คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #153 : Login 150: ฉันคือ...อิงศร
Login 150: ฉันคือ...อิงศร
“…”
“คิดจะทำยังไงต่อไป”
เขาโดนปีศาจของตัวเองถามแบบนั้น
“…”
“เจ้าเข้าใจมนุษย์แล้วจริงๆ
หรือ”
ก็ต้องเข้าใจอยู่แล้วสิก็…
“ฉันเป็นมนุษย์นะ”
“แล้วรู้รึเปล่าว่ามนุษย์น่ะคือความผิดพลาด”
อีกฝ่ายตอบในทันทีราวกับเตรียมคำพูดไว้ก่อน
ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกปีศาจทดสอบอยู่
“ทดสอบอีกแล้วเรอะ”
อิงศรบ่นด้วยความไม่พอใจ
จะทำการทดลองอะไรกันนักกันหนาเห็นเขาเป็นหนูทดลองหรือยังไง
แต่เมอร์คาบาห์ก็ดูจะไม่สนใจท่าทีของเขาเลยแม้แต่น้อยและยังคงพูดต่อไปว่า
“เพราะมนุษย์ต้องดำเนินชีวิตโดยการเลือกหนทางอยู่เสมอมาความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
อย่างเช่นตอนที่เจ้าได้รับตัวข้าเอาไว้แต่เพราะเลือกหนทางผิดจึงต้องสูญเสียสายสัมพันธ์หนึ่งไป”
จู่ๆ
ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป
ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังเมอร์คาบาห์กลายเป็นซากรถยนต์ที่กำลังลุกไหม้
สถานที่คือจุดที่เขากับพิพัฒน์ถูกราชครูมนุษย์ต่างดาวฆ่า
คือครั้งแรกที่ได้เห็นพลังของเมล์ตัวจับเวลาตาย
แล้วในตอนนั้นอาคานาร์ที่ได้รับก็คือเดอะชาริออทที่กลายเป็นเมอร์คาบาห์ในเวลาต่อมา
เมอร์คาบาห์ยังคงดำเนินคำพูดอย่างต่อเนื่อง
“อาคานาร์คือสายสัมพันธ์
คือชะตากรรม คือทางเลือก
มนุษย์ได้เลือกที่จะรับอาคานาร์เอาไว้แทนที่ชะตากรรมเดิมเพราะอยากจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองแต่แบบนั้นคือความผิดพลาด”
สถานที่ถูกเปลี่ยนกลับมายังเนินทุ่งหญ้าอีกครั้ง
“มนุษย์คือความผิดพลาดใช่ไหม”
แล้วจากที่พูดต่อว่ามนุษย์ก็กลายเป็นคำถามเสียอย่างนั้น
“…”
แล้วควรจะตอบอย่างไรดีล่ะ
อิงศรพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ว่าที่แท้จริงแล้วตัวเองอยู่ที่ไหนแล้วกำลังทำอะไรอยู่
กำลังฝันหรือว่าตายไปแล้วกันแน่
“…”
ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนออกมาเลยที่มีก็แค่
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ”
ความรู้สึกที่อยากจะตอบรับคำถามของอีกฝ่าย
“ทำไมล่ะ”
เขาถูกปีศาจถามแบบนั้น
“มนุษย์น่ะยังอ่อนหัดถึงได้เลือกทางเดินผิดไปบ้างแต่ว่าเพราะแบบนั้นแหละถึงเปลี่ยนแปลงได้
ถ้ามีโอกาสอีกซักครั้งมนุษย์ก็จะเปลี่ยนแปลงได้แน่ๆ”
“แล้วเธอก็จะร้องขอโอกาสไปไม่สิ้นสุดอยู่ดีน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสิ”
“แล้วอะไรกันล่ะคำตอบที่เธอมองเห็น
ณ ปลายทางที่ถูกถมฝังไปด้วยความผิดบาปของมนุษย์”
“…”
ไม่รู้ว่าทำไม
ทั้งที่กำลังคุยกับเมอร์คาบาห์แต่กลับรู้สึกเหมือนคุยกับตัวเอง
เรื่องที่เมอร์คาบาห์พูดมาคือความลังเลในใจของเขา
ลังเลมาตลอดว่าทางเดินที่เลือกนั้นผิดหรือเปล่า
หลังจากรับรู้ชะตากรรมของมนุษยชาติแล้วเขาก็คิดทบทวนเสมอมา
เหตุใดมนุษย์จึงถูกตัดสินว่าผิดพลาด
เหตุใดมนุษย์ถึงหยุดก้าวเดิน
“…”
พอคิดถึงตรงนี้สถานที่ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอีก
คราวนี้กลายเป็นถนนกลางเมืองที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่
ท่ามกลางฝูงชนนั้นเขามองเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังเดินไล่หลังน้องชายที่พ่อแม่พาจูงเดินนำอยู่ข้างหน้า
อิงศรคิด…
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มตีตัวออกห่างจากครอบครัวของตัวเอง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาคิดว่ามิ่งขวัญได้แย่งทุกอย่างไป
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาได้หยุดก้าวเดินแล้วล้มเลิกทั้ง
ความฝัน ความหวัง ความตั้งใจทั้งหมดไป
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังสวนมาว่า
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พี่ศรเหินห่างออกไป”
เสียงของมิ่งขวัญวัยเด็กที่กำลังเดินห่างตัวเขาในปัจจุบันออกไป
“พี่ศรคงจะเกลียดขวัญแล้ว”
น้องชายเองก็คิดแบบเดียวกันอย่างนั้นเหรอ
แต่นั่น…
“ไม่มีทางที่ขวัญจะคิดเรื่องซับซ้อนพรรค์นี้ได้หรอก
คนที่น่าจะคิดแบบนั้นน่ะ”
ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น
ทุกอย่างที่นี่มีแต่ความคิดความอ่านของตัวเองปะปนเต็มไปหมด
ถ้าอย่างนั้น…
อิงศรหันไปทางที่เมอร์คาบาห์อยู่แล้วพูดคำตอบ
“นายคือฉันสินะ”
เปรี้ยะ
เสียงร้าวดังลั่นออกมาจากตัวเมอร์คาบาห์แล้วหน้ากากเหล็กของเทวทูตก็ปริร้าว
“อะ”
อิงศรตกใจจนถอยเท้าไปข้างหลังก้าวหนึ่ง
เศษชิ้นส่วนของหน้ากากหลุดลอกเป็นแผ่นทำให้เริ่มมองเห็นเค้าโครงของใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่น
มองเห็นส่วนปากที่โผล่พ้นออกมา
ริมฝีปากอันอวบอิ่มสีชมพูอ่อนเหมือนผู้หญิง
เมอร์คาบาห์ได้กล่าวว่า
“เจ้าคือข้า”
อิงศรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“…”
หลังจากตีความคำพูดนั้นเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าทำไมตัวเองจึงมาอยู่ที่นี่
“นั่นสิทำไมถึงได้ลืมไปได้นะนาย…ไม่สิ
เธอคือฉัน ดังนั้นถึงได้เข้าใจกัน”
ตลอดมา…
อิงศรเฝ้าถามว่าตัวเองเลือกเดินทางผิดมาตลอดหรือไม่
เคยเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองเพราะอยากหนีจากความสูญเสีย
แต่ถึงทำอย่างนั้นไปก็ยังสูญเสียอยู่ดี
เขาไม่สามารถปกป้องพิพัฒน์ไว้ได้ทำให้อาคานาร์ของเมอร์คาบาห์ต้องปิดผนึกมาตลอด
เพราะตระหนักว่าตัวคนเดียวมันเป็นทางเดินที่ผิดและโทษว่าเป็นบาปของตัวเองเสมอมา
แล้วต่อจากนั้นก็เลือกเปิดใจรับเอาพวกพ้องอีกครั้งทำให้ได้รับพลังของอาคานาร์มา
อาคานาร์คือสายสัมพันธ์ที่ถักทอเป็นรูปร่างดังนั้น
เมษา
มีนา
กวินทร์
เพราะเปิดรับเอาคนเหล่านั้นเข้ามาจึงทำให้อาคานาร์ตื่นขึ้นใบแล้วใบเล่า
แต่ เดอะ แชริออทของเมอร์คาบาห์ก็ไม่เคยตื่นขึ้นเลย
แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่สภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น
เขาไม่เคยรู้สึกเลยว่าเมอร์คาบาห์จะทรงพลังได้เท่ากับปีศาจของมิ่งขวัญหรือแม้แต่ของกวินทร์
หลังจากนั้นเขาก็สูญเสียนรินทร์เพราะตนเองมีพลังไม่พอ
ทำอะไรไม่ได้และได้แต่โทษตัวเองที่อ่อนหัด
แต่มันก็ทำให้ตัวเองตั้งคำถามขึ้นมาด้วย
คำถามว่าการเลือกทางเดินที่ผ่านมามันผิดอย่างนั้นหรือ?
จนเดี๋ยวนี้เองที่เมื่อถูกฆ่า
ถูกไล่ต้อนให้จนมุม
จนรู้สึกสิ้นหวัง
รู้สึกเสียใจกับการเลือกหนทางเขาถึงเข้าใจขึ้นมาว่า
มันไม่ได้เกี่ยวกับพิพัฒน์แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับอาคานาร์
มันไม่ได้เกี่ยวว่าการเลือกทางของเขาผิดพลาดแต่ความผิดพลาดนั่นก็คือพลังของเขาเอง
ปัญหามันอยู่ที่ตัวเขาเองมาแต่แรก
“เพราะฉันไม่ยอมยกโทษให้ตัวเองสายสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอก็เลยครึ่งๆกลางๆอยู่แบบนั้นสินะ”
เพราะไม่อยากจะยอมรับเอาความผิดพลาดนั้นไว้จึงเท่ากับปฏิเสธพลังของตัวเองมาโดยตลอด
ชุดเกราะของเมอร์คาบาห์ก็คือหลักฐานว่าเขาได้จองจำความรู้สึกของตัวเองไว้ภายในเสมอมา
อิงศรโผเข้าไปกอดเมอร์คาบาห์
“ขอโทษนะที่เมินกันมาตลอดเลยน่ะ”
“…”
และแล้ว
ที่นี่ ในเวลานี้
อิงศรก็ได้ผูกสายสัมพันธ์กับตัวเอง
ร่างของเมอร์คาบาห์เปล่งแสงออกมา
ชุดเกราะพันธนาการทยอยปริร้าวและกะเทาะแตกหลุดลอกออก
“…”
พอได้ยกโทษให้ตัวเองก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
รู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิวจนแทบจะลอยได้
รวมถึงสัมผัสความคิดของเมอร์คาบาห์ได้ด้วย
‘ฉันอยากจะปกป้องพวกเขาเอาไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามถึงตอนนั้นแล้วก็ฝากนายด้วยล่ะ’
นั่นเป็นความนึกคิดของเมอร์คาบาห์ที่ไหลเข้ามาสู่สมอง
แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
“ฉัน…เคยพูดแบบนั้นนี่”
“…”
สติของอิงศรขาดหายไปในตอนนั้น
…
และกลับมาอีกครั้ง
กลับสู่ความเป็นจริงจากความตาย
เสียงดังเอี้ยดอ้าดของฟันเฟืองฟังแล้วรู้สึกลื่นหูขึ้นกว่าเดิม
รู้สึกได้ว่ามีพลังส่งถ่ายเข้ามาไม่หยุด
หากเป็นตอนนี้ก็รู้สึกว่าน่าจะคว้าเอาคำตอบที่แท้จริงมาได้
คำตอบว่าเขาจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยหนทางแบบไหน
“…”
อิงศรยังคงถูกตรึงอยู่บนแส้ใบมีด
บนหลังฟันเฟืองที่งอกออกมากำลังหมุดพัดกวัดแกว่ง
รูที่หน้าอกซึ่งโดนทะลวงจนกลวงโบ๋ก็เริ่มสมานตัว
เริ่มสัมผัสการเต้นของหัวใจได้เฟืองกำลังคืนหัวใจที่ถูกทำลายให้
เสียงเต้นดังตึกตักๆ
อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พลังชีวิตทยอยฟื้นกลับมา
อิงศร Lv.93 [/////10500:12500//…]
ถึงบาดแผลกับรอยฟกช้ำที่มาจากการถูกจับฟาดไปมาก่อนหน้านี้จะไม่หายไปก็ตาม
ขณะเดียวกันฟันเฟืองบนหลังก็เริ่มหดเล็กลงจนกระทั่งหายไปเมื่อพลังชีวิตฟื้นฟูจนเต็ม
“พี่ศรยังไม่ตายล่ะ”
“ศร!”
เสียงของพวกพ้องเรียกดังมาจากทางด้านหลังแต่สภาพถูกตรึงแบบนี้ทำให้จะหันไปมองก็ทำไม่ได้
แต่แล้วซีลอร์ดที่อยู่เบื้งหน้าก็เริ่มพูด
“อ้อ
ก่อนหน้านี้เพราะเธอใช้เฟืองไปหนหนึ่งแล้วตอนที่สู้กับซีเซียมทำให้ต้องรอเวลาฟื้นฟูจนมาออกเอาตอนนี้สินะ”
แล้วให้แส้จำนวนหนึ่งมัดรวมกันเหมือนทวนยาวของอัศวินที่ใช้เวลาขี่ม้า
เล็งทวนแส้นั่นมาที่หัวใจของอิงศร
“ครั้งที่สิบสองจบลงแล้ว
ต่อไปครั้งที่สิบสามนี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย
ขอเตือนไว้ก่อนนะว่าถ้าถูกทำลายเฟืองแล้วโดนฆ่าทั้งแบบนั้นเธอก็ต้องตายจริงๆ
เหมือนกัน”
แต่อิงศรกลับยิ้มให้คำพูดข่มขู่นั่น
“ต้องขอบใจนายแล้วล่ะเพราะว่าฉันมันหัวดื้อ
พอถูกไล่ต้อนจนตายไปหนหนึ่งก็เลยตาสว่างเข้าใจขึ้นมา”
จากนั้นอาคานาร์ เดอะ
แชริออท ก็ปรากฏขึ้นในมือข้างขวา
อิงศรกำอาคานาร์นั้นไว้แน่น
ตึกตัก
สัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของอาคานาร์
ตึกตัก
เสียงหัวใจของตัวเอง
ใจของเขาและเมอร์คาบาห์กำลังประสานเข้าหากัน
“ตอนนี้ฉันได้คำตอบสุดท้ายมาแล้ว”
ทันใดนั้นเอง
หน้าจอระบบก็ดีดตัวกระเด้งเปิดขึ้นมาเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม
บนหน้าจอนั้นเขียนเอาไว้แค่ตัวภาษาอังกฤษที่เหมือนจะไม่มีความหมาย
‘AVA-TRANS’
แต่กลับทำให้ซีลอร์ดเบิกตากว้างและชะงักไปเหมือนกับตกใจ
พร้อมกันนั้นเองพลังของอิงศรก็ถูกส่งถ่ายไปที่อาคานาร์ในมือ
พลังที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจกำลังถ่ายไปยังเมอร์คาบาห์ผ่านทางอาคานาร์จนเห็นเป็นแขนข้างนั้นกำลังเปล่งแสงออกมาแล้วแสงนั่นก็ไหลเข้าไปที่อาคานาร์
ก็เหมือนกับเดม่อนแอพที่ปีศาจส่งพลังให้มนุษย์แต่ตอนนี้กลับตาลปัตรกันแทน
ด้วยการนี้จะทำให้เมอร์คาบาห์ที่แท้จริงของตัวเองตื่นขึ้นมาอิงศรรู้สึกแบบนั้น
ขณะเดียวกันพวกที่อยู่ข้างนอกก็เริ่มเอะอะ
“แสงนั่นมันอะไรน่ะ”
เสียงมิกซ์
“รอเดี๋ยวนะฮะ”
แล้วก็เสียงของเน็กส์ที่ดูเหมือนเตรียมจะใช้พลังของเมลคีเซเดคที่ได้จากซากิริตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นแต่แล้ว…
ซีลอร์ดกลับพูดขึ้นมาเอง
“อวาทรานส์
งั้นเหรอ...สวิตซ์ทรานส์เฟอริ่ง(AVA = Switch) สลับหลักการของเดม่อนแอพสินะโดยปกติแล้วมนุษย์จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังของปีศาจที่ส่งผ่านมายังร่างต้นแต่นี่กลับกันโดยให้มนุษย์ส่งพลังไปเพิ่มขีดความสามารถให้ปีศาจ
โดยทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้เพราะว่ามนุษย์อ่อนแอกว่าปีศาจจึงไม่มีพลังอะไรจะจะส่งไปใช้ประโยชน์ได้หรอกแต่เธอก็อุตส่าห์ใช้เทคนิกแบบนั้นได้อีกนะ
น่าสนใจจริงๆ ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก ไม่สิอิงศร”
แล้วตอนนั้นเอง
ที่ฝั่งด้านนอก
อาคานาร์ก็ปรากฏขึ้นในมือของมิ่งขวัญกับกวินทร์ด้วย
“ไพ่นี่อีกแล้วเหรอ”
มิ่งขวัญพูดด้วยความตกใจ
“ทำไมถึงออกมาเองล่ะเนี่ย”
กวินทร์ก็เหมือนกัน
อาคานาร์เหล่านั้นก็เปล่งแสงออกมาเช่นกัน
แสงพุ่งออกจากอาคานาร์ทั้งสองใบมาที่อาคานาร์เดอะ แชริออท ของอิงศร
ไม่ใช่แต่พลังของเขาคนเดียวแต่สายสัมพันธ์ทั้งหมด
สายสัมพันธ์ที่สร้างมากับทุกคนกำลังเป็นพลังให้
อาคานาร์ทุกใบของเขาเองก็ปรากฏออกมาแล้วส่งพลังให้กับเดอะ
แชริออทด้วย
ซีลอร์ดที่เห็นแบบนั้นเข้าก็พูดว่า
“การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเฟืองงั้นเหรอจะว่าไปแล้วก็มีแต่เมอร์คาบาห์ของเธอที่อาคานาร์ฟอร์ซไม่สีแห่งพลังอยู่เลยนี่นะ”
สีแห่งพลัง? มันคืออะไรน่ะ
อิงศรไม่ได้ถามออกไปเพียงแค่คิดสงสัยอยู่ในใจเท่านั้น
แต่ซีลอร์ดที่คงจะอ่านใจเขาไปแล้วก็ตอบมาว่า
“ของมิ่งขวัญคืออาคานาร์ฟอร์ซแห่งความเบิกบาน
ของ กวินทร์คือความโกรธที่เที่ยงธรรม
งั้นตอนนี้ของเธอก็จะออกมาแล้วสินะอิงศรอาคานาร์ฟอร์ซของเธอจะเป็นสีอะไรล่ะ
ถึงถามไปก็เท่านั้นมันชัดเจนอยู่แล้วว่าอาคานาร์ฟอร์ซของเธอจะต้องเป็นสีแห่งความเศร้าเสียใจ
เพราะมันคืออารมณ์ซึ่งเด่นชัดที่สุดของเธอ
อาคานาร์ฟอร์ซก็คืออารมณ์พื้นฐานทั้งสามความเบิกบาน ความโกรธ
ความเศร้าเสียใจแต่ว่ามาทำได้เอาป่านนี้มันก็…”
แล้วแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกพลางให้ทวนแส้พุ่งใส่อิงศร
“หึ ไหนลองแสดงความตั้งใจของเธอให้ผมดูหน่อย”
ตอนนั้นเองอาคานาร์เดอะ
แชริออทที่รับเอาพลังเข้าไปมากก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ตัวไพ่กลายเป็นสีทองแล้วหายวับไป
บรึม!!
เกิดเสียงระเบิดโทนต่ำดังแว่วมาจากใต้เท้าของศิวะเทพ
พริบตาถัดมาขาข้างนั้นก็ถูกทำลาย
ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
ศิวะซึ่งสูญเสียขาช่วยทรงตัวจึงเสียหลักแต่ก็ใช้แขนยันพื้นเอาไว้ไม่ให้ล้มลง
สิ่งที่ตัดขาของเทพเจ้าบินออกมาจากหลุมที่อยู่ใต้เท้า
สิ่งนั้นบินตัดหน้าทวนแส้ที่พุ่งเข้าหาอิงศร
แล้วสะบั้นมันขาดกระเด็นไปอย่าง่ายดาย
แส้มีดที่แข็งและทรงพลังขนาดทำลายด้วยสกิลหรือพลังของปีศาจตัวอื่นๆ
ไม่ได้ หรือแม้แต่พลังของเครื่องทำสวนเองก็ยังไม่สะทกสะท้านจากการที่ซีลอร์ดใช้มันปกป้องศิวะจากพลังของตัวเองก่อนหน้านี้
แล้วก็ไม่เพียงแต่ทวนแส้เท่านั้นแต่รวมถึงแส้ที่ตรึงร่างอิงศรไว้ก็ยังถูกสะบั้นขาดไปพร้อมกัน
อิงศรที่ลงพื้นไปแล้วก็ดึงเศษที่พันตามแขนขาออก
จนกระทั่งดึงเส้นสุดท้ายที่พันแขนซ้ายทิ้งไป
ตัวตนของสิ่งที่สะบั้นแส้มีดก็ลอยลงมาอยู่เบื้องหลังเขา
“รูลเบรกเฟส
เมอร์คาบาห์ ฮันเซลัชช่า”
{ [Rule
Break Phase] Merkabah Hanzelusha
Alignment: Law , Neutral
, Chaos
Detail: หาใช่ราชรถไม่ หากแต่เป็นสายลมที่ชักนำพายุคใหม่
Ability: ‘Illusion Breaker’ สะบั้นสิ่งลวงหลอก
‘Ultimate Counter’ สวนกลับไม้ตาย
‘Messiah Buster’
ดูดกลืนหนึ่งยูนิทแล้วปลดปล่อยการโจมตีที่ยากจะต้านทาน }
รายละเอียดของปีศาจถูกฉายขึ้นบนหน้าจอที่เพิ่งเปิดขึ้น
อิงศรเหลือบตามองเพียงครั้งเดียวก็จำได้ทั้งหมด
เพราะในตอนนี้เขากับเมอร์คาบาห์คือหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง
ชุดเกราะที่จองจำได้หลุดออกไปทั้งหมดรวมถึงหน้ากากเหล็กที่ปกปิดใบหน้าก็เหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวติดเป็นเครื่องประดับเอาไว้
ร่างของเทพธิดาผู้งดงามยิ่งจึงแสดงต่อสายตาเป็นครั้งแรก
โฉมหน้านั้นคือใบหน้าของอิงศรเองแต่มีเส้นผมสีทอง
ร่างที่แท้จริงของเมอร์คาบาห์
สวมชุดกระโปรงวันพีชสีขาวสลับลวดลายสีน้ำเงินเข้ม
ใบมีดที่แขนก็เปลี่ยนเป็นแบบที่ลอยได้ด้วยตัวเอง
พลังของเมอร์คาบาห์กำลังส่งผ่านกลับคืนมา
พลังมากกว่าก่อนหน้าถึงสิบเท่าตัวทำให้พลังที่อิงศรรับไว้ได้ไม่หมดพองตัวออกจนกลายเป็นรัศมีสีทองทอประกายลงมาจากด้านบนราวกับแดดแรกเมื่อรุ่งสางมาเยือน
ไม่สิ
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้วด้วยต่างหาก พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว
ซีลอร์ดที่ได้เห็นร่างของเมอร์คาบาห์ก็พูดว่า
“เมอร์คาบาห์ฮันเซลัชช่า...ไม่เห็นจะรู้จักปีศาจตัวนี้เลย
แถมสีของอาคานาร์ฟอร์ซของเธอยังสัมผัสได้ถึงสามอย่างด้วยกันเธอรวมพลังของพวกน้องๆ
มาทำให้เส้นทางใหม่ปรากฏขึ้นแล้วสินะทำให้ปีศาจวิวัฒนาการนั่นคือการแสดงความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปของเธออย่างนั้นสิ”
“อยากฟังขึ้นมาแล้วรึไง”
อิงศรถาม แต่ซีลอร์ดก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่ล่ะถ้ามันทำให้เธอผ่านการทดสอบนี้ไปไม่ได้ก็ยังเป็นแค่คำพูดที่เพ้อเจ้ออยู่ดี”
“ก็นั่นสินะ”
อิงศรพูดพร้อมกับก้มลงไปเก็บอาวุธขึ้นมา
จากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ครั้งที่สิบสามนี้จะเป็นตัวตัดสิน
ซีลอร์ดตวัดแส้โจมตีเข้ามาทุกทิศทางพร้อมๆ
กัน
ถ้าเป็นทุกทีคงจะหลบไม่พ้น
แต่ว่าตัวเขาที่มีพลังของเมอร์คาบาห์ฮันเซลลัชช่าแล้วนั้นสามารถตามทันแม้พวกนั้นได้
ความเร็วของแส้ที่พุ่งเข้ามาจู่โจมตกลงไปอย่างชัดเจนหากเป็นตอนนี้คงจะหลบได้ทั้งหมด
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
“เทคนิคัลเวพ่อน”
อิงศรเปลี่ยนคันธนูเป็นหน้าไม้
จังหวะนั้นเองแส้ทั้งหมดก็โถมเข้ามาเกือบจะถึงตัว
ในพริบตานั้นเองที่เมอร์คาบาห์เงื้อแขนแล้วตวัดใบมีดฟันพร้อมกับกระโดดลงมาบนพื้น
เสียงโลหะแหลมสูงตัดกันดังฉับ
แล้วแส้ทุกเส้นก็ขาดกระเด็นโดยพร้อมกัน
ด้วยพลังของเมอร์คาบาห์ตอนนี้สามารถตอบโต้แส้ใบมีดได้แล้ว
อิงศรเล็งหน้าไม้ไปที่ซีลอร์ดแต่ว่าแขนเสื้อขาดไปหมดแล้วยันต์ที่ยัดเอาไว้ก็ถูกเผาไปพร้อมกันจึงต้องเปิดหน้าต่างคลังหยิบใบใหม่ที่สำรองไว้ออกมาเลยทำให้เสียเวลาในการยิงมากขึ้น
“วินด์ช็อค
มาร์สไตรค์”
แล้วก็ยิงลูกดอกอาคมที่สร้างวงเวทย์ปล่อยคลื่นไฟออกไปหาซีลอร์ด
แน่นอนว่าอีกฝ่ายใช้แส้ปัดทิ้งได้อย่างสบายๆ
แต่จุดประสงค์จริงๆ ของเขาคือนี่ต่างหาก
“บัพ-แอโร่ว!”
อิงศรลั่นไกปลดปล่อยมหิงสาเพลิงไล่ตามไปพร้อมกับส่งเมอร์คาบาห์ให้นำออกไป
ซีลอร์ดเพิ่มแส้ใบมีดออกมาจากร่างกายอีกเป็นจำนวนมากเพื่อตั้งรับการโจมตี
แต่เมอร์คาบาห์ที่บินเข้าไปในดงแส้นั่นก็กางแขนแล้วหมุนตัวตัดแส้ทั้งหมดทิ้งเปิดทางให้มหิงสาเพลิง
“โซเดีย!”
โดรนของซีลอร์ดลอยลงมาแล้วพ่นกระสุนแสงเล็กๆ
ใส่สองถึงสามที มหิงสาเพลิงก็แตกสลาย
“เอ้าๆ
ใบหน้าเริ่มออกอาการแล้วนะ”
อิงศรพูด
ใบหน้าของซีลอร์ดบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากำลังตึงมือเพราะที่ผ่านมาเอาแต่ทำหน้านิ่งอยู่ตลอดจึงสังเกตได้ง่ายๆ
เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง
“ถ้าคิดว่าสูสีกับผมได้แล้วล่ะก็คิดผิดถนัดเลยล่ะผมยังไม่ได้เอาจริงด้วยซ้ำ”
ก็แค่คำแก้ตัวแหละน่า...ตอนที่อิงศรคิดแบบนั้นน่ะเอง
“ปศุปตะ”
ศิวะก็ขว้างตรีศูลที่ร่ายเวทเสริมพลังมาด้วย
เพราะมัวแต่สนใจซีลอร์ดจนเผลอลืมไปเลยว่ายังมีปีศาจที่อยู่ข้างหมอนั่นอีก
“...”
ตรีศูลกำลังใกล้เข้ามา
แต่อิงศรไม่หลบเพราะถ้าเกิดหลบขึ้นมาล่ะก็...
ทันใดนั้นเองแส้ใบมีดก็พุ่งขนาบตัวเขาไปชนกับลูกกรงปิดขวางทางหนีจากทั้งซ้ายและขวา
ตรีศูลที่โน้นตกลงมาในแนวพาราโบลาร์นั่นจะต้องเข้าเป้ามาที่เขาอย่างแน่นอน
เสียงระเบิดดังกัมปนาท
ตรีศูลระเบิดอย่างรุนแรงราวกับระเบิดนาปาล์มแล้วสร้างกลุ่มควันบดบังทัศนวิสัย
“ศร!!”
“พี่ศร!!”
เสียงตกใจของพวกพ้องที่อยู่ข้างนอดังแว่วมา
เขายังไม่ตาย
แถมยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย
จนเมื่อหมอกควันจางลงบางส่วนถึงมองเห็นว่ามีบางอย่างเข้ามาขวางตรีศูลเอาไว้
กำแพงแสงรูปวงกลมสลักด้วยอักขระโบราณจำนวนแปดวงวางเรียงกันเป็นกำแพงสูงช่วยป้องกันไม่ให้ไฟของตรีศูลลามมาถึงตัวเขา
“...”
พอรู้สึกตัวอีกทีในมือซ้ายที่หน้าไม้เอาไว้ก็กำลังหนีบอาคานาร์อีกใบอยู่
เดธ อาคานาร์
“นี่มัน..”
อิงศรหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะท่ามกลางหมอกควันนี่เองเขามองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูโปร่งแสงพอๆ
กับกำแพงอาคมนั่นแต่เพราะมีควันจึงทำให้เค้าโครงของร่างนั้นชัดเจนขึ้น
“นรินทร์”
อิงศรพึมพำออกมาโดยที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองนัก
เห็นเหมือนนรินทร์ที่โป่รงใสคนนั้นกำลังหันมาทางนี้แล้วส่งสายตาให้ก่อนที่ควันจะหายไปทั้งหมดทำให้มองไม่เห็นอีก
“งั้นเองเหรอนายช่วยฉันไว้สินะ”
เขาสรุปเอาเองแบบนั้นถึงจะไม่รู้ว่าเงาของนรินทร์นั่นคืออะไรก็ตามแต่ตอนนี้อยากจะเชื่อแบบนั้น
เมอร์คาบาห์ที่วกกลับมาช่วยตัดแส้ที่ปิดทางให้
อิงศรจึงออกวิ่งวนไปรอบกรง
“โซเดียราโอ”
ซีลอร์ดสั่งให้โดรนเริ่มสะสมพลังคงคิดจะปิดฉากด้วยการโจมตีที่กวาดทั้งกรงแทนเมื่อเห็นว่าแส้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว
“เมอร์คาบาห์ทำลายโดรนพวกนั้นซะ”
อิงศรสั่ง
พอเมอร์คาบาห์ไล่ตามไปพวกโดรนก็พยายามบินหนีบ้าง
กลายเป็นการวิ่งไล่จับไปโดยปริยาย
แต่ไม่นานพลังงานก็สะสมเสร็จและยิงลำแสงทำลายสวนทางมาแต่เมอร์คาบาห์ก็หลบได้อย่างฉิวเฉียด
โดรนเครื่องที่สองยิงไล่หลังมาเทวทูตจึงบินอ้อมล่อให้โดรนลากลำแสงวนไปหาอีกเครื่อง
“หยุดก่อน!”
ซีลอร์ดอ่านแผนออกจึงสั่งให้ไปแบบนั้นทำให้
โดรนทั้งสองเครื่องหยุดยิงรวมถึงหยุดเคลื่อนที่ไปด้วย
“ตอนนี้แหละ!”
อิงศรตะโกนพร้อมกับลั่นไกยิงลูกดอกใส่ซีลอร์ด
“…”
แต่แส้ก็ตวัดออกมาปัดลูกดอกทิ้งไปได้
ถึงอย่างนั้นก็ยังดึงความสนใจของซีลอร์ดไว้ได้พริบตาหนึ่ง
แล้วช่วงเวลาแค่วินาทีเดียวนั่นเองเมอร์คาบาห์ก็ตวัดใบมีดที่แขนผ่าทำลายโดรนทั้งสองเครื่องจนร่วงตกลงมา
“ทำได้แสบเหมือนกันนี่แต่ผมไม่ได้มีแค่โดรนพวกนั้นนะ”
ซีลอร์ดกล่าวแล้วยื่นนิ้วชี้มาทางนี้
“โซเดียราโอ!”
ทันทีทันใดลำแสงก็พุ่งออกจากนิ้วมุ่งหน้ามาหาอิงศร
แต่ว่า
“ฉันชนะแล้ว”
อิงศรกล่าวอย่างมั่นใจแล้วกำเดธ
อาคานาร์เอาไว้
“ยามาตะโนะโอโรจิ!”
กำแพงแสงทั้งแปดปรากฏขึ้นมาขวางทางลำแสง
แต่อิงศรไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น
เขาส่งพลังของตัวเองให้กับเดธ
อาคานาร์ เหมือนที่ทำกับ แชริออทอาคานาร์
ความสามารถที่ซีลอร์ดนิยามให้ว่า
’อวาแทรนส์’ ซึ่งฟังดูคล้ายกับคำว่า ‘อวตาร’
หากอวตารหมายถึงการแบ่งภาคจากต้นฉบับแล้วล่ะก็กรณีของเดม่อนแอพเองก็คงจะคล้ายกัน
ปีศาจคือร่างอวตารของโชคชะตาที่คอยมอบพลังให้มนุษย์
ดังนั้นเมื่อ
อวาแทรนส์
มนุษย์ก็จะกลายป็นร่างอวตารที่มอบโชคชะตาให้กับปีศาจ
กำแพงอาคมทั้งแปดเริ่มแยกย้ายกันแล้วจัดเรียงใหม่เป็นแถวซิกแซกที่ให้มุมองศาพอดี
ซึ่งพอที่จะต้านรับลำแสงของซีลอร์ดแล้วสะท้อนออกไปด้วยพลังที่ได้รับจากเขา
ลำแสงของซีลอร์ดกระเด้งไปตามแนวที่กำแพงเรียงตัวกันและ...
ย้อนกลับไปยิงใส่ตัวซีลอร์ดเอง
ความคิดเห็น