คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #109 : Login 106: Ancient of Days
Login
106: Ancient of Days
ตั้งแต่เริ่มโจมตีอารย-สนธยาแล้ว...
ไม่สิตั้งแต่ตอนที่ถูกพวกอารย-สนธยาโจมตีแล้วต่างหาก
ตั่งแต่ตอนนั้นมากวินทร์ก็คิดว่าถึงจะมีเรื่องไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นอีกก็คงจะไม่ตกใจแล้ว
ทั้งปีศาจ
ทั้งมนุษย์ครึ่งปีศาจที่อ้างตัวว่าเป็นเทพเจ้า
ทั้งมนุษย์ต่างดาวที่มาเจรจาสงบศึกหลังจากรบกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน
แต่ความดื้อด้านของอวโลกิตะนี่ก็อยู่เกินสามัญสำนึกไปหน่อย
มันน่าจะถูกมิ่งขวัญฆ่า
ที่จริงแล้วเจ้านั่นเป็นอมตะก็เลยฆ่าไม่ได้แต่มิ่งขวัญก็ทุ่มสุดตัวยอมแลกกับการสูญเสียความเป็นมนุษย์เพื่อกำจัดตัวตนอมตะนั่นไปได้อย่างถาวรแต่มันกลับปรากฏออกมาอีก
“ดื้อด้านชะมัดยาดเลย”
กวินทร์พูดพลางใช้มือปาดเม็ดเหงื่อที่ไหลโกรกบนหน้าผากออก
ความจริงก็คือตั้งแต่ตอนที่เสียงของอวโลกิตะดังขึ้นมาอุณหภูมิรอบๆ
ก็เหมือนจะสูงขึ้น
ร้อน
ร้อน...
คืนนี้อากาศค่อนข้างจะอบอ้าวไปบ้างก็จริงแต่ตอนนี้มันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
“ร้อนโว้ยยย!!!
ทำไมมันถึงได้ร้อนแบบนี้เนี่ย!”
ฟูตะโกนเสียงดังพลางดึงคอเสื้อที่ชื้นเหงื่อออกหวังให้อากาศระบายเข้าไปในเสื้อ
“นี่มันร้อนผิดปกติแล้วนะครับ”
คำพูดของมิกซ์สมเหตุสมผล
มันเกินกว่าจะเรียกว่าอบอ้าวไปแล้ว
ที่นี่เหมือนกับอยู่ในเตาอบทุกคนเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าเพราะความร้อนออกมา
กวินทร์มองไปที่ไทเทเนียม
อีกฝ่ายก็เหมือนจะถูกความร้อนเล่นงานมีเหงื่ออกบ้างเล็กน้อยทั้งที่สวมชุดถ้าทางหนาแน่นชวนให้เหงื่ออกขนาดนั้นบางทีคงเป็นชุดที่มีลูกเล่นปรับอุณหภูมิได้หรืออะไรทำนองนั้น
“หึๆๆ
นึกไม่ถึงเลยนะว่าพวกเจ้าจะยังอยู่ที่นี่กันอีก...”
ที่คาดไม่ถึงน่ะมันแกต่างหากจะตื้อไปถึงไหนกัน
“น่าตกใจอยู่เหมือนกันที่เราผู้นี้ถึงกับต้องใช้ดวงใจที่แยกออกมาเพื่อควบคุมจอกศักดิ์สิทธิ์เป็นร่างหลักในการเผชิญหน้ากับพวกเจ้าแทนแบบนี้แต่ก็เพราะอย่างนั้นถึงรอดมาจากพลังทำลายลูกโซ่ของผู้ถูกฟันเฟืองเลือกนั่นได้เพราะดวงใจนี้กับร่างต้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันอีกถึงฝ่ายไหนจะอยู่หรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบ”
ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกที่ว่าคงหมายถึงมิ่งขวัญที่มีเฟืองเหมือนกับอิงศรท่าทางจะยังผูกใจเจ็บเรื่องที่แพ้อยู่
“คราวก่อนทำไว้เจ็บแสบเหมือนกันนะแต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว”
ไทเทเนียมพูดพลางดึงดาบออกจากพื้น
“เปลี่ยนไปงั้นรึ
หึๆๆ ก็นั่นน่ะสินะ สถานการณ์มันได้เปลี่ยนไปแล้ว จะว่าไปรู้รึเปล่าว่าเราปิดผนึกอมฤตด้วยวิธีการใด”
จู่ๆ
ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมากันนะ
“จะว่าไปตอนที่จัดการมันได้ก็พูดเอาไว้ประมาณนี้ด้วย
ถ้าดับสูญไปจอกศักดิ์สิทธิ์ก็จะอะไรทำนองนี้แหละ”
มิ่งขวัญพูดแบบนั้น
น้องชายของพี่ศรเป็นคนเดียวที่มีสติอยู่ตอนที่ต่อสู้ตัดสินกับอวโลกิตะดังนั้นคงไม่ได้พูดออกมาสุ่มๆ
แน่
เสียงของอวโลกิตะยังคงพูดต่ออีกว่า
“จะบอกให้ก็ได้ว่าที่ปิดผนึกอมฤตไปน่ะไม่ใช่เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของอารย-สนธยาหรอกนะแต่เพื่อให้จอกศักดิ์สิทธิ์ได้รวบรวมอมฤตมากพอที่จะใช้มหาประทานพรได้เท่านี้การโปรดสัตว์ก็...อึก....อา”
จู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป
อวโลกิตะส่งเสียงเหมือนครางด้วยเหตุผลบางอย่าง
“นะ...นี่มัน....อึก...เจ้าเป็นใครกันทำไมถึงมาแทรกแซงการควบคุม...ไม่สินี่เจ้าหรือว่า...”
ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น
อะไรบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่ปีศาจคาดเอาไว้...กวินทร์คิดเช่นนั้น
ตอนนั้นเองพื้นเบื้องหน้าเขาก็กระดอนขึ้นมา
บานประตูไม้ที่โดนฝังอยู่ข้างล่างโผล่ขึ้นมา
มันถูกผลักออกจากอีกด้าน
“เกือบไปแล้วนึกว่าจะโดนฝังทั้งเป็นแล้วนะเนี่ย”
เจ้าของเสียงคือคนที่อยู่หลังบานประตู
ซากิรินั่นเองหล่อนขว้างบานประตูนั่นทิ้งไปแล้วเดินขึ้นมาจากด้านล่าง
“ค..คุณซากิริไปอยู่ไหนกันมาครับเนี่ย”
พอถามไปแบบนั้นซากิริก็หันหลังกลับไปทางที่เธอขึ้นมาแล้วก้มตัวดึงอิซานามิขึ้นมาแล้วค่อยตอบคำถาม
“ก็ไปหลบน่ะซี่ข้างล่างโบสถ์นี่มีห้องใต้ดินที่เห็นมาจากแผนที่อยู่ด้วยน่ะเพราะไม่อยากทำตัวเกะกะตอนที่พลังยังไม่ฟื้นนี่นาแต่ว่า...”
พอช่วยอิซานามิปีนขึ้นมาข้างบนได้ซากิริก็กวาดตามองรอบๆ
แล้วยักไหล่พลางพูดว่า
“ท่าทางจะเอาเรื่องอยู่นะเนี่ย”
หล่อนพูดด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน
ในตอนนั้นเองตรงพื้นที่ว่างที่แบ่งแยกระหว่างสองฝ่ายก็ปรากฏฟองผุดขึ้นมา
กวินทร์จ้องมองฟองนั่นด้วยความฉงน
ฟองไม่ได้มีแค่หนึ่งแต่มันผุดปุดๆ แล้วแตกเหมือนน้ำกำลังเดือด
ไม่นานนักก็มีสิ่งที่เหมือนแก้วหรือจอกขนาดใหญ่ผิดปกติลอยขึ้นมา
จอกทองคำพื้นผิวเกลี้ยงเกลากำลังลอยกลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์
มีเสียงดังออกมาจากจอก...เสียงของอวโลกิตะ
"อีก...อา...เจ้า...หรือว่า..."
ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนกำลังทรมาน
"เจ้าอวโลกิตะอยู่ในนั้นเหรอ"
พอพูดแบบนั้นซากิริที่กำลังจ้องมองจอกด้วยก็พูดเหมือนกับจะรู้สถานการณ์
"หมายความว่าเจ้านั่นแบ่งจิตไว้ควบคุมจอกด้วยสินะ"
"รู้ด้วยเหรอครับ"
"ก็ต้องรู้สิคนที่ปลดผนึกอาคมของมันคือฉันนะก็พอจะเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะแต่มันก็ทำอะไรกับตรงนั้นไม่ได้เลยไม่ใส่ใจน่ะไม่นึกว่าจิตที่แบ่งไว้จะมากขนาดทำงานแทนตัวจริงได้"
"หมายความว่าไงกันล่ะครับนั่น"
"อืม...จะอธิบายยังไงดีล่ะคือว่านะมันก็เหมือนกับการลงโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์น่ะถ้าบอกว่าฉันมองจอกนั่นเป็นแค่สมาร์ทโฟนแต่เอาเข้าจริงมันดันเป็นเครื่องเซิฟเวอร์สำรองไปซะได้แบบนี้จะพอเข้าใจรึเปล่า"
คิดว่าถึงไม่ตอบเทวทูตผู้รอบรู้ก็น่าจะเข้าใจสีหน้ามึนงงของเขาได้
"เอาเป็นว่างานเข้าก็แล้วกัน"
ซากิริพูดโดยไม่รอคำตอบแล้วพูดต่อไปอีกว่า
"ถ้ามหาประทานพรที่ว่าคือพิธีกรรมระดับสูงของศาสตร์เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของแท้แล้วล่ะก็มีหวังโลกได้หายไปทั้งใบแน่"
"มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ"
พอถามไปซากิริก็ถอนหายใจเบาๆ
"ก็ประมาณว่ามันเป็นเครื่องสร้างแบล็กโฮลขนาดใหญ่ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกกลับคืนสู่ความว่างเปล่าหรือนิพพานตามเป้าหมายของโพธิ์สัตว์น่ะนะ"
หนนี้หล่อนอธิบายแบบกระชับเข้าใจได้ง่าย
บางทีคงเบื่อที่จะพูดรายละเอียดนอกเหนือไปจากนั้นแล้วเพราะถึงพูดมาเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ระหว่างนี้เองก็ยังไม่อะไรเกิดขึ้น
เสียงของอวโลกิตะเงียบไปได้ซักพักแล้วแต่จอกยังคงลอยอยู่
พอคิดว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นของอันตรายก็น่าจะทำลายมันทิ้งซะก่อนไม่ดีกว่าหรือ?
ยังไงก็ดีกว่ารอให้มันลบทุกคนด้วยหลุมดำนั่นแหละ...กวินทร์คิดอย่างนั้นแล้ววิ่งไปเก็บดาบ
เขามองหาตั้งแต่ช่วงที่คุยกับซากิริดาบที่หลุดมือตอนโดนไทเทเนียมโจมตีตกอยู่ไม่ไกลนักและเพราะมันหลุดไปจากมือทำให้เล่มหนึ่งที่เคยร่ายอาคมสายฟ้าใส่เอาไว้พ้นจากสภาพและกลายเป็นดาบธรรมดาทั้งคู่
กวินทร์เก็บดาบขึ้นมา
หันหลังกลับตั้งท่าจะไปทำลายจอกแต่ซากิริก็พูดหยุดเขาไว้ซะก่อน
"อย่าดีกว่าโชเน็นเจ้านั้นน่ะฟันไม่โดนหรอกมันไม่ใช่ของที่มีตัวตนให้ทำลายได้"
ถึงกวินทร์จะหยุดฟังแต่ไทเทเนียมที่อยู่ฟากตรงข้ามไม่ได้ใส่ใจคำพูดเตือนที่จงใจพูดให้หล่อนได้ยินด้วย
ไทเทเนียมขยับเท้าออกจากที่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ใช้อาวุธติดตั้งอสุรา
นั่นทำให้สันนิษฐานเรื่องขยับตัวออกจากที่ไม่ได้เป็นโมฆะไป
หล่อนทัดดาบไว้บนบ่าแล้ววิ่งจ้ำเร็วๆ
ที่จริงควรจะหายไปในพริบตาแล้วไปโผล่ที่ข้างๆ จอกด้วยซ้ำแต่นี่กลับวิ่งธรรมดาๆ
จนมองด้วยตาของมนุษย์ก็ยังมองทัน
"หรือดาบนั่นจะจำกัดความเร็วในการเคลื่อนที่"
ก่อนหน้านี้ตอนที่ใช้แวริเอเบิลไนท์ก็เป็นวิธีสู้ที่ลดความเร็วของตัวเองลงแลกกับการโจมตีและตั้งรับที่สมบูรณ์พร้อมนั่นเป็นแนวทางที่หล่อนใช้เสมอมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นมนุษย์
บางทีอาวุธอสุรานั่นก็อาจจะมีคอนเซปเดียวกันเพียงแต่กดความเร็วลงไปมากกว่าที่ผ่านมา
ทันทีที่เข้าถึงระยะดาบไทเทเนียมก็ตวัดดาบฟันจอกเต็มแรงแต่ใบดาบกลับทะลุผ่านเหมือนฟันใส่อากาศแล้วทุบลงบนพื้นดินแทนจนทำให้เกิดแรงสะเทือนคว้านเอาพื้นที่รอบๆ
ขึ้นไปข้างบน
เนื่องจากเป้าการโจมตีไม่ใช่พวกเขาทำให้มีระยะห่างของเวลาก่อนที่แรงสะเทือนจะวิ่งมาถึงพื้นที่ๆ
พวกเขายืนและทำให้วิ่งหนีออกไปทัน
ภายหลังจากที่เศษดินทรายตกลงมาหมดแล้ว
สภาพขอจอกที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนก็เผยให้เห็น
จากนั้นเสียงของอวโลกิตะก็ดังขึ้นมา
“เรา...เป็นซึ่งเราเป็น”
“อะ”
อยู่ๆ
ซากิริก็ส่งเสียงออกมาแบบนั้น
ทันใดนั้นเองจอกก็เปล่งแสง
แสงของมันเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ
เจิดจ้าจนทำให้ตาพร่าได้กว่าสายตาจะเริ่มชินกับแสงก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่
กวินทร์ลืมตาที่เริ่มชินกับแสงจนหายพร่ามัว
จ้องมองตรงไปข้างหน้า
“นี่มัน...”
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างเขาพูดได้แค่นั้นเพราะตรงที่จอกทองคำเคยอยู่ตอนนี้
กลับปรากฏรูปปั้นหินสีขาวของหญิงที่แต่งตัวคล้ายนักบุญอุ้มจอกเอาไว้และมีเด็กทารกกำลังหลับอยู่ในจอก
รอบข้างรูปปั้นถูกล้อมไว้ด้วยรูปหล่อเทวทูตทองคำกำลังเป่าคันแตรเปล่งประกายพลานุภาพแห่งแสงเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์
มีเสียงดังออกมาจากกลุ่มรูปปั้นรูปหล่อพวกนั้นเป็นเสียงที่ไม่เหมือนเสียงของอวโลกิตะเลย
“เราคือเราผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน
พระเจ้าของบรรพบุรุษเจ้า ของอับราฮัม ของอิสอัค ของยาคอบ
นี่เป็นนามของเราชั่วนิรันดร์...”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเด็ดขาดเป็นเสียงที่แยกไม่ค่อยออกว่าเป็นเสียงผู้ชายหรือเสียงผู้หญิงโทนมันสูงต่ำสลับกันไปแถมยังดังก้องเหมือนมีเสียงของคนหลายคนพูดปนเปกันมา
“เป็นไปไม่ได้...ไม่จริงน่า”
ซากิริพูด
หล่อนเริ่มทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ราวกับรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง ที่จริงคงจะรู้นั่นแหละ
หล่อนรู้ไปเกือบทุกเรื่องถึงได้เป็นที่ปรึกษาของเมตไตรยแล้วก็เป็นหัวหน้าของฝ่ายวิจัยจึงรอบรู้เรื่องของเกมโลกาวินาศมากมาย
เสียงของจอกยังคงพูดต่อไปอีก
”...เป็นนามที่พวกเจ้าจะเรียกเราตลอดทุกชั่วอายุเราคือ ยฮวฮ”
…
บนถนนซึ่งขนาบด้วยตึกร้างและซากตึกที่ถล่มลงมาภายในรากแห่งอาคาชิกเรคคอร์ด
อิงศรกำลังวิ่งหนี
มีปีศาจรูปงามกางกรงเล็บสยองวิ่งไล่ตาม
อิงศรง้างสายขึ้นลูกธนูจนคันธนูโก่งเต็มที่พลางหันกลับไป
ใช้เวลาเล็งแค่ชั่วพริบตาก็แผลงลูกศร
ลูกธนูทะลวงใส่ร่างของปีศาจ
เข้าเป้าทุกนัด
ทะลวงหัวใจ ทะลวงหัวเข่าทั้งสองข้างถึงไม่มีหัวใจหรือไม่ตายอย่างน้อยขาก็น่าจะใช้การไม่ได้แต่เจ้าปีศาจกลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วใช้ขาคู่นั้นเดินต่อ
“เจ้านี่มันยังไงกันนะ”
อิงศรสบถใส่ปีศาจที่ไล่ตามมาโดยที่ขาไม่ได้หยุดวิ่ง
สู้แบบไม่รู้อะไรเลยเสียเปรียบเกินไป
ที่จริงข้อมูลจะถามซีลอร์ดเอาคงได้แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่อำนวยให้ทำแบบนั้น
พอเริ่มคิดถึงการสืบข้อมูลของศัตรูมันก็ทำให้นึกถึงนรินทร์ขึ้นมาอีกหมอนั่นคอยสืบข้อมูลของศัตรูมาสนับสนุนให้ที่ผ่านมาถึงได้ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพได้แล้วตรงนั้นนั่นเอง...
“จริงสิเรามีไอ้นั่นอยู่นี่นา”
ที่อิงศรฉุกใจคิดขึ้นมาว่าแอพพลิชั่นปีศาจของนรินทร์อยู่กับตัวเอง
เด็กหนุ่มเรียกหน้าจอคลังเก็บแล้วล้วงมือหยิบไม้เท้าของนรินทร์ออกมา
ไม่รู้เหมือนกันว่าปีศาจของนรินทร์จะยอมรับไหมหรือแม้แต่จะเข้ากันได้กับตัวเองหรือเปล่า
มีนาเคยบอกว่าถ้าปีศาจกับผู้ใช้ไม่มีความเข้ากันได้ก็จะทำให้มีปัญหา
“แต่ไม่ใช้ก็มีปัญหาเหมือนกันล่ะฟระ”
สรุปว่าจะลองใช้ดู...
ที่ผ่านมาก็มีกรณีของโอดินมาแล้วถ้าเข้ากันไม่ได้ก็แค่เปลี่ยนไปหาวิธีอื่นอย่างไรซะคงไม่ถึงกับทำให้ตาย
เมื่อตัดสินใจได้อิงศรก็ชูไม้เท้าขึ้นแล้วประกาศให้มันทำงาน
”เดม่อนแอพ
ลาพาส!”
ความคิดเห็น