นแบบนั้นแหละถ้าทะเลาะกับมนุษย์ต่างดาวระดับราชครูคงไม่จบแค่เจ็บหนักเฉยๆ แน่ตัวเขามีสิทธิ์ที่จะตายเอาได้เลยดังนั้นพวกพ้องที่คำนึงถึงชีวิตของเขาจึงลุกขึ้นจะจับอาวุธกันหมด คงจะต้องบอกให้พวกนั้นเลิกระแวงแล้วทำตัวผ่อนคลายลงก่อนเพราะถ้าซีเซียมเป็นคนแบบเขาจริงๆ ล่ะก็

                หากหมอนี่มีกำผืดแบบเดียวกันกับเขา เป็นดั่งแสงกับเงาของกันและกันแล้วล่ะก็ตอนนี้ยังวางใจได้

                “เอ้าพอแค่นั้นแหละทั้งอิงศรทั้งซีเซียมเลย”

                ซีลอร์ดกล่าวมาแบบนั้นซีเซียมจึงยอมปล่อยมือจากเขา แล้วซีลอร์ดก็หันไปพูดกับซีเซียม

                “ก่อนอื่นก็ยังดีล่ะนะที่เธอก็อยู่ที่นี่ด้วยน่ะซีเซียมอยากจะขอแรงเธอช่วยปรับปรุงระบบเกมหน่อย”

                พอได้ยินแบบนั้นอิงศรก็รู้สึกว่าปล่อยผ่านไม่ได้จึงพูดแทรกเข้าไปทันที

                “เดี๋ยวก่อนนะถ้านายรู้จักซีเซียมอยู่แล้วแถมยังรู้ว่าหมอนี่ควบคุมระบบเกมได้ทำไมตอนฉันถามเรื่องแพทซ์อามาเกดดอนถึงบอกว่าไม่รู้เรื่องล่ะ”

                เพราะซีลอร์ดโกหกตนทั้งที่พูดอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้โกหกมาตลอด แต่ว่าเรื่องนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น

                ตอนที่เขาไปถามเรื่องของสิงห์ในคืนเมื่อวานซืนก่อนจะเริ่มเรดบอสเลเวลเจ็ดสิบ ตอนนั้นเขาได้ถามเกี่ยวกับข้อมูลของแพทซ์เกมแต่หมอนี่กลับตอบว่าไม่รู้

                ถ้าอย่างนั้นซีเซียมที่บอกว่าเป็นคนสร้างระบบของเกมโลกาวินาศก็โกหกอย่างนั้นหรือ?

                ไม่มีทางอยู่แล้วก็หมอนี่เพิ่งจะขอแรงให้ซีเซียมช่วยปรับปรุงระบบเกมอยู่เมื่อกี้เองนี่

                ซีลอร์ดจ้องหน้าเขา…คงจะอ่านความคิดเมื่อครู่ไปแล้วถึงได้ไม่ตอบโต้ทันที น่าจะกำลังหาคำพูดสวยๆ มาอธิบายอยู่ล่ะมั้ง…อิงศรนิ่วหน้าขมวดคิ้วขณะที่คิดสงสัยซีลอร์ดอยู่ก็ได้รับคำตอบมาว่า

                “ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นาถึงผมจะมอบสิทธิ์ในการควบคุมระบบให้ซีเซียมและวางแบบแปลนว่าจะทำแบบไหนให้สามารถใช้งานอมฤตได้อย่างง่ายที่สุดก็เถอพแต่พวกเราก็ไม่ได้เป็นคนกำหนดทิศทางของมันได้ซะหน่อย แถมแพทซ์ที่อัพเดทมานี่ก็ยังไปไกลเกินกว่าที่พวกผมเคยคาดการณ์กันไว้ซะอีก”

                “หมายความว่ายังไง”

                “ก็แบบนี้ไง ในความเป็นจริงพวกเธอน่าจะสูญพันธุ์ไปตอนที่ดีเซมแมร์ตื่นขึ้นมาแล้วยังไงล่ะรูบิเดียมแยกตัวมิ่งขวัญไปจากเธอก็คงเพราะเรื่องนั้นเพราะมันถูกกำหนดมาจากอาคาชิกเรคคอร์ดแล้วน่ะสิ”

                หมอนี่ตั้งใจจะบอกว่าช่วงเวลาในตอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ หรือก็คืออาคาชิกเรคคอร์ดไม่ได้ทำนายถึงช่วงเวลานี้ไว้อย่างนั้นหรือ?

                ซีลอร์ดพูด

                “ก็นะคำทำนายของอาคาชิกเรคคอร์ดน่ะมีรูปแบบตั้งไม่รู้เท่าไหร่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเลือกก้าวเดินไปทางไหนอาคาชิกเรคคอร์ดก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปตามนั้นด้วย”

                แม้จะฟังคำอธิบายแล้วอิงศรก็นังไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ ตอนนั้นเองซีเซียมที่เหมือนจะอึดอัดกับสถานการณ์ก็เลยพูดขึ้นมา

                “ถ้าจะให้พูดก็เหมือนหลักการทำงานแบบเครื่องเล่นเกมนั่นแหละ พอเปลี่ยนตลับหรือแผ่นแล้วเกมก็จะเปลี่ยนไปด้วยแต่ทั้งหมดก็ถูกกำหนดรูปแบบกับเนื้อเรื่องเอาไว้ในแต่ละเกมแล้ว”

                อิงศรมองซีเซียมด้วยสายตาทึ่งเล็กน้อยพลางคิดว่า…ช่างเป็นการอธิบายที่เข้าใจได้ง่ายมาก ทั้งที่รูปแบบกับเซนส์ด้านการเปรียบเปรยมีความคล้ายคลึงกับซีลอร์ดแต่ก็นังอธิบายได้เข้าใจมากกว่า สมแล้วที่เป็นตัวเขาอีกคนจะเรียกว่าเซนส์ตรงกันดีไหมนะ

                อย่างไรก็ตามมันยังมีเรื่องที่คาใจอยู่…

                อิงศรหันไปทางซีลอร์ด

                “แล้วไง จะบอกว่ารู้แต่แรกแล้วว่าฉันจะอาละวาดด้วยเครื่องทำสวนแต่จะบอกว่าไม่รู้เหตุผลที่ฉันจะอาละวาดงั้นสิ”

                “ก็ตามนั้นแหละรูบิเดียมกับแฟรนเซียมก็ดำเนินการกันเองตามใจชอบผมน่ะได้แค่เฝ้าจับตาดูเท่านั้น”

                นั่นหมายความว่าเรื่องที่เขากับมิ่งขวัญจะถูกจับแยกกันก็ได้กำหนดมาแต่แรกแล้ว

                อิงศรกวาดตามองรอบๆ ห้องโดยสารแล้วก็พบว่าตัวละครทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนต่างก็มารวมอยู่ที่นี่กันหมด แถมยังกำลังมุ่งหน้าไปหาแฟรนเซียมหรือสิงห์เหมือนๆ กันไม่มีผิด

                เขานึกถึงตอนที่ได้เจอกับสิงห์เป็นครั้งแรก

                ตอนนั้นหมอนั่นพูดเอาไว้แบบนี้

                ‘อาชาสีขาวแห่งชัยชนะ’

                มันช่างเหมือนกับประโยคในคำทำนายวันสิ้นโลกของไบเบิลทีเพิ่งจะค้นคว้ามาเพื่อคุยเรื่องของมนุษย์ต่างดาวกับซีลอร์ด

                อิงศรถาม

                “เกี่ยวอะไรกับจตุรอาชาในไบเบิลรึเปล่า”

                ซีลอร์ดยกมือขึ้นชัยคางอย่างใช้ความคิดเล็กน้อยแล้วตอบมาว่า

                “อืม ก็ค่อนข้างเกี่ยวนะส่วนหนึ่งเพราะผมคิดว่าแทนตัวตนของผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเอาไว้แบบนั้นจะทำให้พวกเธอเข้าใจได้ง่ายกว่า”

                “จะว่าไปตอนที่เจอกับนายครั้งแรกก็พูดเหมือนกันนี่นะว่าฉันเป็นคันธนูแห่งชัยชนะหมายถึงอาชาสีขาวงั้นสิ”

                “ใช่”

                ซีลอร์ดตอบแล้วชี้ไปที่มิ่งขวัญ

                “ส่วนน้องของเธอคืออาชาสีแดง กวินทร์เป็นอาชาสีซีด สิงห์เป็นอาชาสีดำ”

                ดูเหมือนว่าพอพูดถึงกลุ่มของสิ่งที่เป็นมนุษย์แล้วถ้าจะนับรวมแฟรนเซียมเข้าไปด้วยก็จะเรียกว่าสิงห์แทน เพราะพวกเขาคือ มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก’ บางทีอาจจะมีความหมายแบบนั้นเลย คือมีแต่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้นที่จะถูกเลือกโดยฟันเฟือง

                “งั้นที่ฟันเฟืองแยกมาอยู่กับพวกเราเนี่ย หรือว่าจะเป็นการทดสอบสำหรับมนุษย์โดยเฉพาะอะไรแบบนั้นรึเปล่า”

                “เรื่องนั้นผมเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าแอดมินิสเทรเตอร์จะตั้งใจมอบบททดสอบแบบนั้นให้หรอกนะเพราะมันจะทำให้เกิดกรณีแบบสิงห์ขึ้นมามนุษย์จะออกนอกลู่นอกทางแล้วก่อกบฏแบบนี้ไง”

                “หมายถึงเรื่องควบคุมเครื่องทำสวนสินะ”

                “…”

                ไม่ตอบนั่นแปลว่าถูก

                หมายความว่าแม้แต่ซีลอร์ด...แม้แต่ฝั่งของพระเจ้าเองก็อาจจะยังมีเรื่องคาดเดาไม่ได้เกี่ยวกับเฟืองอยู่เหมือนกันสินะ

                หรือยังจะมีใครบงการแฟรนเซียมอยู่อีกทีรึเปล่า

                ซีลอร์ดตอบคำถามที่เขาลองพึมพำขึ้นดู

                นั่นก็คือสิ่งที่เรายังต้องหาคำตอบกันต่อไปก่อนหน้านี้เธอก็พูดไว้นี่ว่าอาจจะยังมีคนเราไม่รู้คอยบงการเรื่องนี้อยู่แล้วก็เรื่องอาคานาร์ของเธอผมคิดว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้

                แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่รู้อะไรอยู่ดี ดูเหมือนวาต่อให้ร่วมมือกันระหว่างมนุษย์ มนุษย์ต่างดาว และ เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่เพียงพอจะทำให้หมอกแห่งความลับจางลงไปได้เลย

                นี่ไม่ใช่แค่ว่า อ่อนแอ หรือว่า พลังไม่พอ แล้วแต่มันอาจจะแย่ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะมีตัวตนบางอย่างที่โลกใบนี้เอาชนะไม่ได้คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง

                ตัวตนนั้นอาจจะเหนือเสียยิ่งกว่าแอดมินิสเทรเตอร์ที่เป็นเสมือนพระเจ้าของโลกนี้เสียอีกก็ได้...

                หรือไม่ก็เท่าเทียมกันเพราะครั้งหนึ่งซีลอร์ดเคยพูดเอาไว้ว่าพลังของอาคานาร์ก็คือการควบคุมโชคชะตาให้มากลายเป็นพลังซึ่งคล้ายกับเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์

                อาจจะเป็นแผนของหนึ่งในแอดมินิสเทรเตอร์ก็ได้

                อิงศรลองพูดข้อสรุปออกมา

                “…”

                แต่ไม่มีใครตอบโต้กับคำพูดนั่น มันเลื่อนลอยเกินไปแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรือต่อให้เป็นอย่างที่ว่าจริงก็ไม่มีใครทำอะไรได้อยู่ดี

                ตอนนั้นเองโพแทสเซียมก็ส่งเสียงมาจากทางห้องบังคับ

                เราถึงจุดต่อรถกันแล้วจะเอาเครื่องลงรีบไปนั่งที่แล้วใส่เข็มขัดกันด้วยนะ

                จึงต้องพักการสนทนาเอาไว้แล้วกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

                ที่ต้องต่อรถไปเพราะคงเอาเฮลิคอปเตอร์ไปจอดกลางสนามรบไม่ได้แล้วก็เสี่ยงจะถูกยิงตกด้วย

                เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนลานจอดรถใกล้กับปั๊มน้ำมันร้าง

                พวกเขาก็ลงจากเครื่องและเจอรถจิ๊ปของเมตไตรยจอดเรียงกันอยู่สองคันรวมถึงมอเตอร์ไซต์อีกหนึ่งคันถูกเตรียมเอาไว้พร้อมกับน้ำมันอีกนิดหน่อย

                อิงศรหันไปมองโพแทสเซียมซึ่งน่าจะเป็นคนเตรียมของพวกนี้เอาไว้

                ไปเอามาจากไหนล่ะเนี่ย

                พอดีผมมีรสนิยมชอบสะสมของจากชาวโลกน่ะของพวกนี้ก็ยึดมาจากเชลยที่จับได้เมื่อปีก่อนเอ~หรือสองปีก่อนกันนะ

                ราชครูทำหน้ายิ้มขำไปพลางพูดไปพลาง

                อิงศรจ้องมองไปที่รถพวกนั้นว่ายังมีคราบเลือดหรือซากศพที่ถูกฆ่าชิงทรัพย์หลงเหลืออยู่หรือเปล่า

                แต่รถพวกนั้นก็ดูสะอาดสะอ้านเหมือนได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดี ที่ว่าชอบสะสมคงจะเป็นเรื่องจริง

                คันหนึ่งนั่งแบบเบียดๆ หน่อยก็ได้ห้าคน

                อิงศรมองจำนวนคนที่นี่แล้วคิดว่าที่นั่งไม่น่าจะพอ

                แค่พวกเขาก็ปาเข้าไปสิบคนกันแล้วแถมยังมีเครื่องทำสวนอีกสองกับราชครูมนุษย์ต่างดาวอีกสาม รวมเป็นสิบห้าคน ต่อให้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์สามคนแล้วขับแบบช้าๆ ก็ไม่พออยู่ดี ที่นั่งมีแค่สิบสามที่เท่านั้น

                แล้วซีลอร์ดก็พูดขึ้นมาในตอนนั้น

                ผมไม่ไปด้วยหรอกนะเพราะมีธุระจะต้องทำนิดหน่อยไว้จะตามไปทีหลังแล้วก็จะขอยืมตัวซีเซียมด้วย

                พร้อมกับรั้งแขนซีเซียมเอาไว้

                สรุปก็จะเหลือสิบสามคนพอดี

                ถ้าให้กวินทร์ขับคันหนึ่งแล้วให้นรินทร์ พลอย เน็กส์ นิว ขึ้นไปนั่งก็คงพอจะได้อยู่ มอเตอร์ไซค์มิ่งขวัญน่าจะขับเขาได้ยินรายงานตอนที่มิ่งขวัญบุกไปที่ค่ายช่วงทำสงครามกับเรดบอสเลเวลสี่สิบแล้วว่าน้องชายขับมอเตอร์ไซค์บุกมาให้มิกซ์ไปซ้อนท้ายน่าจะดี

                ทีนี้ก็เหลืออีกคันซึ่งเขาจะเป็นคนขับเอง เคยให้กวินทร์สอนช่วงที่ย้ายกลับไปอยู่ศูนย์ใหญ่มาแล้วคงไม่มีปัญหา ส่วนคนที่นั่งไปด้วยก็ให้เป็นเมษากับฟูแล้วก็ราชครูอีกสองตน

                สำหรับเมษากับฟูแล้วคงไม่เป็นไรถ้าหากว่าพวกมนุษย์ต่างดาวคิดจะทำอะไรขึ้นมาก็สละรถทันทีโดยที่ล้มลุกคลุกคลานซักหน่อยก็อึดพอจะไม่ตายตรงนั้น มิ่งขวัญกับกวินทร์เองก็แข็งแกร่งพอจะปกป้องทุกคนที่เหลือได้

                อิงศรคิดว่าแบ่งแบบนั้นคงจะดีที่สุดแล้วและเตรียมจะพูดแผนแบ่งที่นั่งออกไป แต่ทว่า

                ซุงอิงไปซ้อนมอเตอร์ไซค์กับซุงมิ่งละกันคันหนึ่งผมจะขับเองถ้าเธอไม่ไว้ใจล่ะก็จะให้พวกที่ดูท่าทางแข็งแรงมานั่งคันของผมก็ได้นะ

                โพแทสเซียมเสนอมาแบบนั้น ที่เจ้าราชครูนี่ทำหน้ายิ้มขำ ท่าทางจะอ่านแผนแบ่งที่นั่งของเขาออกอย่างนั้นล่ะสิ

                ทำไมจะต้องฟังแกด้วยล่ะ

                เพราะว่าถ้าไปถึงสนามรบแล้วเธอเป็นคนเดียวที่น่าจะสู้กับท่านแฟรนเซียมได้มากที่สุดน่ะสิดังนั้นให้คล่องตัวไว้น่าจะดีกว่าอีกอย่างซุงมิ่งได้รับการถ่ายทอดวิธีขี่แบบผาดโผนจากซุงลี่ไปแล้วด้วยดังนั้นไว้ใจเรื่องเสี่ยงอันตรายได้เลย

                โพแทสเซียมกล่าวพลางชี้นิ้วโป้งไปที่ลิเธียมซึ่งยืนรออยู่ด้านหลัง

                หรือจะไว้ใจให้ผมขับมอเตอร์ไซค์ให้เธอกันล่ะ

                ดูเหมือนไม่ว่าจะเลือกแบบไหนเขาก็ต้องถูกจับลงไปนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่ดีด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการความคล่องตัวนั่นเอง

                “…”

                ถ้าอย่างนั้น

                งั้นก็เอาตามนั้นฉันจะซ้อนขวัญคันที่นายขับให้เมษากับฟูกับมิกซ์นั่งไป

                อิงศรพูดแล้วเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ จากนั้นทุกคนก็แยกกันไปขึ้นรถ

                มิ่งขวัญขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์ก่อนจากนั้นเขาจึงตามขึ้นไปซ้อน

                ก่อนจะออกรถอิงศรก็ถามน้องชาย

                ขับผาดโผนขนาดไหนมาบ้าง

                มิ่งขวัญทำหน้านึกอยู่พักหนึ่งจึงตอบมาว่า

                ก็เสียวสุดคงเป็นขับกระโดดข้ามตึกล่ะมั้ง

                ได้ยินแบบนั้นอิงศรก็สอดแขนเข้าไปโอบเอวน้องชายโดยที่กอดเอาไว้แน่นนิดหน่อย

                งั้นอย่าขับเร็วนักล่ะฉันยิ่งไม่ค่อยไว้ใจนาย

                อะไรเล่าไม่ขับล้มหรอกน่า!”

                มิ่งขวัญพูดเหมือนกับโมโห แต่คำแก้ตัวที่พูดมานั่นยิ่งทำให้น่าวิตกขึ้นไปอีก

                ระหว่างนั้นเองรถจิ๊ปทั้งสองคันก็ออกวิ่งนำไปแล้วพวกเขาจึงต้องรีบตาม

                มิ่งขวัญคว้าหมวกกันน็อคที่แขวนอยู่ตรงแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ส่งให้เขาใบหนึ่งแล้วตัวเองก็สวมอีกใบจากนั้นพอบิดกุญแจสตาร์ท รถก็ส่งเสียงไม่ค่อยน่าประทับใจซักเท่าไหร่ มันดัง กะชึ่กๆ เหมือนเครื่องจะมีปัญหา แต่พอมิ่งขวัญบิดแฮนด์รถก็วิ่งออกไปได้ฉิว


    ***สรุปว่าอาทิตย์นี้จะมีสามตอนครับรอติดตามต่อวันศุกร์เลยเน่อ แล้วก็อาจจะสั้นๆ ลงในช่วงนี้เนื่องจากยังเตรียมพล็อตได้ไม่ครบบวกกับช่วงสิ้นปีงานเยอะเป็นทุนเดิมขอให้ทนกันไปก่อนเน่อ ตอนนี้พยายามกลับไปอัพด้วยตารางเดิมด้วยทำให้จำนวนตอนสำรองที่เขียนไว้ใช้หมดเกลี้ยงเบย อุ๋งงง***

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×