ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #109 : Login 106: Ancient of Days

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 347
      15
      8 พ.ค. 60

    Login 106: Ancient of Days

     

                ตั้งแต่เริ่มโจมตีอารย-สนธยาแล้ว... ไม่สิตั้งแต่ตอนที่ถูกพวกอารย-สนธยาโจมตีแล้วต่างหาก ตั่งแต่ตอนนั้นมากวินทร์ก็คิดว่าถึงจะมีเรื่องไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นอีกก็คงจะไม่ตกใจแล้ว

                ทั้งปีศาจ ทั้งมนุษย์ครึ่งปีศาจที่อ้างตัวว่าเป็นเทพเจ้า ทั้งมนุษย์ต่างดาวที่มาเจรจาสงบศึกหลังจากรบกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน แต่ความดื้อด้านของอวโลกิตะนี่ก็อยู่เกินสามัญสำนึกไปหน่อย

                มันน่าจะถูกมิ่งขวัญฆ่า ที่จริงแล้วเจ้านั่นเป็นอมตะก็เลยฆ่าไม่ได้แต่มิ่งขวัญก็ทุ่มสุดตัวยอมแลกกับการสูญเสียความเป็นมนุษย์เพื่อกำจัดตัวตนอมตะนั่นไปได้อย่างถาวรแต่มันกลับปรากฏออกมาอีก

                “ดื้อด้านชะมัดยาดเลย”

                กวินทร์พูดพลางใช้มือปาดเม็ดเหงื่อที่ไหลโกรกบนหน้าผากออก

                ความจริงก็คือตั้งแต่ตอนที่เสียงของอวโลกิตะดังขึ้นมาอุณหภูมิรอบๆ ก็เหมือนจะสูงขึ้น

                ร้อน

                ร้อน...

                คืนนี้อากาศค่อนข้างจะอบอ้าวไปบ้างก็จริงแต่ตอนนี้มันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ

                “ร้อนโว้ยยย!!! ทำไมมันถึงได้ร้อนแบบนี้เนี่ย!”

                ฟูตะโกนเสียงดังพลางดึงคอเสื้อที่ชื้นเหงื่อออกหวังให้อากาศระบายเข้าไปในเสื้อ

                “นี่มันร้อนผิดปกติแล้วนะครับ”

                คำพูดของมิกซ์สมเหตุสมผล มันเกินกว่าจะเรียกว่าอบอ้าวไปแล้ว ที่นี่เหมือนกับอยู่ในเตาอบทุกคนเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าเพราะความร้อนออกมา

                กวินทร์มองไปที่ไทเทเนียม อีกฝ่ายก็เหมือนจะถูกความร้อนเล่นงานมีเหงื่ออกบ้างเล็กน้อยทั้งที่สวมชุดถ้าทางหนาแน่นชวนให้เหงื่ออกขนาดนั้นบางทีคงเป็นชุดที่มีลูกเล่นปรับอุณหภูมิได้หรืออะไรทำนองนั้น

                “หึๆๆ นึกไม่ถึงเลยนะว่าพวกเจ้าจะยังอยู่ที่นี่กันอีก...”

                ที่คาดไม่ถึงน่ะมันแกต่างหากจะตื้อไปถึงไหนกัน

                “น่าตกใจอยู่เหมือนกันที่เราผู้นี้ถึงกับต้องใช้ดวงใจที่แยกออกมาเพื่อควบคุมจอกศักดิ์สิทธิ์เป็นร่างหลักในการเผชิญหน้ากับพวกเจ้าแทนแบบนี้แต่ก็เพราะอย่างนั้นถึงรอดมาจากพลังทำลายลูกโซ่ของผู้ถูกฟันเฟืองเลือกนั่นได้เพราะดวงใจนี้กับร่างต้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันอีกถึงฝ่ายไหนจะอยู่หรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบ”

                ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกที่ว่าคงหมายถึงมิ่งขวัญที่มีเฟืองเหมือนกับอิงศรท่าทางจะยังผูกใจเจ็บเรื่องที่แพ้อยู่

                “คราวก่อนทำไว้เจ็บแสบเหมือนกันนะแต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว”

                ไทเทเนียมพูดพลางดึงดาบออกจากพื้น

                “เปลี่ยนไปงั้นรึ หึๆๆ ก็นั่นน่ะสินะ สถานการณ์มันได้เปลี่ยนไปแล้ว จะว่าไปรู้รึเปล่าว่าเราปิดผนึกอมฤตด้วยวิธีการใด”

                จู่ๆ ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมากันนะ

                “จะว่าไปตอนที่จัดการมันได้ก็พูดเอาไว้ประมาณนี้ด้วย ถ้าดับสูญไปจอกศักดิ์สิทธิ์ก็จะอะไรทำนองนี้แหละ”

                มิ่งขวัญพูดแบบนั้น

                น้องชายของพี่ศรเป็นคนเดียวที่มีสติอยู่ตอนที่ต่อสู้ตัดสินกับอวโลกิตะดังนั้นคงไม่ได้พูดออกมาสุ่มๆ แน่

                เสียงของอวโลกิตะยังคงพูดต่ออีกว่า

                “จะบอกให้ก็ได้ว่าที่ปิดผนึกอมฤตไปน่ะไม่ใช่เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของอารย-สนธยาหรอกนะแต่เพื่อให้จอกศักดิ์สิทธิ์ได้รวบรวมอมฤตมากพอที่จะใช้มหาประทานพรได้เท่านี้การโปรดสัตว์ก็...อึก....อา”

                จู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป อวโลกิตะส่งเสียงเหมือนครางด้วยเหตุผลบางอย่าง

                “นะ...นี่มัน....อึก...เจ้าเป็นใครกันทำไมถึงมาแทรกแซงการควบคุม...ไม่สินี่เจ้าหรือว่า...”

                ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น อะไรบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่ปีศาจคาดเอาไว้...กวินทร์คิดเช่นนั้น

                ตอนนั้นเองพื้นเบื้องหน้าเขาก็กระดอนขึ้นมา

                บานประตูไม้ที่โดนฝังอยู่ข้างล่างโผล่ขึ้นมา มันถูกผลักออกจากอีกด้าน

                “เกือบไปแล้วนึกว่าจะโดนฝังทั้งเป็นแล้วนะเนี่ย”

                เจ้าของเสียงคือคนที่อยู่หลังบานประตู ซากิรินั่นเองหล่อนขว้างบานประตูนั่นทิ้งไปแล้วเดินขึ้นมาจากด้านล่าง

                “ค..คุณซากิริไปอยู่ไหนกันมาครับเนี่ย”

                พอถามไปแบบนั้นซากิริก็หันหลังกลับไปทางที่เธอขึ้นมาแล้วก้มตัวดึงอิซานามิขึ้นมาแล้วค่อยตอบคำถาม

                “ก็ไปหลบน่ะซี่ข้างล่างโบสถ์นี่มีห้องใต้ดินที่เห็นมาจากแผนที่อยู่ด้วยน่ะเพราะไม่อยากทำตัวเกะกะตอนที่พลังยังไม่ฟื้นนี่นาแต่ว่า...”

                พอช่วยอิซานามิปีนขึ้นมาข้างบนได้ซากิริก็กวาดตามองรอบๆ แล้วยักไหล่พลางพูดว่า

                “ท่าทางจะเอาเรื่องอยู่นะเนี่ย”

                หล่อนพูดด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน

                ในตอนนั้นเองตรงพื้นที่ว่างที่แบ่งแยกระหว่างสองฝ่ายก็ปรากฏฟองผุดขึ้นมา

                กวินทร์จ้องมองฟองนั่นด้วยความฉงน ฟองไม่ได้มีแค่หนึ่งแต่มันผุดปุดๆ แล้วแตกเหมือนน้ำกำลังเดือด ไม่นานนักก็มีสิ่งที่เหมือนแก้วหรือจอกขนาดใหญ่ผิดปกติลอยขึ้นมา

                จอกทองคำพื้นผิวเกลี้ยงเกลากำลังลอยกลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์ มีเสียงดังออกมาจากจอก...เสียงของอวโลกิตะ

                "อีก...อา...เจ้า...หรือว่า..."

                ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนกำลังทรมาน

                "เจ้าอวโลกิตะอยู่ในนั้นเหรอ"

                พอพูดแบบนั้นซากิริที่กำลังจ้องมองจอกด้วยก็พูดเหมือนกับจะรู้สถานการณ์

                "หมายความว่าเจ้านั่นแบ่งจิตไว้ควบคุมจอกด้วยสินะ"

                "รู้ด้วยเหรอครับ"

                "ก็ต้องรู้สิคนที่ปลดผนึกอาคมของมันคือฉันนะก็พอจะเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะแต่มันก็ทำอะไรกับตรงนั้นไม่ได้เลยไม่ใส่ใจน่ะไม่นึกว่าจิตที่แบ่งไว้จะมากขนาดทำงานแทนตัวจริงได้"

                "หมายความว่าไงกันล่ะครับนั่น"

                "อืม...จะอธิบายยังไงดีล่ะคือว่านะมันก็เหมือนกับการลงโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์น่ะถ้าบอกว่าฉันมองจอกนั่นเป็นแค่สมาร์ทโฟนแต่เอาเข้าจริงมันดันเป็นเครื่องเซิฟเวอร์สำรองไปซะได้แบบนี้จะพอเข้าใจรึเปล่า"

                คิดว่าถึงไม่ตอบเทวทูตผู้รอบรู้ก็น่าจะเข้าใจสีหน้ามึนงงของเขาได้

                "เอาเป็นว่างานเข้าก็แล้วกัน"

                ซากิริพูดโดยไม่รอคำตอบแล้วพูดต่อไปอีกว่า

                "ถ้ามหาประทานพรที่ว่าคือพิธีกรรมระดับสูงของศาสตร์เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของแท้แล้วล่ะก็มีหวังโลกได้หายไปทั้งใบแน่"

                "มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ"

                พอถามไปซากิริก็ถอนหายใจเบาๆ

                "ก็ประมาณว่ามันเป็นเครื่องสร้างแบล็กโฮลขนาดใหญ่ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกกลับคืนสู่ความว่างเปล่าหรือนิพพานตามเป้าหมายของโพธิ์สัตว์น่ะนะ"

                หนนี้หล่อนอธิบายแบบกระชับเข้าใจได้ง่าย บางทีคงเบื่อที่จะพูดรายละเอียดนอกเหนือไปจากนั้นแล้วเพราะถึงพูดมาเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

                ระหว่างนี้เองก็ยังไม่อะไรเกิดขึ้น

                เสียงของอวโลกิตะเงียบไปได้ซักพักแล้วแต่จอกยังคงลอยอยู่

                พอคิดว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นของอันตรายก็น่าจะทำลายมันทิ้งซะก่อนไม่ดีกว่าหรือ?

                ยังไงก็ดีกว่ารอให้มันลบทุกคนด้วยหลุมดำนั่นแหละ...กวินทร์คิดอย่างนั้นแล้ววิ่งไปเก็บดาบ เขามองหาตั้งแต่ช่วงที่คุยกับซากิริดาบที่หลุดมือตอนโดนไทเทเนียมโจมตีตกอยู่ไม่ไกลนักและเพราะมันหลุดไปจากมือทำให้เล่มหนึ่งที่เคยร่ายอาคมสายฟ้าใส่เอาไว้พ้นจากสภาพและกลายเป็นดาบธรรมดาทั้งคู่

                กวินทร์เก็บดาบขึ้นมา หันหลังกลับตั้งท่าจะไปทำลายจอกแต่ซากิริก็พูดหยุดเขาไว้ซะก่อน

                "อย่าดีกว่าโชเน็นเจ้านั้นน่ะฟันไม่โดนหรอกมันไม่ใช่ของที่มีตัวตนให้ทำลายได้"

                ถึงกวินทร์จะหยุดฟังแต่ไทเทเนียมที่อยู่ฟากตรงข้ามไม่ได้ใส่ใจคำพูดเตือนที่จงใจพูดให้หล่อนได้ยินด้วย

                ไทเทเนียมขยับเท้าออกจากที่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ใช้อาวุธติดตั้งอสุรา นั่นทำให้สันนิษฐานเรื่องขยับตัวออกจากที่ไม่ได้เป็นโมฆะไป

                หล่อนทัดดาบไว้บนบ่าแล้ววิ่งจ้ำเร็วๆ ที่จริงควรจะหายไปในพริบตาแล้วไปโผล่ที่ข้างๆ จอกด้วยซ้ำแต่นี่กลับวิ่งธรรมดาๆ จนมองด้วยตาของมนุษย์ก็ยังมองทัน

                "หรือดาบนั่นจะจำกัดความเร็วในการเคลื่อนที่"

                ก่อนหน้านี้ตอนที่ใช้แวริเอเบิลไนท์ก็เป็นวิธีสู้ที่ลดความเร็วของตัวเองลงแลกกับการโจมตีและตั้งรับที่สมบูรณ์พร้อมนั่นเป็นแนวทางที่หล่อนใช้เสมอมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นมนุษย์ บางทีอาวุธอสุรานั่นก็อาจจะมีคอนเซปเดียวกันเพียงแต่กดความเร็วลงไปมากกว่าที่ผ่านมา

                ทันทีที่เข้าถึงระยะดาบไทเทเนียมก็ตวัดดาบฟันจอกเต็มแรงแต่ใบดาบกลับทะลุผ่านเหมือนฟันใส่อากาศแล้วทุบลงบนพื้นดินแทนจนทำให้เกิดแรงสะเทือนคว้านเอาพื้นที่รอบๆ ขึ้นไปข้างบน

                เนื่องจากเป้าการโจมตีไม่ใช่พวกเขาทำให้มีระยะห่างของเวลาก่อนที่แรงสะเทือนจะวิ่งมาถึงพื้นที่ๆ พวกเขายืนและทำให้วิ่งหนีออกไปทัน

                ภายหลังจากที่เศษดินทรายตกลงมาหมดแล้ว สภาพขอจอกที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนก็เผยให้เห็น

                จากนั้นเสียงของอวโลกิตะก็ดังขึ้นมา

                “เรา...เป็นซึ่งเราเป็น

                “อะ

                อยู่ๆ ซากิริก็ส่งเสียงออกมาแบบนั้น
                ทันใดนั้นเองจอกก็เปล่งแสง แสงของมันเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ

                เจิดจ้าจนทำให้ตาพร่าได้กว่าสายตาจะเริ่มชินกับแสงก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่

                กวินทร์ลืมตาที่เริ่มชินกับแสงจนหายพร่ามัว จ้องมองตรงไปข้างหน้า

                นี่มัน...

                เด็กหนุ่มอ้าปากค้างเขาพูดได้แค่นั้นเพราะตรงที่จอกทองคำเคยอยู่ตอนนี้ กลับปรากฏรูปปั้นหินสีขาวของหญิงที่แต่งตัวคล้ายนักบุญอุ้มจอกเอาไว้และมีเด็กทารกกำลังหลับอยู่ในจอก

                รอบข้างรูปปั้นถูกล้อมไว้ด้วยรูปหล่อเทวทูตทองคำกำลังเป่าคันแตรเปล่งประกายพลานุภาพแห่งแสงเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์

                มีเสียงดังออกมาจากกลุ่มรูปปั้นรูปหล่อพวกนั้นเป็นเสียงที่ไม่เหมือนเสียงของอวโลกิตะเลย

                เราคือเราผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน พระเจ้าของบรรพบุรุษเจ้า ของอับราฮัม ของอิสอัค ของยาคอบ นี่เป็นนามของเราชั่วนิรันดร์...

                น้ำเสียงนั้นฟังดูเด็ดขาดเป็นเสียงที่แยกไม่ค่อยออกว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือเสียงผู้หญิงโทนมันสูงต่ำสลับกันไปแถมยังดังก้องเหมือนมีเสียงของคนหลายคนพูดปนเปกันมา

                เป็นไปไม่ได้...ไม่จริงน่า

                ซากิริพูด หล่อนเริ่มทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ราวกับรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ที่จริงคงจะรู้นั่นแหละ หล่อนรู้ไปเกือบทุกเรื่องถึงได้เป็นที่ปรึกษาของเมตไตรยแล้วก็เป็นหัวหน้าของฝ่ายวิจัยจึงรอบรู้เรื่องของเกมโลกาวินาศมากมาย

                เสียงของจอกยังคงพูดต่อไปอีก

                ...เป็นนามที่พวกเจ้าจะเรียกเราตลอดทุกชั่วอายุเราคือ ยฮวฮ”

     

                …

     

                บนถนนซึ่งขนาบด้วยตึกร้างและซากตึกที่ถล่มลงมาภายในรากแห่งอาคาชิกเรคคอร์ด

                อิงศรกำลังวิ่งหนี

                มีปีศาจรูปงามกางกรงเล็บสยองวิ่งไล่ตาม

                อิงศรง้างสายขึ้นลูกธนูจนคันธนูโก่งเต็มที่พลางหันกลับไป ใช้เวลาเล็งแค่ชั่วพริบตาก็แผลงลูกศร

                ลูกธนูทะลวงใส่ร่างของปีศาจ เข้าเป้าทุกนัด

                ทะลวงหัวใจ ทะลวงหัวเข่าทั้งสองข้างถึงไม่มีหัวใจหรือไม่ตายอย่างน้อยขาก็น่าจะใช้การไม่ได้แต่เจ้าปีศาจกลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วใช้ขาคู่นั้นเดินต่อ

                “เจ้านี่มันยังไงกันนะ”

                อิงศรสบถใส่ปีศาจที่ไล่ตามมาโดยที่ขาไม่ได้หยุดวิ่ง

                สู้แบบไม่รู้อะไรเลยเสียเปรียบเกินไป ที่จริงข้อมูลจะถามซีลอร์ดเอาคงได้แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่อำนวยให้ทำแบบนั้น

                พอเริ่มคิดถึงการสืบข้อมูลของศัตรูมันก็ทำให้นึกถึงนรินทร์ขึ้นมาอีกหมอนั่นคอยสืบข้อมูลของศัตรูมาสนับสนุนให้ที่ผ่านมาถึงได้ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพได้แล้วตรงนั้นนั่นเอง...

                “จริงสิเรามีไอ้นั่นอยู่นี่นา”

                ที่อิงศรฉุกใจคิดขึ้นมาว่าแอพพลิชั่นปีศาจของนรินทร์อยู่กับตัวเอง เด็กหนุ่มเรียกหน้าจอคลังเก็บแล้วล้วงมือหยิบไม้เท้าของนรินทร์ออกมา

                ไม่รู้เหมือนกันว่าปีศาจของนรินทร์จะยอมรับไหมหรือแม้แต่จะเข้ากันได้กับตัวเองหรือเปล่า

                มีนาเคยบอกว่าถ้าปีศาจกับผู้ใช้ไม่มีความเข้ากันได้ก็จะทำให้มีปัญหา

                แต่ไม่ใช้ก็มีปัญหาเหมือนกันล่ะฟระ

                สรุปว่าจะลองใช้ดู...

                ที่ผ่านมาก็มีกรณีของโอดินมาแล้วถ้าเข้ากันไม่ได้ก็แค่เปลี่ยนไปหาวิธีอื่นอย่างไรซะคงไม่ถึงกับทำให้ตาย เมื่อตัดสินใจได้อิงศรก็ชูไม้เท้าขึ้นแล้วประกาศให้มันทำงาน

                ”เดม่อนแอพ ลาพาส!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×